The World of Dungeon นี่นะหรือคือโลกดันเจี้ยน?

8.3

เขียนโดย Cristena

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.34 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,275 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 22.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Dungeon001 : การเริ่มต้นครั้งใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                       Dungeon001 :  การเริ่มต้นครั้งใหม่

 

 

                        สายลมเอือยๆ ที่พัดผ่านไปเรื่อยๆ มันลูบไล้ผิวหนังของผมให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นสบาย  พลางผมพลิกหน้ากระดาษไปหนึ่งแผ่น ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ผมเอนหลังไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ที่เป็นร่มเงาและบังแดดให้กับผม  แว่นหนาอันเต๊อะกรอบสีดำเข้มชนิดที่มีใครมาเห็นคงตกใจกันหมด  ผมละสายตาจากหนังสือมองไปยังเบื้องหน้าที่เป็นพื้นสนามอันกว้าง 

 

                        มีร่างของผู้เล่นจำนวนมากกำลังเข้าปะทะจู่โจมกัน สายตาทุกคนจับจ้องไปที่ลูกอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นกลมๆ ที่ถูกเรียกว่าฟุตบอล  พลันร่างของใครคนหนึ่งแย่งมาจากอีกฝ่าย ก่อนที่เขาเลี้ยงลูกบอลไม่ให้ไปอยู่กับอีกฝ่าย  ลีลาและท่าทางของเขาราวกับมืออาชีพ  พอเห็นอีกฝ่ายที่ชะงัก ก็เปิดโอกาสให้เขาได้พุ่งเข้าไปและกวาดขาไปด้านหลังเพื่อชาร์จแรงส่งจากเอวลงไปยังต้นขาและเท้าตามลำดับ  ก่อนที่เขาจะเตะกลับมา พลันลูกบอลก็ถูกยิงออกไปทันที  ลูกบอลที่ได้รับความเร็วจากเท้าพุ่งเข้าสู่ผู้รักษาประตูอยู่ด้านหลัง  ทว่าความรุนแรงของลูกบอลนั้นมันทำให้ผู้รักษาประตูถึงกลับล้มตัวลงไปด้านหลังดังตึง จนไม่สามารถรับลูกเอาไว้ได้  ก่อนที่ลูกบอลจะเข้าโกลประตูไปอย่างสวยงาม 

 

                        แปะ  แปะ  แปะ

 

                        เสียงปรบมือดังขึ้นข้างหูของผม จนทำให้ผมต้อง เรียกผมต้องให้หันไปมองอย่างช่วยไม่ได้  เพราะถ้าไม่หันไป อีกฝ่ายก็คงทำให้ผมหันไปหาอย่างแน่นอน  ใบหน้าอันเรียวเป็นเอกลักษณ์ของเธอ  ผมสีดำที่ปลายนั้นดัดเป็นล่อนเล็กน้อย  ริมฝีปากอันอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อ  จมูกที่โด่งได้รูปเข้ากับปากและดวงตาสีฟ้าอ่อนของเธอได้เป็นอย่างดี  ซึ่งนับว่าสวยอย่างไร้ที่ติ

 

            เหมือนเธอจะรู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่  ใบหน้าของเธอเริ่มแดงระเรื่อและค่อยๆหันมาทางผมอย่างช้าๆ 

 

            “โธ่.....  อย่าจ้องมากสิ ฉันก็เขินเป็นนะ”  น้ำเสียงที่แสดงความเขินอายเอ่ยออกมา  ก่อนผมจะกล่าวกับขอโทษเบาๆ และหันหน้ามองเบื้องหน้าอีกครั้ง เนื่องจากไม่อยากทำให้เธออายจนหน้าแดงขึ้นอีกแล้ว

 

            “ซีนี่ยังเก่งไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ......”  เธอพูดเบาๆ  ก่อนชำเลืองมาทางผมเล็กน้อยและมองไปยังเบื้อง ที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังได้รับการกอดและเล่นหัวจากเพื่อน  ได้รับเสียงกรีดกร๊าดวี๊ดว้ายของเหล่าผู้หญิงที่นั่งข้างสนาม

 

            เขามีดวงตาสีดวงฟ้าไพรินเหมือนกับเธอคนนี้ แต่ของเธอเข้มกว่า อายุราวเดียวกับพวกเขาประมาณ 17-18 ปี  ผมสีเหลืองที่ยามนี้สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ส่องสว่างจางๆ ใบหน้าคมที่ได้สันรูปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูน่าหลงใหล 

 

                พอเทียบกับตัวผมแล้วไม่เห็นจะมีอะไรดีซักอย่าง  เป็นเด็กเนิร์ดที่วันๆเอาแต่อ่านหนังสือและเรียนอย่างบ้าคลั่ง  ร่างกายที่แสนจะอ่อนแอ ออกกำลังไปซักพักก็เหนื่อยหอบแล้ว ยิ่งการคบเพื่อนแล้วใหญ่ ไม่ต้องพูดถึง ผู้ชายทั้งโรงเรียนแทบจะเป็นศัตรูทั้งกับผมเลยก็ว่าได้ยกเว้นแค่ ซี ที่เป็นเพื่อนกับมาตั้งแต่อนุบาล

 

            “คงงั้น.....”  ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว  

 

            “โธ่...  อย่าพูดแบบนั้นสิ”  เธอคงกล่าวตำหนิผมเล็กน้อย   ผมไม่สนใจเริ่มจะอ่านหนังสืออีกครั้ง พลันหางตาเหลือบไปเห็นกลุ่มหนึ่ง

 

            พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งหมด ใบหน้าของแต่ละคนมองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่งสายตาที่ไม่เป็นมิตรออกมา      ใครบางคนในนั้นกวักมือเรียกผม  ก่อนที่ผมจะลดสายตาไปมองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือข้างขวาของผม

 

            ‘งั้นหรอ.....  ถึงเวลานั้นแล้วสินะ’   ผมเริ่มลุกขึ้นจากตรงนั้น  เธอรู้สึกว่าผมลุกก็หันหน้ามาหาใบราวกับจะถามว่า ‘ไปไหน’

 

            “คอแห้ง ฉันจะไปซื้อน้ำหน่อยน่ะ”  ผมตอบเธอไป  เธอที่ยังไม่หายสงสัยก็มองผมอย่างพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนสายตาจะไปไหนกลุ่มของนักเรียนที่ยืนกันประมาณ 8-9 คน

 

            เธอก็มีสีหน้าที่ซีดเผือก ราวกับเริ่มรู้อะไรบางอย่างที่ต่อจากนี้

 

            “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา”  ผมยิ้มให้เธอ ก่อนที่เธอกล่าวกับเบาๆ

 

            “ระวังตัวและรักษาตัวด้วยนะ”   ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินออกไปจากจุดตรงนั้น เธอมองผมจนลับสายตาก็เอามือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเอง พร้อมภาวนาอะไรบางอย่างในใจ

           

 

 

            พลั่ก พลั่ก  พลั่ก

 

            เสียงอะไรบางอย่างที่ดังขึ้น ร่างกายของใครบางคนถูกหมัดกระหน่ำซ้ำอย่างไม่ยั้ง ราวกับอีกฝ่ายเครียดแค้นและอาฆาตบุคคลที่โดนกระทำ  พลันร่างนั้นโดยจับโยนไปยังฝาผนังไปอีกข้าง  ก่อนจะคนสองคนเข้ามาล๊อคแขนไม่ให้ขยับหนีไปไหน  หมัดถูกระดมใส่อย่างต่อเนื่อง  เลือดพุ่งออกมาจากเด็กหนุ่ม

 

            “แก รู้ไว้ซะบ้างว่าแกไม่คู่ควรกับเธอ”  เสียงของชายหนุ่มอีกคนที่กำลังออกหมัดใส่ผมอย่างต่อเนื่อง ความโกรธที่มีมากไม่จางหาย  ผมได้เพียงเป็นแค่ที่รองรับอารมณ์ของอีกฝ่ายเท่านั้น

 

            เธอที่อีกฝ่ายพูดถึงคือ เด็กสาวที่อยู่ข้างผมใต้ต้นไม้ใหญ่นั่นเอง...

 

            เธอมีชื่อว่า อลิซ เป็นที่หมายปองสำหรับชายหนุ่มทุกคน ไม่แม้แต่คนตรงหน้าที่เธอเคยโดนปฎิเสธสารภาพรัก  ซึ่งเธอกลับมายอมคบผมเป็นแฟน ก็ไม่ได้ขนาดถึงขั้นเป็นแฟนหรอก แต่ส่วนใหญ่ทุกคนเข้าใจผิดไปกันเอง  เพราะเธอเป็นเพื่อนสมัยเด็ก บ้านอยู่ข้างกันซึ่งไม่แปลกที่ตัวเกือบจะติดกัน เลยทำให้เข้าใจผิด   แต่ตอนนี้ผมได้ย้ายบ้านออกไปแล้ว เธอคงเหงาเล็กน้อย  ก่อนจะกลับมาเจอกันตอนม.ต้นเรียนที่โรงเรียนเดียวกันจนถึงตอนนี้

 

             ซึ่งสิ่งที่ทำให้พวกนี้หรือผู้ชายทั้งหมดเป็นศัตรูกับผม เพราะเธอคือได้รับการยอมรับจากทุกคนให้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโรงเรียน นั่นเอง...

 

             ทั้งมารยาท กุลสตรีที่เรียบร้อย การเรียนก็ดีเลิศสอบได้ที่หนึ่งทุกครั้ง กีฬาก็เยี่ยมแทบไม่เป็นรองใคร นั้นทำให้ใครหลายๆคนอิจฉาผม

 

            ผมก็ดีว่ามันดีนะ....  ที่ทุกคนเกลียดผม เพราะจะได้สามารถปกป้องเธอได้จากทุกคน ถึงแม้ว่าจะต้องแลกกับการเจ็บตัวแบบนี้ทุกวันก็ตาม

 

            และเมื่อร่างกายของผมมันเกินขีดกำจัดที่จะรับไหวก็ส่งผลให้ผมทรุดลงไปนอนแผ่ที่พื้น พลันชายหนุ่มที่น่าจะเป็นหัวหน้าของพวกนั้นก็ยกเท้ามาเหยียบใบหน้าผมเอาไว้  กดอยู่กับที่เพื่อตรึงร่างของผมไม่ให้ขยับไปไหนได้

 

            มันบิดขยี้ใบหน้าผมราวกับแมลงชั้นต่ำที่บี้เมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น  ก่อนถมน้ำลายลงบนใบหน้าของผมและถึงขั้นร้ายแรงกว่านี้ ที่ว่านำน้ำปัสสาวะอันเป็นของเสียของร่างกายมาปล่อยใส่หน้าผม

 

            “เห้ย!!!   พวกแก” เสียงที่ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของทางเดิน  พวกนั้นรีบหันหน้ามามองกันเลิกลั่กก่อนที่เจ้าหัวหน้ากลุ่มสั่ง

 

            “ถอยก่อนพวกเรา”  เขาบอกกับทุกคนให้วิ่งไปอีกฝ่าย  ก่อนจะหันหน้ามามองผม

 

            “จำไว้มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่แกจะได้รับต่อจากนี้....”  เขาถมน้ำลายอีกครั้งบนใบหน้าของผม ก่อนจะวิ่งจากไป

 

            ความร้อนและความเหม็นหึ่งของสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ปะปนกับเลือดที่มาพร้อมกับกลิ่นคาว จนประสาทการรับรู้นั้นผิดแปลกไป  ผมหลับตาลงอย่างอ่อนล้าพลางคิดว่า 

 

            ‘อย่างน้อยก็ผ่านไปอีกวัน’ ก่อนที่มีเสียงเรียกอยู่ใกล้ๆ

 

            “เห้ย ลูซ ทำใจดีดีเอาไว้  แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”  ซึ่งอีกฝ่ายก็คุ้นหน้าคุยตาผมเป็นอย่างดี  

 

            “ไม่เป็นอะไรมั่ง ไอ้บ้าซี”  ผมโวยวายเล็กน้อย  มันไม่ฟังคำพูดผมจบก็เข้าไปพยุงผม ก่อนจะมีคนมาช่วยพยุงอีกคน

 

            “อ้าว.... สวัสดีตอนเย็น อลิส”  เมื่อผมเห็นว่าเป็นใครก็ทักไปตามปกติ  เธอหันมามองหน้าผมอย่างดุ

 

            “เธอมันบ้า ทำไมกันล่ะ....  ทำไมต้องปกป้องฉันด้วย”  เธอเอ่ยออกมา ใบหน้าสีขาวเนียนเริ่มที่ของเหลวสีใสเกาะอยู่บนใบหน้านั้น

 

            “ไม่เป็นอะไรหรอก  เพราะมันเป็นเรื่องปกตินะสิ... ที่ผมจะปกป้องเธอ”  ลอสหรือตัวผมกล่าวออกมาทั้งอย่างนั้นพลางยิ้มให้เล็กน้อย

 

            “แต่ฉันเป็นคนที่ทำให้เธอโดนทำแบบนี้ทุกวันนะ”  ดูเหมือยเธอยังจะไม่ยอม คงเพราะมันหนักหนาสาหัสเอาการ

 

            “ไม่เป็นไร....  อย่างน้อยเธอก็ไปตามซีใช่ไหมล่ะ ซึ่งเธอก็ช่วยได้มากแล้ว”  ผมกล่าวจบประโยค ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เธอไปตามซีหลังจากที่เขาหายไปนานนัก ก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเลย  เธอรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างน่าประหลาด  คนที่ยอมถูกทำร้ายเพื่อเธอได้ถึงขนาดนี้ มันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าจะหาไม่ได้อีกแล้ว พลางพยุงร่างของเขาไปที่ไหนสักแห่ง....

           

            “ฉันกลับก่อนละ”  ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนของผมเอ่ยออกมาอย่างนั้น

 

                “นายอย่าให้พวกมันแกล้งตามใจมากสิ”  ซีกระซิบข้างหูของผมเบาๆ

 

                         ก่อนจะโบกมือบายและเดินไปอีกทาง หลังจากที่พาผมมาห้องพยาบาล ซึ่งมีคุณหมอสาวตรวจดูอาการของผมแล้วก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง แต่ก็ได้รับคำว่ากล่าวตักเตือนพร้อมกับว่าด่าเป็นชุดสำหรับพวกนักเรียนที่เล่นอะไรพิเรนท์แล้วปล่อยตัวกลับออกมา

 

            ซึ่งตอนนี้ผมกับอลิสอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังโรงเรียน  ผมกดปลดล๊อครถ เธอขึ้นมานั่งข้างหน้าคนขับ  ตอนแรกเธอบอกว่าจะขับให้เอง  แต่ผมไม่ให้เธอขับ เพราะเป็นห่วงเรื่องความสุภาพ

 

            รถสีดำคล้ายกับ Aston  Martin  One-77    ที่ตอนนี้ราคาของมันสูงถึง 60 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าในตอนแรกอลิสนั้นตกใจอย่างมากที่เห็นเขาขับรถสปอร์ตหรู เธอก็ไม่นึกว่าเขาจะขับรถเป็นด้วย  แต่เมื่อนึกได้ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรที่เขาจะมีขับและสามารถขับมันได้ เนื่องจากเขาเป็นลูกชายทายาทของเจ้าพ่อผู้คุมอำนาจเศรษฐกิลโลก ที่เป็นคนปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย  

 

            และเขาก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียว จึงอาจจะได้รับการตามใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกสอนมาให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย

 

            เมื่อคนขับและผู้โดยสารนั่งอันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  รถสีดำก็ได้ขับออกไปอย่างช้าๆ....

 

           

            ความเงียบดำเนินเป็รเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรขึ้นมา มีเพียงอลิสที่คอยเหลือบมามองเขาอย่างเป็นระยะ ดูเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง พอจะพูดก็หน้าแดงแล้วก้มหน้าลงราวกับซ่อนความอายจากสายตาของเขา  ไฟจราจรเบื้องหน้านั้นเป็นสีแดงอยู่ ขับไปอีกถนนเดียวก็จะถึงบ้านของหญิงสาว 

 

                        ตามปกติที่เขาจะคอยมารับมาส่งเธออยู่ตลอด เพื่อความสบายใจของเธอที่ต้องการให้เขาขับมาส่ง  เนื่องจากระยะห่างโรงเรียนและบ้านของหญิงสาวไม่ห่างกันมาก ทำให้ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็มาถึงแต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ที่รถมันติดยาวเหยียด น้ำมันถูกผลาญไปเรื่อยๆตามชนิดของรถ ซึ่งถึงว่าเป็นเรื่องปกติ

 

                                “เอ่อ.... คือว่า...”  พลันไฟจราจรเป็นสีเขียว  เขาก็ขับรถออกไป ทำให้เธอต้องเก็บเอาไว้ถามทีหลัง

 

                        เมื่อรถเข้ามายังจอดที่หน้าบ้าน ผมก็ดับเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มราวกับสัตว์ป่า พวกเราทั้งคู่ยังไม่ลงจากรถ เมื่อความเงียบสงบกลับมาก็รู้สึกถึงความอึดอัดเข้ามาแทนที่ ผมหันไปมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน 

 

                        “รู้รึเปล่า เวลาที่เธอมีเรื่องกลุ้มใจเธอจะชอบคิ้วขมวดตลอดเลย”  ผมเอ่ยขึ้นมา ซึ่งเรียกความสนใจของเธอได้เปล่าอย่างดี

 

                        “จริงหรอ?....”  เธอไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ผมจึงพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับเธอ

 

                        “เธอคงกลุ้มใจเรื่อง เจ้าพวกนั้นชอบมาแกล้งผมใช่ไหมล่ะ”  เธอสะอึกไปเล็กน้อยเมื่อผมคาดการณ์ถูก  ก่อนเธอจะส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับเขา

 

                        “ที่ถูกของเธอ แต่ว่ามันยังมีเรื่องอีกเรื่องนึง....”  คราดนี้เห็นหันหน้ามาสบตากับผมอย่างจริงจัง

 

                        “หืม... อะไรงั้นหรอ?”  บนหัวของผมมีเครื่องหมายคำถามขึ้นมา  เธอจ้องตาผมไม่กระพริบตาก่อนจะเอ่ยอย่างช้าๆ

 

                        “คือ....  อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของฉัน ไม่ทราบว่าลอสพอจะว่างหรือเปล่า?”  คำถามที่มีความกลุ่มใจเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้ผมครุ่นคิดอยู่สักพัก

 

                        “วันเกิดของเธอ ถ้าจำไม่ผิดเป็นวันที่ 17 มิถุนานิ”  ผมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เธอพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าใช่

 

                        “ก็น่าจะว่าง เพราะผมไม่มีกิจกรรมชมรม ทำไมงั้นหรอ?”  ผมแกล้งถามออกไป ซึ่งก็ได้รับสีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นเป็นการตอบกลับมา

 

                        “เอาน่า.....  นายว่างใช่ไหมล่ะ ดังนั้นแล้วพอถึงเวลานั้นค่อยบอกนายละกัน”  เธอที่เบี่ยงประเด็นคำถามออกไป ซึ่งตอนนี้ดูน่ารักไม่หยอก พ่ววงแก้มสีแดงและกลมป่องท่าทางงอนๆ  ผมจึงคิดว่าเลิกแกล้งเธอดีกว่า

 

                        “งั้นก็บะบายนะ อลิส”  ผมกล่าวกับเธอ  เธอหันหน้ามาหาพร้อมกับคลี่ยิ้มที่แทบทำให้หัวใจผมหยุดเต้น

 

                        “งั้นบะบายจ๊ะ ลอส”  เธอเปิดประตูรถแล้วปิดมันกลับเบาๆ  พลันเดินไปได้ไม่ไกลเธอหันกลับมาพร้อมโบกมือลาเขา  ผมจ้องมองเธอจนลับหายเข้าไปในบ้าน

 

                        บ้านที่มีสีชมพู่อ่อนๆ ซึ่งเหมาะสมกับเธอดี หลังคาสีฟ้าโทนเย็นสบาย ไม่ให้บ้านมันร้อนจนเกินไป  บริเวณหน้าบ้านมีต้นไม้ประดับทั้ง 2 ข้างทางดูรื่นรมย์เย็นสบาย  ผมมองมันด้วยสายตาที่คิดถึงก่อนขับรถออกไป  โดยหารู้ไม่ว่า  เขาก็ถูกจ้องมองมาจากหน้าต่างข้างบนชั้น 2 เหมือนกัน ด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้

 

                       

 

                        ตัวรถสีดำขับผ่านย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร  แสงสีสันจากตึกรามอาคารและสถานบันเทิงเปลี่ยนความมืดในยามรัตติกาลขึ้นทันใด ราวกับแสงนี้มีอย่างไม่รู้จบ  ผมส่ายหน้าเล็กน้อยกับความเป็นอยู่ของคนในกรุงเทพที่เป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน 

 

                        ผมเบื่อกับสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคม ณ ตอนนี้ที่เข้าผับ บาร์ไม่เว้นวัน  เงินต่างๆถูกใช้ไปเพื่อสนองความสุขเล็กๆอย่างเช่นการเที่ยวผับในกลางคืน  ดื่มเหล้าทานเบียร์  และการมีอะไรกับผู้หญิงโสเภณี อาจจะมีสาเหตุมาจากความเครียด ความเหนื่อยล้าสะสมมาจากการทำงานแล้วต้องการที่จะปลดปล่อย  ซึ่งการปลดปล่อยนั้นมันแทบไม่ต่างอะไรกับคนที่เป็นนักกีฬาเลยซักนิด  เต้นร่าด้วยท่าทางอันร้อนแรงที่มาจากเครื่อมดื่มของมึนเมาที่ส่งผลต่อระบบประสาทหรือการพูดคุยสังสรรค์ในเรื่องที่ส่อถึงการคุมคามทางเพศระหว่างฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ที่มีอยู่ทั่วทุกสถานที่ ผู้หญิงก็จะแต่งกายโดยเสื้อผ้าอันน้อยนิดยั่วยุอารมณ์กามของอีกฝ่ายคล้ายกับเป็นสิ่งเร้า

 

                        ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบใจเอาเลยสักนิด  มันแสดงถึงความไม่ดีหรือถ้าจะให้พูดโดยแรงๆก็คือ ต่ำช้า  ซึ่งพวกนี้แทบไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน  สถานบันเทิงต่างๆเกิดขึ้นราวกับดอกเห็ดผุด 

 

                        แต่เขาจะว่าอะไรไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นสิทธิ์ของผู้คนได้มีสิทธิได้รับมัน  ถ้าเขามีเงินก็สามารถทำทุกอย่างได้  แต่อีกอย่างมันก็คืออาชีพของพวกเขา  เขาไม่สิทธิ์ที่จะไปห้ามไม่ให้ทำการค้าแบบนี้ได้ 

 

                        ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อเห็นภาพตรงหน้า  พลางมีเหล่าผู้หญิงจากผับมองมายังที่รถของผม ราวกับผมเป็นลูกค้าพิเศษ ซึ่งผมก็ได้ขับออกไปโดยไม่หันไปมองพวกผู้หญิงนั้นอีกเลย

  

                        กว่าจะมาถึงคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านกลางใจกรุงเทพมหานครโดยใช้ไม่เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมง กับการจราจรที่ติดแน่นจนไม่สามารถขยับได้ 

 

                        “สวัสดีครับ ลุงสมชาย”  ผมกล่าวทักทายยามที่มีอายุแก่กว่าเขามาก  เจ้าของร่างท้วมนามสมชายยกมือขึ้นทำท่าวันทยาหัตถ์อย่างขยันขันแข็ง เมื่อเห็นบุคคลที่เป็นเจ้านายของตนกลับมา

 

                        “คุณหนู วันนี้คุณกลับดึกจังเลยนะครับ...”  ลุงสมชายที่ใส่เสื้อยามตัวสีดำเอ่ยขึ้น ผมเลยเลือกจะยิ้มให้เขากลับไป

 

                        “วันนี้มีเรื่องที่โรงเรียนน่ะครับ  ผมขอไปก่อนนะครับ” ไม่รอช้าผมเหยียบคันเร่งรถก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ขึ้นลานจอดรถ

 

 

                         กริ๊ก

 

                        ประตูห้อง 2004 ถูกเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ  ความมืดจากในห้องนั้น แทบมองไม่เห็นอะไร ร่างของเด็กหนุ่มที่เป็นเจ้าของชั้นนี้และเจ้าของห้องก้าวเดินไปข้างใน 

 

                        “อิสซาเบลล่า เปิดไฟห้องนั่งเล่น” เข้าสั่งการ พร้อมได้รับเสียงตอบกลับมา

 

                        “รับทราบค่ะ มาสเตอร์”  พลันในห้องนั่งเล่นก็สว่างขึ้นมา  ผมเดินเข้าไปซึ่งถ้าใครมาเห็นคงอิจฉากับภาพเบื้องหน้าอย่างแน่นอนที่สุด

 

                                ภาพของห้องที่กว้างโขและยาว พร้อมกับโต๊ะอาหารยาวของยุคสมัยก่อนของชาติตะวันตก  บนโต๊ะถูกปูผ้าด้วยกำมะหยี่สีขาวและวางอาหารมากมายหลายหน้าตา ซึ่งล้วนแต่น่ากินและเป็นของแพงเป็นอย่างมาก  ทีวีจอแบนขนาดใหญ่ถูกติดประดับเอาไว้กับกำแพงด้านหนึ่ง เพื่อเป็นสื่อบันเทิงในขณะที่กำลังทานข้าวอยู่ก็ไม่ปาน  เก้าอี้บุนวมอันสบายที่มีราคาเกือบแสน ข้าวของเครื่องใช้ต่างถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  ถัดไปจากโต๊ะอาหารเป็นผนังที่เป็นกระจกทั้งแผ่นที่ฉายภาพวิวทิวทัศนียภาพแสงไฟจากทั่วกรุงเทพที่ได้เห็นจากที่นี่ 

 

                        “มาสเตอร์  ดิฉันจะเปิดน้ำร้อนแช่เอาไว้ในอ่าง  มาสเตอร์สามารถอาบน้ำได้หลังจากนี้อีก 5 นาที ไท่ทราบว่าท่านต้องการอะไรอีกไหมเจ้าค่ะ?”  เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น บอกเขา

 

                        “เปิดทีวีหน่อยสิ อิสซาเบลล่า” 

 

                        “รับทราบ มาสเตอร์”  เธอรับคำสั่งจากเจ้านายของเธอ พลันทีวีในห้องนั่งเล่นถูกเปิดขึ้นมา โดยไม่มีใครไปแตะหรือจับรีโมต  พลันภาพปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้กำลังรายงานเรื่องสงครามของสองมหาอำนาจของโลก

 

                        “พวกเราได้รับข้อมูลมาจากทางการว่า  อเมริกานั้นได้รับความร่วมมือจากสหภาพโซเวียต ซึ่งพวกเขาคิดจะใช้ระเบิดซาร์ ของสหภาพโซเวียตที่ผลิตขึ้นจะใช้ในสงครามระหว่างญี่ปุ่นและจีนที่ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกต้องร่วมมือกัน ป้องกันการรุกรานของชาติตะวันตก”  เสียงของผู้บรรยายเอ่ยอย่างตื่นเต้น ขนาดที่ด้านหลังของเขานั้นมีกองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกาและโซเวียตรวมกันอยู่นับแสนนาย 

 

                        ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด

 

                        “มาสเตอร์  มีสายจากผู้พันฮายาโตะ เซนจิของญี่ปุ่นที่ควบคุมเหล่ากองทัพทั้งหมดของญี่ปุ่นค่ะ”  อิสซาเบลล่าเอ่ยขึ้น นั่นทำให้เขาคิ้วขมวดจนเข้าหากัน ก่อนจะพูดกับเธอ

 

                        “เอาขึ้นหน้าจอทีวีเลย อิสซาเบลล่า”  ผมกล่าวออกไปทั้งอย่างนั้น พลันภาพของผู้ประกาศข่าวหายไป มีภาพชายหนุ่มวัยกลางคนใส่หมวกสีดำตามแบบฉบับของทหารขึ้นมาแทนที่ บนแขนเสื้อมีสัญลักษณ์ดินแดนอาทิตย์อุทัย เขายกมือทำเคารพอีกฝ่ายที่อยู่นอกจอภาพ

 

                        “ขอโทษที่มารบกวนท่านยามกลางคืนครับ [ศาตราจารย์]”  ฮายาโตะกล่าวกับผมที่ยืนอยู่ ผมวันทยาหัตถ์กลับไปให้อีกฝ่าย  ส่วนเรื่องที่เขาคุยกับอีกฝ่ายรู้เรื่องถึงแม้จะไม่ใช้ภาษาเดียวกัน เป็นเพราะเขาได้ทำการเชื่อมต่อกับอิสซาเบลล่าที่สามารถประมวลผลและแปลภาษาทั้งโลกได้

 

                        อิสซาเบลล่าคือ AI หรือชื่อเต็มๆก็คือ Artificial Intelligence หรือชื่อไทยคือ ปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต มีกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิด ซึ่งจดจำสิ่งต่างๆ มาเป็นรูปแบบของการกระทำ การให้เหตุผล ซึ่งAI นั้นเอาแนวคิดการทำงานของสมองมนุษย์มาใช้  แต่พวกเธอจะไม่มีความรู้สึกและน้ำเสียงราบเรียบราวกับเสียงสังเคราะห์ขึ้นมา  แต่อิสซาเบลล่าสามารถใส่อารมณ์ไปยังคำพูดได้ ซึ่งมาจากการนำเอาสมองของเขาเป็นระบบประมวลความนึกคิดให้กับเธอ

 

                        แต่การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้และจดจำก่อนจะคัดแยกและกลั่นกรองนำมาปฏิบัติใช้  ข้อมูลต่างๆในการดำเนินชีวิตอย่างเช่นภาษาที่ต่างกันหรือการทำอาหารและการกระทำอย่างมีเหตุผล  ซึ่งถูกป้อนใส่เอาไว้ และแน่นอนว่าสิ่งทำให้เธอพิเศษก็คือ…

 

                        เธอเป็น AI ที่มีร่างเสมือนมนุษย์และจนแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์จริงๆ  เพราะเธอมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ต้องรับคำข้อมูลอะไรหลังจากสร้างเธอเสร็จแล้ว เธอเรียนรู้ด้วยตัวเองและมีร่างกายเป็นของตัวเอง

 

                        “คงเป็นเรื่องที่จะทำสงครามระหว่างอเมริกาและโซเวียตละสิ”  ผมชิงพูดตัดหน้าขึ้นก่อน  ณ  ตอนนี้มันก็เลยเวลามา 7 นาทีแล้วที่ผมควรจะลงแช่อ่างอาบน้ำ

 

                        “คุณรบกวนการอาบน้ำของผมอยู่นะ ผู้พัน”  เสียงที่เล็ดลอดมาจากปากของชายหนุ่ม นั้นทำให้อีกฝ่ายชะงักนิ่งไป ความกลัวต่อชายตรงหน้าเริ่มปรากฏขึ้น

 

                        “แต่ชั่งเถอะ  คุณอยากให้ผมช่วยเรื่องระเบิดสินะ?”  พลันบรรยากาศที่เปลี่ยนไปกลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว จนผู้พันฮายาโตะปรับอารมณ์ไม่ทัน

 

                        “ครับผม  ศาตราจารย์ เรื่องที่ทำยังไงก็ได้ให้ระเบิดของผมมีอานุภาพทำลายล้างแรงกว่าของอีกฝ่ายอย่างแทบไม่ติด”  ผู้พันไม่ยอมเสียเวลาเปล่า เขาเข้าเรื่องที่จะคุยทันที เพราะตอนนี้เวลาในการเตรียมตัวกองทัพของเขาแทบไม่เหลือแล้วแม้แต่น้อย ยังดีที่นิสัยของคนญี่ปุ่นมีวินัย ทำให้การจัดกองทัพดำเนินเสร็จไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังประสบปัญหาเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่คงต้องเร่งการผลิต โดยเฉพาะระเบิดที่เป็นไม้ตายในการทำสงคราม

 

                        “....ระเบิดปฏิสสาร....”  ผมเอ่ยขึ้นมาขณะที่ลูบค้างตัวเอง

 

                        “ท่านบอกว่าระเบิดปฏิสสารงั้นหรอครับ?”  เหมือนผู้พันจะตกใจในสิ่งที่เขากล่าว  ระเบิดปฏิสสารเป็นทางออกเดียวที่สามารถทำให้พวกเขาชนะสงครามก็จริง แต่การที่จะรวบรวมอนุภาคให้สามารถทำการระเบิดได้นั้นมันยากมากกว่าอีก

 

                        “ในวิชาฟิสิกส์อนุภาค ปฏิสสาร คือ ส่วนประกอบของแนวคิดเกี่ยวกับปฏิยานุภาคของสสาร โดยที่ปฏิสสารประกอบด้วยปฏิยานุภาคในทำนองเดียวกับที่อนุภาคประกอบขึ้นเป็นสสารปรกติ ตัวอย่างเช่น แอนติอิเล็กตรอน (ปฏิยานุภาคของอิเล็กตรอน หรือ e+) 1 ตัว และแอนติโปรตอน (โปรตอนที่มีขั้วเป็นลบ) 1 ตัว สามารถรวมตัวกันเกิดเป็นอะตอมแอนติไฮโดรเจนได้” เขาอธิบายราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ พลางหยุดเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายคิดตาม

 

                        “ในทำนองเดียวกันกับที่อิเล็กตรอน 1 ตัวกับโปรตอน 1 ตัวสามารถรวมกันเป็นอะตอมไฮโดรเจนที่เป็น "สสารปกติ" หากนำสสารและปฏิสสารมารวมกัน จะเกิดการทำลายล้างกันในทำนองเดียวกับการรวมอนุภาคและปฏิยานุภาค”  เขายังอธิบายต่อไป โดยไม่ได้ดูสีหน้าของอีกฝ่ายที่ตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก

 

                        “ซึ่งจะได้โฟตอนพลังงานสูง (หรือรังสีแกมมา) หรือคู่อนุภาค-ปฏิยานุภาคอื่น เมื่อปฏิยานุภาคเจอกับอนุภาคจะเกิดการประลัย ผลลัพธ์ที่ได้จากการพบกันของสสารและปฏิสสารคือการถูกปลดปล่อยของพลังงานซึ่งเป็นสัดส่วนกับมวลตามที่ปรากฏในสมการความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน     E = mc 2  ”  เขาอธิบายจบ  ผู้พันก็ยกมือขึ้น

 

                        “เรื่องเชิงทางทฤษฏีค่อยว่ากันวันหลังครับ ผมอยากรู้ทำให้ถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่สามารถรวบรวมอนุภาคมากที่เพียงพอกับปฏิอานุภาค มันก็จะไม่เกิดผลตามทีเราคาดหวังเอาไว้นะครับ” ผู้พันเอ่ยด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด

 

                        “งั้นนี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะช่วยคุณก็แล้วกันนะ ผู้พัน”  ผมเอ่ยออกมาจากปาก เพราะผมก็ไม่อยากเป็นฆาตกรรม ถึงแม้ผมคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของควมาสำเร็จของบางคน  แต่ใครบางคนที่ห่างไกลๆอาจจะต้องสูญเสียครอบครัว ประเทศหรือดินแดนอาณาเขต ถึงมือจะไม่เปื้อนเลือดก็ตาม  ทว่าเขาก็เป็นคนที่ช่วยเหลือหรือสร้างอาวุธสงครามให้กับกองทัพ

 

                        ไม่ว่าใครจะมองมุมไหน อาจจะเป็นเรื่องป้องกันตัวจากการรุกรานของฝั่งอเมริกาที่ต้องการทรัพยากรจากฝั่งชนชาติตะวันออก หรือการที่มหาอำนาจญี่ปุ่นและจีนจะค้านความสมดุลของอเมริกาก็ตาม 

 

                        แต่สิ่งที่มีความผิดมากที่สุดอาจไม่ใช่พวกกองกำลังทหาร ผู้บังการหรือหัวหน้าหน่วยสูงสุด แต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังที่พัฒนาหรือสร้างอาวุธอันร้ายแรงที่สามารถระเบิดทวีปหายไปทวีปหนึ่งได้อย่างง่ายดายตั้งหาก

 

                        นั่นคือ.....  ผู้ที่จะชนะสงครามและเป็นผู้ครอบครองโลกอย่างแท้จริง

 

                        บนโลกในตอนนี้ทรัพยากรที่เคยมีมากมายกลับลดลงเหลืองเพียง ไม่ถึง 1 ส่วน 4 ของทั้งหมด สภาพชั้นบรรยาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  พื้นที่ที่แห้งแล้งก็แห้งแล้งมากกว่าเดิม  ภูเขาที่เคยมีน้ำแข็งอย่างเอเวอเรสต์หรือภูเขาน้ำแข็งไอซ์เบิร์กที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ละลายจนแทบหมดแล้ว  น้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นอย่างฉับพลันจนคนส่วนใหญ่คิดว่า น้ำท่วมโลก

 

                        เศษฐกิจของโลกซบเซ้าลงไปมาก  ยกเว้นเพียงประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงที่และมีความเจริญก้าวหน้าต่อไป  เพราะเขาที่วิศวกรอันเก่งกาจ

 

                        “อย่างแรกคุณต้องมีเครื่องเร่งอนุภาค ที่ช่วยในการสร้างพลังงานจากสสาร และใช้ในการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถรวบรวมหรือสลายตัวของมันได้ทันภายใน  15 ชั่วโมง”  ผมเปรยขึ้นมา  ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ว่าไม่สามารถทำได้ทัน

 

                        “ดังนั้นเราจะใช้อะตอมของปฏิสสารและเครื่องชนอนุภาคเฮดรอนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นปฏิอนุภาคและอนุภาค ซึ่งเมื่อทั้ง 2 มาเจอกันมันเกิดพลังการทำลายล้างมหาศาล แต่คุณต้องหาแหล่งกักเก็บพลังงาน มันจะช่วยลดการสลายตัวได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าได้แค่เศษฝุ่นละนะ” 

 

                        “ซึ่งเราจะใช้สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก "ดัน" กลุ่มเมฆ positron และ antiproton มาผสมกัน แล้วดักเก็บ antihydrogen ที่ได้ด้วยสนามแม่เหล็กที่มีขั้วแม่เหล็กล้อมรอบ 8 ทิศทาง พอเดินเครื่องเป็นสักระยะหนึ่ง ก็ปิดสนามแม่เหล็ก ปล่อยให้ antihydrogen ชนกับผนังซึ่งเป็นสสาร” 

 

                        “ก็จะได้ตัวเก็บพลังงาน  แต่ผมขอแนะนำไม่ให้สร้างใหญ่เกินกว่าลูกปิงปองหรือลูกกอล์ฟ เข้าใจไหมครับผู้พัน เพราะคุณก็รู้น่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนี้?”  สุดท้ายผมหรี่ตาลงมองอีกฝ่าย บรรยากาศที่สัมผัสได้ขนาดอยู่ในจอทีวีนั้นทำให้ผู้พันแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยกลืนน้ำลายได้อย่างยากลำบาก

 

                        “ขะ... เข้าใจแล้วครับ ศาตราจารย์”  เข้าทำความเคารพ ก่อนจะไปเขาก็ได้ถามเรื่องที่ค้างคาใจมานาน

 

                        “เอ่อ....  ศาตราจารย์ผมขอล่วงเกินถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”  เขาเอ่ยสิ่งที่อยากรู้มาที่สุด

 

                        “ว่ามาสิครับ ผู้พัน” 

 

                        “หน้าท่านไปโดนอะไรมาครับ?”

 

                        “......”

 

                        “......”

 

                        ความเงียบเข้าปกคลุม 4-5 วินาที ก่อนจะตั้งสติได้อีกครั้ง

 

                        “ก็แค่เด็กเกเรมาแกล้งเท่านั้นเอง....”

 

                        “ ‘เท่านั้นเอง’ หรอครับ?  หน้าของท่านนี่เละจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยนะครับ”  เขาพูดขึ้นมาอย่างหัวเสียไม่ได้ เมื่อเห็นใบหน้าที่ทนมองมาตลอด 10 นาทีกว่า

 

                        “เอาน่า....  ผมมีวิธีรักษาของผมก็แล้วกัน”  ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอารมณ์เสียมานาน ก็ถือว่าได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว

 

                        “งั้นผมขอตัวลาละครับ”  ผู้พันเอ่ย เพราะเขาก็ไม่อยากกวนเวลาว่างของอีกฝ่ายมากเท่าไรนัก เพราะเขาเองก็ไม่อยากเจอสิ่งที่โหดร้ายที่อีกฝ่ายจะทำกับเขา 

 

                        “เดี๋ยวก่อน.....”   ชายหนุ่มคู่บทสนาทนาห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะกล่าวเบาๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมา

 

                        “ชนะให้ได้ล่ะ” 

 

                        “ครับผม!!!”  เขากล่าวอย่างเข้มแข็งก่อนหน้าจอจะหายไปกลายมาเป็นผู้ประกาศข่าวคนเดิม

 

                        “ปิดทีวี อิสซาเบลล่า แล้วก็ออกมาได้แล้ว”  ผมเอ่ยขึ้น  พลันร่างที่แอบอยู่ด้านในของห้องครัวค่อยๆเดินออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

 

                        เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตรงปลายดัดเป็นลอน ดวงตาเป็นสีน้ำเงิน ใบหน้าได้รูป ริมฝีปากเชิดเล็กน้อย คิ้วขมวดเป็นปมราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง เธอใส่ชุดเมดอันน่ารัก มีระบายและโบว์สีแดงติดอยู่บริเวณคอเดินออกมาหยุดยืนตรงหน้าผม  ก่อนที่เธอจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาซับเหงื่อและสิ่งสกปรกบนใบหน้าผมให้อย่างบรรจง

 

                        ถ้าใครบอกว่าเธอเป็น AI คงไม่มีใครเชื่อแม้แต่น้อย.....

 

                        “มาสเตอร์ ดิฉันเตรียมน้ำร้อนเสร็จแล้วค่ะ  ท่านจะชำระร่างกายก่อนหรือจะขึ้นห้องก่อนคะ?”  น้ำเสียงที่อ่อนหวานราวกับดุริยางค์ศิลป์ 

 

                        “ผมขอขึ้นห้องละกันครับ อิสซาเบลล่าจะทานข้าว ทานก่อนได้เลยนะครับ”  ผมพูดกลับเธอเบาๆ ก่อนจะพาร่างของตัวเองเดินขึ้นห้องไป

 

                        ที่คอนโดแห่งนี้ ทุกคนส่วนมากหรือทั้งหมดจะคิดว่ามีแค่ 20 ชั้น ทว่ามันมีชั้นที่ 21 ซึ่งเป็นชั้นแยกออกด้านหน้า แต่ด้วยวิทยาการเทคโนโลยีสมัยนี้  ทำให้เกิดการสะท้อนและหักเหของแสงนั้นมองไม่เห็นห้องนี้

 

                        เมื่อเข้ามาก็พบสิ่งที่เกินคาดมันเป็นห้องที่เรียบง่าย มีเตียงที่ไม่ใหญ่เกินไป ที่ริมหน้าต่างมีชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางเรียงกันจนเต็ม  มีชั้นว่างของตรงข้างหัวเตียง ตรงข้ามกับเตียง ที่ผนังนั้นมีทีวีจอแบนติดอยู่ ข้างๆนั้นมีกระจกบานใหญ่  โดยรวมเป็นห้องที่สะอาดตาและเรียบร้อย

 

                        ผมเดินไปที่หน้ากระจกนั่งลง ก่อนจะมองใบหน้าที่ถูกอัดมาน่วมเละแทบมองไม่เห็นอะไร

 

                        “เฮ้อ.....  อย่างน้อยก็ไม่ใช่หน้าจริงล่ะนะ”  ผมบ่นเล็กน้อยพลางนำมือมาจับต้นคอที่มีรอยอะไรบางอย่าง ผมดึงอะไรบางอย่างที่มันคล้ายกับผิวหนังจนไปถึงใบหน้าออก

 

                        พลันใบหน้าที่ราวกับผู้หญิงเข้ามาแทนที่ ดวงตาสีนิลส่องสว่าง ผมสีดำขลับที่ยาวจนถึงกลางที่ไม่มีผมแตกปลาย ราวกับดูแลมันอย่างดี  ริมฝีปากอันอวบอิ่มและใบหน้าที่เรียวคม มีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด

 

                        ผมขอแนะนำตัวเองสักหน่อย   ผมชื่อ อัสวัส อธิพัฒน์เดชากร มีพ่อที่เป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจโลก ที่ท่านได้ปฏิวัติวงการธุรกิจและอุตสาหกรรม  แน่นอนว่าทุกคนต่างก็คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักบุคคลอันยิ่งใหญ่นี้

 

                        .......อัตวัส   อธิพัฒน์เดชากร......

 

                        แน่นอนว่าถ้าในเรื่องของเศษฐกิจพ่อผมเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง  แต่บางเรื่องและบางอย่างที่ผมมีชื่อเสียงเช่นกัน  แต่บางครั้งผมก็ใช้ชื่อของปู่ในการในการสร้างชื่อเสียงเหมือนกัน เพราะผมติดเรื่องอายุที่ถูกกำหนดเอาไว้ในการกระทำบางเรื่อง 

 

                        ผมรู้สึกเศร้าใจและเป็นความผิดของผมอยู่อย่างหนึ่ง  ซึ่งนั่นคือ ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับซีหรืออลิสฟังเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เรื่องความรวยร่ำหรืออะไรอย่างอื่น  แต่เป็นเรื่องของสายสัมพันธ์ ใบหน้าที่ผมใช้นั่นมันไม่ใช่ใบหน้าจริงๆของผม เหมือนกับเป็นการโกหกพวกเขาและที่อลิสเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผม แต่กลับจำไม่ได้ เพราะพวกเราไม่ได้อยู่จนถึงตอนโต ทำให้ความจำนั้นผิดแปลกไปบ้าง 

 

                        ผมที่ย้ายไปต่างประเทศเพื่อทดสอบความอัจฉริยะ ที่พ่อเห็นแววตั้งแต่เด็ก ผมเรียนจบไฮสคูด้วยอายุเพียง 7 ปีก่อนจะต่อมหาลัยชื่อดังตามประเทศต่างๆ  และแน่นอนความฉลาดของผมมันก้าวกระโดดราวกับไม่มีขีดจำกัดที่ได้รับสืบทอดมายังรุ่นปู่หรือเลยไปมากกว่านั้น  ผมจบได้ประกาศประกาศไปรษณียบัตรมา 5 ใบ และแน่นอนว่าใช้เวลาเพียง 3 ปีก่อนจะจบออกมา  และเนื่องด้วยร่างกายที่กำลังเจริญเติบโตผมก็ถูกผมส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวและศิลปะการต่อสู้ เพื่อให้ผมป้องกันตัวจากอันตรายหรือคนเห็นผมเป็นเป้าหมาย(ถึงแม้ส่วนใหญ่ผมจะใช้ชื่อปู่ก็ตามที)  ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปีในการฝึกให้เชี่ยวชาญจนบรรลุถึงศาสตร์นั้น

 

                        ส่วนที่ผมมาเรียนมัธยมอีกครั้ง เพราะคุณพ่อท่านเป็นห่วงว่าไม่สามารถเข้ากับสังคมหรือใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาได้ จึงส่งผมเข้าเรียนโรงเรียนที่เพื่อนคุณพ่อเป็นผู้อำนวยการอยู่และที่ผมโดนแกล้ง เพราะเป็นคำสั่งของคุณพ่อที่ช่วยดูแลอลิสที่เป็นลูกของผู้อำนวยการให้ที  นั่นทำให้ใบหน้าของอีกคนเกิดขึ้นมานั่นเอง.....

 

                        เรื่องประวัติของผมเอาไว้ก่อนเถอะ.....

 

                        ผมกำลังจะเล่าว่า โลกที่ผมอยู่ในตอนนี้นั้นมันน่าเบื่อสิ้นดี  การทำสงครามระหว่างประเทศใหญ่ยักษ์ผู้กุมอำนาจไม่ให้ฝ่ายใดค้านฝ่ายใด  ทรัพยากรหมดลงไปอย่างรวดเร็วจากการใช้ของมนุษย์ที่ไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมา ความอดยากและยากจนเพิ่มเมื่อพอไม่มีอันจะกิน จึงเกิดการโจรกรรม บางคนอาจถึงขั้นเสียสติจนฆาตกรรมและข่มขืนผู้อื่น เลยทำให้ระดับอาชญากรรมเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว

 

                        ผลทีตามมาคือ วิกฤตการของเศษฐกิจที่พังล้มครืนอย่างไม่เป็นท่า  และต้องการแสวงหาทรัพยากรใหม่ที่ทางตะวันตกใช้กันอย่างประหยัด จึงนำเข้าสู่สงครามที่แก่งแย่งทรัพยากร ถึงฝ่ายหนึ่งจะป้องกันอีกฝ่ายโจมตีก็ตาม

 

                        “น่าเบื่อ......  โลกนี้มันน่าเบื่อ”  ผมพึมพำหลังจากที่ความคิดสับเพเหระติดกันจนวุ่น ก่อนจะหลับตาลงเพื่อสงบสติผ่อนคลาย

 

                        ‘โลกเจ้ามันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรอ?’ 

 

                        ‘ใช่.....  โลกของฉันมันน่าเบื่อสิ้นดี’

 

                        เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว ทำให้เขาผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ พลันลืมตากว้างตกเก้าอี้  เมื่อเพิ่งรู้สึกตัวอะไรบางอย่าง  ในห้องแห่งนี้ไม่มีใครที่สามารถเข้ามาได้นอกจากเขา ผู้เป็นเจ้าของห้อง นอกจากจะมีใครบางอย่างเข้ามาด้วยเหตุผลสื่งที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้หรือก็คือ ผี

 

                        “นายเป็นใคร?.....”  ผมเอ่ยอย่างหวาดระแวงก่อนจะสอดส่องสายตามองไปทั่ว

 

                        “หึหึ....  ชั้นเป็นใครไม่สำคัญ  แต่ว่าโลกของนายน่าเบื่อขนาดนี้เลยหรอ?”  เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง  ทำให้ผมไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไร คงเพราะจะรู้อยู่แล้วที่อีกฝ่ายจะตอบกลับ 

 

                        “ก็ไม่รู้หรอกนะว่านายสามารถทำได้อย่างไรที่เข้ามาในห้องนี้”

 

                        “แต่นายพูดถูก ฉันเบื่อโลกแห่งนี้”

 

                        “แล้วถ้าสมมติว่านายสามารถไปโลกใหม่ได้ที่ไม่ใช่โลกแห่งนี้ล่ะ นายจะไปมันไหม?” 

 

                        “ถ้ามันไม่น่าเบื่อเหมือนโลกนี้ละก็นะ....”  ผมตอบอีกฝ่าย ที่ไม่มีตัวตน

 

                        “งั้นก็จงสนุกกับโลกแห่งใหม่เสียเถอะ” พร้อมกันนั้นปรากฏแสงสว่างที่สาดส่องสว่างไปทั่วห้อง ผมหลบตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง เมื่อแสงว่างจางหายไป พบว่ายังคงยืนอยู่ในห้องของผม เพียงแต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะ

 

                        ‘ก่อนอื่นก็ต้องเป็นพิธีการของโลกนี้ละนะการให้จดหมาย เป็นการเชิญชวนไปยังโลกใหม่’  ถ้าผมฟังไม่ผิดได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายก่อนจะหายไป เสียงนั้นปลิวหายไปกับกับสายลมที่ไม่คิดว่าน่าจะเกิดขึ้นในห้องได้  เพราะหน้าต่างถูกปิดทุกบาน ผมเดินเข้าไปดูมัน พบว่าเป็นจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงเขา  ด้านหลังมีตราประทับสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง  ซึ่งผมอ่านมันไม่ออกและใช้ความคิดทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถระบุอธิบายสัญลักษณ์ชนิดนี้ได้ ก่อนจนใจยอมแพ้

 

                        “นี่อิสซาเบลล่า  เมื่อกี้นี้เธอรู้สึกอะไรแปลกๆไหม”  ผมเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน 

 

                        “ก็ไม่นิค่ะ  ดิฉันไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ มาสเตอร์”  เธอตอบน้ำเสียงตามปกติ

 

                        “แล้วมีใครเข้ามาในห้องนี้หรือเปล่า ตอนที่ฉันไม่อยู่?”  ผมเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง  ถึงคำตอบจะรู้อยู่แก่ใจก็ตาม

 

                        “ไม่มีค่ะ มาสเตอร์”  คำตอบนั้น ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ที่ไม่ได้ยิ้มออกมาเสียนาน

 

                        “หึหึ....  น่าสนุกดีนี่”   ก่อนเข้าจะเดินลงไปห้องอาบน้ำเพื่ออาบน้ำโดยไม่สามารถหุบยิ้มได้

 

                     

 

                        ยามรัตติกาลที่เข้ามาเยือนแทนที่กลางวัน  เหล่าผู้คนต่างเข้าสู่นิทราพักผ่อนเพื่อในวันรุ่งขึ้นพวกเขาต้องทำงานกันอีกครั้ง  ทว่าก็มีบางอาชีพที่ต้องทำในช่วงเวลากลางคืนเช่นกัน  ร่างของใครบางคนที่วิ่งหนีอะไรบางอย่าง อย่างเอาเป็นเอาตาย วิ่งชนทุกคนอย่างราวกับตื่นกลัวสิ่งที่กำลังไล่ล่าตามหลังมา

 

                        เสียงโครมครามต่างสิ่งที่ร่างนั้นชน ไม่ได้ปลุกให้ผู้คนตื่นขึ้น ร่างท้วมๆของเขาวิ่งหนีราวกับเป็นเหยื่อที่แสนอันโอชะของผู้ไล่ล่า

 

                        เวลาที่ผ่านไปไม่กี่นาทีกลับยาวสำหรับผู้โดนไล่ล่า  เขาหนีเข้าซอยต่างๆนานา ทะลุออกมายังถนนสายเดิมที่ยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหากรู้ไม่ว่าเขากำลังวิ่งวนรอบอยู่กับที่ คงเพราะขาดสติความนึกคิดไปแล้วแน่ๆ  ในที่สุดเขาวิ่งเข้ามายังซอยที่เป็นทางตัน  พลางน้ำตาไหลรินอย่างไม่ขาดสาย  เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

 

                        “ขอร้องล่ะ  ปล่อยชั้นไปเถอะนะ”  น้ำเสียงที่เป็นลักษณะของผู้ชายเอ่ยขึ้น พร้อมกับร่างสีดำทมิฬยืนอยู่เบือนหน้าเมื่อไรก็ไม่รู้  แสงจากไฟข้างทางที่ส่องเงาฉาบฉายที่ขนาดใหญ่และยาวดูน่ากลัวอย่างมาก  ร่างนั้นไม่ขยับเขยื้อนราวกับกำลังรอคำพูดอะไรบางจากชายหนุ่ม

 

                        “ก็ได้ ชั้นฆ่าเด็กคนนั้น เพราะเอาค้อนมาทุบหัวชั้นไม่ให้ออกไปดื่มเหล้า ชั้นเลยจัดการฆ่ามัน ขอร้องล่ะ ชั้นบอกความจริงไปแล้ว ปล่อยชั้นไปเถอะ”  คำสารภาพออกมาปากชายหนุ่มและวิงวอนขอร้องชีวิตจากอีกฝ่าย ที่ตอนนี้เขาเห็นเป็นมัจจุราชกำลังเอาวิญญาณเขาไป

 

                        “ทั้งที่เด็กนั้นคือลูกของคุณ?”  เสียงสูงดังออกมาจากชุดคลุมนั้น ก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบอะไรบางอย่าง

 

                        “แล้วทำไมว่ะ  มันไม่ใช่เรื่องของแกสักหน่อย  มันคือลูกของชั้น ชั้นก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรมันก็ได้!!”  ชายหนุ่มตะโกน ความกลัวต่อความตายเริ่มหายไป ก่อนเขาจะลุกขึ้น ภาพเบื้องหน้าของเขานั้นก็ตีลังกากลับหัว ความสงสัยอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะเห็นน้ำพุ่งสีแดงสดที่พุ่งมาจากคอของเขา กว่าจะมารู้ตัวก็สายไป เมื่อเขาตายไปแล้ว

 

                        ร่างที่อยู่ในชุดคลุมสลัดคราบเลือดที่ติดบนใบดาบสีเงิน ก่อนจะเก็บเข้าฝักแล้วกระโดดขึ้นด้านบนตึก

           

                        “ข้ามารายงานตัวแล้วค่ะ ”  เสียงของใครบางคนดังขึ้น ขณะที่เดินเข้ามา ในห้องที่ดูมืดสนิท

 

                        “เธอทำได้ดีมาก ไฟท์ ตอนนี้ขอให้เธอกลับไปพักผ่อนซะนะ”  เสียงของผู้ทรงอำนาจในห้องกล่าวขึ้น เธอพยักหน้ารับแล้วเดินกลับออกไปทางที่เข้ามา

 

                        ซ่า ซ่า ซ่า...........

 

                        เสียงน้ำที่กระทบกับพื้น น้ำที่ไหลผ่านร่างกายอันเย้ายวน เธอนำมือมาสระผม เพื่อชำระล้างกลิ่นคาวเลือดที่ติดมา  เธอปิดก๊อกน้ำก่อนเดินออกมาส่องกระจกที่สะท้อนร่างกายอันเปลือยเปล่าของเธอ

 

                        นัยน์ตาสีดำและผมสีดำเฉกเช่นเดียวกัน หมอกควันจางๆที่เกาะอยู่บนกระจก เธอนำนิ้วมืออันเรียวงามปาดมันออก  ริมฝีปากที่เผยอขึ้นไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ดวงตาสีดำที่คล้ายกับคนตายจ้องมองตัวเองที่กำลังสะท้อนกระจก

 

                        พลันนึกถึงตอนที่เธอสังหารชายหนุ่มคนล่าสุด  การวิงวอนขอร้องให้มีชีวิตอยู่ต่อ ความกลัวต่อความตายเกิดขึ้นในดวงตาของเขา  ความรู้สึกทุกอย่างผสมปนเปไปในดวงตาผู้ที่อยากรอดชีวิต  ทว่าเธอตอนที่เธอสังหารเขา ไม่แน่ว่าเธอไม่ได้กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ

 

                        บางทีต่อมน้ำตาของเธอมันอาจแห้งคอดไปแล้วก็เป็นได้ ฆ่าคนด้วยไร้ความรู้สึก  แม้แต่น้ำตาหยดเดียวมันไม่รินไหลออกมา

 

                        แต่ก็ยังดีที่เธอไม่ได้วิจริตชอบการฆ่าฟัน รู้สึกสนุกของการฆ่าคนราวกับเป็นผักปลา เธอคิดว่ามันเป็นบาปของเธอเสียด้วยซ้ำ

 

                        ซึ่งเธอจำไม่ได้แล้วว่า เธอฆ่าคนมากมายมาแล้วกี่ศพ แต่ศพแรกที่เธอฆ่านั้นจำได้เป็นการดีและเป็นการเบิกทางสู่การเป็นนักฆ่า  ซึ่งมันมาจากการที่เธอจะแก้แค้นให้กับแม่ของตัวเองที่โดนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม  ข่าวหน้าหนึ่งในวันนั้นคือ ศพของหญิงสาวที่ถูกเสียบหัวประจานต่อสาธรณชน โดยมีเด็กน้อยร้องไห้อยู่ใกล้ๆ  หลังผ่านไปได้สองปี เธอได้รับข้อมูลที่อยู่ของคนที่ฆ่าแม่ของเธอ  ซึ่งคนนั้นเป็นผู้ชายที่ฆ่าแม่ของเธอเพื่อเอาเงินไปเสพยา  ดังนั้นเธอเลยฆ่าผู้ชายคนนั้น เป็นการฆ่าคนครั้งแรกโดยไม่มีความรู้สึกผิด ก่อนที่ได้รับเชื้อเชิญจากองค์กรนี้ที่เห็นพรสวรรค์ในการฆ่าของเธอ เป็นองค์กรที่น่าขยะแขยง แต่ก็เป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถพูดออกมาได้  เรียกว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอ เพราะเธอไม่มีที่ไป

 

                        และเมื่อเธอฆ่ามากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกมันชินชาไปเสียแล้ว เหมือนกับว่ามีชีวิตเพื่อฆ่าคนอื่น ใช้อำนาจของตัวเองให้มีสิทธิ์เหนือผู้อื่น ฆ่าใครก็ได้ที่เห็นมีความผิด แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่าง ลักขโมยหรืออะไรอย่างอื่นก็ตาม  นับวันองค์กรนี้เริ่มพังทลายลง แต่เธอก็ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้  เธอถูกชุบเลี้ยงมาราวลูกในไส้ของหัวหน้าองค์กร

 

                        จนกระทั่งมาผู้เคราะห์คนสุดท้าย ที่เธอเห็นดวงตาของเขา การกระทำซ้ำวนไปเรื่อยๆราวกับไม่มีที่สิ้นสุด   เธออยากเลิกเป็นนักฆ่า  ที่จริงความรู้สึกนี้มันเกิดมาตั้งนานแล้ว แต่เธอเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เชื่อว่าสักวันเธอคงกลับเป็นคนปกติได้  ทว่าความจริงนั้นช่างน่าเศร้า  เธอไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตหญิงสาวตามปกติได้    แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ฝันว่าคงจะมีสักวันที่เธอได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง  เพราะยังไงเธอก็คือเด็กสาวอายุ17 ปีเพียงเท่านั้นเอง....  

 

                        “น่าเบื่อ น่าเบื่อ ชีวิตนี้ช่างน่าเบื่อ.....”  เธอพึมพำก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาปกปิดร่างกายอันเย้ายวนก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำ  พลันไม่ได้รู้สึกถึงไอควันมากมายมหาศาลที่รวมกลุ่มอยู่ในห้องน้ำเลยแม้แต่น้อย

 

                        เธอเดินไปนั่งขอบเตียงนอนกำลังจะล้มตัวลงไปนอน พลันสายตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นเหมือนกับสัญชาตญาณจับอะไรบางอย่างที่ผิดปกติได้

 

                        “ออกมาซะ  ฉันรู้ว่านายอยู่ที่นี่....”  เอ่ยราบเรียบเอ่ยขึ้น  พริบตากลุ่มควันขนาดใหญ่ที่ลอยติดเพดานลอยเข้ามาใกล้ จนเธอเผลออุทานอย่างลืมตัว

 

                        “เธอรู้สึกถึงฉันได้ด้วยงั้นหรอ?” อีกฝ่ายแปลกใจเล็กที่เธอรู้ตัวก่อนหน้านั้นแล้ว

 

                        “ฉันรู้ตั้งแต่เดินออกมาจากในห้องน้ำแล้ว”  เธอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก พลันอีกฝ่ายระเบิดเสียงหัวเราะ

 

                        “นายหัวเราะอะไร รีบๆเข้าเรื่องเถอะน่า คงไม่ได้จะมาแค่ทักทายกันตามปกติสินะ”  ประสบการณ์การฆ่าฟันหล่อหลอมให้เธอเป็นคนระวังตัวเอาไว้เสมอ  ซึ่งถ้าอีกฝ่ายแสดงตัวเป็นศัตรูปานนี้เธอคงจะไม่มานั่งอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน  เธอเลยได้แต่เก็บความเจ็บใจเอาไว้

 

                        “ก็เธอมีความสามารถมากเลยนิน่า” เสียงดังออกมาจากกลุ่มควันเมฆ  วึ่งเธอไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาจากที่ไหนเลย นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมาก แต่มันก็ธรรมดาสำหรับความรู้สึกชินชากับการฆ่าของเธอ

 

                        “สมมติว่าเธอสามารถไปโลกใหม่ได้ เธอจะไปมันไหม?” คำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างตรงประเด็น เธอตกใจเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายคำถามนี้ออกมาราวกับว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วคำตอบที่จะตอบออกมาปากของเธอ

 

                        “แน่นอนสิ ถ้ามันสามารถทำให้อารมณ์ของฉันที่ชินชากลับมาตื่นเต้นได้อีกครั้ง ฉันก็จะเลือกที่ไป”  เธอตอบโดยไม่ความลังเล 

 

                        “เธอได้รับสิทธิ์เดี๋ยวนี้”  อีกฝ่ายกล่าวจบ กลุ่มควันขนาดใหญ่ค่อยๆรวบบีบอัดเข้าไปจนเกิดปรากฏการณ์ฝนตกขนาดย่อย ฝนอย่างตกเนื่องจนกลุ่มควันนั้นกลายเป็นน้ำ น้ำที่กองอยู่บนพื้นถูกแรงอะไรบ้างอย่างดูดเข้าหากันกลายเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าจ่าหน้าซองถึงเธอ

 

                        เพียงปรากฏการณ์นั้นที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ ความรู้สึกที่เฉยชาค่อยๆแตกออกทีละน้อย แต่ก็ยังคงความเย็นชาเอาไว้ ซึ่งเธอแผ่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าก่อนจะผลอยหลับไปในที่สุด

 

               

 

                        “ข้ากลับมาแล้วค่ะ ท่านอาจารย์”  เสียงร่าเริงดังขึ้น หลังจากนั้นก็มีร่างของหญิงสาวมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจุดที่คาดว่า ผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์ยืนอยู่

 

                        “วันนี้ข้าได้ปลาตัวใหญ่ด้วยแหละ”  พริบตาร่างของปลาชนิดหนึ่งตกลงมาสู่อากาศ ผู้เป็นอาจารย์ขยับคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางขยับตัวหลบไปด้านขวาหนึ่งก้าว  จุดที่ปลาตกลงมานั้นคือจุดที่อาจารย์เคยยืนอยู่นั่นเอง

 

                        “ดูเหมือนเจ้าจะเก่งขึ้นมากเลยนะ”  น้ำเสียงอันแหบแห้งของอาจารย์เอ่ยขึ้นราวกับเห็นการพัฒนาการของเด็กสาว

 

                        “ก็ข้ามีอาจารย์แสนเก่งกาจนิน่า”  เธอวิ่งร่าเข้าไปกอดอาจารย์ที่เป็นคนเลี้ยงดูเธอ ก่อนเธอจะขอไปอาบน้ำที่มีกลิ่นคาวปลาติด

 

                        อาจารย์ส่งสายตามองไล่หลังของเธอจนลับตา ก่อนหวนนึกเหตุการณ์เมื่อครั้งแรกที่เขากับเจอได้เจอกัน

 

                        ร่างของหญิงสาวที่ร้องไห้ในกระท่อมแห่งหนึ่งบนภูเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ร่างที่ถูกปนเปื้อนไปด้วยมลทิน พวกผู้ชายทั้งหมดในหมู่บ้านต่างเบียดเสียดผลัดวันมาเล่นกับเธอราวเป็นของเล่นราคาถูก  อารมณ์ในกามนั้นยากเกินที่จะห้ามใจไว้สำหรับร่างของเด็กสาวที่ราวกับดอกไม้แย้มบานครั้งแรก  ปลุกสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ไม่รู้จักความนึกคิด  เธอโดนเรื่องอย่างว่าแบบนั้นทุกวันๆ กระทั่งตอนเช้า กลางวันและเย็น ราวกับไม่ให้พักผ่อนร่างกาย เธออยู่แบบนั้นมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ก่อนที่เขาจะไปช่วยเธอ หลังจากที่มีคนในหมู่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมอันต่ำช้าราวกับเดรัจฉาน  เขาฆ่าพวกนั้นทั้งหมดก่อนจะเดินไปหาเธอด้วยสายตาที่รู้สึกสงสารและยืนมือไปให้เธอ ช่วยเธอออกจากขุมนรกแห่งนั้น

 

                        เธอตกลงกับเขาที่พาจะเธอออกไป และยอมสอนวิชานินจาให้กับเธอเพื่อป้องกันเอาไว้ตัวเองและดำเนินชีวิต ถ่ายทอดวิชาการฆ่าฟันที่ย้ำกับเธอว่าห้ามใช้มัน ห้ามใช้ในการฆ่าคน ใช้มันได้ก็ต่อเมื่อในยามจำเป็นเท่านั้น ด้วยความอัจฉริยะของเธอทำให้เรียนจนสำเร็จวิชาได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจหายและกลายเป็นหนึ่งในนินจาที่เก่งที่สุดรองจากเขา

 

                        เขาสลัดความทรงจำอันเจ็บปวดก่อนจะเดินลับหายไปในบ้าน….

 

                        ฮึม ฮือ ฮึม  ฮึม ฮือ ฮื้อ

 

                        เสียงฮัมเพลงอย่างสบายอามรณ์ของหญิงสาวผู้มีดวงตาสีอำพัน เธอยกมืองอันเรียวงามขึ้นมาดู ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นฟ้าที่มีหมู่ดวงดาวประดับเอาไว้ ราวกับจะคว้าอะไรบางอย่าง   บ่อน้ำร้อนกลางแจ้งที่แยกระหว่างบ่อชายและหญิง

 

                        “เฮ้อ....  แช่ในบ่อน้ำร้อนนี่มันคลายอาการปวดเมื่อยได้เสียจริง....”  เธอเอ่ยกับตัวเอง ก่อนที่ดวงตาจะหม่นลงเมื่อหวนนึกถึงความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นกับเธอตั้งแต่ก่อน

 

                        เธอเป็นมิโกะแห่งศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ทิศเหนือของสภาพภูมิอากาศอบอุ่น  เธอเคยเป็นสิ่งสักการะของทุกคนในหมู่บ้าน ซึ่งเธอได้รับการเป็นมิโกะมาจากท่านแม่ที่เป็นมิโกะก่อนหน้า ความสงบสุข ความเจ็บได้ไข้ป่วย การเพาะปลูกและอื่นๆ ต่างมาให้เธอช่วยเหลือ สีหน้าที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขนั้นคือสีหน้าเธอชอบมากที่สุด  เธอยากเป็นแบบท่านแม่ของเธอที่ได้รับการสักการะอย่างยิ่งใหญ่  คงเพราะเธอสืบเชื้อสายคนทรงเจ้า ทำให้เธอต้องมาเป็นมิโกะตั้งแต่อายุยังน้อย  ซึ่งตอนแรกเธอทำเพราะมันสนุก แต่ตอนหลังเธอทำเพราะความสุขของชาวบ้าน ความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นมันให้หัวใจของเธอพองโต  ทว่าความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเธอไม่สามารถรักษาชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ถูกปีศาจเข้าสิงเอาไว้ได้  ทำให้ความน่าเชื่อถือของเธอลดลง พวกชาวบ้านก็ไม่มาสักการะเธออีกต่อไป  และตอนหลังเธอก็ได้รับรู้มาว่า เธอถูกเนรเทศ จากคนในหมู่บ้าน ท่านแม่พยายามเกลี่ยกล่อมท่านพ่อแต่ไม่สำเร็จ ท่านพ่อก็อยากช่วย แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะผิดกฏต่อตระกูลและทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้  ดังนั้นเธอตัดสินใจออกจากหมู่บ้านเอง เพื่อรักษาชื่อเสียงในตระกูล

 

                        ซึ่งเธอก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำ ถ้ามันทำให้ชาวบ้านมีความสุข  ทว่าหลังจากนั้นไม่นานความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป เมื่อเธอถูกโจรป่าจับไปขายให้กับพ่อค้าทาสที่อยู่ดินแดงห่างไกลและเปลี่ยนมือไปเรื่อย  ก่อนจะมาจบลงที่เศรษฐีรายใหญ่คนหนึ่ง และทุกๆครั้งที่ถูกเปลี่ยนมือคล้ายมือสอง ที่ใช้แล้วทิ้งพวกนั้นก็จะเล่นกลับร่างกายอันเย้ายวนของเธอ

 

                        สุดท้ายเธอทนไม่ไหวจึงหนีออกมา  เดินลงใต้ไปเรื่อยๆพลางแวะหมู่บ้านเที่ยวขออาหารให้อญู่รอดไปวันๆ  ก่อนจะมาเจอพวกนายพรานที่มีนิสัยอันป่าเถื่อนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  พวกผู้ชายทั้งหมดในหมู่บ้านเป็นนายพรานผลัดกันเข้ามาแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 5 คน จนเธอทนไม่ไหวหนีออกจากหมู่บ้าน แต่ก็โดนจับตัวกลับมาได้ ขังเธอเอาไว้ในกระท่อมหลังหมู่บ้าน ไม่ให้อาหารและน้ำ  เธออยู่รอดมาด้วยน้ำอันโสมมของพวกนั้น ขังไม่ได้ให้เห็นแม้แต่แสงสว่าง ความบริสุทธิ์ของเธอถูกย่ำยีราวกับของเล่นพังๆชิ้นนึง  แต่น่าจะเป็นเพราะเธอมีเชื้อจากคนทรงเจ้าเลยทำให้อยู่รอดจนมาถึงเดือนนึง

 

                        ความรู้สึกเกลียดผู้ชายเริ่มปรากฏในจิตใจ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ในจิตใจ เนื่องจากเธอไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ เธออ่อนแอราวกับลูกไก่ในกำมือ ก่อนได้รับความช่วยเหลือที่เหมือนกับแสงสว่างอบอุ่นจากชายชราคนนั้น

 

                        ซึ่งก็คือ อาจารย์ของเธอนั่นเอง......

 

                        บางครั้งเธอก็เคยคิดหลังจากที่ประสบการณ์อันโหดร้ายนี้สั่งสมมา  เธออยากหายไปจากโลกนี้ อยากโลกที่ไม่มีใครรู้จัก โลกที่เป็นอิสระ ไม่โหดร้ายแบบโลกนี้ที่เธออยู่  เธอไม่อยากให้ใครมาเปรอะเปื้อนสิ่งมลทินแบบเธอ

 

                        “อยากหายไปจากโลกนี้จัง” เธอพึมพำเบาๆ ก่อนเอาใบหน้าลงไปแช่น้ำ แล้วเป่าฟองอากาศ สลัดความทุกข์ใจให้ออกไป

 

                        “หืม...  เธออยากหายไปจากโลกนี้งั้นหรอ?”  เสียงที่ล่องลอยมากับอากาศ นั่นทำให้เธอได้สติก่อนจะคว้าผ้ามาพันร่างกาย

 

                        “นั่นใครน่ะ?”  เธอกล่าวออกมาเสียงดัง  อีกฝ่ายแค่แค่นหัวเราะเบาๆ

 

                        “ถ้ามีโลกใบนั้นอยู่ เธอจะว่ายังไง อยากไปไหมล่ะ?” อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเธอ พลางเปลี่ยนหัวเรื่องคุย  เธอนิ่งค้างไปกลับคำพูดของอีกฝ่าย 

 

                        “โลกที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเธอ เธอจะทำอะไรก็ได้เป็นอิสระ ไร้ข้อผูกมัด ไม่มีเรื่องที่โหดร้ายที่เธอเคยเจอมาแน่ เป็นโลกที่ความฝันและความจริงจะมาบรรจบกัน”  ประโยคสุดท้ายเธอไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไร  แต่ถ้ามันมีโลกแบบนั้นจริง เธอคงตอบรับไปอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน

 

                        “ถ้ามันมีจริงๆละก็..... ฉันไปตามที่คุณต้องการเลย คุณสายลม”  เนื่องจากเธอไม่รู้อีกฝ่ายเป็นใคร จึงตอบไปตามที่เห็น  เธอเป็นเด็กที่อายุไม่เกิน 17 ปีเท่านั้นคิดอะไรที่ยากเกินหรือไม่รู้เธอก็ไม่เข้าใจ

 

                        “คำตอบของเธอนั้น ได้รับเรียบร้อยแล้ว”  พลันสายลมกรรโชกแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มันพัดผ่านวูบหนึ่ง หอบกลีบซากุระชมพูที่อยู่บนต้นไม้  สายลมขนาดเล็กหมุนวนอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนที่กลีบซากุระมารวมกันก่อตัวกันเป็นอะไรบางอย่าง ซึ่งเมื่อมองอย่างชัดเจนแล้วมันคือจดหมายสีชมพูจ่าหน้าซองถึงเธอ

 

                        “ที่จริงเธอต้องได้จดหมายสีขาว แต่ถือว่าเป็นของแถมเล็กน้อยก่อนจะจากไปก็แล้วกัน.....”   สายลมที่ลูบไล้ก่อนจะผ่านไปที่ข้างหู มันกระซิบเล็กน้อยก่อนจะหายไป  ซึ่งถ้าเธอฟังไม่ผิดได้ยินที่มันพูดอะไรบางอย่างด้วย…..

                        “ขอให้สนุกกับโลกใหม่นะ คุณหนู” 

 

 

 

                        เช้าวันใหม่เข้ามาเยือน แสงจากพระอาทิตย์ส่องสว่างลอดมาทางหน้าต่างปลุกสติของชายหนุ่มให้ขึ้นมาจากการหลับใหล  ใต้ดวงตาของเขาสีดำคล้ำ บ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้นอนแม้แต่น้อย 

 

                        “ชิ...  ข่มตายังไง มันก็ไม่หลับ นี่เราสนใจจดหมายขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”   เสียงชายหนุ่มที่เอ่ยพันขึ้นมา เขาขยับร่างกายอันสมส่วนลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอันแสนนุ่มของเขา  สายตาเหลือบมองจดหมายที่วางอยู่บนราวกับโดนมันดึงดูดไม่อาจละสายตาไปได้  ก่อนเลิกสนใจเพื่อลงไปอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวตามประจำก่อนจะกลับขึ้นมาพลิกซองจดหมายนั้นไปมาแล้วเปิดอ่านอีก 30 นาทีให้หลัง

           

                        เธอที่มีผมสีดำขลับ นั่งท่าพับเพรียบ ดวงตาสีดำจดจ้องจดหมายที่อยู่เบื้องหน้ามานานกว่า ชั่วโมงหนึ่ง  ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อเจ้ากลุ่มควันนั้นที่พูดขึ้น  แต่เธอกำลังอดทนรออะไรบางอย่าง  ราวกับมีสิ่งที่ดลใจให้เธอต้องทำแบบนั้น  ก่อนที่เธอจะหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดอ่านซะอย่างนั้น

 

                        เธอที่มีผมสีน้ำตาลเป็นลอนกำลังดูจดหมายอยู่ในมือราวกับช่างใจว่าจะเปิดมันดีหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดอ่านเสียอย่างนั้น

 

 

 

                        ‘ถึงคุณอัสวัส  อธิพัฒน์เดชากร   เหล่าผู้ถูกเลือกด้วยพระเจ้าแห่งโลกใหม่ที่ท่านกำลังจะไปนี้ 

 

                        หากท่านมีความแประสงค์ต้องการอิสรภาพ ความตื่นเต้นเร้าใจ หรือเบื่อกับโลกเดิมๆที่ไม่ต้องการ หาความสนุก  หากท่านสิ่งเหล่านี้

 

                        ก็จงละทิ้งสายสัมพันธ์ ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง อำนาจที่ท่านมีหรือสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น แล้วเข้าสู่โลกใบใหม่

 

                        นามนั้นคือ.....   The  World of  Dungeon ’ 

 

                        พริบตาแสงก็สว่างมาจากจดหมายนั้นสว่างไปทั่วห้องจนผมต้องหลับตาลง เหมือนกับมีแรงดึงดูดอย่างบางอย่างดูดเข้าไปในจดหมายนั้น  ก่อนสว่างค่อยๆจางลง กลับมาเป็นเหมือนเดิม ร่างของเจ้าของห้องก็หายไปเสียแล้ว

 

                        มีเพียงคำพูดที่มากับสายลมว่า.....

 

                        “ฉันคงกับเธอไม่ได้แล้วล่ะ อลิซ และลาก่อนนะ อิสซาเบลล่า” 

 

                       

 

                        ‘ถึงคุณแองเจลิน่า เฟเรเดล   เหล่าผู้ถูกเลือกด้วยพระเจ้าแห่งโลกใหม่ที่ท่านกำลังจะไปนี้ 

 

                        หากท่านมีความแประสงค์ต้องการอิสรภาพ ความตื่นเต้นเร้าใจ หรือเบื่อกับโลกเดิมๆที่ไม่ต้องการ หาความสนุก  หากท่านสิ่งเหล่านี้

 

                        ก็จงละทิ้งสายสัมพันธ์ ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง อำนาจที่ท่านมีหรือสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น แล้วเข้าสู่โลกใบใหม่

 

                        นามนั้นคือ.....   The  World of  Dungeon ’

           

                        พริบตาแสงสว่างส่องกระทบเข้าไปใบหน้าที่มีสีหน้าอย่างตื่นเต้น  เมื่อสว่างจบลง ก็ทิ้งสถานที่นั้นไว้เหลือแต่ความมืดเท่านั้น

 

 

 

                        ‘ถึงคุณมิโยโกะ ซากุระ  เหล่าผู้ถูกเลือกด้วยพระเจ้าแห่งโลกใหม่ที่ท่านกำลังจะไปนี้ 

 

                        หากท่านมีความแประสงค์ต้องการอิสรภาพ ความตื่นเต้นเร้าใจ หรือเบื่อกับโลกเดิมๆที่ไม่ต้องการ หาความสนุก  หากท่านสิ่งเหล่านี้

 

                        ก็จงละทิ้งสายสัมพันธ์ ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง อำนาจที่ท่านมีหรือสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น แล้วเข้าสู่โลกใบใหม่

 

                        นามนั้นคือ.....   The  World of  Dungeon ’

 

                        แสงสว่างจ้าเกิดขึ้น เธอคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเธอกำลังจะหายไปจากโลกนี้โดยไร้รู้สึกความกังวล  เมื่อแสงจางหาย ก็ไม่พบใครที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีกเลย

 

 

 

 

 

                                       -------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา