The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย
10.0
เขียนโดย ชลันธรี
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.
9 chapter
0 วิจารณ์
11.45K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) วิกฤตเลือดแห่งราเรียม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ลุกขึ้นเถอะน้องข้า...ไม่มีผู้อื่นอยู่ในนี้เก็บพิธีรีตองน่าเบื่อนั่นเอาไว้เถอะ”
เสียงทรงอำนาจของวิเวียน ราชินีแวมไพด์แห่งอาณาจักรราเรียมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผมสีเงินยวงยาวประบ่าของนางขับเน้นริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มบนใบหน้านั้นแดงฉานยิ่งขึ้น นางนั่งอยู่บัลลังก์เบื้องหลังผ้าแพรเบาบางสีแดงสดที่กั้นระหว่างนางและชายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“ขอรับพี่หญิง”
เสียงขานรับของ นูริล เสนาธิการทหารรูปร่างเปรียวผู้เป็นทั้งน้องชายคนเล็กของวิเวียน และอดีตคู่หมายที่พ่อของพวกเขาเคยคิดจะจับทั้งคู่ให้แต่งงานกัน ซึ่งสำหรับตระกูลฟาลาโม นี่คือธรรมเนียมอันเก่าแก่เพื่อรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ของคนในตระกูลเอาไว้
“เจ้าคงไปพบมารดาแห่งโลหิตมาแล้ว และคงจะรู้ดีแล้วว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร”
“ขอรับพี่หญิง มารดาแห่งโลหิตบอกข้าว่าเลือดที่มีเก็บสำรองเอาไว้กำลังจะหมดซ้ำร้ายทาสเลือดที่เหลืออยู่ก็แก่เกินไปที่จะให้กำเนิดทาสเลือดรุ่นถัดไป คงไม่มีทาสเลือดให้เราได้รีดเลือดเลี้ยงกองทัพอีก” เสียงจากนูริลแฝงไปด้วยความร้อนใจอย่างไม่อาจปกปิดได้
“นั่นเป็นสัญญาณ ว่าตระกูลของเราอาจต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง… นอกจากเราและพี่ชายของเจ้าทั้งสองอย่าให้ใครอื่นรู้เรื่องนี้อีกเด็ดขาด”
“แต่เราคงปิดได้ไม่นาน สุดท้ายพวกทหารจะต้องกินกันเอง”
“โลกนี้ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอ คนในตระกูลของเรามีมากเกินไปบางครั้งเราก็จำใจจะต้องสูญเสียไปบ้าง” วิเวียนตอบกลับอย่างเย็นชา
“พี่หญิง…แต่หากท่านพ่อทราบเรื่องนี้ท่านคงไม่พอใจแน่”
“น้องพี่เจ้าดูแคลนท่านพ่อเกินไป เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะเศร้าโศกกับการตายหยุมหยิมของทหารเล็กๆงั้นรึ เจ้าก็รู้ท่านไม่ยอมให้ใครขัดใจท่าน หรือยอมเสียการใหญ่เพื่อเรื่องเล็กๆอย่างอารมณ์หรอก”
“แต่ท่านพี่ก็เคยขัดใจเขามาแล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง…”
ดวงตาของวิเวียนวาวโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถูกนูริลกล่าวถึงเรื่องในอดีตที่นางไม่ยอมแต่งงานกับเขา แต่ท่าทีของนางยังสงบนิ่งนางเบี่ยงหน้าเล็กน้อย พยายามอดกลั้นเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศของการสนทนา นูริลก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจนั้นอย่างชัดเจนแต่ก็รู้สึกโล่งที่ได้กล่าวอะไรทำนองนี้ออกไปบ้าง แน่นอนเขารู้ดีว่าการนำเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องใหญ่ของตระกูลเป็นเรื่องไม่ควรแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเลือกที่จะพูดไปตามอารมณ์ของตนเองอยู่ดี
“ราชทูตจากเอนเดอร่าขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เสียงต้นห้องของวิเวียนร้องบอก ความรู้สึกโกรธของวิเวียนหายลับไปแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจถึงการมาถึงของราชทูตจากอาณาจักรเอนเดอร่า ที่มั่นของกลุ่ม ”ภารดรแห่งความสูญสิ้น” และผู้แสวงบุญที่นับถือเทพบิดรองค์ใหม่อย่างลอมานัม
วิเวียนสบตากับนูริลครั้งหนึ่ง นูริลเปลี่ยนเป็นมายืนอยู่หน้าบัลลังค์ของวิเวียนประหนึ่งราชองครักษ์ก่อนที่ประตูท้องพระโรงจะเปิดออกปรากฏชายร่างผอมแห้งแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวสีน้ำตาลเข้ม เขาซ่อนใบหน้าเอาไว้ภายใต้ฮู้ดของชุดคลุมและเดินตรงเข้ามาพร้อมประคองหีบไม้สีดำใบเขื่องไว้ข้างตัว ชายในชุดคลุมเดินตรงมาที่หน้าบัลลังค์ในระยะอันเหมาะสมก่อนจะเปิดฮู้ดคลุมศีรษะออก
“ท่าน…”
“ปิดประตู”
เสียงอุทานของนูริลดังขึ้นก่อนจะยั้งไว้เมื่อวิเวียนกล่าวแทรกขึ้นอย่างทันควันเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน เมื่อประตูปิดสนิทลงวิเวียนค่อยลุกขึ้นจากบัลลังก์พร้อมกับถอนสายบัวทำความเคารพผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันนูริลก็คุกเข่าลงอย่างรู้ธรรมเนียมก่อนที่ชายผู้มาเยือนจะส่งสายตาเป็นสัญญาณให้วิเวียนทราบว่าต้องการคุยกับนางเป็นการส่วนตัว
“นี่นูริลน้องชายแท้ๆของข้าเอง ข้าขอยืนกรานว่ากิจใดๆสามารถกล่าวต่อหน้าเขาได้”
ราชทูตจากเอนเดอร่า พยักหน้าเล็กน้อยอย่างวางใจก่อนจะกล่าวทักทายอย่างพอเป็นพิธีและเข้าสู่บทสนทนาอย่างไม่รอช้า เขาส่งหีบไม้สีดำที่นำมาด้วยให้แก่นูริลเพื่อมอบให้กับวิเวียน วิเวียนรับหีบใบนั้นไว้ในมือน้ำหนักของมันเบามืออย่างประหลาดแต่จากเสียงกรุกกรักเล็กน้อยก็ทำให้ทราบว่ามีวัตถุบางอย่างอยู่ในนั้น
“ในหีบนี้มีอะไรหรือท่านสังฆราชา เหตุใดท่านจึงต้องมาด้วยตนเอง?”
“ของขวัญจากเทพบิดรลอมานัม แต่ไม่ใช่สำหรับพวกเจ้าลองเปิดมันออกดูสิ”
วิเวียนที่คงความเยือกเย็นมาตลอดรู้สึกหนาววาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินว่าสิ่งของภายในหีบนั้นมาจากเทพบิดรองค์ปัจจุบันผู้ทรงอำนาจสูงสุด มือของนางสั่นเทิ้มเล็กน้อยแม้ว่าจะพยายามควบคุมอย่างเต็มที่นางวางหีบนั่นลงบนบัลลังก์ก่อนจะใช้มือเรียวงามทั้งคู่เปิดฝาหีบสีดำนั้นออก
“ข้าแต่เทพบิดร!!!!”
นูริลอุทานเสียงหลงก่อนจะกระโดดเข้าจับแขนของวิเวียนด้วยสัญชาติญาณระวังภัยแต่แล้วเขาก็สงบลงเมื่อวิเวียนหันกลับมาเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วง ถึงกระนั้นเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงจากตัวของพี่สาวเมื่อเห็นของในหีบนั้น พวกเขาก้มหน้าลงดูของในหีบโดยหัวใจยังเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก และสิ่งที่พวกเขาเห็นคือหน้ากาก เป็นหน้ากากที่มีอารมณ์แตกต่างกันไปสามชิ้น
“แค่หน้ากาก…เองรึแต่….”
เสียงของวิเวียนไม่ประติดประต่อนางหายใจถี่ก่อนรีบปิดหีบใบนั้นลงเพื่อลดแรงกดดันมหาศาลจากวัตถุภายในนางรู้สึกวิงเวียนจนแทบประคองร่างเอาไว้ไม่อยู่
“เทพบิดรมีพระประสงค์อันใดให้พวกหม่อมฉันรับใช้หรือ ท่านสังฆราชา” วิเวียนกล่าวถามสังฆราชาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฮ่า ฮ่า ทรงอำนาจมากใช่ไหมล่ะสองพี่น้องฟาลาโม ตอนข้าเห็นพวกมันครั้งแรกก็เป็นแบบเจ้าสองคนนี่ล่ะ ข้าไม่ทราบพระประสงค์แน่ชัดนักหรอกมีเพียงคำสั่งลงมาเท่านั้น มีรับสั่งให้นำหีบใบนี้เข้าสู่เมืองคริสเทนมอโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องถูกนำไปด้วยคนสำคัญของคริสเทนมอเอง…ไม่ใช่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะต้องนำมันกลับสู่ราเรียมพร้อมกับคนๆหนึ่งซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครพระองค์บอกเพียงว่าเมื่อเจ้าทำตามเงื่อนไขแรกสำเร็จมันจะชักนำคนๆนั้นออกมาเอง”
“น้อมรับพระบัญชาแห่งเทพบิดร”
วิเวียนพูดพร้อมคุกเข่าลงหน้าบัลลังก์เพื่อเป็นการตอบรับภารกิจที่ได้รับก่อนจะหันไปมองหีบใบนั้น คนในตระกูลฟาลาโมไม่เคยมีคำถามต่อความต้องการของเทพบิดรที่พวกเขาบูชา วิเวียนขบคิดทันทีว่าจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้เร็วที่สุดอย่างที่ผู้ภักดีควรทำให้นายของพวกเขา
“อ้อ มีคำแนะนำจากข้าอีกอย่างนะสองพี่น้องฟาลาโม ถ้าเป็นไปได้อย่าเสี่ยงสังหารใครทั้งสิ้นในภารกิจนี้เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจะสังหารพลาดไปโดนคนที่พระองค์ท่านต้องการตัวหรือไม่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดนอกจากคนในห้องนี้แล้วห้ามใครรู้เรื่องเป็นอันขาด”
สังฆราชากล่าวพร้อมกับนำฮู้ดคลุมศีรษะสวมกลับเพื่อไม่ให้เป็นที่จดจำ วิเวียนสั่งให้เปิดประตูพร้อมกับการจากไปของเขาจากนั้นจึงเรียกต้นห้องของนางเข้ามา และนูริลก็จัดการรักษาความลับของภารกิจให้แก่ราชินีอย่างรวดเร็วภายในพริบตาเดียว…
“นูริลเจ้าส่งสารเรียกมนุษย์ผู้นั้น มาพบกับข้าให้เร็วที่สุด”
“ขอรับพี่หญิง…”
สามวันหลังจากนั้นในท้องพระโรงภายในปราสาทที่ดูขมุกขมัว วิเวียนราชินีผู้ทรงอำนาจแห่งราเรียมแต่งกายในชุดยาวเปิดไหล่สีแดงสด ที่ยิ่งขับให้ผิวที่ขาวซีดของเธอให้ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก เธอนั่งไขว้ห้างเบือนหน้าไปทางด้านข้างใช้หลังพิงพนักบัลลังก์อย่างเบื่อหน่ายเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งที่น่าเบื่อแต่ก็สำคัญจนไม่อาจที่จะไม่รอ
“ผู้บุก…”
เสียงทหารยามหลายนายด้านหน้าท้องพระโรงดังขึ้นเหมือนจะพร้อมกันแต่แล้วก็เงียบสงัดลงพร้อมกันอย่างน่าประหลาด วิเวียนยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนกระชับอิริยาบถให้ดูสง่างามสมเป็นราชินีเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน ดวงตาของนางจดจ้องไปที่ประตูท้องพระโรงที่แง้มออกอย่างแผ่วเบาเผยให้เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ค่อยๆเบี่ยงตัวผ่านประตูเข้ามาสู่ท้องพระโรงอย่างเงียบงัน เมื่อประตูท้องปิดลงเงาร่างสูงโปร่งก็เดินทอดน่องอย่างสบายๆเข้ามาอยู่ตรงกลางห้องพร้อมกับโค้งคำนับอย่างลวกๆ
“ถวายบังคมฝ่าพระบาท จอมนางแห่งราเรียม ผู้เลอโฉมแห่ง…” เสียงแหลมเล็กของชายผู้มาเยือนดังขึ้น
“หยุดเสียทีผู้สร้าง ข้าไม่ได้มีเวลาทั้งวันมาฟังคำไร้สาระ”
เสียงวิเวียนกล่าวประโยคเรียบๆแต่แฝงด้วยอำนาจ และเมื่อความสลัวของห้องเลือนรางลงทำให้เห็นว่าชายผู้มาเยือนนั้นใส่ชุดหนังคลุมสีดำยาวทั้งตัวเพื่อปกปิดทุกสัดส่วนโดยเฉพาะที่บริเวณศีรษะของเขาก็มีฮู้ดคลุมอย่างมิดชิด พร้อมกับผ้าปิดปากหนังสีดำครึ่งใบหน้าที่ดูเหมือนจงใจใส่มาเพื่อบิดเบือนเสียงพูดป้องกันไม่ให้ใครจดจำเขาได้ เหลือเว้นไว้เพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่เผยแววฉลาดแกมโกงอย่างไม่อาจปกปิดได้
“ทุกอย่างดำเนินไปราบรื่นดีใช่ไหมพระองค์ท่าน”
“ตอนนี้ราบรื่นดี แต่ข้ามีอีกเงื่อนไขหนึ่งอยากจะเพิ่มเติมลงไปในข้อตกลงอีกสักเล็กน้อยรับประกันได้ว่าท่านไม่ขาดทุน” เสียงวิเวียนตอบรับเรียบๆ และมุ่งสู่ประเด็นสนทนาอย่างรวดเร็วแต่มีชั้นเชิง
“โอ้…ข้าไม่เคยคิดจะเอาเปรียบฝ่าพระบาทอยู่แล้ว เชิญฝ่าพระบาทเสนอข้อตกลงนั้นมาได้”
“ข้าอยากให้ท่านใช้อำนาจในสภาสูง สั่งการให้เฟเรย์ และกลุ่มอัศวินฟีนิกซ์ของเขาออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรุกรานจากทางราเรียมด้วย”
“อืมมม…ว่าแต่พระองค์จะให้ข้าผลักดัน เฟเรย์ หัวหน้ากองกำลังอัศวินฟีนิคให้ออกมาจุ้นจ้านด้วยเหตุผลใดหรือ ข้าเห็นว่ามีแต่รังจะทำให้ยุ่งยากขึ้นเปล่าๆ”
ผู้สร้างถามวิเวียนเป็นเชิงแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อพยายามหาสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อตกลงเพิ่มเติมมากขึ้นจากข้อตกลงครั้งก่อน วิเวียนเงยหน้าขึ้นจ้องมองชายผู้มาเยือนอย่างมีนัยว่าคำถามที่ถามมานั้นนางไม่อยากจะตอบและผู้ถามก็ไม่ควรจะสอดรู้มากนัก
“เป็นเรื่องที่ท่านไม่ต้องให้ความสนใจ”
“ได้กระหม่อมไม่ถามต่อ เอาเป็นว่าข้าจะจัดการให้ตามพระประสงค์ของท่าน… แต่การจะหาเหตุผลให้เฟเรย์ ออกมาร่วมสู้ทั้งที่ก็มีกลุ่มทหารผู้พิทักษ์ประตูนาโบลอสเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้อยู่แล้ว ออกจะต้องมีเหตุผลมากสักหน่อย…”
“เหตุผลหรือผลตอบแทน ท่านควรพูดให้ชัดผู้สร้าง ข้าไม่ชอบอ้อมค้อม” วิเวียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“แหม่ พระองค์ท่านก็เห็นข้าโลภมากจนเกินไป ข้าหมายถึงท่านอาจจะต้องกดดันเขตชายแดนของคริสเทนมอให้ตึงมือมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย เพื่อข้าจะได้ทำงานง่ายขึ้นต่างหาก”
“ได้ ข้าจะส่งกองกำลังแวมไพด์เข้าโจมตีประตูนาโบลอส และเขตชายแดนผนึกให้หนักหน่วงขึ้น”
“ส่วนในเรื่องผลตอบแทนที่มากขึ้น…การทดลองของท่านเป็นอย่างไรบ้างต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ” วิเวียนกล่าวเหมือนต้องการให้ผู้สร้างเสนอข้อแลกเปลี่ยนจากเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้น
“อ้อ เรื่องนี้สินะที่ข้าควรให้ความสนใจ ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงไปหรอกการทดลองทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางและราบรื่นดี เหล่าฮอมันคูลัสของข้ายังทำงานได้ดี ว่าแต่ผลประโยชน์ที่ข้าจะได้รับนั้นท่านยังคงแน่ใจว่าจะจ่ายไหวใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจว่าการเปลี่ยนมนุษย์อย่างข้าให้กลายเป็นเหมือนคนในตระกูลฟาลาโมนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่จะถูกยอมรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะจากพ่อของท่าน”
ทั้งวิเวียนและชายผู้มาเยือนต่างถามย้ำกรายๆถึงผลประโยชน์จากข้อตกลงจากการร่วมมือแบบลับๆครั้งนี้ โดยเนื้อหาของข้อตกลงที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นคือการแก้ไขปัญหาการขาดเลือดที่กำลังคุกคามราเรียมอยู่ในขณะนี้ โดยผู้สร้างได้ให้คำมั่นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวชนิดถาวรให้แก่ราเรียมโดยการแลกกับการเปลี่ยนตัวเขาเองให้กลายเป็นแวมไพด์ที่ทรงพลังดั่งเช่นคนในตระกูลฟาลาโม
“ว่าแต่ท่านแน่ใจแล้วหรือในเรื่องที่จะกลายมาเป็นแบบพวกเรามันอาจจะไม่ได้ดีเลิศอย่างที่ท่านคิดก็ได้นะ”
“ฮ่า ฮ่า งั้นลองทดสอบดูเล็กๆน้อยๆแล้วกัน ฮ่า ฮ่า”
สิ้นเสียงหัวเราะของผู้สร้างกรงเล็บสีดำทมึนอันแหลมคมก็เหมือนผุดพรายขึ้นจากเงาใต้ฝ่าเท้าของวิเวียน มันพุ่งตรงเข้าสู่กลางหน้าอกของนางอย่างรวดเร็ว แต่พริบตาเดียวเท่านั้นร่างของวิเวียนก็เหมือนกับหายวับไปและกลับมาจ่อกรงเล็บของนางอยู่ที่คอหอยของเขาอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงซากศพของฮอมันคูลัสที่แฝงมาในเงาที่เข้าโจมตีวิเวียนเมื่อครู่ให้นอนจมกองเลือดอยู่เบื้องหลัง
“ยอดเยี่ยมๆ นี่คือข้อพิสูจน์แล้วพระองค์ท่านว่าสิ่งที่ข้ากำลังจะเป็นนั้นยอดเยี่ยมเพียงไร และผลตอบแทนในสิ่งที่ข้าจะทำให้ท่านนั้นมันสมราคากัน” ผู้สร้างหัวเราะชอบใจด้วยความลิงโลดจากผลการทดสอบอันบ้าคลั่งของเขา
“ท่านก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันท่านผู้สร้าง การทดสอบเมื่อครู่ทำให้ข้าได้เห็นความยอดเยี่ยมและหลักฐานว่าการทดลองของท่านคงจะเป็นไปด้วยดีสมราคาคุยเช่นเดียวกัน แต่ทีหลังจะทดสอบอะไรก็ระวังหน่อยหากนูริลน้องชายข้าอยู่ด้วยเมื่อครู่กรงเล็บของเขาอาจจะฝังอยู่ในคอหอยท่านแล้วก็เป็นได้”
วิเวียนลดมือลงจากคอหอยของชายลึกลับและยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นประหนึ่งว่าทั้งสองล้วนได้แสดงความล้ำค่าของสิ่งที่จะใช้แลกเปลี่ยนกันให้ต่างฝ่ายต่างได้เห็น
“ดี ดี ดี พระองค์ช่างบ้าคลั่งและสง่างามสมเป็นคู่ต่อรองที่สมราคากับข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ท่านก็เช่นกันผู้สร้าง ท่านก็บ้าคลั่งและโลภมากสมกับเป็นคู่ต่อรองของราชินีอย่างข้า อ้อ แล้วก่อนจากไปอย่าลืมปลุกเหล่าทหารยามของข้าให้ตื่นด้วยล่ะ “อสูรนิทรา” ของท่านช่างเป็นฮอมันคูลัสที่น่าสนใจจริงๆ”
“เยี่ยม!!! พระองค์ช่างมีสายพระเนตรแหลมคมนับว่าไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้จริงๆ นัดครั้งนี้ถือว่าข้ากระหม่อมพ่ายแพ้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ข้าก็อุ่นใจที่ได้แลกเปลี่ยนและแสดงให้เห็นความคืบหน้าของสัญญาระหว่างข้ากับพระองค์ท่าน ส่วนเรื่องของเฟเรย์ ข้าจะจัดการให้ถือซะว่าเป็นของกำนัลจากข้าสำหรับการมาเยือนครั้งนี้”
ชายในชุดคลุมยาวสีดำเดินหันหลังปล่อยให้ชายผ้าสะบัดพลิ้ว ก่อนจะผ่านประตูท้องพระโรงออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ค่อยๆหายลับไปจนเงียบงัน
“ผู้บุกรุกๆ”
ทหารยามกลุ่มหนึ่งผลุนผลันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเร่งร้อน ก่อนจะคุกเข่าลงเมื่อเห็นวิเวียนยืนอยู่กลางท้องพระโรง
“ไม่มีอะไรแล้ว ข้าแค่เล่นสนุกกับเหยื่อเล็กๆน้อยๆ นำซากตัวอุบาทว์นั่นออกไปทิ้งให้ทีแล้วกัน”
วิเวียนส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับสั่งให้เหล่าทหารยามลากซากของอสูรเงา ฮอมันคูลัสของผู้สร้างที่เพิ่งถูกนางฆ่าทิ้งไปหมาดๆออกไปให้ไกลตา จากนั้นนางจึงเดินอย่างสง่างามออกจากท้องพระโรง
วิเวียนเดินตัวตรงอย่างมาดนางพญาตรงไปสู่วิหารแห่งโลหิตที่ซึ่งเปรียบเสมือนโกดังเสบียงเก็บสะสมเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงกองทัพแห่งราเรียมระหว่างทางข้าราชบริภารใหญ่น้อยที่พบนางต่างค้อมศรีษะและถอนสายบัวเป็นการเคารพต่อราชินีที่พวกเขารักและยำเกรง วิเวียนมองพวกเขาเหล่านั้น มองโถงทางเดินที่ทอดยาวออกไปสู่สวนขนาดใหญ่ที่เป็นทางผ่านไปสู่วิหารแห่งโลหิต นางทอดถอนใจเหมือนประหนึ่งว่าอยากจะทอดทิ้งความเข้มแข็งทั้งหมดที่นางแสดงออกมาเพื่อแบกรับภาระอันหนักอื้งที่อยู่บนบ่าแล้วกลายเป็นเพียงหญิงสามัญธรรมดาคนหนึ่ง
“ข้าแต่เทพบิดรลอมานัม ผู้เป็นหนึ่งเดียวแห่งโลก ผู้อยู่เหนือบาลาและลอเนีย ไฉนพระองค์จึงมอบชะตากรรมนี้ให้พวกเราตระกูลฟาลาโมต้องทนทุกข์ทั้งที่พวกเราภักดีต่อพระองค์เหนือยิ่งสิ่งใด โปรดช่วยข้าและผู้ติดตามอันต่ำต้อยของพระองค์ให้ผ่านพ้นโมงยามอันมืดมิดที่กำลังจะมาถึงด้วยเถิด”
วิเวียนสวดภาวนาอย่างทดท้อต่อเทพบิดรลอมานัม เทพบิดรองค์เดียวที่เหล่าทวยเทพในปัจจุบันและคนในตระกูลฟาลาโมนับถือและสวดภาวนาถึง ในช่วงเวลาเกือบสองร้อยปีที่ผ่านมาของวิเวียน ไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่ตระกูลฟาลาโมจะห่างหายจากการต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ผู้ปฏิเสธการนับถือเทพบิดรลอมานัม แต่ถึงตระกูลฟาลาโมจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อพระประสงค์ของเทพบิดรที่พวกเขานับถือ ก็ไม่มีเลยแม้สักครั้งที่พระองค์จะยื่นพระหัตถ์อันทรงอำนาจเข้ามาช่วยเหลือวิกฤตกาลที่พวกเขาต้องผ่านมันมาครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อคำสวดประหนึ่งว่าพระองค์ไม่ได้รับรู้มัน
วิเวียนปล่อยให้ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจไหลเลื่อนอยู่ในห้วงความคิดจนกระทั่งตนเองเดินมาถึงวิหารแห่งโลหิต นางก้าวสั้นๆอย่างกลัวๆเหมือนไม่อยากเข้าไปถึงด้านในของวิหารแต่แล้วนางก็มาถึงแท่นบูชาภายในวิหารแห่งโลหิตจนได้
“มารดาแห่งโลหิต ท่านอยู่ที่ใดข้าวิเวียนมาสวดอ้อนวอนต่อท่าน ขอให้โลหิตจงอุดมประหนึ่งน้ำในทะเล”
วิเวียนกล่าวเสียงดังสะท้อนก้องไปมาในวิหารก่อนที่มารดาแห่งโลหิตที่เปรียบเสมือนนักบวชหญิงจากเอนเดอร่าและผู้คุมทาสเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงกองทัพของราเรียม เดินเยื้องย่างตรงมาสู่แท่นบูชาตรงหน้าของนาง
“มารดาแห่งโลหิต ข้าอยากรู้ความเป็นไปว่าเลือดที่เราจะใช้เพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพของเราจะมีพร้อมพรั่งอยู่ได้อีกนานเท่าใด”
“ไม่เกินครึ่งปีพระนาง แต่ถ้าคนของพระนางตายลงครึ่งหนึ่งก็อาจจะเป็นหนึ่งปี”
เสียงตอบเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของมารดาแห่งโลหิตตอบกลับวิเวียน สีหน้าของวิเวียนดูตระหนกต่อคำตอบที่ได้จากปากของนักบวชหญิงนั้น
“เร็วเหลือเกิน หมดเร็วเหลือเกินหวังว่าเทพบิดรลอมานัมจะอำนวยพรให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายของข้า”
วิเวียนได้แต่เพียงพร่ำบ่นกับมารดาแห่งโลหิตก่อนจะทรุดร่างลงกับพื้นวิหารเพื่อสวดอ้อนวอน ทิ้งความสง่างามของราชินีให้หายไปจากตัวนางจนหมดสิ้น…
เสียงทรงอำนาจของวิเวียน ราชินีแวมไพด์แห่งอาณาจักรราเรียมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผมสีเงินยวงยาวประบ่าของนางขับเน้นริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มบนใบหน้านั้นแดงฉานยิ่งขึ้น นางนั่งอยู่บัลลังก์เบื้องหลังผ้าแพรเบาบางสีแดงสดที่กั้นระหว่างนางและชายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“ขอรับพี่หญิง”
เสียงขานรับของ นูริล เสนาธิการทหารรูปร่างเปรียวผู้เป็นทั้งน้องชายคนเล็กของวิเวียน และอดีตคู่หมายที่พ่อของพวกเขาเคยคิดจะจับทั้งคู่ให้แต่งงานกัน ซึ่งสำหรับตระกูลฟาลาโม นี่คือธรรมเนียมอันเก่าแก่เพื่อรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ของคนในตระกูลเอาไว้
“เจ้าคงไปพบมารดาแห่งโลหิตมาแล้ว และคงจะรู้ดีแล้วว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร”
“ขอรับพี่หญิง มารดาแห่งโลหิตบอกข้าว่าเลือดที่มีเก็บสำรองเอาไว้กำลังจะหมดซ้ำร้ายทาสเลือดที่เหลืออยู่ก็แก่เกินไปที่จะให้กำเนิดทาสเลือดรุ่นถัดไป คงไม่มีทาสเลือดให้เราได้รีดเลือดเลี้ยงกองทัพอีก” เสียงจากนูริลแฝงไปด้วยความร้อนใจอย่างไม่อาจปกปิดได้
“นั่นเป็นสัญญาณ ว่าตระกูลของเราอาจต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง… นอกจากเราและพี่ชายของเจ้าทั้งสองอย่าให้ใครอื่นรู้เรื่องนี้อีกเด็ดขาด”
“แต่เราคงปิดได้ไม่นาน สุดท้ายพวกทหารจะต้องกินกันเอง”
“โลกนี้ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอ คนในตระกูลของเรามีมากเกินไปบางครั้งเราก็จำใจจะต้องสูญเสียไปบ้าง” วิเวียนตอบกลับอย่างเย็นชา
“พี่หญิง…แต่หากท่านพ่อทราบเรื่องนี้ท่านคงไม่พอใจแน่”
“น้องพี่เจ้าดูแคลนท่านพ่อเกินไป เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะเศร้าโศกกับการตายหยุมหยิมของทหารเล็กๆงั้นรึ เจ้าก็รู้ท่านไม่ยอมให้ใครขัดใจท่าน หรือยอมเสียการใหญ่เพื่อเรื่องเล็กๆอย่างอารมณ์หรอก”
“แต่ท่านพี่ก็เคยขัดใจเขามาแล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง…”
ดวงตาของวิเวียนวาวโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถูกนูริลกล่าวถึงเรื่องในอดีตที่นางไม่ยอมแต่งงานกับเขา แต่ท่าทีของนางยังสงบนิ่งนางเบี่ยงหน้าเล็กน้อย พยายามอดกลั้นเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศของการสนทนา นูริลก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจนั้นอย่างชัดเจนแต่ก็รู้สึกโล่งที่ได้กล่าวอะไรทำนองนี้ออกไปบ้าง แน่นอนเขารู้ดีว่าการนำเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องใหญ่ของตระกูลเป็นเรื่องไม่ควรแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเลือกที่จะพูดไปตามอารมณ์ของตนเองอยู่ดี
“ราชทูตจากเอนเดอร่าขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เสียงต้นห้องของวิเวียนร้องบอก ความรู้สึกโกรธของวิเวียนหายลับไปแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจถึงการมาถึงของราชทูตจากอาณาจักรเอนเดอร่า ที่มั่นของกลุ่ม ”ภารดรแห่งความสูญสิ้น” และผู้แสวงบุญที่นับถือเทพบิดรองค์ใหม่อย่างลอมานัม
วิเวียนสบตากับนูริลครั้งหนึ่ง นูริลเปลี่ยนเป็นมายืนอยู่หน้าบัลลังค์ของวิเวียนประหนึ่งราชองครักษ์ก่อนที่ประตูท้องพระโรงจะเปิดออกปรากฏชายร่างผอมแห้งแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวสีน้ำตาลเข้ม เขาซ่อนใบหน้าเอาไว้ภายใต้ฮู้ดของชุดคลุมและเดินตรงเข้ามาพร้อมประคองหีบไม้สีดำใบเขื่องไว้ข้างตัว ชายในชุดคลุมเดินตรงมาที่หน้าบัลลังค์ในระยะอันเหมาะสมก่อนจะเปิดฮู้ดคลุมศีรษะออก
“ท่าน…”
“ปิดประตู”
เสียงอุทานของนูริลดังขึ้นก่อนจะยั้งไว้เมื่อวิเวียนกล่าวแทรกขึ้นอย่างทันควันเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน เมื่อประตูปิดสนิทลงวิเวียนค่อยลุกขึ้นจากบัลลังก์พร้อมกับถอนสายบัวทำความเคารพผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันนูริลก็คุกเข่าลงอย่างรู้ธรรมเนียมก่อนที่ชายผู้มาเยือนจะส่งสายตาเป็นสัญญาณให้วิเวียนทราบว่าต้องการคุยกับนางเป็นการส่วนตัว
“นี่นูริลน้องชายแท้ๆของข้าเอง ข้าขอยืนกรานว่ากิจใดๆสามารถกล่าวต่อหน้าเขาได้”
ราชทูตจากเอนเดอร่า พยักหน้าเล็กน้อยอย่างวางใจก่อนจะกล่าวทักทายอย่างพอเป็นพิธีและเข้าสู่บทสนทนาอย่างไม่รอช้า เขาส่งหีบไม้สีดำที่นำมาด้วยให้แก่นูริลเพื่อมอบให้กับวิเวียน วิเวียนรับหีบใบนั้นไว้ในมือน้ำหนักของมันเบามืออย่างประหลาดแต่จากเสียงกรุกกรักเล็กน้อยก็ทำให้ทราบว่ามีวัตถุบางอย่างอยู่ในนั้น
“ในหีบนี้มีอะไรหรือท่านสังฆราชา เหตุใดท่านจึงต้องมาด้วยตนเอง?”
“ของขวัญจากเทพบิดรลอมานัม แต่ไม่ใช่สำหรับพวกเจ้าลองเปิดมันออกดูสิ”
วิเวียนที่คงความเยือกเย็นมาตลอดรู้สึกหนาววาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินว่าสิ่งของภายในหีบนั้นมาจากเทพบิดรองค์ปัจจุบันผู้ทรงอำนาจสูงสุด มือของนางสั่นเทิ้มเล็กน้อยแม้ว่าจะพยายามควบคุมอย่างเต็มที่นางวางหีบนั่นลงบนบัลลังก์ก่อนจะใช้มือเรียวงามทั้งคู่เปิดฝาหีบสีดำนั้นออก
“ข้าแต่เทพบิดร!!!!”
นูริลอุทานเสียงหลงก่อนจะกระโดดเข้าจับแขนของวิเวียนด้วยสัญชาติญาณระวังภัยแต่แล้วเขาก็สงบลงเมื่อวิเวียนหันกลับมาเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วง ถึงกระนั้นเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงจากตัวของพี่สาวเมื่อเห็นของในหีบนั้น พวกเขาก้มหน้าลงดูของในหีบโดยหัวใจยังเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก และสิ่งที่พวกเขาเห็นคือหน้ากาก เป็นหน้ากากที่มีอารมณ์แตกต่างกันไปสามชิ้น
“แค่หน้ากาก…เองรึแต่….”
เสียงของวิเวียนไม่ประติดประต่อนางหายใจถี่ก่อนรีบปิดหีบใบนั้นลงเพื่อลดแรงกดดันมหาศาลจากวัตถุภายในนางรู้สึกวิงเวียนจนแทบประคองร่างเอาไว้ไม่อยู่
“เทพบิดรมีพระประสงค์อันใดให้พวกหม่อมฉันรับใช้หรือ ท่านสังฆราชา” วิเวียนกล่าวถามสังฆราชาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฮ่า ฮ่า ทรงอำนาจมากใช่ไหมล่ะสองพี่น้องฟาลาโม ตอนข้าเห็นพวกมันครั้งแรกก็เป็นแบบเจ้าสองคนนี่ล่ะ ข้าไม่ทราบพระประสงค์แน่ชัดนักหรอกมีเพียงคำสั่งลงมาเท่านั้น มีรับสั่งให้นำหีบใบนี้เข้าสู่เมืองคริสเทนมอโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องถูกนำไปด้วยคนสำคัญของคริสเทนมอเอง…ไม่ใช่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะต้องนำมันกลับสู่ราเรียมพร้อมกับคนๆหนึ่งซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครพระองค์บอกเพียงว่าเมื่อเจ้าทำตามเงื่อนไขแรกสำเร็จมันจะชักนำคนๆนั้นออกมาเอง”
“น้อมรับพระบัญชาแห่งเทพบิดร”
วิเวียนพูดพร้อมคุกเข่าลงหน้าบัลลังก์เพื่อเป็นการตอบรับภารกิจที่ได้รับก่อนจะหันไปมองหีบใบนั้น คนในตระกูลฟาลาโมไม่เคยมีคำถามต่อความต้องการของเทพบิดรที่พวกเขาบูชา วิเวียนขบคิดทันทีว่าจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้เร็วที่สุดอย่างที่ผู้ภักดีควรทำให้นายของพวกเขา
“อ้อ มีคำแนะนำจากข้าอีกอย่างนะสองพี่น้องฟาลาโม ถ้าเป็นไปได้อย่าเสี่ยงสังหารใครทั้งสิ้นในภารกิจนี้เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจะสังหารพลาดไปโดนคนที่พระองค์ท่านต้องการตัวหรือไม่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดนอกจากคนในห้องนี้แล้วห้ามใครรู้เรื่องเป็นอันขาด”
สังฆราชากล่าวพร้อมกับนำฮู้ดคลุมศีรษะสวมกลับเพื่อไม่ให้เป็นที่จดจำ วิเวียนสั่งให้เปิดประตูพร้อมกับการจากไปของเขาจากนั้นจึงเรียกต้นห้องของนางเข้ามา และนูริลก็จัดการรักษาความลับของภารกิจให้แก่ราชินีอย่างรวดเร็วภายในพริบตาเดียว…
“นูริลเจ้าส่งสารเรียกมนุษย์ผู้นั้น มาพบกับข้าให้เร็วที่สุด”
“ขอรับพี่หญิง…”
สามวันหลังจากนั้นในท้องพระโรงภายในปราสาทที่ดูขมุกขมัว วิเวียนราชินีผู้ทรงอำนาจแห่งราเรียมแต่งกายในชุดยาวเปิดไหล่สีแดงสด ที่ยิ่งขับให้ผิวที่ขาวซีดของเธอให้ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก เธอนั่งไขว้ห้างเบือนหน้าไปทางด้านข้างใช้หลังพิงพนักบัลลังก์อย่างเบื่อหน่ายเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งที่น่าเบื่อแต่ก็สำคัญจนไม่อาจที่จะไม่รอ
“ผู้บุก…”
เสียงทหารยามหลายนายด้านหน้าท้องพระโรงดังขึ้นเหมือนจะพร้อมกันแต่แล้วก็เงียบสงัดลงพร้อมกันอย่างน่าประหลาด วิเวียนยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนกระชับอิริยาบถให้ดูสง่างามสมเป็นราชินีเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน ดวงตาของนางจดจ้องไปที่ประตูท้องพระโรงที่แง้มออกอย่างแผ่วเบาเผยให้เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ค่อยๆเบี่ยงตัวผ่านประตูเข้ามาสู่ท้องพระโรงอย่างเงียบงัน เมื่อประตูท้องปิดลงเงาร่างสูงโปร่งก็เดินทอดน่องอย่างสบายๆเข้ามาอยู่ตรงกลางห้องพร้อมกับโค้งคำนับอย่างลวกๆ
“ถวายบังคมฝ่าพระบาท จอมนางแห่งราเรียม ผู้เลอโฉมแห่ง…” เสียงแหลมเล็กของชายผู้มาเยือนดังขึ้น
“หยุดเสียทีผู้สร้าง ข้าไม่ได้มีเวลาทั้งวันมาฟังคำไร้สาระ”
เสียงวิเวียนกล่าวประโยคเรียบๆแต่แฝงด้วยอำนาจ และเมื่อความสลัวของห้องเลือนรางลงทำให้เห็นว่าชายผู้มาเยือนนั้นใส่ชุดหนังคลุมสีดำยาวทั้งตัวเพื่อปกปิดทุกสัดส่วนโดยเฉพาะที่บริเวณศีรษะของเขาก็มีฮู้ดคลุมอย่างมิดชิด พร้อมกับผ้าปิดปากหนังสีดำครึ่งใบหน้าที่ดูเหมือนจงใจใส่มาเพื่อบิดเบือนเสียงพูดป้องกันไม่ให้ใครจดจำเขาได้ เหลือเว้นไว้เพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่เผยแววฉลาดแกมโกงอย่างไม่อาจปกปิดได้
“ทุกอย่างดำเนินไปราบรื่นดีใช่ไหมพระองค์ท่าน”
“ตอนนี้ราบรื่นดี แต่ข้ามีอีกเงื่อนไขหนึ่งอยากจะเพิ่มเติมลงไปในข้อตกลงอีกสักเล็กน้อยรับประกันได้ว่าท่านไม่ขาดทุน” เสียงวิเวียนตอบรับเรียบๆ และมุ่งสู่ประเด็นสนทนาอย่างรวดเร็วแต่มีชั้นเชิง
“โอ้…ข้าไม่เคยคิดจะเอาเปรียบฝ่าพระบาทอยู่แล้ว เชิญฝ่าพระบาทเสนอข้อตกลงนั้นมาได้”
“ข้าอยากให้ท่านใช้อำนาจในสภาสูง สั่งการให้เฟเรย์ และกลุ่มอัศวินฟีนิกซ์ของเขาออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรุกรานจากทางราเรียมด้วย”
“อืมมม…ว่าแต่พระองค์จะให้ข้าผลักดัน เฟเรย์ หัวหน้ากองกำลังอัศวินฟีนิคให้ออกมาจุ้นจ้านด้วยเหตุผลใดหรือ ข้าเห็นว่ามีแต่รังจะทำให้ยุ่งยากขึ้นเปล่าๆ”
ผู้สร้างถามวิเวียนเป็นเชิงแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อพยายามหาสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อตกลงเพิ่มเติมมากขึ้นจากข้อตกลงครั้งก่อน วิเวียนเงยหน้าขึ้นจ้องมองชายผู้มาเยือนอย่างมีนัยว่าคำถามที่ถามมานั้นนางไม่อยากจะตอบและผู้ถามก็ไม่ควรจะสอดรู้มากนัก
“เป็นเรื่องที่ท่านไม่ต้องให้ความสนใจ”
“ได้กระหม่อมไม่ถามต่อ เอาเป็นว่าข้าจะจัดการให้ตามพระประสงค์ของท่าน… แต่การจะหาเหตุผลให้เฟเรย์ ออกมาร่วมสู้ทั้งที่ก็มีกลุ่มทหารผู้พิทักษ์ประตูนาโบลอสเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้อยู่แล้ว ออกจะต้องมีเหตุผลมากสักหน่อย…”
“เหตุผลหรือผลตอบแทน ท่านควรพูดให้ชัดผู้สร้าง ข้าไม่ชอบอ้อมค้อม” วิเวียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“แหม่ พระองค์ท่านก็เห็นข้าโลภมากจนเกินไป ข้าหมายถึงท่านอาจจะต้องกดดันเขตชายแดนของคริสเทนมอให้ตึงมือมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย เพื่อข้าจะได้ทำงานง่ายขึ้นต่างหาก”
“ได้ ข้าจะส่งกองกำลังแวมไพด์เข้าโจมตีประตูนาโบลอส และเขตชายแดนผนึกให้หนักหน่วงขึ้น”
“ส่วนในเรื่องผลตอบแทนที่มากขึ้น…การทดลองของท่านเป็นอย่างไรบ้างต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ” วิเวียนกล่าวเหมือนต้องการให้ผู้สร้างเสนอข้อแลกเปลี่ยนจากเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้น
“อ้อ เรื่องนี้สินะที่ข้าควรให้ความสนใจ ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงไปหรอกการทดลองทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางและราบรื่นดี เหล่าฮอมันคูลัสของข้ายังทำงานได้ดี ว่าแต่ผลประโยชน์ที่ข้าจะได้รับนั้นท่านยังคงแน่ใจว่าจะจ่ายไหวใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจว่าการเปลี่ยนมนุษย์อย่างข้าให้กลายเป็นเหมือนคนในตระกูลฟาลาโมนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่จะถูกยอมรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะจากพ่อของท่าน”
ทั้งวิเวียนและชายผู้มาเยือนต่างถามย้ำกรายๆถึงผลประโยชน์จากข้อตกลงจากการร่วมมือแบบลับๆครั้งนี้ โดยเนื้อหาของข้อตกลงที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นคือการแก้ไขปัญหาการขาดเลือดที่กำลังคุกคามราเรียมอยู่ในขณะนี้ โดยผู้สร้างได้ให้คำมั่นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวชนิดถาวรให้แก่ราเรียมโดยการแลกกับการเปลี่ยนตัวเขาเองให้กลายเป็นแวมไพด์ที่ทรงพลังดั่งเช่นคนในตระกูลฟาลาโม
“ว่าแต่ท่านแน่ใจแล้วหรือในเรื่องที่จะกลายมาเป็นแบบพวกเรามันอาจจะไม่ได้ดีเลิศอย่างที่ท่านคิดก็ได้นะ”
“ฮ่า ฮ่า งั้นลองทดสอบดูเล็กๆน้อยๆแล้วกัน ฮ่า ฮ่า”
สิ้นเสียงหัวเราะของผู้สร้างกรงเล็บสีดำทมึนอันแหลมคมก็เหมือนผุดพรายขึ้นจากเงาใต้ฝ่าเท้าของวิเวียน มันพุ่งตรงเข้าสู่กลางหน้าอกของนางอย่างรวดเร็ว แต่พริบตาเดียวเท่านั้นร่างของวิเวียนก็เหมือนกับหายวับไปและกลับมาจ่อกรงเล็บของนางอยู่ที่คอหอยของเขาอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงซากศพของฮอมันคูลัสที่แฝงมาในเงาที่เข้าโจมตีวิเวียนเมื่อครู่ให้นอนจมกองเลือดอยู่เบื้องหลัง
“ยอดเยี่ยมๆ นี่คือข้อพิสูจน์แล้วพระองค์ท่านว่าสิ่งที่ข้ากำลังจะเป็นนั้นยอดเยี่ยมเพียงไร และผลตอบแทนในสิ่งที่ข้าจะทำให้ท่านนั้นมันสมราคากัน” ผู้สร้างหัวเราะชอบใจด้วยความลิงโลดจากผลการทดสอบอันบ้าคลั่งของเขา
“ท่านก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันท่านผู้สร้าง การทดสอบเมื่อครู่ทำให้ข้าได้เห็นความยอดเยี่ยมและหลักฐานว่าการทดลองของท่านคงจะเป็นไปด้วยดีสมราคาคุยเช่นเดียวกัน แต่ทีหลังจะทดสอบอะไรก็ระวังหน่อยหากนูริลน้องชายข้าอยู่ด้วยเมื่อครู่กรงเล็บของเขาอาจจะฝังอยู่ในคอหอยท่านแล้วก็เป็นได้”
วิเวียนลดมือลงจากคอหอยของชายลึกลับและยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นประหนึ่งว่าทั้งสองล้วนได้แสดงความล้ำค่าของสิ่งที่จะใช้แลกเปลี่ยนกันให้ต่างฝ่ายต่างได้เห็น
“ดี ดี ดี พระองค์ช่างบ้าคลั่งและสง่างามสมเป็นคู่ต่อรองที่สมราคากับข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ท่านก็เช่นกันผู้สร้าง ท่านก็บ้าคลั่งและโลภมากสมกับเป็นคู่ต่อรองของราชินีอย่างข้า อ้อ แล้วก่อนจากไปอย่าลืมปลุกเหล่าทหารยามของข้าให้ตื่นด้วยล่ะ “อสูรนิทรา” ของท่านช่างเป็นฮอมันคูลัสที่น่าสนใจจริงๆ”
“เยี่ยม!!! พระองค์ช่างมีสายพระเนตรแหลมคมนับว่าไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้จริงๆ นัดครั้งนี้ถือว่าข้ากระหม่อมพ่ายแพ้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ข้าก็อุ่นใจที่ได้แลกเปลี่ยนและแสดงให้เห็นความคืบหน้าของสัญญาระหว่างข้ากับพระองค์ท่าน ส่วนเรื่องของเฟเรย์ ข้าจะจัดการให้ถือซะว่าเป็นของกำนัลจากข้าสำหรับการมาเยือนครั้งนี้”
ชายในชุดคลุมยาวสีดำเดินหันหลังปล่อยให้ชายผ้าสะบัดพลิ้ว ก่อนจะผ่านประตูท้องพระโรงออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ค่อยๆหายลับไปจนเงียบงัน
“ผู้บุกรุกๆ”
ทหารยามกลุ่มหนึ่งผลุนผลันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเร่งร้อน ก่อนจะคุกเข่าลงเมื่อเห็นวิเวียนยืนอยู่กลางท้องพระโรง
“ไม่มีอะไรแล้ว ข้าแค่เล่นสนุกกับเหยื่อเล็กๆน้อยๆ นำซากตัวอุบาทว์นั่นออกไปทิ้งให้ทีแล้วกัน”
วิเวียนส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับสั่งให้เหล่าทหารยามลากซากของอสูรเงา ฮอมันคูลัสของผู้สร้างที่เพิ่งถูกนางฆ่าทิ้งไปหมาดๆออกไปให้ไกลตา จากนั้นนางจึงเดินอย่างสง่างามออกจากท้องพระโรง
วิเวียนเดินตัวตรงอย่างมาดนางพญาตรงไปสู่วิหารแห่งโลหิตที่ซึ่งเปรียบเสมือนโกดังเสบียงเก็บสะสมเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงกองทัพแห่งราเรียมระหว่างทางข้าราชบริภารใหญ่น้อยที่พบนางต่างค้อมศรีษะและถอนสายบัวเป็นการเคารพต่อราชินีที่พวกเขารักและยำเกรง วิเวียนมองพวกเขาเหล่านั้น มองโถงทางเดินที่ทอดยาวออกไปสู่สวนขนาดใหญ่ที่เป็นทางผ่านไปสู่วิหารแห่งโลหิต นางทอดถอนใจเหมือนประหนึ่งว่าอยากจะทอดทิ้งความเข้มแข็งทั้งหมดที่นางแสดงออกมาเพื่อแบกรับภาระอันหนักอื้งที่อยู่บนบ่าแล้วกลายเป็นเพียงหญิงสามัญธรรมดาคนหนึ่ง
“ข้าแต่เทพบิดรลอมานัม ผู้เป็นหนึ่งเดียวแห่งโลก ผู้อยู่เหนือบาลาและลอเนีย ไฉนพระองค์จึงมอบชะตากรรมนี้ให้พวกเราตระกูลฟาลาโมต้องทนทุกข์ทั้งที่พวกเราภักดีต่อพระองค์เหนือยิ่งสิ่งใด โปรดช่วยข้าและผู้ติดตามอันต่ำต้อยของพระองค์ให้ผ่านพ้นโมงยามอันมืดมิดที่กำลังจะมาถึงด้วยเถิด”
วิเวียนสวดภาวนาอย่างทดท้อต่อเทพบิดรลอมานัม เทพบิดรองค์เดียวที่เหล่าทวยเทพในปัจจุบันและคนในตระกูลฟาลาโมนับถือและสวดภาวนาถึง ในช่วงเวลาเกือบสองร้อยปีที่ผ่านมาของวิเวียน ไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่ตระกูลฟาลาโมจะห่างหายจากการต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ผู้ปฏิเสธการนับถือเทพบิดรลอมานัม แต่ถึงตระกูลฟาลาโมจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อพระประสงค์ของเทพบิดรที่พวกเขานับถือ ก็ไม่มีเลยแม้สักครั้งที่พระองค์จะยื่นพระหัตถ์อันทรงอำนาจเข้ามาช่วยเหลือวิกฤตกาลที่พวกเขาต้องผ่านมันมาครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อคำสวดประหนึ่งว่าพระองค์ไม่ได้รับรู้มัน
วิเวียนปล่อยให้ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจไหลเลื่อนอยู่ในห้วงความคิดจนกระทั่งตนเองเดินมาถึงวิหารแห่งโลหิต นางก้าวสั้นๆอย่างกลัวๆเหมือนไม่อยากเข้าไปถึงด้านในของวิหารแต่แล้วนางก็มาถึงแท่นบูชาภายในวิหารแห่งโลหิตจนได้
“มารดาแห่งโลหิต ท่านอยู่ที่ใดข้าวิเวียนมาสวดอ้อนวอนต่อท่าน ขอให้โลหิตจงอุดมประหนึ่งน้ำในทะเล”
วิเวียนกล่าวเสียงดังสะท้อนก้องไปมาในวิหารก่อนที่มารดาแห่งโลหิตที่เปรียบเสมือนนักบวชหญิงจากเอนเดอร่าและผู้คุมทาสเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงกองทัพของราเรียม เดินเยื้องย่างตรงมาสู่แท่นบูชาตรงหน้าของนาง
“มารดาแห่งโลหิต ข้าอยากรู้ความเป็นไปว่าเลือดที่เราจะใช้เพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพของเราจะมีพร้อมพรั่งอยู่ได้อีกนานเท่าใด”
“ไม่เกินครึ่งปีพระนาง แต่ถ้าคนของพระนางตายลงครึ่งหนึ่งก็อาจจะเป็นหนึ่งปี”
เสียงตอบเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของมารดาแห่งโลหิตตอบกลับวิเวียน สีหน้าของวิเวียนดูตระหนกต่อคำตอบที่ได้จากปากของนักบวชหญิงนั้น
“เร็วเหลือเกิน หมดเร็วเหลือเกินหวังว่าเทพบิดรลอมานัมจะอำนวยพรให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายของข้า”
วิเวียนได้แต่เพียงพร่ำบ่นกับมารดาแห่งโลหิตก่อนจะทรุดร่างลงกับพื้นวิหารเพื่อสวดอ้อนวอน ทิ้งความสง่างามของราชินีให้หายไปจากตัวนางจนหมดสิ้น…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ