The World of Dungeon นี่นะหรือคือโลกดันเจี้ยน?

8.3

เขียนโดย Cristena

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.34 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,267 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 22.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Prolugue

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               ลอซหรือลูซ เด็กหนุ่มหน้าสวยเบื่อกับโลกของเขา วันหนึ่งได้รับการเชิญชวนจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นพระเจ้า "จงละทิ้งสายสัมพันธ์ เพื่อนฝูง อำนาจทุกอย่าง...." แล้วมาสู่โลกใบใหม่ นามนั้นคือ....
The World of Dungeon

 

*** เรื่องนี้คนเขียนได้แต่งที่ Dek-d และเอามาลงที่เว็บขีดเขียนนี้ ซึ่งจะทยอยลงให้อ่านครับ ซึ่งอ่านจะอ่านก่อน คลิกลิ้งค์นี้ได้เลย http://writer.dek-d.com/9121522521/writer/view.php?id=1260407  กดไลค์ กดแชร์และคอมเม้นต์เป็นกำลังให้กับไรท์เตอร์ด้วยนะครับ ^^

 

 

 

                         -------------------------------------------

 

                       

                        ภายในความมืดที่เงียบสงบยามราตรี ร่างของใครบางคนที่พุ่งออกมาจากป่าแห่งหนึ่ง ความมืดอันเงียบเชียบสื่ออะไรบางอย่างแก่ร่างนั้นราวกับว่า ไม่มีใครอยู่ ณ ที่แห่งนี้  แสงจันทร์จากบนท้องฟ้ายามค่ำคืนกลางเหล่าหมู่ดวงดาวที่ส่องสว่างระยิบระยับราวทอดยาวลงมา เหมือนกับเป็นแสงนำทางให้แก่บุคคลนั้น

 

                        ถึงจะมีแสงสว่างที่คอยสาดส่องลงมา แต่ทว่ากลับไม่สามารถส่องเข้าไปเห็นใบหน้าที่สวมฮู้ดปิดหน้านั้นได้   ร่างนั้นเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อทิวทัศน์และพื้นที่กำลังเหยียบย่ำนั้นเป็นพื้นทุ่งหญ้ากว้างเปิดโล่ง  มีสายลมอ่อนๆที่พัดผ่าน

 

                        ก่อนจะมีร่างของใครบางคนอีกคนที่พุ่งออกมาจากป่าเฉกเช่นเดียวกับเขา  ที่มองร่างนั้นแรกนั้นราวกับเป็นเป้าหมายที่ต้องจับให้ได้   ความต่างกันพลังได้แสดงผล  ร่างของบุคคลที่ตามหลังมาค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆอย่างกระชั้นชิด จากกระยะห่างเป็นร้อยกว่าก้าว 

 

                        ก่อนที่ร่างแรกนั้นจะกระทืบเท้าลง เพื่อหยุดร่างของตัวเองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าเบื้องหน้าของเขานั้นเป็นหุบเหวลึกที่มองก้นเหวไม่เห็น ซึ่งไม่อาจทราบได้เมื่อกันว่ามันลึกเท่าไร แต่ก็ลึกมากที่จะสามารถฆ่าเขาได้ถ้ากระโดดลงไป

 

                        แน่นอนว่า..... ไม่มีใครโง่พอที่จะโดดลงไปอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่ร่างนั้นที่กำลังมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก  ซึ่งมันคือ  ตัวเลือกสุดท้ายที่เขาจะเลือกใช้......

 

                        “ท่านหมดทางนี้แล้ว ท่านอาจารย์”

 

                         เสียงที่ดูราบเรียบราวกับไร้อารมณ์ความรู้สึกดังมาจากร่างที่สวมเสื้อคลุมซอมซ่อสีน้ำตาลแก่  เอ่ยถึงอีกคนที่หยุดอย่างกะทันหัน  ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า [อาจารย์] ไม่หันมาทางเขาแม้แต่น้อย สายตาสีแดงทอประกายแสงอ่อนๆกำลังจับจ้องมองไปยังหุบเหวลึกที่อยู่เบื้องหน้า

 

                        เขาถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ ราวกับรับรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยและเบื่อๆ

 

                        “แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าอย่างนั้นรึ  ศิษย์รัก”  เมื่อเขารู้ตัวเองแล้วว่าไม่สามารถกระโดข้ามไปยังอีกฝั่งได้ที่ยาวถึงสามสิบเมตรกว่า เลยตัดใจแล้วหันไปหาอีกฝ่ายเพื่อชวนคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยอย่างไม่ใส่ใจนัก 

 

                        “ข้าคงต้องจัดการท่านตรงนี้เสียแล้ว”  ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินดุจเม็ดอความารีนเอ่ยดวงตาสีทอประกายอย่างโกรธเกรี้ยวแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดราวกับว่าอีกฝ่ายทำความผิดร้ายแรงอย่างมหันต์ก็ไม่ปาน

 

                        “คงต้องเป็นแบบนั้น ศิษย์ของข้า” 

 

                        พริบตาที่ชายที่ถูกเรียกว่า [อาจารย์]  กล่าวจบร่างของเขาก็ร่างไปจากสายตาของชายหนุ่มที่เป็นศิษย์ของเขา  ชายหนุ่มหยิบอาวุธที่ลักษณะคล้ายกับมีดสั้นออกมาจากชุดคลุมซอมซ่อ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้   เขาสะบัดมีดนั้นไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

 

                        แกร๊ง  แกร็ง    

 

                        เสียงโลหะกระทบกันเกิดเป็นเสียงก้องกังวาน ดังสนั่นไปทั่วทุ่งราบอันกว้าง  ก่อนที่จะรีบพลิกมีดสั้นนั้นลงมาเพื่อป้องกันอีกฝ่ายที่มีเป้าหมายอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่ม  พละกำลังของอีกฝ่ายและความรุนแรง ส่งผลให้เขาชะงักไปชั่วครู่ นั้นคือโอกาสของ [อาจารย์] ที่หายตัวไปจากตรงหน้าของเขาอีกครั้ง 

 

                        ร่างของ [อาจารย์] ไปปรากฏที่ด้านหลังที่ส่วนใหญ่เป็นจุดบอดของคนทุกคน อาวุธที่มองไม่เห็นหรือไม่สามารถรับรู้มันได้ว่าคืออาวุธชนิดไหนพุ่งหัวใจที่เป็นเป้าหมายของเขา ทว่ามันกลับไม่ใช่ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ที่เป็นถึงศิษย์ของเขา   ถึงจะชะงักไปเพียงชั่วครู่ เขาก็กลับมาเหมือนปกติ ก่อนจะทำการเอื้อมมือยังด้านข้างที่คลุมด้วยชุดคลุม จนไม่สามารถเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะหยิบอะไรออกมา 

 

                        แกร๊ง!!

 

                        เสียงปะทะกันของเหล็กทั้งสองดังขึ้น  บุคคลที่ถูกเรียกว่า [อาจารย์] เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดถอยออกมา เมื่อรับรู้ถึงความอันตรายที่แผ่ออกมาจากเด็กหนุ่ม

 

                        “เห....   เจ้า   ข้าจำได้ว่า เจ้าไม่เคยมี [สกิล] แบบนี้เลยนะ  พัฒนาไปไกลเหมือนกันนิ”   เสียงที่ดูแปลกใจหลุดออกมาจากปากของอาจารย์

 

                        “นั้นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ข้าพัฒนาไปไกลจนเกินกว่าที่อาจารย์คาดคิดเอาไว้แล้วล่ะ”    ชายหนุ่มดวงตาสีน้ำเงินยึดอกขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังอวดตัวเอง  ก่อนที่อาจารย์เห็นท่านั้นของเขาแล้วหัวเราะเล็กน้อย

 

                        “ก็จริงของเจ้าที่ว่าทุกคนต้องมีการพัฒนา แต่ว่าเจ้าจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดหรือแบบการบินก็ตาม.......”  [อาจารย์] ที่เอ่ยขึ้นมาก่อนจะลดเสียงลง อีกฝ่ายก็ฟังอย่างตั้งใจประโยคสุดท้ายที่อาจารย์ของเขาที่จะกล่าวขึ้นมา

 

                        “เจ้าก็ไม่มีวันที่จะชนะข้าหรอกนะ  เพราะฝีมือของเจ้ายังห่างกับข้ามากกันเกินไป เจ้าศิษย์น้อย”

 

                         เพียงพริบตา จิตสังหารก็ถาโถมเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายทันที  มือที่จับมีดสั้นสั่นระริกเมื่อต้องเจอจิตสังหารที่มากมายราวกับไม่เคยเจอมาก่อน  เขารับรู้ได้ด้วยสัญญาตญาณของตัวเองว่า  อีกฝ่ายยังไม่เอาจริงถึงครึ่งนึงด้วยซ้ำ ไม่ใช่ยังไม่ถึงครึ่งของครึ่ง....

 

                        เขารับรู้ได้ว่า  อีกฝ่ายสามารถฆ่าเขาได้ง่ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือของอีกฝ่าย ไม่สามารถหลุดออกมาได้ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม  เขาทรุดตัวลงไปกับพื้น ขาอีกข้างตั้งชันเข่าขึ้นมาราวกับยังไม่ยอมแพ้ 

 

                        “ความกล้าหาญของเจ้ายังเมื่อเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  แม้เจ้าในตอนนี้ไม่สามารถสู้กับข้าได้อีกแล้ว ข้าขอชื่นชมเจ้าจริงๆ ศิษย์ตัวน้อยของข้า”

 

                         ร่างของอาจารย์ยืนนิ่งมองดูอีกฝ่ายที่พยายามเข้ามาใกล้ตัวของเขาให้ได้  ถึงแม้ว่ามันเป็นการกระทำอันไร้ประโยชน์ก็ตาม

 

                        จิตสังหารของอีกฝ่าย ทำให้ร่างของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีอความารีนไม่สามารถขยับร่างกายได้ราวกับโดยพลังอะไรบางอย่างที่มากดทับลงไปให้อยู่กับที่  อากาศเหมือนกับจะหมดลงเสียดื้อๆ  ทำให้หายใจไม่สะดวกอึกอัดราวกับอยู่ภายใต้น้ำมหาสมุทร  ดวงตาเริ่มพร่ามั่วมองเห็นภาพหลอน  ร่างกายสั่นระริกเสียวสันหลัง ไม่สามารถทนจิตสังหารของอีกฝ่ายได้ ความหนาวเหน็บที่เกาะกุมไล่ตามไขสันหลังคล้ายกับน้ำแข็งมาเกาะ ทั้งที่มันไม่มี.... 

 

                        พลันทุกอย่างสลายหายไปทุกอย่างสลายหายไป ราวกับเหตุการณ์เมื่อซักครู่นี้เป็นเรื่องโกหก เขาลองขยับมือพบว่ามันยังชาอยู่เล็กน้อย  ซึ่งแน่นอนว่าเป็นขอพิสูจน์เหตุการณ์เมื่อกี้มันเกิดขึ้นจริง เขาเงยหน้าด้วยใบหน้าที่คล้ายจะสงสัยในตัว [อาจารย์] ของตน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขัดขึ้นมา ก่อนที่จะได้ถาม

 

                        “อย่าทำหน้าตาแบบนั้นสิ เจ้าศิษย์น้อย”  บุคคลผู้แก่กว่าบอกกับเขา ก่อนจะพลางเริ่มถามอีกฝ่าย อย่างไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้

 

                        “เจ้ารู้ไหม?  ตอนนี้ [โลกใบนี้] มันเดินไปถึงไหนแล้ว?”  เสียงของอาจารย์ดังขึ้นพูดกับเขาที่ลุกขึ้นมายืนได้อย่างยากลำบาก  เขาเหลือบสายตาไปมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปร่งแสงสว่างไสวระยิบระยับ  ดวงตาที่ผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย ทำให้เขาไม่สามารถเดาใจอีกฝ่ายได้ว่าคิดอะไรอยู่  ดวงตาที่แฝงความเศร้าสร้อยและความเจ็บปวดอะไรบางอย่างเอาไว้  เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร เขาจึงเริ่มเปิดปากพูดขึ้นอย่างช้าๆ

 

                        “ตัวข้านั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่า โลกใบนี้มันเดินไปถึงไหนของมันแล้ว  แต่ข้าชอบโลกใบนี้  โลกที่ปราศจากสงครามแก่งแย่งชิงอำนาจ อยู่อย่างสงบสุขสันติ  เป็นโลกที่ข้าชอบมันมากที่สุดเลยละครับ ไม่สิ....  ข้ารักมันเลยตั้งหาก”   เขากล่าวออกมาจากก้นเบื้องลึกของจิตใจ  ถึงโลกแห่งนี้มันจะอันตรายก็ตาม  แต่มันเป็นโลกที่สงบสุขแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้  ไม่มีสงคราม ไม่มีอะไรที่รุนแรงเดือดร้อนถึงต้องส่งกองกำลังขนาดใหญ่ออกไปต่อต้านหรืออย่างอื่นอีก

 

                        “แล้วเจ้าจะคิดว่าไง ถ้าโลกนี้มันจะล่มสลายลงในอีก 10 ปีข้างหน้า......”  จู่ๆ อาจารย์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างราบเรียบ  เรียกชายหนุ่มให้หันหน้าไปมองอย่างทันควัน

 

                        “อะไรนะครับ?.....”  เขาคิดว่าได้ยินไม่ค่อยชัดจึงโพล่งถามออกไปอีกครั้ง ซึ่งเรียกความสนใจจากอาจารย์ที่ละสายตามองดวงดาวทอประกายบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

                        “ข้ากำลังบอกเจ้าว่า.....   โลกที่เจ้ารักแห่งนี้จะดับสูญไปอีก 10 ปีข้างหน้า เจ้าจะทำยังไง?” 

 

                        เมื่อเขาได้ยินอย่างชัดเจนเต็มหู  เขาก็ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา  แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรมาคัดค้านในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้  เพราะน้ำเสียงของผู้เป็นอาจารย์หนักแน่นและทรงพลัง น่าเชื่อถืออย่างประหลาด  เขาจึงได้บอกกับตัวเองเบาๆว่า ขอให้ไม่เป็นสิ่งที่อาจารย์คิด...... 

 

                        โลกแห่งนี้ โลกที่เขาเกิด พ่อแม่และทุกคนที่มีสายสัมพันธ์ร่วมกัน คนอื่นๆที่เขาทำความรู้จักด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความทรงจำอันมีค่าสำหรับเขา เมื่ออีกฝ่ายประกาศออกมาอย่างนี้  แต่มันจะหายไปในไม่ช้าก็ไม่เร็ววัน 

 

                        ที่หางตาของดวงตาสีน้ำเงินมหาสมุทรมีของเหลวเพียงเล็กน้อย เขาเงยหน้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ สายตาที่มุ่งมั่นจ้องลึกเข้าไปในผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าจนไม่สามารถมองเห็นได้

 

                        “แววตาใช้ได้......”  อาจารย์กล่าว

 

                        “ข้าต้องทำไงบ้างครับ อาจารย์”  ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความแน่วแน่ สายตาที่เด็ดเดี่ยวและการตักสินใจอันเด็ดขาดที่จะเลือกปกป้องโลกที่เต็มไปด้วยความสำคัญของเขา

 

                        “สิ่งที่เจ้าทำให้นั้นมีสองอย่าง.....  อย่างแรกปล่อยข้าไปซะ  อย่างที่สองเจ้าจะร่วมมือกับข้า  เจ้าจะเลือกทางไหน?”  อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับดวงตาสีแดงจ้องไปยังอีกฝ่าย ราวกับสะกดการเคลื่อนไหวของเขา

 

                        “ถ้าข้าเลือกอย่างแรก  ข้าจะผิดคำสาบานที่ให้ไว้ต่อ [ท่านเทพ] แต่ว่าข้าจะเลือกอย่างที่สอง ถ้ามันสามารถช่วยโลกนี้เอาไว้ได้ ”   ชายหนุ่มกล่าวโดยมีจุดประสงค์ที่แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน  อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อยเชิงเป็นการยอมรับการตัดสินใจของอีกฝ่าย 

 

                        “งั้นข้าจะบอกหนทางที่จะทำให้โลกนี้อายุยืดขึ้นสักเล็กน้อย  อย่างแรกคือ เจ้าต้องรวบรวมเศษเสี้ยวพลังทั้งหมดของเหล่าเทพ ให้รวมเป็นหนึ่ง แล้วใช้พลังนั้นยืดอายุของโลกแห่งนี้....”

 

                        เนื่องจากว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนที่โง่ เพียงแค่อีกฝ่ายบอกเขาก็เข้าใจได้โดยทันที

 

                        “ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ให้ข้ารวบรวมทุกคนทุกดินแดนอาณาจักร รวมเป็นหนึ่งแล้วขึ้นครองราชย์เป็นราชา แล้วใช้พลังแห่งเทพสินะ”  ชายหนุ่มกล่าว  

 

                        เขาพอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สื่อ แต่ว่าการจะให้รวบรวมทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น เขาไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม มันยากยิ่งกว่าการสร้างเมืองหรืออะไรหลายๆอย่างรวมกันซะอีก อธิบายง่ายๆตามหลักการเข้าใจ คือ อาจารย์ของเขาต้องการให้เขาไปเป็นจ้าวโลก นั่นเอง.....

 

                        ซึ่งไม่แน่ว่า เขาอาจจะทำได้ แต่มันก็ต้องใช้เวลานานหลายปี ซึ่งมันอาจจะนานเกินสิบปีก็เป็นได้ แน่นอนเขาไม่ยอมเสี่ยงกับเรื่องแค่นี้แน่.....  มันต้องมีทางที่เร็วกว่านี้

 

                        เขากำลังครุ่นคิดก็ฉีกยิ้มออกมา เมื่อมองไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีฮู้ดคลุมหัว รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มจางๆของอาจารย์  เหมือนกับว่าเขาโดนอีกฝ่ายหลอกเล็กน้อย

 

                        “เหอะๆ  ท่านนี่ช่างเป็นคนกวนโอ้ยซะจริงเลยนะครับ”  เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินว่าที่เป็นศิษย์ของอีกฝ่ายเปรยขึ้นมาเล็กน้อย  ถึงจะอยู่กันมานานจนรู้นิสัยกันดี  แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ชินกลับมันได้เสียที

 

                        อาจารย์คลี่ยิ้มบางๆ “นั่นมันข้อดีของฉันเลยนะ”

 

                        คำพูดที่เปลี่ยนไปทำให้เขาเริ่มสงสัยในตัวของอีกฝ่าย

 

                        “เอ่าล่ะ  เริ่มกันดีกว่า  อย่างที่สองคือ โลกนี้มันถึงจุดอิ่มตัวแบบสุดๆเลยล่ะ เหล่า [ดันเจี้ยน] ทั้งหลายก็ไม่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว นั่นจะทำให้โลกใบนี้ไปสู่จุดวิบัติ จนสุดท้ายก็แตกดับไป แล้วค่อยเริ่มขึ้นมาใหม่ตามวัฏจักร” เสียงบรรยายเนือยๆ ราวกับความเครียดเมื่อที่ผ่านมาหายไปหมด  จนศิษย์ผู้นี้ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

 

                        อยู่ๆเดี๋ยวเครียด อยู่ๆเดี๋ยวบ้า  ไม่เข้าใจอาจารย์ของเขาเลยจริงๆ

 

                        “ดังนั้นถ้าหากให้โลกอยู่ต่อไป  ทำไมเราไม่เรียกสิ่งที่มาจากโลกอื่นล่ะ?”   ความคิดที่เป็นทางออกสำหรับการดำเนินของโลกนี้ไปยังจุดจบถูกอีกฝ่ายกล่าวออกมา  เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันไม่ได้ผิดอะไรสักนิดเดียวในการแซกแซงกฎของโลก 

 

                        “หรือท่านจะบอกว่า.....”   ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร  ถึงม้มันไม่มีข้อห้ามในการเรียกคนจากต่างโลกมา  แต่ถึงกระนั้นคนจากต่างโลกจะยอมรับโลกแห่งนี้ได้รึเปล่า?  เพราะสถานะความเป็นอยู่และอะไรหลายๆอย่างมันไม่เหมือนกัน  แต่เขาก็เก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจ

 

                        “ใช่แล้ว.....  ทำไมเราไม่เปลี่ยนโลกนี้เสียเองล่ะ  ใช้พลังของคนจากต่างโลก ให้โลกแห่งนี้มันเดินหน้าไปข้างหน้า ยืดอายุเวลาของโลกนี้  เราต้องเรียกบุคคลที่สามารถจะเขย่าสั่นโลกนี้ได้....”   ดวงตาสีทับทิมพูดกับผู้ฟัง ซึ่งตอนนี้คาดว่าน่าจะนิ่งแข็งค้างไปแล้ว  เนื่องจากมันคงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเขาไปมากโข

 

                        “เอาล่ะ มาเริ่มกันเถอะ ส่วนเจ้าอญู่เฉยๆไปเกะกะขวางมือขวางเท้า”  ไม่วายท่านอาจารย์สุดที่น่ารักเอ่ยกับเขาพร้อมสะบัด เป็นทำนองไล่ไปไกลๆ ‘ชิ่วๆ’ อีกด้วย นั่นทำให้รอยอะไรบ่างอย่างปราฏขึ้นที่หัว

 

                        ‘ช่างเป็นคนที่กวนประสาทจริงๆ’  ถึงเขาจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็เคารพอีกฝ่าย เนื่องด้วยฝีมือที่เก่งกาจราวกับเทพก็ไม่ปานหรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำไป 

 

                        พริบตานั้นแสงสว่างจากพื้นปรากฏขึ้นมาพร้อมกับลวดลายอักขระเวทมนต์ที่อ่านไม่ออกขยับบิดไปมา เส้นสีทองลากผ่านสัญลักษณ์อันแปลกประหลาดทั้งสามวงที่ไม่เหมือนจนมาบรรจบกัน  พลันแสงสีทองก็สว่างจ้าพร้อมกับมีลมพัดพาเอาฮู้ดที่ปิดหน้าของเขาออกไป 

 

                        พลันชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงตาดุจน้ำมหาสมุทรเบิกตากว้างขึ้น เมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน 

 

                        ใบหน้าอันอ่อนวัยเรียวเป็นรูปไข่ พร้อมกับผมสีดำขลับอันเงางามวาววับสะท้อนแสงจากดวงจันทร์  ชุดสีดำที่ยาวถึงเอวขอบสีขาวดูสะอาดตาพร้อมกับผ้าคลุมที่คล้ายของจอมเวทย์สีขาวจนมาเกือบสุดที่เป็นสีดำแซมสวมทับเอาไว้อยู่  เส้นเชือกที่ร้อยคล้องกับผ้าคลุมสีขาวบนไหล่ มีอัญมณีสีเหลืองตรงกลางเป็นรูโว่ที่พันกับเส้นเชือกนั้น

 

                        มือทั้งสองข้างกางแบบออก แสงสีทองอร่ามปรากฏจางๆ วงเวทย์ที่วาดอยู่บนพื้นลวดลายต่างขยับไปมาราวกับมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก่อนทุกเส้นสายมาบรรจบกันตรงกลางจากลายเป็นสัญลักษณ์อันสะดุดตา ไม่ว่ายังไงชายหนุ่มดวงตาสีน้ำเงินก็ไม่สามารถอ่านอักขระนั้นได้ราวกับว่ามันเป็นเวทมนต์ขั้นสูงที่คนธรรมดาอย่างเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รู้

 

                        เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าร่างที่เป็นอาจารย์ก็หันกลับมามองเขาที่สายตาเต็มไปด้วยคำถาม

 

                        “ไม่ต้องตกใจอะไรไป ฉันถูกเรียกว่า [ผู้ที่จะเป็นพระเจ้าองค์ต่อไป] เลยนะ”  เจ้าของร่างอวดตัวเองเล็กๆ ซึ่งนั้นทำให้อีกฝ่ายแทบอยากเข้าไปซัดคนตรงหน้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด

 

                        “นายเห็นชั้นเป็นครั้งแรกนิเนอะ  ที่ถอดฮู้ดคลุมหน้าออก ถึงจะโดนลมพัดก็เหอะ  คงตกใจไม่น้อยล่ะสิ ที่เห็นใบหน้าของอาจารย์สุดหล่อคนนี้”   เขาเอ่ยกับศิษย์ของตัวเอง พลางทำท่าที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุดอีกด้วย  ซึ่งก็ได้รับการถอนหายใจออกมาอย่างเนือยๆ 

 

                        “อาจารย์เป็นคนบ้าชนิดที่แทบหาไม่ได้จากโลกเลยละมั่งครับ....”  และศิษย์ที่น่ารักก็หยอดมุขไปให้กับเจ้าตัว

 

                        “อะไรกันฟ่ะ คนเขาออกจะสมาร์ทจะตายไป หล่อ เท่ แมนซัม อะไรพวกนี้”  อีกฝ่ายยังคงดำเนินการทำท่าทางให้ตัวเองดูดีที่สุด ซึ่งมันขัดกับภาพลักษณ์เสียจริง

 

                        “ถ้าหล่อจริงละก็....  ทำไมอาจารย์ยังถึงไม่มีแฟนล่ะครับ”  หลังจากที่เริ่มปรับอารมณ์และความตกใจได้แล้ว  เขาก็ถามคำถามที่แทงใจดำเข้าให้

 

                        “อึก.....   นายนี่มันปากร้ายจริงๆนะ”  เขาถึงกับเถียงไม่ออก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั่นมันคือเรื่องจริงๆ ที่เขาไม่มีแฟน!!!

 

                        “พอแค่นี้แหละ....  กลับจริงจังได้แล้ว”  หลังจากที่คิดว่าไม่สามารถหาอะไรมาต่อกรกับอีกฝ่ายได้  ก็รีบชิงเปลี่ยนเรื่องทันที ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมเลิกสียอย่างนั้น

 

                        “จริงจังแค่ไหน  แค่ไหนเรียกจริงจัง?”  ชายหนุ่มฮัมออกมาเป็นเพลงเบาๆ  ก่อนจะต้องรีบยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ เมื่อเห็นแสงสว่างส่งเสียงเปรี๊ยะๆดังขึ้นและสายตาดุจ้องกลับมา

 

                        “วงเวทย์นี้จะเรียกคนที่เขาอยากมาทีนี่ คนที่เบื่อกับโลกของเขา คนที่มีความสามารถพิเศษและคนที่จะขยับโลกนี้ให้มันเดินอีกครั้ง คนที่สามารถเขย่าโลกไปทั่วทั้งโลกนี้ได้ ”  วงเวทย์เปร่งแสงสว่างจ้าขึ้นพร้อมกับพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้ายามรัตติกาล ผ่านหมู่เมฆและแสงสว่างก็ลับหายไป

 

                        ชายหนุ่มที่เป็นศิษย์เดินมาเทียบยืนข้างอาจารย์ก่อนจะฟังประโยคสุดท้ายของเขา

 

                        “กงล้อแห่งโชคชะตาจะนำพาพวกท่านทุกคนให้มาเจอกัน  เมื่อถึงคราวนั้นขอให้พวกท่านใช้ชีวิตที่นี่และร่วมมือกัน  เรื่องราวทั้งหมดมันจะเริ่มต่อหลังจากนี้  เหล่าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลาย ผู้ที่ได้รับเลือกจากพระเจ้าองค์ต่อไป   จงใช้เวลาให้สนุกกับโลกใบนี้เสียเถอะ.....”   ชายหนุ่มกล่าวเบาๆเป็นการอวยพร ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไป 

 

                        ชายหนุ่มดวงตาสีน้ำเงินไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่เขาเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าที่มีหมู่ทะเลดวงคาวค่อยส่องสว่างระยิบระยับและแสงจากดวงจันทร์ที่ค่อยส่องผ่านเมฆลงมาช่างงดงามราวกับภาพวาด เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็มีความยินดีอยู่สิ่งที่แบกรับภาระมันถูกปลดสลายหายไปส่วนหนึ่งแล้ว 

 

                        “วันนี้คงเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคนสินะครับ.....”  เขาเดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากพร้อมกับสายลมที่พัดคำพูดประโยคหนึ่งของเขาล่องลอยไปในอากาศและน้ำเสียงที่เก็บความดีใจอย่างปิดไม่มิด 

 

 

 

 

                              

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา