The World of Dungeon นี่นะหรือคือโลกดันเจี้ยน?

8.3

เขียนโดย Cristena

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.34 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,277 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 22.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Dungeon002 : โลกใหม่ที่แปลกประหลาด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                        Dungeon002 : โลกใหม่ที่แปลกประหลาด
 
 
                        สายลมที่กระทบกับใบหน้าทำให้เขาเปิดตาขึ้นมาอย่างช้า พลันก็เบิกตากว้างขึ้นราวกับตื่นอย่างเต็มที่  สมองรีบประมวลคำนวณผลว่าสิ่งตรงหน้านี้เป็นจริงหรือไม่ ก่อนได้ข้อสรุปที่ไม่อยากจะเชื่อ พลางหันมองรอบๆ ทิวทัศนท์ที่เป็นภูเขา ท้องฟ้า ป่าไม้  ซึ่งสายตาก็เหลือบไปเห็นหอคอยที่สูงขึ้นเสียดฟ้าทะลุก้อนเมฆขึ้นไป
 
                        ‘แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน’ เขาสลัดความคิดออกไปสมองรีบคิดหาวิธีหาทางออก ซึ่งก็ไม่พบคำตอบ
 
                        เขากำลังลอยกลางอากาศที่ไม่มีร่มชูชีพหรือสิ่งของที่ลดความเร็วลงภายใต้แรงโน้มถ่วง  เขาตกลงไปคงไม่ต้องถามถึงซากหรือร่างกาย
 
                        เละ!  คำเดียวที่บอกวความหมายได้ดีที่สุด
                       
                        กรี๊ด!!!
 
                        เสียงที่กรีดร้องดังขึ้นตรงหน้า ทำให้เขาหันไปมอง  พบว่าร่างของใครบางคนที่กำลังกดกระโปรงยาวคลุมเข่าของตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้เปิดเผยสิ่งเร้นลับหรือทำไปเพราะมันคือความอาย  ดูแล้วน่าจะอายุใกล้เคียงกันกับเขา เธอมีผมสีดำทมิฬ ดวงตาสีดำราวกับคนตาย ทว่ากลับตื่นเต้นตกใจอย่างน่าประหลาด
 
                        ซึ่งมันเป็นคำอุทานที่ใช้ได้ในทุกเวลาเสียจริง  ต้องคำขอบคุณคนที่คิดที่ทำให้มันแพร่พลาย ไอ้เสียงอุทานที่จะระเบิดหูได้เนี่ย....
 
                        ......ซึ่งใครไม่ตกใจของบ้าแล้ว ตกจากความสูงด้วยความเร็วเกินกำหนดของทางด่วนอีกมั้ง.....
 
                        และยังไม่ได้ทันตั้งตัวคิดอะไรต่อ ก็มีเสียงกรี๊ดและรังสีการฆ่าฟันมาที่เขา  หมัดของใครบางคนยื่นมาตรงหน้าราวกับเป็นเป้าหมาย  ถึงจะลอยอยู่กลางอากาศเขาก็ยังเบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย  เป็นเพราะฝึกการต่อสู้การอากาศมาด้วย
 
                        เมื่อหันดวงตาไปตามหมัดที่พุ่งมาก็พบร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำเป็นไปด้วยความเขินอาย  ทั้งที่การกระทำกลับตรงข้ามซะอย่างนั้น
 
                        พริบตาเธอออกหมัดอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ต้องชกอีกฝ่ายให้ได้ราวกับเขาเป็นแมลงสาบ   ชายหนุ่มที่น่าจะเป็นคนเดียวในนี้หรือเขาก็ยังใจเย็นปัดหมัดที่ออกได้ทุกหมัดก่อนจะจับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้
 
                        “เดี๋ยวก่อนสิ พวกเธอมาเพราะจดหมายเหมือนกันใช่ไหม?”  ผมกล่าวออกไปตามที่เห็นสมควร เวลานี้ไม่ควรจะมาทะเลาะ กันแม้ว่าพึ่งจะเคยเจอหน้าก็ตาม
 
                        หารู้ไม่ทำแบบนั้น ทำให้เธอยกขาขึ้นเตะเขา  ต้นขาอันเรียวงามเล็งที่ยอดหน้าของอีกฝ่าย  เขาเห็นท่าจะไม่ดีเลยนำมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาจับอย่างทันควัน นั่นเขาเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็นเข้าให้แล้ว
 
                        “สะ... สีขาว?”   ผมอุทานขึ้นมา  นั่นทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นไปอีก ที่นี้ไม่ใช่ความอาย แต่เป็นความโกรธ
 
                        เพี๊ยะ!
 
                        ฝ่ามือลุ่นตบใบหน้าเขาเข้าอย่างจังจนพลิกตัวกลางอากาศ  ก่อนจะหมุนตัวกลับมาอย่างเดิม และเห็นเธอไปหลบที่หลังเด็กหญิงสาวผมสีดำส่งเสียงคำรามขู่ฟ่อเป็นการกลับมาอีกด้วย
 
                        “เอาว่ะ....  เอาน้อยก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน”   ผมกล่าวกับตัวเองที่ต้องขอบคุณความโชคดีเล็กน้อยที่รู้ว่านี่คือความจริง และได้ของแถมเป็นแพนตี้สีขาวบริสุทธิ์
 
                        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า  พวกเธอนี่มาถึงก็มีเรื่องสนุกๆให้ฉันดูเลยนะ”  เสียงขึ้นใครบางคนดังขึ้น สายตาทุกคนหันไปจ้องมองผู้มาใหม่ที่ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
 
                        “.......”
 
                        “.......”
 
                        “........”
 
                        ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากปากของทั้งสามคน  เพราะกำลังนิ่งชะงักค้างไป
 
                        “หืม  อะไรงั้นหรอ?” เขาเอ่ยเบาๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอที่จะได้ยิน
 
                        “ไอ้ชุดนั่น มันอะไรกันน่ะ?”  ผมที่คนที่ถาม ซึ่งสองสาวที่พยักหน้าราวกับอยากรู้เช่นกัน
 
                        “มันแปลกงั้นหรอ?”  เขากล่าวอย่างไม่รู้สึกอะไรสักนิด
 
                        “แปลกสิโว้ย!  ใครเขาจะใส่ไอ้ชุดเพนกวินที่ทำหน้าตาเหมือนน่าสงสารกลางแสงแดดจ้าแทบละลายผิวหนังกันแบบนี้อะไรว่ะ  แถมยังเดินกลางอากาศมาด้วย!!”  ผมเหลืออดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้  ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะน๊อตหลุดก่อนจะปรับอารมณ์มาเป็นปกติ พลันฉุดคิดอะไรได้บางอย่าง
 
                        ‘…..เดินกลางอากาศ....’  ผมพึมพำเบาๆ อีกฝ่ายก็ได้ยินเสียงพึมพัมของผมก็หรี่ตาลงมองอย่างสนใจ
 
                        “งั้น... นายคือพระเจ้าของโลกใบนี้งั้นหรอ?”  ผมพูดขึ้นนั่นทำให้สองสาวหันมาจ้องมองผมก่อนจะหันไปจ้องอีกฝ่ายอย่างเขม็ง
 
                        ปิ๊งป่อง!
 
                        “ถูกต้องจ้า”  อีกฝ่ายกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางมีเสียงดนตรีดังราวกับชนะเกม
 
                        “แต่เป็นพระเจ้าองค์ต่อไปล่ะนะ”  เขากล่าวเบาๆ
 
                        “ทำตัวไม่สมกับเป็นพระเจ้าเลยนะ”  ผมพูดขึ้น  อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น
 
                        “อะไรกัน ทั้งที่ฉันเลือกเอามาใส่ให้พวกเธอดูเลยนะ”  เขากล่าวขึ้นพลางแสร้งทำเสียงร้องไห้
 
                        “เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า”  พลันบรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกอึดอัดแปลกๆ
 
                        “พวกเธอที่ถูกเลือกจากจดหมายที่ฉันส่งไปให้....   จงทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความเร้าใจ สนุกสนาน”
 
                        “เหล่าเด็กทั้ง 3 เอ๋ย พวกเธอคือคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม จงเขย่าโลกแห่งนี้ซะ ขับเคลื่อนโลกแห่งนี้ไปข้างหน้าตามที่พวกเจ้าใจปรารถนาเถอะ.....”  น้ำเสียงทรงอำนาจที่ดังกังวานเอ่ยแก่พวกเขา รู้สึกเคารพอย่างน่าประหลาด  ก่อนที่จะกลับมาเป็นเหมือนตอนแรก ทำเอาความน่าเชื่อถือลดลงไปอย่างมาก
 
                        “เอาล่ะ พวกเธออยากเลือกอะไรระหว่าง สร้อยข้อมือ การ์ดและก็หน้าต่างโฮโลแกรม”  เขากล่าวขึ้น ซึ่งก็ได้รับคำถามจากเด็กหนุ่มคนเดียวในกลุ่ม
 
                        “พวกนั้นคือ?” 
 
                        “พวกนี้คือ [หน้าต่างสถานะ] ของตัวเธอ”  ผู้ที่เป็นพระเจ้าของโลกนี้บอกกับพวกเขา  ซึ่งแน่นอนหญิงสาวทั้ง 2 คนนั่นคิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจความหมาย  มีเพียงเขาที่รู้ความหมายนั้นดี
 
                        “เหมือนในเกมเก็บเวล RPG หรือ MMORPG อ่ะนะ”  ผมเปรยขึ้นมา
 
                        “ถูกต้องจ้า! ดูท่าเธอจะเป็นคนเดียวที่เป็นมันสมองของกลุ่มนี้นะ”  พระเจ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างชื่นชม  ซึ่งผมไม่ดีใจกับการชมของอีกฝ่าย
 
                        “คือเหมือนประมาณว่า เอาความแข็งแกร่งและอะไรอื่นของตัวเรา นั้นมาเป็นค่าตัวเลขที่สามารถแสดงผลได้น่ะ”   ผมหันไปกล่าวกับหญิงสาวทั้งสอง  ซึ่งเธอคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิมเหมือนจะไม่เข้าใจ
 
                        “อ๋อ.... ฉันลืมบอกไปว่าพวกเธอทุกคนมาจากละโลกกัน  ทำให้การสื่อสารนั้นไม่เข้าใจ ส่วนที่เธอเข้าใจเพราะฉันพูดภาษาของพวกเธอด้วย”  ไอ้พระเจ้าที่ขี้เล่นนำมือมาทุบกับอีกมีหนึ่งที่แบ เหมือนนึกอะไรออกและชิงพูดขัดเขาขึ้นมา
 
                        “อืม.... เข้าใจแล้ว  งั้นตัวเธอเลือกไปก่อนฉันยังไงก็ได้”  ผมพูดกับพวกเธอ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าใจภาษาที่ผมพูดไหม  แต่ผมกทำท่าที่ไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูของเธอ เหมือนพวกเธอจะรับรู้ได้ จึงคลายความกังวลลง
 
                        หญิงสาวผมสีน้ำตาลเป็นคนเริ่มหยิบก่อน เธอหยิบการ์ที่ลอยกลางอากาศอยู่ริมขวาสุด ก่อนจะชักมือกลับไปอย่างรวดเร็ว พลางจ้องหน้าเขาแล้วส่งเสียงขู่
 
                        ตามมาด้วยหญิงสาวที่ใส่กระโปรงบานคลุมเข่าดูเธอไม่ค่อยเกลียดเขาเท่าไร นับว่าเป็นครั้งแรกที่เจอกันประสบความสำเร็จไปด้วยดี เธอหยิบสร้อยข้อมือสีเงินแวววับอยู่ตรงกลาง ก่อนที่ผมเป็นสุดท้าย
 
                        ผมเอื้อมมือไปคว้าอากาศ แล้วก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้ามาในตัว
 
                        “เอาล่ะ เมื่อทุกคนเลือกเสร็จแล้วฉันจะให้ของขวัญก่อนจากไปแล้วกัน”  พระเจ้าแห่งโลกนี้เอ่ย พลางดีดนิ้วดังเปาะ พลันมีข้อความอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของทุกคน
                       
 




         สกิล    การแปลภาษา (S)  [Passive Skill]
-                   สามารถพูดคุยภาษาอื่นได้ทุกภาษา
-                   สามารถฟังภาษาอื่นได้ทุกภาษา
-                   สามารถเขียนภาษาอื่นได้ทุกภาษา
-                   สามารถอ่านภาษาอื่นได้ทุกภาษา




 
 
                        ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ คาดว่าทุกคนก็เช่นกัน  พวกเธอและผมหันไปมองผู้เป็นพระเจ้าเข้าโลกใบนี้ที่ส่งรอมยิ้มให้กับผม ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองให้เห็น
 
                        “บอกแล้วว่า ฉันคือพระเจ้า ที่นี้เพื่อของที่ระลึกสำหรับทุกท่าน ผมจะช่วยไม่ให้ตกลงไปตายละกัน”  พลันก่อนที่พระเจ้ากำลังจะดีดนิ้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป รอยยิ้มแสยะอย่างสนุกปรากฏขึ้นตรงริมฝีปาก
 
                        “เพื่อความสนุกของฉัน ฉันจะส่งทุกคนไม่อยู่ที่เดียวกัน  ไม่งั้นมันหมดสนุกกันพอดีเอาล่ะ  ขอให้สนุกกับโลกใบนี้นะ”  เขาดีดนิ้วขึ้น พริบตาร่างของทั้งสองสาวที่มีสีหน้างงงวยก็หายไป ก่อนที่หญิงสาวผมสีน้ำตาลก็ส่งสายตาอาฆาตแค้นมาให้กับเขา  มีเพียงเขายังไม่ถูกส่งตัวไปราวกับว่ารออะไรบางอย่าง
 
                        “เฮ้อ.....   บอกมาได้แล้วมั้ง ว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องพาฉันมาโลกนี้ ถึงฉันจะตอบรับคำขอมาเองก็เถอะ”  ผมเอ่ยกับเขาและจ้องมองเข้าไปยังดวงตาสีดำกลมใสแป๋วของเพนกวิน  ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการตกลงไปข้างล่างจะสิ้นสุดแล้ว ผมกับอีกฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้ากำลังลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ
 
                        “คุณพูดเรื่องอะไรครับ ผมไม่เห็นจะเข้าใจ?”  อีกฝ่ายยังคงแสร้งตีหน้าซื่อ  ผมจึงส่ายหน้าเล็กน้อย
 
                        “นายแกล้งไปก็เท่านั้น  ฉันดูออกว่านายกำลังปกปิดความลับอะไรบางอย่างอยู่”  ชายหนุ่มผมสีดำเอ่ยขึ้น หลังจากมองอีกฝ่ายที่นิ่งค้างไปเกิน 2-3 นาที
 
                        “คุณนี่มันน่ากลัวจริงๆเลยนะครับ คุณอัสวัส”  อีกฝ่ายถอนหายใจยาวๆออกมา เมื่อเห็นว่าตนเองเสียท่าให้กับเด็กหนุ่ม
 
                        พลันเสื้อตุ๊กตาเจ้าเพนกวินที่มีสายตาน่าสงสารก็หายไป ปรากฏเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา สวมเสื้อสีดำ ทับด้วยผ้าคลุมสีขาวบนบ่า ดวงตาสีแดงโลหิตจ้องมองเขา
 
                        “ที่จริงโลกนี้จะล่มสลายลงอีก 10 ปีข้างหน้าครับ”  น้ำเสียงจริงจังดังออกมาจากพระเจ้าองค์ต่อไป เขาเอ่ยเข้าเรื่องทันที เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
 
                        “แล้วนายต้องหาคนที่มีพรสวรรค์มาช่วยเหลือโลกของนายสินะ”  ผมกล่าว ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ
 
                        “ฉันขอเดานะ โลกนี้คือโลกดันเจี้ยน นั่นหมายความว่าจะมีดันเจี้ยนตามสถานที่ต่างๆถูกไหม?”
 
                        “ใช่ครับ....”
 
                        “ซึ่งดันเจี้ยนนี้มันต้องมีอย่างจำกัด”
 
                        “มี 67 ดันเจี้ยนครับ”
 
                        “และที่มันล่มสลายน่าจะเป็น เพราะว่าไม่มีใครที่สามารถไปถึงชั้นสุดท้ายของดันเจี้ยนได้ มันเลยไม่ถูกพิชิต แล้วคนที่เมื่อรับรู้ว่าการผ่านชั้นดันเจี้ยนในแต่ชั้นมันยากมาก  ถึงจะตั้งกลุ่มไปปราบบอส ถึงจะสำเร็จก็ตาม แต่การสูญเสียมันมากกว่า คนส่วนใหญ่เลยเลิกที่จะบุกตะลุยสินะ”
 
                        “ใช่ครับ....  คนในตอนนี้เขาเข้าดันเจี้ยน เพียงเพราะหาอาหารมาดำรงชีพเลี้ยงพวกเขาให้อยู่รอดเท่านั้นเองครับ”  อีกฝ่ายมีสีหน้าง่อยลงไปถนัดตา
 
                        “มีดันเจี้ยนที่ถูกพิชิตยัง? ไม่สิต้องถามว่า เคยไปถึงชั้นบอสรึยังมากกว่า”  ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่าย  ซึ่งได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับมา
 
                        “งั้นนายก็ลำบากมากเลยสินะ....”  ผมถามอีกฝ่าย ซึ่งพระเจ้าตรงหน้านั้นเงยหน้าขึ้นมา
 
                        “เข้าขั้นวิกฤตเลยตั้งหากครับ”  ผมที่จะถามขึ้น อีกฝ่ายก็ตอบออกมาเหมือนกับจะเดาได้
 
                        “ผมยังไม่ได้รับการเป็นพระเจ้าหรอกครับ  ผมจะได้รับการเป็นพระเจ้าองค์ต่อไปก็ต่อเมื่อ ผมสามารถหยุดปรากฏการณ์พังทลายของโลกนี้ให้ได้  ตอนนั้นแหละครับ ผมจะได้รับเป็นพระเจ้าคนต่อไป.....” อีกฝ่ายกล่าวออกมา และดูเหมือนจะร้องไห้อยู่ร่อมรอ
 
                        ผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพูดออกไป
 
                        “งั้นฉันจะช่วยนายก็ได้ .....” หลังจากใช้เวลาสักพักผมก็กล่าวออกมา ซึ่งทำให้อีกฝ่ายสบตามองกับผม
 
                        “จริงหรอครับ!?....”  น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นราวกับตกใจที่อีกฝ่ายพูดออกมา  ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นกับเขา ทั้งที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำทว่าอีกฝ่ายกับเอ่ยปากช่วยเหลือเป็นคนที่เขาคิดว่าคงไว้ใจได้
 
                        “อื้อ....  แต่ว่านายตอบคำถามฉันมาก่อน?”  ชายหนุ่มเอ่ยพลางจ้องมองไปยังดวงตาของอีกฝ่าย
 
                        “ครับ?”  ไม่ว่าเขาถามคำถามอะไรเขาก็ยินดีที่จะตอบให้ รู้สึกอยากขอบคุณอีกฝ่ายจากใจ
 
                        “โลกนี้มันน่าสนุกไหม?”  คำถามที่เล็ดลอดจากปากของชายหนุ่ม ทำให้เขานิ่งค้างไป ก่อนหัวเราะเล็กน้อย
 
                        “นึกว่าคุณจะถามเรื่องที่มันปวดตับกว่านี้ซะอีก”  เขาหัวเราะออกมา ก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของอีกฝ่าย พลางสูดลมหายใจเข้าปอด
 
                        “โลกแห่งนี้ คุณต้องเป็นคนไปหาคำตอบด้วยตัวเองครับ แต่รับรองในฐานะพระเจ้าคนต่อไป  โลกแห่งนี้สนุกกว่าโลกเก่าของคุณอย่างแน่นอน”  เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ  พลันเรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้
 
                        “อื้อ....  ขอบคุณ”  เขากล่าวเบาๆ  โลกแบบนี้ที่เขาต้องการล่ะ  โลกแห่งการผจญภัยที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่
 
                        “งั้นก็ผมจะส่งคุณไปละนะครับ”  เขากล่าวพร้อมปรากฏวงเวทย์ขึ้นมา จนทำให้ชายหนุ่มแปลกใจ
 
                        “อันนี้เป็นเวทย์เคลื่อนย้ายนะครับ”  ซึ่งเขาก็ถามว่าทำไมสองสาวไม่เป็นแบบเขา ก็ได้รับคำตอบว่า มันทำให้มันดูอลังการ จึงได้แต่ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ
 
                        ผมเดินเข้าไปในวงเวทย์ ก่อนมันจะเปร่งแสงสีทองจางๆ
 
                        “ผมขอเรียกคุณว่าลอสนะครับ”  พระเจ้าเอ่ยอย่างสุภาพ ซึ่งก้ก็พยักหน้ากลับไป
 
                        “คุณลอส ไม่ว่าคุณจะเคยผ่านอะไรมาจากโลกเก่า  ทั้งศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวมันจะใช้ไม่ได้ผลกับโลกแห่งนี้จะครับ โลกแห่งนี้มันอันตรายมากกว่าที่คุณคิด” คำเตือนครั้งสุดท้ายจากว่าที่พระเจ้าองค์ใหม่  ผมยิ้มให้กับเขาเล็กน้อย
 
                        “ที่ฉันมานี่ ฉันต้องการสนุกอยู่แล้ว ไอ้สิ่งที่ฉันจินตการไม่ออกเนี่ย ออกจะเห็นมันเสียจริง” ผมพูดเบาๆ  ซึ่งได้รับเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่าย
 
                        “เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่รู้จักชื่อของนายเลย....”  ผมนึกเรื่องที่สำคัญออกหลังที่พวกเราคุยกันมานาน ผมเป็นฝ่ายเดียวที่ไม่รู้ชื่อของเขา
 
                        “คุณลอส เรียกผมว่า พระเจ้าก็ได้นะครับหรือจะเรียกชื่อผมก็ได้ ชื่อผมคือ ลูอิซ”เขาบอกชื่อให้ผมฟัง  ผมพยักหน้าเล็กน้อย
 
                        “ทำไมชื่อนายธรรมดาจัง....” 
 
                        “ก็เป็นชื่อเล่นนิครับ.....”  เขากล่าว ก่อนจะมีสีหน้าที่กระอักกระอ่วนใจ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมยิ้มให้กับเทพที่ขี้เล่นองค์นี้
 
                        “อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”  ผมพูดเพื่อคลายความกังวลให้กับอีกฝ่ายที่มีลดน้อยลงแล้ว
 
                        “ผมขออวยพรให้กับคุณลอส ขอให้คุณโชคดีและสร้างความสนุกอยู่ตลอดเวลานะครับ  สุดท้ายแล้วผมจะมอบของขวัญอันล้ำค่าให้กับคุณ เป็นของขวัญที่ผมไว้ใจคุณนะครับ ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจสองสาวนะครับ  แต่คุณรู้ความลับแล้ว คุณเป็นคนเดียวที่จะช่วยเหลือผม ขอบคุณมากครับ”  ลูอิซเอ่ยดักทาง พลางยิ้มน้อยๆให้กับเขา
 
                        พลันวงเวทย์แสงสีทอง ปรากฏอักขระสีทองอร่ามขึ้นมา เป็นภาษาที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งที่มีสกิลแปลภาษาก่อนที่อักษรเหล่านั้นวิ่งมาตามบนร่างกายของเขา สัมผัสที่อบอุ่นและรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่ก่อเกิด จนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ อักษรอันเหนือความเข้าใจของเขามันรวมกันไปอยู่ที่หน้าผากก่อนจะปรากฏรูปลักษณะเป็นวงกลมที่มีลวดลายเหมือนอะไรบางอย่างซึ่งเขามองไม่เห็น  
 
                        “ขอบคุณนะ ลูอิซ”  ผมเอ่ยเบาๆ หลังจากที่สัญลักษณ์บนหัวหายไปจากความรู้สึก  ความซาบซึ้งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและพระเจ้าองค์ต่อไปเกิดเป็นสายสัมพันธ์เล็กๆ ไม่สามารถขาดออกจากกันได้
 
                        “เช่นเดียวกันครับ ขอบคุณมากนะครับ คุณลอส”  ลูอิซเอ่ยขึ้น พลันแสงสว่างจ้าปรากฏ เมื่อมันจางลงจนหายไป ร่างของชายหนุ่มก็หายไป  เขายืนมองร่างที่เคยอยู่ตรงนั้น สายลมพัดผ่านวูบหนึ่ง ร่างของว่าที่พระเจ้าก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว  สิ่งที่มาแทนที่คือสายลมที่พัดผ่านมาเบาๆและเสียงหัวเราะของเขา....
 
                                               
 
 
 
                       ------------------------------------------------------                        

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา