กุหลาบเพชร

8.8

เขียนโดย nightshadow

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.33 น.

  36 ตอน
  3 วิจารณ์
  36.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2559 21.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) สัญญาณอันตราย หลักการทหารที่ผิดเพี้ยน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"แต่จากการที่เราสามารถอ่านหนังสือตัวอักษรในตำราของที่โลกยุคนี้ได้ ก็นับว่าเป็นการตอกย้ำเรื่องที่ท่านเทพองค์นั้นบอกกับพวกเราว่า ตั้งแต่ที่พวกเราได้มาที่โลกแห่งนี้ก็ได้ทำให้เรา กลายเป็นคนในยุคอดีตโดยสมบูรณ์นั้นเป็นความจริง ตอนแรกฉันยังคิดว่าเราจะแค่พูดจาสื่อสารกับผู้คนที่นี่ได้เข้าใจเท่านั้นแต่ กลับกลายเป็นว่า      เราสามารถอ่านหนังสือตำราของที่นี่ได้เข้าใจราวกับเป็นภาษาถิ่นเกิดทั้งที่ตัวอักษรไม่เหมือนกันเลย          แล้วพอลองคิดว่าจะเขียนข้อความเป็นภาษาของที่นี่ ก็รับรู้ขึ้นมาในหัวเลยทันทีแบบนี้เราก็สามารถเขียนตัวหนังสือหรือข้อความของคนในยุคนี้ได้เป็นปกติก็นับว่าไม่ลำบากเกินไปนัก ตอนแรกฉันยังนึกกลุ้มใจอยู่เลยว่าฉันกับเธอจะต้องไปเริ่มต้นเรียนรู้ทักษะการเขียนตัวอักษรกันใหม่ตั้งแต่ต้นซะแล้วสิ"

เพ่ยอิงเปรยกับปานตะวันแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก  จนกระทั้งมีกลุ่มนายทหารเดินเข้ามาในโรงเตี้ยมด้วยกันสามคน        ทั้งสองสาวจึงมองไปยังกลุ่มทหารที่มาใหม่เห็นคนกลุ่มนั้นนั่งสั่งอาหารและเปิดปากสนทนากันอย่างสนุกสนาน

"พวกเราต้องขอบคุณท่านนายกองที่         พาทหารใหม่อย่างพวกเรามาเลี้ยง   นะขอรับ"

"เฮ้ยไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง    ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นทหารเข้าใหม่ข้าอยากจะสอนหลักการทหารให้กับพวกเจ้า   ช่วยไปเผยแพร่บอกต่อๆกันเป็นความรู้เผื่อคนอื่นๆด้วยก็แล้วกันนะ   ในสนามรบน่ะพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคอยแต่จะฟังคำสั่งของแม่ทัพแต่เพียงอย่างเดียว บางครั้งหากพวกเจ้ามั่นใจในความคิดของตัวเองก็ทำในสิ่งที่พวกเจ้าเห็นว่าถูกไปนั่นแหละ        เพราะมันก็ไม่ใช่ว่าคนเป็นแม่ทัพจะมีคำสั่งที่เหมาะสมถูกต้องไปหมด"

"ในเมื่อพวกเราต้องร่วมรบด้วยเกิดอะไรขึ้นมา    ถ้าผิดพลาดคนที่จะซวยก็คือพวกเจ้านั้นแหละไม่ใช่แม่ทัพซะหน่อย และถ้าความคิดของพวกเจ้ามันถูกต้อง ก็จะทำให้พวกเจ้ามีผลงานโดดเด่นได้ความดีความชอบ     แล้วก็นะคนเรามันต้องรู้จักประมาณตนในความสามารถของตัวเองด้วย ถ้าพวกเจ้าเป็นทหารหน้าใหม่ที่ยังไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองมากพอ  แม้จะเห็นว่าคนเป็นแม่ทัพเพี้ยงพล้ำก็อย่าได้เสนอหน้าเข้าไปช่วย   เพราะถ้าคนเป็นแม่ทัพยังเอาไม่อยู่ เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของพวกเจ้าไว้ ก็ให้เผ่นเอาตัวรอดไปก่อนเลย    ในเมื่อแม่ทัพเพี้ยงพล้ำให้กับศัตรูแสดงว่าไม่เก่งพอ        แล้วพวกเจ้าจะไปช่วยแม่ทัพที่ไร้ความสามารถไปทำไม แม่ทัพตายในสนามรบคนเดียว     แต่หากยังเหลือพวกเจ้าที่เป็นหทารอยู่รอดยังไงก็รักษากำลังพลไว้ได้   พวกเจ้าที่เป็นทหารใหม่ก็ยังไม่เก่งถึงขั้นจะไปช่วยคนเป็นแม่ทัพได้  ยังไงก็ต้องเผ่นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ก่อนเพื่อรวบรวมกำลังพลสู้ศึกกันต่อเข้าใจหรือไม่"                            

"เข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณท่านนายกองที่สอนสั่ง"

ปานตะวันที่นั่งฟังบทสนทนาของทหารทั้งสามนาย  ก็รู้สึกโกรธขึงขึ้นมาทันที

"ไอ้บััดซบเอ้ย หนอยหลักการทหารบ้านเมืองไหนเขาสอนกันแบบนี้กันวะ  ในระหว่างอยู่ในสนามรบ     คำสั่งของผู้บัญชาการรบหรือแม่ทัพถือเป็นที่สุดห้ามฝ่าฝืน     ใครฝ่าฝืนคำสั่งมีโทษขั้นสูงสุดคือความตายเท่านั้น  เพราะคนเป็นผู้บัญชาการรบต้องเป็นคนคิดแผนการรบต่างๆ    คนเป็นผู้คุมทัพในการรบน่ะจะต้องคิดหาวิธีการเอาชนะข้าศึก เป็นหน้าที่ที่สำคัญเพราะการตัดสินใจทุกอย่าง เกี่ยวพันกับชีวิตทหารที่ตัวเองคุมอยู่ การตัดสินใจแต่ละครั้งจะต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีกไม่ใช่สบายสักหน่อย แล้วหากมีการแตกแถว   ไม่เชื่อฟังสักคนอาจทำให้แผนการรบที่วางไว้ผิดแผน กองทัพไม่เป็นเอกภาพไม่มีหลักการทหารที่ ไหนเขาสอนแบบนี้กันแน่ๆ  หนำซ้ำยังจะให้ทิ้งแม้ทัพในสถานการณ์คับขันอีก มันไม่รู้หรือไงว่าชีวิตของคนเป็นแม่ทัพสำคัญที่สุด            

หากแม่ทัพหรือผู้บัญชาการรบตาย จะทำให้ทหารในกองทัพเสียขวัญ   เพราะไม่มีคนคอยคิดอะไรให้อีกต่อไป      และจะทำให้ศัตรูถือโอกาสโจมตีจนแตกพ่ายได้ ถ้าไอ้พวกลูกน้องในสังกัดที่ฉันคุมอยู่มีความคิดแบบนี้ ฉันจะฆ่ามันทิ้งทันที"

ในขณะที่เพ่ยอิงมีสีหน้าเคร่งวิตกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึมลง

"เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนคำสั่งทหารธรรมดาเท่านั้นหรอก   แต่สำคัญกว่านั้นมาก   ในโลกยุคปัจจุบันที่พวกเราจากมาน่ะคนเป็นผู้นำประเทศไม่ต้องออกรบสามารถมอบหมายแต่งตั้้งให้ทหารที่เป็นผู้บัญชาการรบทำหน้าที่นี้ แต่ในยุคที่ พวกเรามาอยู่กันนี้ผู้บัญชาการรบหรือคนเป็นแม่ทัพส่วนใหญ่แล้ว   คือกษัตริย์ ฮ่องเต้หรืออ๋องนะ  การที่นายกองคนนั้นสอนให้ทหารใหม่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของแม่ทัพและให้ทอดทิ้งแม่ทัพในยามคับขัน    มันก็เท่ากับให้ทิ้งกษัตริย์หรือคนเป็นอ๋องนั่นแหละ   ฉันคิดว่านายกองคนนั้นหากเป็นคนในแผ่นดินนี้ก็ต้องบอกว่าเขาคือผู้ทรยศเนรคุณแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง       หรือบางทีเขาอาจเป็นไส้ศึกที่ปลอมตัวมา    เพื่อหวังมาทำลายแผ่นดินนี้โดยตรงแล้วเขายังจงใจให้ทหารใหม่สองคนนี้รับฟังคำสอนผิดๆ    ไปเผยแพร่ให้กับทหารใหม่คนอื่นๆอีก   แล้วเธอลองคิดดูสิว่า       หากในระหว่างการรบทหารใหม่ทำตามคำสอนผิดๆของนายกองคนนี้ไม่เพียงส่งผลเสียต่อกองทัพแต่ส่งผลเสียต่อผู้ครองแผ่นดินที่เป็นฮ่องเต้หรือเป็นอ๋องขึ้นไปด้วย       แล้วมันจะน่ากลัวขึ้นไปอีกถ้าหากในกองทัพไม่ได้มีแค่นายกองคนนี้ที่มีความคิดจะทำลายบ้านเมืองนี้ แต่หากมีคนอื่นอีกล่ะ  การมีคนทรยศหรือไส้ศึกแม้เพียงคนเดียวก็มากพอจะสร้างความเสียหายแก่ราชสำนักและราชบัลลังก์ได้แล้ว      เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรจะปล่อยไว้      และบางทีอาจจะต้องสืบดูด้วยว่ายังมีคนแบบนายกองคนนี้อยู่อีกหรือเปล่า"

เฟยหลงนั่งบดกรามแน่่นแสยะยิ้มด้วยสีหน้าราวปีศาจกระหายเลือด ออกคำสั่งกับน้องชายตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

"เฟยหนานทันทีที่กลับไปถึงวังให้เจ้าจับมันไปมัดอยู่กับขื่อหน้าค่ายฝึกทหาร ข้าจะเป็นคนมอบรางวัลที่มันอุตส่ามีคำสอนดีๆให้เหล่าทหารใหม่ของข้า    ข้าจะให้มันได้ลิ้มรสของคำว่าอยู่ไม่สู้ตายต่อหน้าทหารในค่ายทุกคน" 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา