พลิกรัก....ให้ลงล็อค

7.7

เขียนโดย kameryuchi

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.57 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,148 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 13.10 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
      ชายหนุ่มวางหลานสาวตัวน้อยที่โซฟาตัวยาวในห้องทำงานของเขา แล้วจึงค่อยหันมากวาดสายตามองพี่เลี้ยงหลานสามคนที่ยืนเรียงหน้ากระดานตัวลีบคอตกอยู่
     “มีกันตั้งสามคนทำไมยังปล่อยให้แอนนาวิ่งคนเดียวกลางห้างอย่างนั้นได้” อิฏฐาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงความดุและเข็ดขาดเอาไว้
     “เอ่อ คือคุณหนูแอนนาเธอแอบวิ่งไปตอนที่พวกเรากำลังหันไปหยิบของกันค่ะ”  มานีพี่เลี้ยงหญิงวัยสามสิบกว่าตอบเสียงอ้อมแอ้ม ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มผู้เป็นนายเลยด้วยซ้ำ
    “ของมันเยอะขนาดจะเหลือคนหันมาดูเด็กคนนึงไม่ได้เลยหรือไง ทำไมทำอะไรสะเพร่าขนาดนี้ แล้วแบบนี้ฉันจะไว้ใจให้ดูแลหลานสาวของฉันได้ยังไง”
    “ขอประทานโทษจริง ๆ ค่ะคุณอิท ตอนที่พวกเรากำลังลำเลียงของลงมา คุณหนูแอนนายังนั่งอยู่บนรถนะคะ แต่เผลอแว๊บเดียวเท่านั้น เธอก็หายไปเลยค่ะ หันมาอีกทีก็ไม่เจอเธอแล้ว พวกเราก็ออกตามหากันจนวุ่นวายไปทั้งห้างเลยค่ะ” มานีรีบชี้แจงเพื่อให้นายหนุ่มเข้าใจเหตุการณ์ตอนนั้นได้อย่างถูกต้อง
   “เอาล่ะ ๆ คราวนี้จะยกให้ครั้งนึงก็แล้วกัน ถ้ามีคราวหน้าอีกล่ะก็ฉันไม่เอาไว้แน่ โทษฐานไม่มีความรับผิดชอบเพียงพอ ออกไปได้แล้ว” ชายหนุ่มตัดบท เพราะขี้เกียจฟังคำแก้ตัวของเหล่าพี่เลี้ยงของแอนนา อิฏฐารู้ดีว่าแม่หลานสาวตัวดีของเขาซนขนาดไหน จึงลงทุนจ้างพี่เลี้ยงเอาไว้ถึงสามคนให้คอยตามดูแอนนาคนเดียว แต่ทั้งสามคนก็ยังทำพลาดจนได้ มันน่าโมโหจริง ๆ
    พอหันไปมองหลานสาวตัวน้อยก็เห็นเด็กหญิงกำลังสนุกสนานกับตุ๊กตาตัวโปรดไม่สนใจอะไรรอบข้างแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงเดินไปหย่อนตัวลงข้าง ๆ หลานสาว ลูบหัวเล็กจ้อยด้วยความรักใคร่ แอนนาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างพี่ชายของเขาและพี่สะใภ้ได้อย่างดี เด็กน้อยมีหน้าตาคล้ายตุ๊กตาฝรั่ง ดวงตากลมโตขนตาเป็นแพหนายาว เป็นผลมาจากเชื้อสายลูกผสมที่ได้มาจากคุณยายของเขา บวกกับผมยาวเหยียดตรงสีดำสนิทเหมือนสีขนกาที่ได้มาจากพี่สะใภ้ของเขา ดวงหน้ารีเป็นรูปไข่ได้ทรงสวย ผิวขาวอมชมพูเหมือนแพรไหมเนื้อดี เหมือนนำเอาส่วนดีทุกอย่างของพ่อและแม่มาหลอมรวมเป็นเด็กน้อยแสนน่ารักคนนี้ น่าเสียดายที่พ่อและแม่ของแอนนาไม่มีโอกาสได้เห็น เนื่องจากเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปดูงานที่ต่างจังหวัดทั้งคู่ เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
    ตัวเขาเองทันทีที่เรียนจบก็ต้องบินกลับมาสานต่อการงานที่พี่ชายและพี่สะใภ้ทิ้งเอาไว้ให้ทันที จนแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง การเลี้ยงดูหลานสุดที่รักจึงตกเป็นหน้าที่ของคุณอมราภรณ์แม่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่น่าเชื่อว่าคุณแม่ของเขาจะกลายเป็นคุณย่าที่ตามใจหลานไม่เคยขัดใจเลยแม้แต่น้อย อ้างแต่ว่าหลานไม่มีพ่อแม่ไม่อยากให้ทำอะไรให้หลานเสียใจ  จนทำให้แอนนากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ จะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้เดี๋ยวนั้นตอนนั้น ไม่ยอมฟังใครหน้าไหนทั้งนั้น มีแต่เขาคนเดียวที่พอจะคุยกับแอนนารู้เรื่อง เพราะไม่ค่อยยอมตามใจแอนนามากนัก ถึงเขาจะรักหลานมาก และสงสารทุกครั้งที่หลานร้องไห้ แต่อิฏฐาคิดว่าถ้าเขาไม่แข็งไว้สักคน แอนนาคงยิ่งกว่านี้แน่
   ดูจากอย่างตอนนี้สิ แอนนาอายุ5ขวบใกล้จะ6ขวบอยู่แล้วยังไม่ยอมไปโรงเรียน เป็นอย่างเดียวที่เขาไม่สามารถโน้มน้าวแอนนาได้ ทำได้เพียงแค่จ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้านไปพลาง ๆ  ทุกครั้งที่จะพาแอนนาไปโรงเรียนหลานสาวของเขาจะเริ่มชักและไม่ยอมฟังอะไรทั้งสิ้น คุณแม่ไม่สามารถทนเห็นหลานร้องไห้จนลงไปชักได้จึงขอร้องไม่ให้เขาพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เขาจะต้องหาวิธีคุยกับแอนนาให้รู้เรื่องให้ได้
   “แอนนา อยู่นี่เอง ย่าตามหาเสียทั่ว ไหนมาให้ย่าดูสิเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทำงานลูกชายคุณอมราภรณ์รีบเดินตรงไปหาหลานสาวที่กำลังเล่นตุ๊กตาอย่างเพลิดเพลินทันที พอทรุดตัวนั่งอีกด้านนึงของหลานสาวปุ๊บก็เริ่มทำการสำรวจทั่วทุกตารางนิ้วบนตัวของหลานสาวอย่างถี่ถ้วน จนคนเป็นลูกลอบถอนใจความห่วงใยเกินเหตุของมารดา
   “แอนนาไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ บังเอิญผมไปเดินสำรวจความเรียบร้อยกับสุธีเลยเจอเข้าพอดี คุณแม่ปล่อยให้มากับพี่เลี้ยงได้ยังไงครับ ทำไมถึงไม่ห้ามเอาไว้”
    ชายหนุ่มเอ่ยถามโดยจงใจละเรื่องที่แอนนาวิ่งไปเจอชนกับแม่สาวหน้าจืดจนล้มกลิ้งไปด้วยกันเอาไว้ เพราะกลัวว่าคุณอมราภรณ์จะตกอกตกใจจับหลานสาวส่งโรงพยาบาลไปเช็คร่างกายทันทีที่รู้
   “แม่ก็กำลังวุ่น ๆ สั่งเด็กเรื่องของที่จะไปแสดงความยินดีในงานเลี้ยงต้อนรับลูกสาวของอาเอกชัยน่ะสิ เห็นผ่านหางตาแว่บ ๆ ว่าแอนนาวิ่งมาขออะไรสักอย่าง แม่ก็อือออไปตามเรื่อง มารู้อีกทีตอนที่มานีโทรไปบอกว่าแอนนาหายตัวไป นี่แม่ก็รีบให้นายหวังเอารถออกมาทันทีเลยนะ ตกใจหัวใจแทบวาย นึกว่าหายตัวไปจริงๆ ดีนะที่หาตัวเจอก่อน ไม่งั้นแม่คงหัวใจสลายแน่ ๆ“
   คุณอมราภรณ์ตอบขณะที่มือก็ยังลูบหน้าลูบหลังหลานรักอยู่ จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวยุกยิก เพราะอยากจะเล่นตุ๊กตาแต่ไม่ถนัดเพราะคุณย่ายกหนูน้อยขึ้นมานั่งบนตักห่างจากตุ๊กตาตัวโปรดจนเอื้อมไม่ถึง
    “คุณย่าขา แอนนาหยิบพี่ตุ๊กตาไม่ถึงค่ะ” เด็กหญิงหันมาส่งเสียงประท้วงคุณย่า
   “อ้อจ้ะ ๆ นี่จ้ะพี่ตุ๊กตา” คุณอมราภรณ์ส่งตุ๊กตาให้หลานสาว พลางหันไปคุยกับลูกชาย “แล้วว่าไง ตกลงว่าคืนวันศุกร์นี้ว่างใช่ไหม จะได้ไปงานด้วยกัน อ๊ะ ๆ ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดนะจ้ะ แม่รับปากกับอาเอกชัยไว้แล้วว่าคราวนี้ได้เห็นหน้าลูกแน่ๆ ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด อีกอย่างเราจะได้ไปทำความคุ้นเคยกับหนูมินตรา แม่อุตส่าห์เสนอให้เขาสั่งอาหารจากทางโรงแรมของเราไปจัดในงาน เพื่อกรุยทางให้แกมีข้ออ้างเข้าไปทำความรู้จักกับน้องได้สะดวก แกจะไม่ไปได้ยังไงหาตาอิท อีกอย่างถ้าไม่ไปงานนี้ รับรองหนุ่ม ๆ ในงานคาบไปรับประทานก่อนแน่ ๆ”
    คุณอมราภรณ์พูดเป็นเชิงเตือนลูกชาย นางวาดหวังไว้ว่าอยากจะได้มินตราลูกสาวของเอกชัยเพื่อนรุ่นน้องของสามีเธอมาเป็นลูกสะใภ้ จะได้มีคนมาช่วยนางดูแลแอนนาที่นับวันจะยิ่งซนมากขึ้นทุกที จนบางทีนางเอกก็รับมือไม่ไหว ได้คนใจเย็นและเรียบร้อยอย่างมินตรามาช่วยดูแล บางทีแอนนาอาจจะอยากเหมือนมินตราที่เรียบร้อยดูสวยสง่ามากกว่าเป็นเด็กซนแสนเอาแต่ใจอยู่ทุกวันนี้   
   “คุณแม่ครับ ผมบอกแล้วไงครับว่าวันศุกร์ผมมีประชุม ไหนจะต้องคุยกับฝ่ายประชาสัมพันธ์เรื่องแคมเปญใหม่ของห้างอีกล่ะครับ ผมไม่ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเสร็จกี่โมง ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงของทางโรงแรมเราก็มี เขาก็ต้องไปดูแลตามหน้าที่อยู่แล้ว ทำไมต้องให้ผมไปดูเองด้วยล่ะครับ”
    “เอ๊ะ ให้ผู้จัดการไปได้ยังไงล่ะ นี่มันงานเลี้ยงของเพื่อนพ่อของแกเลยนะไม่ใช่งานตาสีตาสาหรือลูกค้าโรงแรมสักหน่อย ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องไป แม่รับปากอาเอกชัยเอาไว้แล้ว อย่าทำให้แม่เสียหน้า”  คุณอมราภรณ์กำชับไม่สนใจหน้าตาเบื่อหน่ายของลูกชายเลยสักนิด ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจ แต่ไม่ปริปากต่อปากต่อคำกับมารดาไม่งั้นพูดกันทั้งวันก็คงไม่จบ  
   “แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ”
   “ทำงานสิครับแม่ ผมมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ พรุ่งนี้ว่าจะเข้าไปดูงานที่โรงแรมสักหน่อย ไม่ได้เข้าไปดูหลายวันแล้ว มัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องแคมเปญของห้าง” อิฏฐาตอบพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารมากมายที่ยังไม่ได้ตรวจและเซ็นอนุมัติ
   “ยังไงก็อย่าลืมนัดของแม่แล้วกันล่ะ งั้นแม่กลับก่อนแล้วกันไปแอนนา กลับบ้านกับย่าดีกว่า คุณอาจะได้รีบทำงานวันศุกร์จะได้พาแอนนากับย่าไปเที่ยวบ้านพี่มินตรากันไง” คุณอมราภรณ์หันมาชวนหลานสาว
   “บ้านพี่มินตราไหนคะ” เด็กหญิงเอียงคอถาม
   “พี่มินตราที่สวย ๆ ไงจ้ะ อ้อแต่แอนนาคงจำไม่ได้หรอก เพราะตอนพี่มินตราไปเรียนเมืองนอกแอนนาเพิ่งเกิดเองนี่นา ย่าก็ลืมไป แต่เอาเถอะวันศุกร์นี้แอนนาจะได้เห็นเองล่ะจ้ะ ย่าว่าแอนนาต้องชอบแน่นอน”
   “แล้วทำไมแอนนาต้องชอบด้วยล่ะคะคุณย่า”
   “ก็ต่อไปพี่มินตราเขาจะแต่งงานกับอาอิทแล้วก็มาเป็นอาอีกคนของแอนนาไงจ้ะ มาช่วยย่ากับอาอิทเลี้ยงแอนนาไง แอนนาไม่ชอบเหรอ” พอได้ยินเด็กหญิงก็หน้างอทันที ทิ้งพี่ตุ๊กตาคลานลงจากโซฟารับแขกวิ่งปรู๊ดไปเกาะอิฏฐาที่นั่งทำงานอยู่ทันที
   “ไม่เอา แอนนาไม่อยากได้ใครทั้งนั้น แอนนาไม่ยกอาอิทให้ใครด้วย แอนนามีอาคนเดียวพอแล้วค่ะคุณย่า นะคะอาอิท แอนนาไม่เอาอาใหม่ค่ะ ไม่เอานะคะ นะคะ” มือป้อมเกาะขาคนเป็นอาแล้วเขย่า ชายหนุ่มยิ้มพลางอุ้มหลานตัวน้อยขึ้นมานั่งบนตัก
   “ไม่มีก็ไม่มีค่ะ อาตามใจแอนนาอยู่แล้ว” พูดจบชายหนุ่มก็หันไปอมยิ้มให้คนเป็นแม่อย่างเป็นต่อ คุณอมราภรณ์ส่งค้อนมาให้ทันทีเพราะหมั่นไส้ที่เขาฉวยโอกาสเอาหลานมาอ้าง แต่ไม่มีทางซะล่ะ ยังไงนางก็ไม่มีทางย้อมแพ้เรื่องลูกสะใภ้ ถึงตอนนี้แอนนาจะไม่เห็นด้วย แต่นางแน่ใจว่าถ้าแอนนาได้เจอกับมินตราหลานของนางจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ
   “ไม่ต้องมายิ้มเลยนะตาอิท อย่าคิดว่าจะให้แอนนาเป็นเกราะไปได้ตลอด แม่ไม่มีทางยอมหรอก หึครั้งนี้ฝากเอาไว้ก่อน ไปจ้ะแอนนา กลับบ้านกับย่าดีกว่า อย่าไปกวนอาอิทจะทำงาน” คุณอมราภรณ์ลุกจากโซฟาเดินมารับหลานสาวไปจากตักชายหนุ่ม แต่แอนนาขืนตัวเอาไว้ เพราะยังไม่อยากจากอาไป กลัวว่าจะมีใครมาแย่งอาไปจริงๆ
   “ไม่ไปค่ะ แอนนาจะอยู่กับคุณอา” 
   “กลับบ้านไปกับคุณย่าก่อนดีกว่าค่ะแอนนา ขออาเคลียร์งานก่อน แล้วเย็นนี้อาจะรีบกลับไปเล่านิทานให้แอนนาฟังก่อนนอนดีไหมคะ” ชายหนุ่มต่อรอง
   “จริงนะคะ ห้ามโกหกนะคะ อาอิทชอบเบี้ยวแอนนาอยู่เรื่อย”
   “จริงค่ะ คราวนี้อาไม่เบี้ยวอีกแน่นอน”
    “สัญญาก่อนค่ะ” พูดพลางยื่นนิ้วก้อยป้อม ๆ ให้คนเป็นอา ชายหนุ่มหัวเราะยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับหลานแทนสัญญาเด็กหญิงจึงยอมลงจากตักของคนเป็นอาแต่โดยดี และเดินไปจับมือคุณย่าที่ยื่นมาให้ แล้วหันมาโบกมือลาคุณอาก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับคุณย่า ชายหนุ่มยิ้มให้กับหลานน้อยจนลับตาไป แล้วจึงหันกลับมาสะสางงานที่ค้างเอาไว้ต่อ
 
    “กลับมาแล้วเหรอแก” จำปีทักแมวที่เปิดประตูห้องเข้ามา
    “อืม วันนี้เลิกดึกไปหน่อย คนของบริษัทเขามาเช็คสต๊อคน่ะ” แมวพูดพลางวางกับข้าวที่ซื้อมาบนโต๊ะกินข้าวที่ตั้งไว้ข้างๆเตาแก๊สบริเวณห้องครัว
    “แล้วนั่นเท้าเป็นอะไรน่ะแก ไปซุ่มซ่ามที่ไหนมาอีกล่ะสิ”
    “ใครว่าฉันซุ่มซ่ามยะ ฉันเป็นผู้เสียหายต่างหากย่ะ โดนเด็กวิ่งชนอย่างแรงจนล้มกลิ้งไปทั้งคู่เลย ข้อเท้าแพลงกลับบ้านมาเนี่ย แต่เด็กน่ารักฉันเลยให้อภัย แต่ความซวยยังไม่หมดแค่นั้น ฉันเจอผู้ชายโรคจิตด้วย คนอะไรหน้าตาก็ดีดันโรคจิต” จำปีพูดด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยว ยังโมโหชายหนุ่มรูปหล่อผู้เป็นอาของตุ๊กตาแอนนาเบลของเธอไม่หาย
    “เดี๋ยว ๆ เอาใหม่ เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นสิแก เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง” แมวเดินมาทรุดตัวนั่งข้างเพื่อนบนพื้นหน้าเตียงนอน
   “ก็หลังจากที่แยกจากแกที่ห้าง ฉันก็กะว่าจะไปเดินสำรวจที่ทำงานในอนาคตเสียหน่อย ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว แต่ยังไม่ทันเดินไปไหนเลยแก โดนชนเข้าโครมล้มกลิ้งไปด้วยกัน ตอนแรกฉันไม่ทันเห็นหรอกนะว่าอะไรมาชน ได้ยินแต่เสียงร้องไห้เลยรู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ แกเอ๊ยเด็กอะไรก็ไม่รู้น่ารักมากเลย เหมือนตุ๊กตายังไงยังงั้นเลย เสียอย่างเดียวมีอาโรคจิตปากเสีย มาถึงไม่ได้ฟังเล้ยว่าหลานตัวเองเป็นคนฉัน มาตะคอกใส่ฉันอยู่ได้ แล้วยัง...”
   “แล้วยังอะไร”
    “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องงี่เง่าน่ะช่างมันเหอะ อารมณ์เสียชะมัด ฉันว่างานนี้ฉันคงไม่ได้แล้วล่ะแมว ฤกษ์ไม่ดีตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้าไปขนาดนี้”
    “เอาน่า พี่ราตรีเขาดูให้ได้ ถ้าไม่ได้เป็นพนักงานขายที่ห้างของฉัน บริษัทนี้ยังมีโรงแรมในเครืออีกไม่รู้กี่ต่อสาขานะแก แกไม่รู้อะไรซะแล้วเจ้าของห้างเนี่ย โคตะระจะรวยเลยรู้ไหม แล้วยิ่งตอนนี้เหลือเขาคนเดียวที่จะรับช่วงต่อทั้งหมด เพราะหลานยังเล็กอีกนะแกเอ๊ย ใครได้ไปเป็นสามีเหมือนหนูตกโกดังเก็บข้าวสารเลยล่ะแก”
   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานของฉันล่ะ” จำปีสงสัย ก็ในเมื่อพาไปสมัครงานที่ห้างแล้วเกี่ยวอะไรกับโรงแรม
   “คืออย่างนี้ ตามธรรมดาน่ะ พนักงานขายเขาจะต้องไปสมัครกับบริษัทที่เขาเอาของมาลงใช่ไหม แล้วบริษัทเจ้าของสินค้าจะส่งพนักงานมาลงเอง แต่ห้างเราไม่เป็นอย่างนั้น เขาหาพนักงานขายประจำให้เลย เพื่อง่ายต่อการควบคุมประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า เพราะอย่างนั้นการรับสมัครพนักงานส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสาขาใหญ่ก็คือที่นี่หมด แล้วคุณอิฏฐาเจ้านายใหญ่ของฉันเนี่ย เขาต้องทำงานหลาย ๆ ด้านพร้อมกันทั้งดูแลห้างทั้งโรงแรมในเครืออีกหลายที่ ก็เลยขี้เกียจเข้าไปดูทุก ๆ ที่ ก็เลยเหมารวมงานทุก ๆ อย่างมาไว้ที่นี่หมด นาน ๆ ถึงจะเข้าไปตรวจตามโรงแรมสาขาต่าง ๆ ทีนึงไง ทีนี้พี่ราตรี ที่ฉันพาแกไปฝากงานน่ะ เขาเป็นหัวหน้าที่คอยดูแลภาพรวมของพนักงานอีกที เพราะอย่างนั้นเขาถึงสามารถเอาแกไปวางไว้ตรงไหนก็ได้ไง ฉันถึงบอกว่า ถ้าไม่ได้ทำที่นี่ ยังมีอีกหลายที่เลยที่พี่ราตรีเขาจะยัดแกลงไปได้ไง” แมวอธิบายยืดยาว
   “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้คำตอบล่ะ แกพอรู้ไหม” แมวส่ายหน้า
   “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าได้เขาคงติดต่อมาทางฉัน หรือไม่ก็โทรเรียกแกโดยตรงนั่นแหละ”
   “เจ้าประคู๊น ขอให้ได้ทีเถอะ ตอนนี้จะกินแกลบแทนข้าวกันอยู่แล้ว” จำปียกมือไหว้ท่วมหัว
   “อย่าเวอร์เลย ฉันไม่ปล่อยให้เพื่อนกินแกลบหรอกน่า มา ไปกินข้าวกันเหอะ ฉันหิวแล้ว แกจะได้กินยาด้วย เผื่อปุบปับเขาเรียกไปทำงานขึ้นมาแล้วยังไม่หายมันจะชวด” จำปีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แมวจึงช่วยพยุงเพื่อนไปทานอาหารที่ซื้อติดมือมาก่อนเข้าบ้าน
 
    “ว่าไงไอ้เสือ” เสียงชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มทักทายดังมาจากทางประตู อิฏฐาแทบไม่ต้องเงยหน้าดูก็รู้ว่า คนไร้มารยาทเปิดพรวดพราดเข้ามาในห้องทำงานของเขาแต่เช้าวันนี้เป็นใคร
    “มาทำไม ไอ้ลูกแมว” ร่างสูงที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าตอบ ทำเอาหนุ่มหน้าเข้มที่เพิ่งเดินเข้ามาแทบสะดุดเท้าตัวเองกับฉายาที่คนเป็นเพื่อนเรียก
    “อะไรวะ ไอ้เราอุตส่าห์ทักเพื่อนเป็นเสือเป็นสางเพื่อความน่าเกรงขาม ดันมาทักเราเป็นลูกแมวซะงั้น” ชายหนุ่มเดินไปทรุดตัวนั่งที่เท้าแขนเก้าอี้ทำงานของเพื่อน พลางก้มลงดูเอกสารบนโต๊ะ มือไม้ก็บีบนวดไหล่หนาไปด้วยเพื่อเพิ่มโทสะเพื่อนให้คุกรุ่น อันที่จริงตอนแรกก็กะไปนั่งที่โซฟาให้มันสบายหรอกนะ แต่เพราะคำทักทายของเพื่อนนี่แหละเลยคิดอยากจะยั่วโมโหมันสักหน่อย
    “โน่น ไปนั่งโน่นเลย อย่ามาทำคลอเคลียเป็นลูกแมวควายแถวนี้ เดี๋ยวปั๊ดเตะโด่งออกนอกห้อง”  อิฎฐาเงยหน้ามองคนตัวใหญ่หน้าเข้มที่ชอบทำท่าอ้อนราวตัวเองเป็นลูกแมวแต่เป็นลูกแมวที่กินควายเข้าไปทั้งตัวอย่างขวาง ๆ เห็นแล้วหมั่นไส้พิลึก ตัวโตอย่างกับตึกยังชอบทำท่าอ้อนเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่ได้
    “อะไรวะ แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ แหมคนมันเคย ๆ กันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย” ชายหนุ่มหน้าเข้มลุกจากเท้าแขนเก้าอี้ทำงานของเพื่อนไปนั่งที่โซฟารับแขกโดยดี เพราะกลัวว่าคนหน้าดุจะประเคนเท้าใส่เสื้อผ้าเท่ ๆ ของเขาซะก่อน
    “พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย ใคร ๆ เขาก็คิดว่าฉันกับแกเป็นคู่ขากันหมดแล้ว”
     อิฏฐาส่ายหน้าอย่างระอาในความขี้เล่นของเพื่อนซี้ที่รู้จักกันตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เลยก็ว่าได้ เพราะแม่ของเขากับแม่ของณัฐภัทรรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เป็นเพื่อนรักกันมาก ถึงกับตกปากรับคำว่าถ้าลูกออกมาเป็นชายหญิงจะให้หมั้นและแต่งงานกัน แต่บังเอิญทั้งสองครอบครัวมีลูกชายทั้งคู่ โครงการนี้ก็เลยถูกพับเก็บไป
    “โหย นี่ขนาดเขาคิดว่าแกกับฉันเป็นคู่ขากัน ฉันก็ยังเห็นผู้หญิงทั้งสาวใหญ่สาวน้อยวิ่งตามแกกันเป็นพรวนเลยนี่หว่า แกอย่าเอาข้อนี้มาอ้างหน่อยเลยวะ” ณัฐภัทรหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
    “เหอะ น่าดีใจตาย ว่าแต่แกไม่มีการมีงานทำหรือไง ถึงได้เที่ยวมากวนประสาทชาวบ้านแต่เช้า”
   “ว่างสิ ฉันไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นท่านประธานหย่ายเหมือนใครบางคนนี่หว่า วัน ๆ ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไอ้อิทแกวางมือจากงานแล้วไปเที่ยวบ้างเหอะว่ะ”
    “ก็อยากจะทำนะ แต่แกก็รู้ ตั้งแต่พี่อัษเสียไป บ้านฉันก็แทบไม่เหลือใครแล้ว หรือแกจะให้ฉันรอแอนนามาทำ  ป่านนี้แค่จะตื้อให้ไปโรงเรียนยังยากเลย”
    “ก็จริง” ชายหนุ่มหน้าเข้มพยักหน้ายอมรับเหตุผลของเพื่อน เพราะรู้ฤทธิ์เดชของหลานสาวจอมแสบของเพื่อนดี “ฉันเห็นแล้วเหนื่อยแทนแกจริง ๆ เลยว่ะ ไหนจะงานห้างที่ขยายขึ้นทุกวัน ไหนจะโรงแรมอีกหลายสาขาของแก แกแบ่งภาคทำงานยังไงไหวเนี่ย” แค่คิดณัฐภัทรก็สยองแล้ว
   “ไม่หรอก มีหลาย ๆ ส่วนช่วย ๆ กันดู ฉันดูแค่ภาพรวมใหญ่ ๆ นาน ๆ ถึงจะลงไปดูรายละเอียดปลีกย่อย มันก็พอจะไหวอยู่ ว่าแต่แกเหอะ เมื่อไหร่จะบอกสักทีว่ามีธุระอะไร ก็เห็นอยู่ว่ายุ่ง ๆ ยังจะมาถ่วงเวลา”
    “เออ ๆ เกือบลืม มัวแต่สนุกที่ยั่วแกอยู่ ฉันจะมาถามว่ามะรืนนี้แกจะไปงานยัยมินไหม”
    “ยังไม่รู้ วันมะรืนมีประชุมด้วย ไม่รู้จะไปทันหรือเปล่า งานนี้แม่ฉันเป็นแม่งานใหญ่สุด ๆ ในงาน เห็นทีจะเลี่ยงยากหน่อย ถามทำไมวะ หรือว่าแกก็.. “ อิฏฐาหรี่ตามองเพื่อนที่นั่งไขว้ห้างสบาย ๆ บนโซฟาอย่างจับผิด
    “ไม่ต้องมาทำท่ารู้ทัน แกโดนอะไรฉันก็โดนเหมือนแกนั่นแหละ” ณัฐภัทรตอบ “ฉันไม่เข้าใจจริงเลย ทำไมแม่ฉันกับแม่แกถึงได้เป็นห่วงจังเรื่องแต่งไม่แต่งเนี่ย แล้วตัวเลือกอื่นไม่มีแล้วหรือไง ทำไมฉันกับแกต้องมาจบที่ยัยมินด้วย ถามสักคำไหมว่าอยากได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย
   “ยัยมินไม่ดีตรงไหน เขาก็เรียบร้อยดีนี่นา” อิฏฐาหัวเราะ “หรือแกอยากได้ยัยเคท เอาไหมล่ะ เอ๊าะ ๆ ด้วยนะคนนั้นน่ะ”
   “เหอะ ยัยเคทแกเก็บไว้กินเองเหอะฉันขอลาว่ะ” ณัฐภัทรส่ายหน้าทันที แค่ได้ยินชื่อขนแขนก็ลุกแล้ว
    จริง ๆ แล้วเขา อิฏฐา มินตรา และ สุวิมลเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่ของทั้งสี่เป็นเพื่อนกันมานาน อิฏฐาเกิดปีเดียวกับเขา ในขณะที่มินตราเด็กกว่าพวกเขาสองปี และสุวิมลหรือเคทเป็นน้องเล็กสุด เพราะอ่อนกว่าพวกเขาถึง5ปี แต่สุวิมลเป็นเด็กเอาแต่ใจ และแทบจะตีตราจองพี่อิทของเธอไว้ตั้งแต่เป็นเด็กหญิงเคทเลยก็ว่าได้ เพราะอิฏฐาตามใจและคอยดูแลเคทมาตลอด ต่างกับเขาที่เอาแต่แกล้ง เคทเลยไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่ อิฏฐาเองก็ปวดหัวกับความเจ้าอารมณ์ของเคทตลอด แต่ก็ยอมให้เพราะเห็นว่าเป็นน้อง นี่ถ้ายัยเคทรู้ว่าคุณป้าอมราภรณ์อยากได้มินตราเป็นสะใภ้มากกว่าตัวเองไม่รู้ว่าจะทำฤทธิ์อีกแค่ไหน จะว่าไปมินตราเองก็ไม่ชอบหน้าเขาเหมือนกัน ในกลุ่มทโมน4คนเขาดูจะเป็นเด็กเกเรชอบแกล้งคนอื่นไปทั่วที่สุด ในขณะที่อิฏฐาเหมือนเจ้าชายสำหรับสาว ๆ เพราะมีความเป็นสุภาพบุรุษกว่าเขา
   แต่จริง ๆ แล้วเพื่อนของเขามีความลับดำมืดที่ใคร ๆ ไม่รู้อีกมากมาย ภายใต้หน้าตาหล่อเหล่าราวเทพบุตรมีลูกเล่นแพรวพราวจนสาว ๆ ทั้งไทยและเทศเคยติดบ่วงนี้มานักต่อนักแล้วตั้งแต่สมัยเรียนเมืองนอกด้วยกัน ไอ้เสือหนุ่มเพิ่งจะทิ้งลายเมื่อต้องก้าวมารับกิจการของครอบครัวเต็มตัวเมื่อ4ปีที่แล้วนี่เอง ส่วนมินตราผู้เรียบร้อย เขาผู้ปะทะคารมกับมินตรามาตั้งแต่เด็ก รู้ดีว่ามินตราไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยอ่อนหวานอย่างที่พ่อแม่ของเขาและของอิฏฐาเข้าใจ เวลาเห็นมินตราทำตัวเรียบร้อยต่อหน้าผู้ใหญ่ เขาจึงรู้สึกขัดตาขัดใจอยู่เสมอ เขาอยากจะบอกแม่เหลือเกินว่าสาวน้อยเรียบร้อยที่แม่อยากได้เป็นสะใภ้นักหนาเนี่ย ไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่เห็น
    “ว่าแต่ตกลงแกไปหรือเปล่า” ณัฐภัทรหันไปถามเพื่อนหลังจากปัดความคิดเรื่องเพื่อนสมัยเด็กออกไปจากสมองได้
    “คงต้องไปว่ะ อย่างที่บอก แม่ฉันลงทุนไปเยอะงานนี้” อิฏฐาตอบพลางส่ายหน้าอย่างระอาในความเจ้ากี้เจ้าการของคนเป็นแม่
    “ลงทุนอะไรวะ ไหนลองแถลงไขหน่อยสิ” ณัฐภัทรขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงฟังอย่างสนใจ
   “ก็อาหารรวมทั้งเครื่องเดิมและพนักงานเสิร์ฟในงานส่งตรงมาจากโรงแรมฉันไงวะ คุณแม่บอกว่าลงทุนไปเสนอตัวช่วยคุณอาเอกชัยเองเลย เพราะอยากทำสะพานให้ฉันไปคุยกับมินตรา เหอะ ทำอย่างกับตอนเด็ก ๆ ไม่เคยคุยกันงั้นแหละ เลยต้องหาข้ออ้างให้ฉันไปช่วยดูความเรียบร้อย”
    “เออ แม่แกแผนสูงมากว่ะ นี่ถ้าแม่ฉันรู้คงรีบส่งไปช่วยเอาหน้า เอ๊ย สร้างโอกาสให้ฉันแทบไม่ทัน” ณัฐภัทรหัวเราะ
   “เอาไหม ฉันโทรไปบอกคุณป้าให้เอง”  อิฏฐาพูดพลางยกมือถือขึ้นมาไล่หาเบอร์แม่ของเพื่อนรัก
    “ไม่ต้องเลย เชิญรับประทานไปคนเดียว ที่ฉันมาถามไม่ใช่เพราะอยากรู้ แต่ถ้ารู้ว่าแกไม่ไปฉันจะได้หาทางชิ่งบ้าง หรือไม่งั้นถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็คงต้องรับหน้าที่เป็นหลานที่ดีของแม่แก มาช่วยลากแกใส่พานไปส่งถึงที่ต่างหากล่ะ”
    “ไอ้เพื่อนทรยศ” อิฏฐาชูกำปั้นส่งให้เพื่อนที่นั่งหัวเราะงอหายอยู่บนโซฟา หลังจากหัวเราะจนพอใจร่างสูงก็ลุกขึ้น
    “อ้าว จะกลับแล้วเหรอ” อิฏฐาเอ่ยถาม
    “เออสิ ได้คำตอบแล้วนี่ เอาเป็นว่า ถ้าแกไม่ไป ฉันจะมาลากแกออกจากห้องประชุมเอง ไปก่อนนะ เที่ยงนี้ฉันมีนัดกับน้องนาว ต้องรีบไปรับก่อน บาย” ณัฐภัทรโบกมือลาอย่างเก๋ ชนิดถ้าสาว ๆ มาเห็นคงกรี๊ดสลบ แต่บังเอิญอิฏฐาไม่ใช่สาว ๆ พวกนั้นชายหนุ่มจึงรู้สึกอยากลุกขึ้นไปยันเพื่อนตัวดีให้ออกไปจากห้องเร็ว ๆ แทน
 
   “อ่ะแก ของฝาก” แมวเดินมายื่นถุงกระดาษใบโตให้กับจำปีขณะกำลังง่วนเปิดหนังสือพิมพ์หางานอยู่หน้าเตียง
   “อะไรอ่ะ” จำปีรับของมาถือไว้หันไปถามเพื่อนอย่างสงสัย
   “ลองเปิดดูสิ ฉันว่าแกต้องชอบ” แมวพูดพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย จำปีทำตามที่เพื่อนแนะนำ หญิงสาวเปิดถุงกระดาษใบโตออก ข้างในมือเสื้อผ้าอยู่สองชุด กางออกมาก็เห็นเป็นชุดเสื้อสีขาว พร้อมกระโปรงสอบขนาดแค่เข่าข้างในถุงยังมีเข็มกลัดสีทองทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สลักชื่อภาษาอังกฤษเอาไว้ พร้อมรองเท้าหุ้มส้นสีดำสูงประมาณสามนิ้วด้วย
   “โกลเด้นท์อิมพีเรียลแกรนด์ อะไรของแกเนี่ย” จำปีหันไปถามเพื่อนตัวดีที่ยังอมยิ้มแก้มตุ่ยไม่พูดไม่จา
   “โห แค่นี้ยังเดาไม่ได้อีกเหรอแก โง่จริง ๆ หรือแกล้งโง่กันแน่”
   “โง่จริง ๆ ไม่มีสมองคิดอะไรหรอกตอนนี้ ฉันกำลังกลุ้มใจไหนแกรู้ไหม ไหนแกยืนยันนั่งยันนอนยันว่าฉันได้งานแน่ ๆ แล้วไหนล่ะ เงียบกริบชนิดทิ้งเข็มลงพื้นยังได้ยินเลยนะแก” แมวหัวเราะในความซื่อบื้อของเพื่อน หญิงสาวจัดแจงดึงปากกาเมจิกและรวบหนังสือพิมพ์จัดหางานที่จำปีอ่านค้างเอาไว้ไปทิ้ง ไม่สนใจเสียงตะโกนโวยวายของเพื่อนสาวที่วิ่งตามมายื้อเอาไว้
    “แกจะบ้าหรือไง เอาของฉันไปทิ้งทำไม อุตส่าห์เจียดเงินไปซื้อมานะ อันนี้เพิ่งออกด้วย” จำปีแย่งหนังสือพิมพ์มาไว้ในมือได้สำเร็จจัดการรีดกระดาษที่ยับย่นให้เรียบพลางส่งสายตามองเพื่อนตัวดีอย่างขุ่นมัว
    “จะมานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านทำไมเล่า แกได้งานทำแล้วนี่ไง งานแรกของแกกับฉัน” ไม่แค่นั้นหญิงสาวยังเดินไปหยิบถุงกระดาษที่เพื่อนวางทิ้งไว้มายัดใส่มือเพื่อนด้วย
    “หมายความว่า” จำปีจ้องหน้าแมวอย่างตื่นเต้น
   “ใช่ แกได้งานทำแล้วจำปีเพื่อนรัก” แมวบอกพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่
   “ไชโย ในที่สุดฉันก็งานทำแล้ว” จำปีโผเข้ากอดเพื่อน “ขอบใจมากเลยนะแมว ข่าวดีจริง ๆ ด้วย แล้วเขาจะให้ฉันไปทำเมื่อไหร่ ตำแหน่งอะไร อยู่ใกล้แกไหมแมว” หญิงสาวยิงคำถามรัวเป็นชุดหลังจากกอดเพื่อนรักจนหนำใจ
    “โอ้ย ๆ เบา ๆ หน่อยก็ได้ยัยปี เดี๋ยวห้องข้างล่างก็มาด่าเอาหรอก เลิกกระโดดได้แล้ว เขาให้แกเข้าไปรายงานตัววันจันทร์นี้ แผนกไหนฉันยังไม่รู้หรอก แต่ถ้าอยู่ด้วยกันก็ดีนะฉันว่า เรื่องนั้นช่างก่อนเพราะกว่าจะรู้ก็ตั้งวันจันทร์ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้น”
  "อะไรล่ะ มีอะไรสำคัญกว่าฉันได้งานอีกเหรอแก ฉันได้งานทำที่กรุงเทพเท่ากับฉันหนีห่างไอ้พี่โชคได้อีกก้าวนึง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้วล่ะ” จำปียิ้มกว้าง
   “สำคัญสิ เห็นชุดที่เอามาให้ไหม” จำปีพยักหน้า “นั่นแหละ งานที่แกกับฉันต้องไปทำก่อนถึงวันจันทร์”
   “งานอะไร แล้วทำไมต้องทำก่อน ก็ไหนแกบอกว่าไปรายงานตัววันจันทร์ไง” จำปีงง
    “แกก็ฟังให้จบก่อนสิ อย่าเพิ่งแทรกได้ไหม ฉันกำลังจะอธิบายอยู่เนี่ย คืองี้ เมื่อตอนบ่ายพี่ราตรีเขาเรียกฉันไปพบแจ้งข่าวเรื่องที่เขารับแกเข้าทำงานที่ห้างนี่แหละ แต่ทีนี้แผนกจัดเลี้ยงของทางโรงแรมเขามีปัญหา คืนวันพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงชนกันสามงาน พนักงานเสิร์ฟของเขาลาป่วยไป3คน ทำให้คนไม่พอ เขาก็เลยขอให้ฉันกับแกไปช่วยงานทางนี้หน่อย เพราะเป็นงานเลี้ยงใหญ่ของเพื่อนของเจ้านายด้วย คนไม่พอเดี๋ยวเขาจะเสียหน้า หวังว่าแกคงไม่ขัดข้อง ฉันคิดว่าแกคงไม่ขัดหรอกฉันก็เลยรับชุดมาเผื่อแกด้วยไง น่าจะใส่ได้นะ” แมวเล่า พลางกวาดสายตาดูเพื่อนรักกะประมาณคิดว่าขนาดชุดที่เลือกมาคงใส่ได้พอดี
   “อ๋ออย่างนี้นี่เอง ได้สิไม่มีปัญหา ไหน ๆ ก็เป็นพนักงานที่นี่แล้ว เรื่องแค่นี้ช่วยได้สบายมาก อีกอย่างข้อเท้าฉันก็ดีขึ้นจนเดินเป็นปกติได้แล้ว คงพอช่วยเดินเสิร์ฟอาหารได้”
   “เออ ฉันก็ลืมไปเลยว่าแกเจ็บข้อเท้าอยู่ ไปรับปากเขามาเพราะมัวแต่ดีใจที่แกได้งาน ดีนะที่แกหายแล้วไม่งั้นเป็นเรื่องแน่”  แมวถอนใจอย่างโล่งอก
    “เขาจะให้ไปกี่โมงล่ะ แล้วจะไปที่ไหนอะไรยังไง” 
   “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง โรงแรมเขามีรถรับส่งเราอยู่แล้ว เราแค่ไปพร้อมกันที่โรงแรมเดี๋ยวทางเขาจัดการเอง เลิกงานหลังจากเก็บของเรียบร้อยก็ติดรถกลับมาที่โรงแรม ต่อรถไฟฟ้าหน่อยเดียวก็ถึงบ้านแล้วล่ะ สบายใจได้” จำปีพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ คืนนี้เธอคงนอนหลับสนิทได้สักที ไม่ต้องกังวลเรื่องหางานอีก จากที่ตอนแรกคิดว่าถ้าสิ้นเดือนนี้ยังไม่มีแววหางานได้ เธอคงต้องกลับบ้านซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายของเธอ เพราะกลับไปก็ต้องทะเลาะกับพ่อเรื่องจะจับเธอแต่งงานกับโชคเหมือนเคย
 
    รุ่งเช้าหญิงสาวทั้งสองก็เดินทางไปเตรียมตัวที่โรงแรมตามเวลานัด และเดินทางไปพร้อมกับรถของโรงแรมเพื่อจัดสถานที่และทำการซักซ้อมความเข้าใจเรื่องระเบียบและการบริการแขกให้เหมือนกับพนักงานที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี จำปีและแมวฟังอย่างตั้งใจ เพราะทั้งสองไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อน แต่แมวเป็นพนักงานขายของบริษัทอยู่แล้วจึงพอเข้าใจระเบียบบางอย่างที่คล้ายคลึงกันของทางห้างกับโรงแรม โชคดีที่ทั้งคู่ได้รับหน้าที่ประจำซุ้มอาหาร ไม่ต้องไปถือถาดเสิร์ฟน้ำ เพราะไม่ใช่พนักงานประจำที่ได้รับการฝึกมา  ถ้าพวกเธอต้องไปช่วยเสิร์ฟน้ำด้วย จำปีคิดว่างานนี้คงต้องล่มเพราะเธอสองคนแน่ๆ
    ทันทีที่รถเข้าไปถึงบริเวณบ้านที่จัดงาน ทั้งจำปีและแมวก็ตกตะลึงในความกว้างใหญ่ของบ้าน เฉพาะสนามหน้าบ้านที่เป็นสถานที่จัดงาน ก็กินบริเวณกว้างขวาง มิน่าถึงต้องส่งพนักงานเสิร์ฟมาช่วยที่นี่เยอะหน่อย ถ้าเอามาน้อยคงต้องเดินขาลากกันบ้าง มองดูจากโต๊ะทรงกลมที่วางอยู่เต็มบริเวณสนามหญ้าคงมีไม่ต่ำกว่าร้อยโต๊ะ ตั้งเรียงเป็นวงล้อมรอบพื้นที่ตรงกลาง คงเป็นพื้นที่สำหรับเต้นรำของแขกเหรื่อที่มาในงาน ไหนจะเวทีใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป นอกจากด้านหน้าที่จัดวางโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารแล้ว ด้านหลังเลยเวทีไปรอบ ๆ สระว่ายน้ำยังมีช่างไฟตกแต่งไฟอย่างสวยงาม มีโต๊ะเล็ก ๆ จัดไว้ที่บริเวณนั้นเผื่อคนที่อยากไปนั่งเงียบ ๆ ได้อีกด้วย นี่ยังไม่นับรวมตัวบ้านสไตล์ยุโรปทาสีครีมนวลตาหลังใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางบริเวณกว้างขวางอีกด้วย
    “แมว นี่บ้านใครน่ะ ใหญ่อย่างกับวัง” จำปีกระซิบถามแมวที่กำลังช่วยพนักงานคนอื่นขนของอย่างขะมักเขม้น
   “ไม่รู้เหมือนกัน” แมวตอบ ขณะรับของและส่งต่อให้จำปี ก่อนจะหันไปรับลังใบเขื่องอีกหนึ่งใบแล้วเดินตามคนอื่น ๆ ไปยังสถานที่สำหรับเตรียมของ
   “บ้านใหญ่ขนาดนี้ อยู่กันกี่คนเนี่ย เป็นเราคงหลงกันตาย” จำปีพูดพลางกวาดตาไปรอบ ๆ บริเวณ
   “นั่นสิ อยากเห็นจริง ๆ เวลาอยู่บ้านเดินกันบ้างไหม หรือขี่จักรยานเอาบ้านใหญ่ขนาดนี้” แมวพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงหันมาทำตาดุ ๆ ใส่สองสาว ทั้งสองคนเลยไม่พูดอะไรอีก รีบก้มหน้าก้มตมทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ
 
   กว่าทุกอย่างจะพร้อมสรรพตามที่ต้องการเวลาก็ล่วงเลยมาจนเย็น จำปีและแมวเดินตามพนักงานคนอื่นไปที่เรือนคนรับใช้ด้านหลังเพื่ออาบน้ำแต่งตัว เพราะต้องไปฟังบรีฟงานจากผู้จัดการก่อนเริ่มงานจริงจังตอน6โมงเย็น ทันทีที่แขกเข้ามา พวกเธอก็ต้องเริ่มทยอยจัดอาหารและเครื่องดื่มไปบริการตลอดจนกว่างานจะเลิกและเก็บของกลับบ้าน  ข้อเท้าของจำปีเริ่มมีอาการปวดเล็กน้อยเพราะยังไม่หายดี วันนี้ยังต้องวิ่งวุ่นช่วยจัดข้าวจัดของอีก หญิงสาวไม่คิดว่างานจะใหญ่ขนาดนี้ เลยไม่ได้พันข้อเท้าเอาไว้ตั้งแต่เมื่อกลางวัน ผลคือตกเย็นอาการปวดชักจะกำเริบหน่อย ๆ หญิงสาวก้มมองรองเท้าส้นสูงสามนิ้วด้วยสีหน้ากังวล กลัวจะไปสะดุดที่ไหนก่อน แต่คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะเธออยู่ประจำซุ้มอาหารกับแมว คงไม่ค่อยได้เดินเท่าไหร่
   “ปีเสร็จหรือยัง งานจะเริ่มแล้วเราต้องไปแสตนด์บายก่อน” เสียงแมวเร่งมาจากด้านนอก
   “เสร็จแล้ว ๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
   จำปีทิ้งความกังวลเอาไว้เบื้องหลัง งานนี้เธอจะทำพลาดไม่ได้ ถึงเขาจะรับเข้างานแล้ว แต่ถ้าเธอทำพลาดในงานใหญ่ขนาดนี้เขาอาจจะไม่รับเธอไปทำงานต่อก็ได้ หญิงสาวได้แต่ภาวนาขอไม่ให้มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น
 
   พอเริ่มมืดไฟทุกดวงที่ตกแต่งเอาไว้ก็ถูกเปิดให้สว่างทันที สร้างบรรยากาศให้ดูดีขึ้นอีก จำปีประจำอยู่ที่ซุ้มอาหารคอยตักอาหารให้กับแขกที่เริ่มเดินทางเข้ามา และทยอยมาหาของรองท้องก่อนงานเป็นทาการจะเริ่ม หญิงสาวก้มหน้าก้มตาตักอาหารมือเป็นระวิงเพราะแขกเข้ามากันไม่ขาดสาย และต้องยกอาหารไปเปลี่ยนและเติมอาหารอยู่หลายรอบกว่าแขกชุดแรกจะซาไป รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว หญิงสาวเพิ่งได้เห็นทั่วงานชัด ๆ ตอนนี้ ทั้งงานเต็มไปด้วยหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ไปจนถึงเด็กตัวเล็ก ๆ แต่งตัวสวยงามหรูหรา เจ้าของบ้านคงจะเป็นเจ้าสัวใหญ่ หรือคนสำคัญสักคนในวงการไฮโซ เพราะแขกและคุณหญิงคุณนายแต่ละคนประโคมใส่เพชรแข่งกันจนบางคนดูคล้าย ๆ ตู้เพชรเดินได้ ทั้งแสงเพชรและแสงแฟลชจากกล้องที่บรรดานักข่าวขนกันมาใส่เพื่อทำข่าวทำให้สาวน้อยบ้านนอกอย่างจำปีตาลายไปเหมือนกัน
   หญิงสาวรู้สึกปวดข้อเท้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงหันไปบอกแมวให้บอกผู้จัดการด้วย ว่าตนขออนุญาตไปพักข้างหลังก่อน รู้สึกปวดข้อเท้านิดหน่อย แมวพยักหน้ารับก่อนจะหันไปตักอาหารให้แขกตัวน้อยที่เข้ามาขอขนมเพิ่ม จำปีค่อย ๆ เดินเลี่ยงไปทางด้านหลัง เนื่องจากซุ้มอาหารของเธออยู่ใกล้กับเวทีทางด้านสระน้ำจำปีเลยตัดสินใจไปนั่งพักที่เก้าอี้ข้างสระน้ำ แทนที่จะเดินไปพักที่จัดไวสำหรับพนักงานซึ่งไกลกว่าตรงนี้มาก และคิดว่าตอนนี้งานเพิ่งเริ่มคงไม่มีใครเข้าไปนั่งพักแถวสระน้ำ  แต่พอหญิงสาวเลี้ยวผ่านพุ่มต้นแก้วต้นใหญ่ที่ตัดแต่งเอาไว้อย่างดี ก็ชนกับร่างหนาของใครบางคนอย่างจัง จำปีคิดว่าตัวเองจะต้องหงายหลังลงกระแทกพื้นแน่นนอนจึงเกร็งตัวเพื่อรับความเจ็บเอาไว้ แต่ความเป็นจริงแล้วร่างของเธอไม่ได้ล้มลงกระแทกพื้นแต่อย่างใด เพราะท่อนแขนแข็งแรงของคนตรงหน้ารวบตัวเธอเอาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงไป
   “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันมองจริง ๆ ค่ะเลยไม่คิดว่าจะมีใครเดินมาทางนี้” หญิงสาวหลับหูหลับตาขอโทษทันทีที่รู้สึกว่าเท้ายืนบนพื้นได้มั่นคงขึ้น
   “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ผิดที่เข้างานทางนี้ เลยชนคุณเกือบล้มลงไป”  ชายหนุ่มตอบกลับมาอย่างรู้สึกผิด  ถ้าเขาไม่ตัดสินใจเข้าทางด้านหลังเพื่อหลบหน้าแม่ ก็คงไม่ชนกับหญิงสาวคนนี้
   “ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่คุณ .....” คำพูดของหญิงสาวถูกกลืนหายลงคอไปทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบกับใบหน้าหล่อเหลาอันคุ้นตา จังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มก้มลงมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเช่นเดียวกัน
    “ไอ้โรคจิต”
    “ยัยหน้าจืด”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา