พลิกรัก....ให้ลงล็อค

7.7

เขียนโดย kameryuchi

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.57 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,219 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 13.10 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      แสงแดดยามเที่ยง และความร้อนที่พุ่งออกมาจากพื้นปูนในเวลาที่การจารจรคับคั่งเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าเวียนหัวสำหรับสาวบ้านนอกแบบเธออย่างยิ่ง สองเดือนแล้วที่เธอต้องเดินย่ำต๊อกอยู่บนริมบาทวิถีเพื่อร่อนใบสมัครตามประกาศรับสมัครงานของบริษัทต่าง ๆ ที่ลงเอาไว้ในหนังสือพิมพ์สำหรับสมัครงาน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกกลับไปสัมภาษณ์เลยสักที่นึง อย่างที่เขาว่ากัน บัณฑิตจบใหม่บางทีก็ต้องเสียเงินค่ารองเท้าไปหลายคู่ กว่าจะได้งาน 

       หญิงสาวก้มมองรองเท้าส้นสูงแบบสวมสบายด้วยสีหน้าหน่าย ๆ จากรองเท้าสภาพใหม่เอี่ยมที่ลงทุนซื้อหอบหิ้วมาจากเชียงใหม่บ้านเกิดเพราะคิดว่าซื้อที่โน่นคงถูกกว่า หลังจากผ่านศึกเดินมาราธอนมาสองเดือน ตอนนี้สายคาดข้างนึงกำลังจะหลุดออกจากที่ที่มันควรจะอยู่ นี่ล่ะน้า ซื้อของถูกก็ได้คุณภาพถูกตามราคาจริง ๆ ได้แค่คิดอย่างปลงๆ และวันนี้ก็คว้าน้ำเหลวตามเคย เธอจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน

       ที่พักของจำปีเป็นอพาร์ทเม้นท์6ชั้นย่านชานเมือง เพราะราคาย่อมเยากว่าที่พักที่อยู่กลางกรุง ถึงจะเดินทางลำบากนิดหน่อย ก็นับว่าคุ้มเพราะไม่ต้องเสียค่ายที่พักเดือนละมากๆ เอาเก็บไว้เป็นค่าอาหารกับค่าเดินทางในระหว่างที่ยังหางานไม่ได้ไปก่อน อีกอย่างที่พักตรงนี้ก็ไม่ได้เช่าอยู่คนเดียว หารสองกับเพื่อนสนิทที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เพื่อนของจำปีมาทำงานที่กรุงเทพได้สองปี เป็นพนักงานห้างหรูกลางกรุงเงินเดือนพอประมาณ บวกค่าคอมมิชชั่นด้วยทำให้พอจะแบ่งปันที่อยู่ให้เพื่อนรักมาพักพิงได้

         “อ้าว วันนี้ทำไมกลับมาเร็วจัง นึกว่าจะกลับเย็นๆซะอีก” แมว เพื่อนสาวคนสนิทของจำปีทักขึ้น

          “ตอนแรกก็กะจะร่อนใบสมัครอีกสักสองสามที่ค่อยกลับ แต่ไม่ไหวร้อนเหลือเกิน แกอยู่ที่นี่ตั้งสองปีได้ยังไงเนี่ยแมว ร้อนตับจะแล่บ” จำปีบ่น พร้อมทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหน้าเตียงของเพื่อน

         “โอ้ย ออกไปเดินท่อม ๆ กลางวันมันก็ร้อนสิแก ตอนฉันหางานตอนแรก ๆ  ก็อย่างนี้แหละ ตอนนี้ฉันได้งานแล้ว ไม่ต้องไปเดินร้อนอีกแล้ว อีกอย่างฉันทำงานบนห้างเว้ย ห้างหรูกลางเมืองขนาดนั้น แอร์เย็นช่ำขนาดแช่แข็งคนเป็น ๆ ได้เลยขนาดนั้น ไม่ร้อนหรอก”

        “อิจฉาแกจริง ๆ เลย ได้งานทำบนห้างเย็น ๆ ฉันสิ ป่านนี้ยังไม่ได้งานเลย ส่งใบสมัคร เสียค่ารูป ค่าซีร็อกไปหลายร้อยแล้วเนี่ย หรือฉันควรกลับไปทำไร่กับพ่อดีกว่า”

        “อดทนหน่อยสิแก นี่มันแค่สองเดือนเองนะตอนฉันหาแรก ๆ ยิ่งกว่านี้อีก แค่นี้ท้อแล้วเหรอ กลับไปที่บ้านแกก็เตรียมตัวแต่งงานได้เลย ไอ้พี่โชคมันนอนรอแกอยู่บ้านโน่นแหนะ อยากกลับไปหามันหรือไง”

    แมวเตือนและปลุกปลอบให้เพื่อนกลับมามีใจฮึกเหิมเหมือนวันที่ตัดสินใจเก็บกระเป๋าหนีการคลุมถุงชนของพ่อมาที่กรุงเทพเมื่อตอนปีใหม่

      “ก็นั่นแหละ เหตุผลหลัก ๆ ที่ฉันออกจากบ้านมา ไม่เข้าใจพ่อเห็นดีเห็นงามอะไรกับไอ้พี่โชค ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเกเร ไม่เอาไหนวัน ๆ ไม่เห็นทำงานอะไรเลย เอาแต่เดินตามฉันต้อย ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ทำไมถึงอยากให้ฉันแต่งงานกับพี่โชคนัก”

       “พ่อแกอาจจะไม่ได้สนใจตรงนั้นล่ะมั้ง ฉันว่าพ่อแกคงเห็นที่ไอ้พี่โชคมันไม่เคยมองสาวไหน แต่รักแกจริงจังอยู่คนเดียวมาตลอด อีกอย่างฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างดี พ่อเป็นกำนันคงพอฝากผีฝากไข้ได้ล่ะมั้ง” แมวออกความเห็น

        “ฝากผีฝากไข้กับพ่อกำนันน่ะสิ ไม่ใช่ไอ้พี่โชคหรอก  พอ ๆ เลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม ยิ่งพูดยิ่งหดหู่ ทำไมงานการมันถึงได้หายากแบบนี้นะ”

       จำปีบ่นอย่างอ่อนใจ เธอใช้เงินเก็บที่พ่อแม่ให้ไว้ตอนเรียนไปเกินครึ่งแล้ว ถ้าสิ้นเดือนนี้ยังหางานไม่ได้ อีกไม่นานต้องกินแกลบแทนข้าวแน่ ๆ ถึงแมวเพื่อนรักจะไม่รังเกียจรังงอนที่ตัวเองมาอยู่ด้วย ใจกว้างพร้อมเลี้ยงดู แต่จำปีก็รู้ดีว่าแมวเองก็มีภาระหนัก ไหนจะต้องดูเลี้ยงดูแม่และส่งเสียน้องที่บ้านเรียนอีก เลยไม่อยากจะรบกวนเพื่อนมากไปกว่านี้

        “เอางี้ไหม ระหว่างที่แกรอบริษัทพวกนั้นเรียกตัว แกไปสมัครงานเป็นพนักงานขายที่ห้างฉันไหม ห้างฉันเขารับพนักงานขายเพิ่ม เอาวุฒิแค่ม.6เอง แกจบตั้งปริญญา ฉันว่าเขาคงรับแน่ๆอยู่แล้ว เออ แต่ถ้าแกไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ ฉันรู้ว่ามันไม่เหมาะกับความรู้ระดับแกเลย อุตส่าห์เรียนมาตั้งนาน” แมวแนะนำ

         “เอาสิ ตอนนี้ฉันไม่เกี่ยงหรอกว่างานอะไร ขอให้ได้เงินมาก่อน ฉันเกรงใจแกจะแย่อยู่แล้ว มาอยู่กับแกตั้งสองเดือนแล้วยังไม่มีเงินช่วยออกค่าอะไรต่อมิอะไรเลย ฉันละอายใจจริงเลยแมว”

        “เฮ้ย เกรงจงเกรงใจอะไรกัน เพื่อนกันขอกันกินมากกว่านี้ อีกอย่างถึงแกไม่มา ค่าห้องนี่ฉันก็ต้องออกคนเดียวอยู่แล้ว แกมามันจะเปลืองเพิ่มตรงไหนกัน นิดหน่อยน่า ไว้แกหางานได้ก่อนแล้วค่อยมาคิดเรื่องช่วยกันจ่าย ตกลงตามนี้นะ งั้นพรุ่งนี้ออกไปพร้อมฉันเลยแล้วกัน ฉันจะพาไปฝากที่ฝ่ายบุคคลเอง” แมวตบไหล่ให้กำลังใจ ก่อนจะลุกไปที่ครัวเตรียมทำกับข้าวมื้อเที่ยงกินกัน

         

        เช้าวันรุ่งขึ้นแมวและจำปีก็เดินทางไปที่ห้างโกลด์เด้นพาเลซซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกรุง ห้างหรูขนาดใหญ่เพียงแค่ก้าวเข้าไปจำปีก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กกระจ้อยร่อย ด้วยความสูงของประตูกระจกกรุลายสวยงาม ตลอดจนพื้นหินอ่อนที่ดูหรูหราแต่แฝงความแข็งแรงเอาไว้ ไหนจะเสาทรงกลมต้นใหญ่อีกหลายต้น ที่ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัวในสไตล์โมเดิร์นเรียบหรูดูมีระดับ ขนาดแมวเพื่อนรักที่ใส่ชุดพนักงานที่จำปีมักค่อนขอดในใจทุกครั้งเวลาเห็นว่าคล้ายแอร์สายการบินมากกว่าจะมาเป็นพนักงานห้าง เมื่อเข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว ส่งให้เพื่อนของเธอดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมกับบุคลิกรูปร่างที่ดูปราดเปรียว หน้าตาที่ตกแต่งมาอย่างพอเหมาะ ทำให้จำปีมองแมวอย่างชื่นชม แทนสายตาประหลาดใจอย่างทุกครั้งที่ผ่าน

          แต่เมื่อมองสภาพตัวเอง ชุดเสื้อเชิ้ตขาว กับสูทสีดำกระโปรงสอบสีดำแค่เข่าแบบเรียบ ๆ เหมือนยูนิฟอร์มสำหรับสมัครงานทั่วไปของเธอ ทำให้เธอดูปอนกว่าสถานที่อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งรวมกับรองเท้าจะขาดแหล่ไม่ขาดแหล่ที่เธออุตส่าห์ไปหากาวมาติดสายคาดให้มันกลับในอยู่ในที่ของมัน เธอยิ่งดูเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ที่หลงเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของเศรษฐีเข้าไปใหญ่ ทำให้เท้าที่ก้าวเดินหยุดกะทันหัน มือขาวยื่นไปคว้าข้อมือเพื่อนที่เดินก้าวฉับ ๆ นำอยู่จนแมวเกือบหัวคะมำไปข้างหน้า

          “อะไรของแกห้ะ ยัยปี เบรกซะเกือบหัวทิ่มแล้วเนี่ย พื้นยิ่งลื่น ๆ อยู่แกเห็นไหมเนี่ย”

แมวหันมาบ่นอย่างหัวเสีย ก็ไอ้พื้นมันแผล่บที่พวกแม่บ้านขยันขัดเช้าขัดเย็นเนี่ยทำความเดือดร้อนให้เธอมาหลายครั้งแล้วตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่

          “แก ฉันว่าฉันกลับดีกว่า” จำปีกระซิบ

          “อะไรของแก จะกลับทำไม เนี่ย ขึ้นลิฟท์พนักงานตรงนั้นขึ้นไปก็ถึงห้องฝ่ายบุคคลแล้ว เงินอยู่ตรงหน้าแล้วนะเว้ย”

          “แกดูสภาพฉันมั่งไหม สภาพอย่างนี้ใครเขาจะให้มาทำงานห้างหรู ๆ อย่างนี้เล่า”

          “ไอ้บ้า คนมาสมัครงานใหม่ ๆ มันก็สภาพอย่างแกทุกคนแหละ ตอนที่ฉันมาสภาพเละกว่าแกอีกจะบอกให้ เขาดูที่วุฒิกับการทำงานเว้ย ไม่ได้ดูที่การแต่งตัว แค่แต่งมาให้สุภาพก็พอแล้ว นี่แกเป็นอะไรมากหรือเปล่ายัยปี แกไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่า”

        แมวหันมามองดูเพื่อนด้วยความสงสัย ปกตินางสาวจำปี สวรรค์ หรือที่ใคร ๆ ในหมู่บ้านรู้จักในนามของไอ้ปีตัวแสบ มีความมั่นใจเต็มร้อย หน้าไหนก็ไม่เคยกลัว ขนาดไอ้พี่โชคขาใหญ่ประจำหมู่บ้านยังต้องยอมสยบ ทำไมจู่ๆถึงมีอาการประหม่าแบบนี้ไปได้

          “ไม่รู้สิ ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพ ฉันว่าความมั่นใจของฉันมันเริ่มถดถอยลงทุกที ไปสมัครงานก็ไม่ค่อยได้ แกรู้ไหม ไปสมัครงานที่ไหน ๆ ตอนเขามองเกรดก็ยังดีๆอยู่ แต่พอหันมองหน้าฉันเขาก็ทำหน้าหน่าย ๆ กัน ฉันไม่ได้สวยอย่างแกนี่จะได้มั่นใจเต็มร้อย”

         “โถ่ถังเพื่อนฉัน นี่แกโดนปฏิเสธงานจนเสียเซลฟ์ไปเลยหรือไง ไม่เอาน่าจำปีเพื่อนรัก ปลุกความเป็นไอ้ปีตัวแสบแห่งบ้านทุ่งนางรอดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แกต้องรอดตามชื่อหมู่บ้านเราแน่นอน เชื่อหัวไอ้แมวเหอะ ไป อย่ามัวแต่ไร้สาระ เวลาไม่เคยคอยใคร เดี๋ยวฉันต้องรีบไปที่ร้านด้วย เร็ว ๆ ๆ ไม่งั้นก็แกท่องเอาไว้ ไม่ได้งาน ได้ไอ้พี่โชคแน่ดีมะ” แมวปลุกปลอบเพื่อนรัก ก่อนจะลากจำปีที่ยังทำท่าไม่ค่อยแน่ใจตัวเองไปที่ลิฟท์พนักงานอย่างทุลักทุเล

        แมวลากเพื่อนรักออกจากลิฟท์ไปที่ห้องฝ่ายบุคคลได้สำเร็จ จำปีมองซ้ายมองขวา ห้องฝ่ายบุคคลก็เหมือนสำนักงานทั่ว ๆ ไป ไม่ได้หรูหราอลังการอย่างที่เธอเกรง ทำให้จำปีค่อยสบายใจขึ้น แมวพาจำปีไปหาหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ด้านหลังสุด

          “สวัสดีค่ะพี่ราตรี นี่ไงคะจำปีเพื่อนแมว ที่แมวโทรมารบกวนพี่เมื่อคืนนี้ไงคะ”

แมวแนะนำจำปีกับหญิงสาววัยกลางคนร่างท้วม ผมเกล้าเป็นมวยอยู่ตรงท้ายทอย ใบหน้ากลมแป้นสวมแว่นตาทำให้ดูเป็นคนเคร่งขรึมและเจ้าระเบียบพอควร

          “สวัสดีค่ะคุณราตรี” จำปีพนมมือไหว้ทักทาย

“สวัสดีจ้ะ เรียกพี่ว่าพี่ราตรีก็ได้จ้ะ ไม่ต้องคุณหรอก นี่ใช่ไหมแมวเพื่อนที่บอกว่าจบปริญญาตรี กำลังตกงานเลยจะมาสมัครเป็นพนักงานขายที่ห้างของเรา” ราตรีหันมาพูดกับแมวพลางมองสำรวจกิริยาท่าทางของจำปีไปด้วย

         “ใช่ค่ะพี่ราตรี จำปีเรียนจบมาจากมช.ค่ะ เก่งกว่าแมวอีก ยังพอมีตำแหน่งว่างให้เพื่อนของแมวลงใช่ไหมคะพี่”

          “อืม ยังพอมีนะจ้ะ งั้นไปกรอกใบสมัครไว้ก่อนเลย พี่จะได้เอาไปพิจารณารวมๆกันกับคนอื่นๆ คิดว่าน่าจะได้แน่นอนจ้ะ พนักงานขายของห้างเรา ถ้ามีความรู้ใช้ได้ ประวัติดีไม่มีประวัติอาชญากรรม ส่วนใหญ่ก็จะผ่านพิจารณาจ้ะ”

          “เหรอคะ หนูคิดว่าคัดจากหน้าตาเสียอีก เท่าที่หนูเห็นส่วนใหญ่มีแต่สวย ๆ หน้าตาดีๆทั้งนั้นเลยนี่คะ หน้าบ้านๆแบบหนูก็ทำได้ด้วยเหรอคะ” จำปีถามด้วยความสงสัย

          “เราไม่ได้คัดที่หน้าตาหรอกจ้ะจำปี บางคนก็หน้าตาธรรมดานี่แหละ แต่รู้จักแต่งหน้าแต่งตัวก็สามารถดูดีขึ้นมาได้ เรื่องนี้ถามยัยแมวเพื่อนคนสวยของเธอก็น่าจะได้นะ เนี่ยเขาเป็นคนสวยประจำห้างเรา ใครไปใครมาก็ขายขนมจีบตลอด แถมทำยอดขายได้ดีด้วยนะ ถือว่าเธอมีพี่เลี้ยงระดับโปรเลยล่ะโชคดีจริงๆ” ราตรีเอ่ยแซว

        “โถ่พี่ราตรีคะ อย่าพูดเล่นเลย เดี๋ยวแมวก็โดนเพ่งเล็งอีกหรอกค่ะ ถ้างั้นแมวขอตัวนะคะ เดี๋ยวจะพายัยปีไปกรอกใบสมัครเอาไว้ แล้วลงไปทำงานเลย ช้าเดี๋ยวพี่วิภาจะอาละวาด แมวยังไม่อยากหูชาแต่เช้า ขอบคุณมากนะคะพี่ราตรี” แมวพนมมือไหว้

          “จ้ะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเรื่องนี้พี่ดูให้” ราตรีเอ่ยยิ้มๆ พลางยกมือรับไหว้ทั้งสองสาว

“แมว แกนี่กว้างขวางเหมือนกันนะ รู้จักหัวหน้าฝ่ายบุคคลด้วย” จำปีถามหลังจากเดินมานั่งที่โต๊ะสำหรับกรอกใบสมัคร

          “ไม่ได้เรียกกว้างขวางย่ะ พี่ราตรีเป็นคนใจดี เป็นหัวหน้าฝ่ายที่ยุติธรรม เขารับแกเพราะว่าเห็นว่าแกมีคุณสมบัติย่ะ ฉันก็แค่โทรมาถามเขาว่าพอมีตำแหน่งไหม เขาก็คุยกับทุกคนแบบนี้แหละ แกอย่าเข้าใจผิด”

“อ้าวเหรอ ฉันก็นึกกว่าแกกว้างขวางขนาดฝากงานกับหัวหน้าได้ โถ่ถัง” จำปีหัวเราะ

         “แหม พอรู้ว่าจะได้ล่ะมีอารมณ์หัวเราะออกเชียวนะแก ตอนเดินเข้ามาใหม่ ๆ หน้างี้ซีดเล็กจนเหลือสองนิ้ว ถามจริง ๆเหอะ แกกลัวอะไรวะ แกไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่า”

“ไม่รู้เหมือนกัน ก็ห้างมันหรูมากนะแก เรามันคนบ้านนอกธรรมดา มาอยู่ในที่ ๆ มันใหญ่ ๆ หรู ๆ แบบนี้มันก็เกร็งบ้างเป็นธรรมดาแหละ”

         “อืม นั่นสินะ แกทำให้ฉันนึกถึงตอนมาสมัครใหม่ ๆ เลย แต่ตอนนั้นมาคนเดียวฉันกลัวกว่าแกอีก ไอ้เราก็ไม่ทันนึกว่าแกอาจจะมีอาการแบบนี้เลยไม่ได้บอกไว้ก่อน ฉันก็เห็นแกแก่งกล้าสารพัด ไม่คิดว่าจะมาปอดเพราะสถานที่แบบนี้”

         “มันก็ต้องมีบ้างสิแก ใครมันจะไปเก่งทุกอย่างเล่า”

       “เออ ๆ โทษที ไหนมาดูสิ เสร็จหรือยัง ฉันจะได้ลงไปทำงานสักที หัวหน้าฉันยิ่งจ้องจะกินหัวฉันอยู่ถ้าไปสาย”

      แมวดึงใบสมัครที่เพื่อนเขียนเสร็จมาตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนจะนำไปส่งที่พนักงานโต๊ะใกล้ที่สุด แล้วพากันเดินออกมาจากฝ่ายบุคคล

        “แกกลับไปก่อนได้เลยนะ จำทางได้ใช่ไหม ขึ้นรถไฟฟ้าไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว แค่นี้แกคงไม่หลงหรอกเนอะ”

         “เออ แกไปทำงานเหอะ ไม่ต้องห่วง ถึงฉันจะดูเสียเซลฟ์ไปบ้างตอนแรก ๆ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้วเว้ย ไปเหอะ เดี๋ยวโดนตัดเงินอีกหรอก” จำปีรีบดันหลังเพื่อนให้เดินไปก่อนแมวจะสั่งโน่นสั่งนี่ให้เสียเวลา

        “เออ ๆ เจอกันที่บ้านนะ ได้ข่าวคืบหน้ายังไงฉันจะรีบไปบอก” แมวพูดพลางวิ่งเข้าไปในห้าง ปล่อยให้จำปียืนคว้างอยู่กลางห้าง

      “เอาวะ ไหน ๆ ก็จะมาทำงานที่นี่แล้ว ขอเดินสำรวจหน่อยแล้วกัน ไม่เคยเข้าห้างใหญ่ ๆ แบบนี้กับเขาสักที ว่าแต่ แต่งตัวปอนแบบนี้ยามเขาจะโยนออกนอกห้างก่อนหรือเปล่าวะเนี่ย” 

       จำปีบ่นกับตัวเอง แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้าง จะได้เปิดหูเปิดตา ดูว่าคนกรุงเทพเขาเที่ยวเขาช้อปกันแบบไหน เคยเห็นแต่ในละครทีวี วันนี้จะได้เห็นร้านหรู ๆ ให้เป็นบุญตาสักหน่อย ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน หญิงสาวก็รู้สึกแรงปะทะจากร่างเล็กๆที่พุ่งเข้ามาชนอย่างแรงจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน

         “โอ้ย อะไรกันเนี่ย”

        จำปีรู้สึกจุกเล็กน้อย เหมือนโดนลูกขนุนยักษ์หล่นใส่โดยไม่ทันตั้งตัว แถมลูกขนุนลูกนั้นก็ยังทับอยู่บนตัวของเธอด้วย

        “แง๊ เค้าเจ็บ แอนนาเจ็บ อาจ๋าช่วยแอนนาด้วย”

     เสียงร้องไห้ดังมากจากลูกขนุนที่กำลังทับตัวของจำปีอยู่ หญิงสาวค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับลูกขนุนที่ตอนนี้ยังไม่เห็นหน้าตา ได้ยินแต่เสียงร้องดังลั่นห้างอย่างไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมไหน ๆ

        “หนู เป็นไงบ้างคะ เจ็บตรงหนหรือเปล่า ไม่เอาค่ะ ไม่ต้องร้องไห้นะคะ  ไม่เป็นไรเลยไหนพี่ดูสิไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ

        ลูกเต้าเหล่าใครเนี่ย ทำไมปล่อยมาวิ่งในห้างแบบนี้” จำปีพยุงเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นนั่ง ใช้มือจัดเสื้อผ้าหน้าผมของเด็กน้อยให้เข้าที่เข้าทาง

      หญิงสาวถึงกลับตะลึง เมื่อเห็นหนูน้อยลูกขนุน เอ้ย หนูแอนนาเต็มตา แม่เจ้า ทำไมเหมือนน้องแอนนาเบลตุ๊กตาในฝันของเธออย่างนี้ ไว้หน้าม้า ผมยาวสยายเหยียดตรงถึงกลางหลัง  ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตาเป็นแพหนาดกยาว ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบน้ำตาคลอเต็มไปหมด เนื่องจากขนตาที่หนาและยาวทำให้น้ำตาไม่สามารถไหลลงมาได้ง่ายๆ ยิ่งดูน่ารักจับใจ ในสายตาของคนบ้าตุ๊กตาเข้าเส้นอย่างจำปียิ่งนัก หญิงสาวกำลังจะเอามือขึ้นไปลูบผมที่ชี้ฟูนิดหน่อยบนศีรษะให้เข้าที่เข้าทาง ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าดังขึ้นหยุดการกระทำของเธอเอาไว้

     “หยุดเดี๋ยวนี้ นั่นคิดจะทำอะไรหลานสาวผม”

   เสียงดังมาจากชายหนุ่มร่างสูง หน้าตามีเค้าของเด็กหญิงตุ๊กตาแอนนาเบลของเธออยู่ไม่น้อย แต่หน้าตานี่สิ ออกจะถมึงทึงเหมือนกลัวว่าเธอจะขย้ำคอหลานสาวของเขาอย่างนั้นแหละ ไม่แค่ตะโกนเสียงดัง ร่างสูงยังเข้ามาคว้าหลานสาวขึ้นอุ้มโดยไม่สนใจจะช่วยเธอเลยสักนิด

   “ฉันเปล่านะ ไม่เห็นหรือไงหลานคุณนั่นแหละวิ่งมาชนฉันล้มเนี่ย มาถึงก็ตะโกนเอาตะโกนเอา คนบ้าอะไรไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรกับเขาเลย”

  จำปีบ่น พลางขยับตัวลุกขึ้นยืน แต่รู้สึกเสียวแปลบที่ข้อเท้าจึงคะมำไปข้างหน้า ด้วยสัญชาตญาณจึงคว้าสิ่งที่ใกล้มือที่สุดเอาไว้ก่อน นั่นก็คือชายหนุ่มที่กำลังยืนอุ้มหลานสาวตัวน้อยอยู่นั่นเอง

     “นี่คุณ จะกอดเอวผมอีกนานไหม พอได้แล้วมั้ง” 

    จำปีเพิ่งรู้ตัวว่า หลักที่ตัวเองกำลังยึดเอาไว้คือเอวหนาของชายหนุ่มรูปหล่อตรงหน้า ด้วยความตกใจจึงรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว บวกกับเท้าที่ยืนยังไม่ค่อยมั่นคงเพราะเจ็บจากอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ทำให้เธอเกือบหงายหลังลงไป โชคดีที่ชายหนุ่มคว้าเอวของเธอเอาไว้ทัน และดึงเข้ามาหาตัวเอง

   “ผมก็เจอผู้หญิงมาทอดสะพานให้หลายวิธีแล้วนะ แต่ไม่เคยเจอแบบคุณเลย นึกว่าหมดก๊อกหนึ่งแค่กอดเอวซะอีก นี่มีก๊อกสองให้ผมกอดตอบด้วยเหรอ”

   “จะบ้าหรือไง ใครมาอ่อยนายกันยะบ้าหรือเปล่าปล่อยได้แล้ว ไม่เห็นหรือไงหลานคุณหยุดร้องไห้จ้องตาแป๋วอยู่เนี่ย อ๋อหรือว่าเป็นโรคจิตชอบหื่นไม่เลือกที่ แม้กระทั่งต่อหน้าเด็กด้วย”

      จำปีเค้นเสียงตอบอย่างเหลืออด ผู้ชายอะไรหน้าตาก็ดีแต่หื่นแล้วก็หลงตัวเองชะมัด ชายหนุ่มไม่โต้ตอบอะไร แต่ก็ปล่อยมือจากเอวของเธอโดยดี พอเป็นอิสระจำเป็นก็ก้มลงเก็บข้าวของของตัวและทำท่าจะเดินจากไปทันที

     “เดี๋ยวสิ อะไรกันลงทุนเจ็บตัวขนาดนี้ไม่คิดจะเก็บคะแนนต่ออีกหน่อยเหรอ จะหนีไปดื้อๆอย่างนี้เลย”

    “ประสาท ใครจะเก็บคะแนนอะไรอีกล่ะยะ คนบ้าอย่างคุณขอพบกันหนเดียวพอ”

   พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าหันหลังกลับทันที ไม่ดงไม่ดูมันแล้วห้างหรูอะไรเนี่ย ซวยขนาดนี้สงสัยคงไม่ได้งานนี้อีกแน่ เจ็บตัวไม่พอยังเจ็บใจอีก จำปีเดินกระโผลกกระเผลกจากไปไม่เหลียวกลับมาดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังเลยแม้แต่น้อย

      “คุณอาคะ ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นคนไม่ดีเหรอคะ เป็นคนไม่ดีเหมือนพี่เคทหรือเปล่าคะ” แอนนาถามด้วยความสงสัย

    “ไม่รู้สิคะ อาเพิ่งเคยเจอเขาครั้งแรก ว่าแต่เมื่อกี้เขาตั้งใจชนแอนนาใช่ไหมคะ เจ็บตรงหรือเปล่าเอ่ยคนสวยของอา” ชายหนุ่มถาม พลางพิจารณาดูหลานรักอย่างถี่ถ้วน

      “ไม่เลยค่ะ แอนนาต่างหากที่ชนเค้า ก่อนคุณอาจะมาเขายังโอ๋แอนนาอยู่เลยค่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อได้รับคำตอบจากหลานสาวตัวน้อย

     “งั้นเขาก็ไม่ได้โกหกสินะคะ อานึกว่า .. ช่างเหอะค่ะ แล้วนี่พี่เลี้ยงแอนนาไปไหนคะ ทำไมปล่อยให้แอนนามาวิ่งเล่นคนเดียวแบบนี้”

     “แอนนาจะมาหาคุณอาค่ะ พอมาถึงพวกนั้นก็ไม่ยอมพาแอนนาไปหาคุณอา แอนนาก็เลยวิ่งหนีมาก่อน แอนนาไม่เอาพี่เลี้ยงพวกนั้นแล้วนะคะคุณอา เค้าไม่ยอมพาแอนนามาหาคุณอา เอาแต่บอกให้แอนนาไปโรงเรียน แอนนาไม่อยากไปเลยค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดพลางเอนหัวซบไหล่กว้างของผู้เป็นอาอย่างประจบ

      “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ มันอันตรายต้องรอผู้ใหญ่มาด้วยรู้ไหมคะ อีกอย่างแอนนาต้องไปโรงเรียน ที่โรงเรียนมีเพื่อนเยอะเลยแอนนาไม่อยากมีเพื่อนเหรอคะ”

        “ไม่อยากค่ะ แอนนามีคุณอากับคุณย่าก็พอแล้วค่ะ”

       ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอาในความดื้อของหลานสาว เพราะกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก คุณแม่ของเขาเลยตามใจจนไม่สามารถที่จะขัดใจอะไรได้ง่ายๆ เขาเองก็ไม่มีเวลาจะมาดูแลหลานอย่างเต็มที่ เพราะต้องทำงานแทนพี่ชายและพี่สะใภ้ที่จากไปอย่างกะทันหันตั้งแต่เมื่อ4ปีก่อน

          “ไปค่ะ ขึ้นไปบนห้องทำงานอาดีกว่า เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา