มาลย์มายา รีไรท์
9.8
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.34 น.
13 ตอน
11 วิจารณ์
15.33K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558 13.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) ภาพมายา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงหริ่งหรีดเรไรดังระงมในคืนเดือนมืด อากาศคืนนี้อบอ้าวราวกับว่าฝนจะตก ชาลิดาเร่งเครื่องปรับอากาศหวังจะให้ช่วยไล่ไอเหนียวบนตัวให้สบายขึ้นแต่ก็กลับเย็นเกินไปเสียอย่างนั้น หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิด หลาย ๆ อย่างช่างไม่เป็นอย่างใจ หล่อนไม่อยากมาที่นี่นักหรอก ถ้าไม่ติดที่ว่า ที่นี่มี ‘ยัยธารา’ กิ๊กเก่าแฟนหนุ่มของหล่อนอยู่ ต่อให้นนทภัทรจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าทั้งคู่เป็นแค่เพียงเพื่อนกันก็เถอะ หล่อนจำได้ดีตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ทั้งคู่สนิทกันมากก็จริง...แต่ไม่เหมือนเพื่อน ยัยเด็กน้ำนี่ดูจะตามหึงหวงนนทภัทรไปทุกที่ ทั้งที่ตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้มาเจอกันโดยบังเอิญที่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ แฟนหนุ่มของหล่อนดูจะตื่นเต้นเกินกว่าการเจอเพื่อนเก่า เขาเฝ้าแต่พูดถึงธาราไม่ขาดปาก
หล่อนไม่ไว้ใจทั้งคู่เอาเสียเลย
แล้วนี่... คุณอิริคยังไปขอให้ยัยน้ำไปแคมป์น้ำตกแทนหล่อนอีกด้วย บ้าที่สุด
“ก็หล่อนอยากไม่ไปเองนี่ยะ งานตัวเองแท้ ๆ”
นังเบสกระเทยคู่ยากจีบปากมาตามสาย หลังจากฟังเพื่อนรักรำพี้รำพัน ชาลิดานั่งหน้าคว่ำอยู่บนเตียง
“ก็ฉันไม่ชอบเข้าป่านี่ รังเกียจตัวทาก ยุงก็เยอะ นอนเต๊นท์ด้วยนะ ทรมานจะตาย”
เพื่อนสาวเบะปากอยู่ปลายสาย
“แหม...หล่อนก็เรื่องมาก ถ้ากลัวเสียผู้ชาย หล่อนก็ไป ถ้าไม่อยากไป หล่อนก็หาใหม่ กิ๊กเยอะจะตายกลัวอะไร”
“กิ๊กเยอะ กิ๊กน้อยมันก็ของฉัน นนท์ก็ของฉัน ฉันไม่อยากให้อีเด็กนี่มาแย่งของของฉันไป ไม่มีทางหรอก”
“ค่า....ทำเป็นมาหวง ”
เบสลากเสียง หมั่นไส้เพื่อนสาวคนนี้นัก ปกติอยู่กทม.ก็ริก ๆ จะมีแฟนใหม่อ้างเบื่อผู้ชายเซอร์ ๆ สมัยนนทภัทรไม่หล่อก็เห็นเขาเป็นของเล่น เห็นเป็นเครื่องวัดความฮอทของตัวเอง หล่อนล่ะเบื่อ
“ได้ไงยะ นนท์น่ะมันของตาย ควงไปไหนก็สมหน้าสมตา แล้วถ้ามาโดนอีหมวยแห้งนี่แย่งไปฉันคงอกแตกตาย สู้เสียให้อีนก อีแนนนี่ไปซะยังดีกว่า”
หล่อนเอ่ยชื่อสาว ๆ ร่วมแก๊ง
“งั้นหล่อนก็ไปสิยะ ถ้าหล่อนไป หัวหน้าฝรั่งคงไม่ไปยุ่งกับนังเด็กนั่นหรอก เลือกเอาก็แล้วกัน ว่าผู้ชายกับความสุขความสบายหล่อนจะเลือกอะไร”
ปลายสายทำเสียงเบื่อหน่าย ชาลิดาก็ไม่เถียงหรอกว่าหล่อนเรื่องมาก แต่ในป่ามันเกินจะทนจริง ๆ ห้องน้ำห้องท่าก็ลำบาก สวย ๆ อย่างหล่อนให้ไปทำธุระในส้วมชั่วคราวหล่อนก็ไม่ไหวนะ แต่ซีรีย์โรแมนติกหลายเรื่อง พระนางมันก็ชอบไปสวีทหวานกันบนเขาทุกที ถ้าเกิดยัยน้ำมันทำแบบนั้นกับนนท์หล่อนคงทนไม่ได้ ชาลิดาเห็นภาพตัวเองในหัวกำลังปรี่เข้าไปกระชากหัวธาราออกมาจากอกกว้าง ๆ ของนนทภัทร หล่อนกระหน่ำซัดผู้หญิงหน้าหมวยจนอายไลน์เนอร์หลุด ลิปสติกกระจาย ชาลิดากำหมัดแน่น แค่คิดอารมณ์ก็พลุ่งพล่านแล้ว
ธารามายืนท่ามกลางคณะผู้เดินทางไปแคมป์น้ำตกด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดอีกครั้ง เมื่อชาลิดามายืนแบกเป้ทำหน้าขาวเนียนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย อิริคกับซางฮุนมองหล่อนอย่างเหนื่อยหน่าย
“คุณไม่ต้องไปก็ได้เชอร์รี่ เราไปขอคุณน้ำมาแทนแล้ว”
อิริคว่า มองชาลิดาโพสท่าเกี่ยวแขนนนทภัทรอย่างรำคาญตา
“มันเป็นหน้าที่ของเชอร์รี่ค่ะ คุณจะไปรบกวนคนอื่นมาทำไมกัน”
หล่อนเน้นเสียง สามหนุ่มแห่งวีเอสพีถอนใจเกือบพร้อมกัน
“ถ้าตอนแรกคุณพูดแบบนี้ เราจะได้ไม่ต้องไปรบกวนคุณน้ำมาเลย”
อิริคมองหล่อนอย่างตำหนิ ธารารู้สึกว่าตัวเองดูเกะกะ หล่อนเหลือบมอง คนนั้นคนนี้ก่อนจะตัดสินในยกเป้ของตัวเองขึ้นบ่า
“ถ้ามีคนครบแล้ว งั้นน้ำขอตัวเลยนะคะ”
หล่อนยิ้มเจื่อน กลับไปทำงานต่อก็ดีเหมือนกัน ขืนหล่อนไปก็ยังนึกไม่ออกว่าหล่อนจะทำงานตรงไหน ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน มันไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีนี่นะ
“โน ๆ พลีส... คุณน้ำ เราอยากให้คุณไปกับเรา คุณไปเถอะ... นะ”
อิริคปราดเข้ามาขวางหน้าหญิงสาวไว้ พูดจาร้องขอด้วยท่าทีสุภาพ ซางฮุนรีบมาปลดเป้ของหล่นออกจากบ่าไปแบกแทน
“let me help you, khun Nam”
เขายิ้มเอาใจ ธารายิ้มตอบ รถลุงชาติกับทีมมาจอดเทียบพอดี แกโดดลงจากรถด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง พรานอีกสองคนมาช่วยเด็ก ๆ ขนสัมภาระ ขึ้นรถสองแถว
“อ้าว คุณน้ำมาด้วยกันจริง ๆ ด้วย ดีครับดี ๆ”
แกหันมาทักธาราอย่างแช่มชื่น พลางกระเถิบเข้ามากระซิบ
“เดี๋ยวผมจะพาไปไหว้ศาลแม่มะยีกัน”
ลุงชาติขยิบตาให้อย่างรู้กัน ธาราจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ หินพันด้ายแดงหล่อนห่อผ้าเช็ดหน้ามาด้วยในกระเป๋าเป้ เกือบลืมไปเลย หล่อนตั้งใจจะเอาหินนี้ไปคืนที่ศาลนั้นด้วยนี่นะ
“อะไรเหรอน้ำ”
นนทภัทรเข้ามากระซิบถามใกล้ ๆ มีชาลิดาเดินตามมาฟังด้วย ลุงชาติยิ้ม
“คุณนนท์สนใจมั้ยครับ ผมจะพาคุณน้ำไปไหว้ศาลแม่มะยีพรุ่งนี้ ใกล้ ๆ ผาศิลาแอ่นที่คุณน้ำลื่นหัวแตกคราวก่อนนั่นแหละครับ”
แกเล่ากลั้วหัวเราะ นนทภัทรหัวเราะตาม มองหน้าเพื่อนตัวเล็กแล้วพูดสำทับ
“สนสิครับ ศิลาจารึกเลยแหละนั่นน่ะ ว่าแต่มีอะไรน่าสนใจที่นั่นเหรอครับ”
นนทภัทรถาม
“ศาลแม่มะยีครับ โห้ย... ศักดิ์สิทธิ์ สาว ๆ แถวนี้เขารู้จักกันดี คุณน้ำก็ยังมีของดีของแม่มะยีเลยนะครับ”
ลุงชาติหยอกเบา ๆ แต่ธารากลับสะดุ้งโหยง หล่อนเบี่ยงตัวออกจากวงสนทนา ทำเป็นเหม่อมองไปยังเด็กนักเรียนที่กำลังทยอยขนสัมภาระต่าง ๆ ขึ้นรถ ชาลิดาหรี่ตามองหล่อน
“ว้าว... น้ำมีของดีอะไรเหรอจ๊ะ น่าสนใจจัง”
หล่อนว่า นนทภัทรหัวเราะหันมาคุยต่อกับลุงชาติ
“อย่าบอกนะครับว่าเป็นหินสีเทา ๆ มีด้ายแดงนั่นพันอยู่อ่ะ ผมเห็น...”
เขาชะงัก นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาเมื่อคืนก่อน ลมหมุนในห้องทำงานของธารา กับผู้หญิงสาวชาวเขา มันเหมือนจริงจนสับสนว่ามันเป็นฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ แต่รอยเสื้อขาดกับแผลถลอกบนสีข้างยังคงเป็นสิ่งที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในใจ เขาจำใบหน้าสวย นัยน์ตาไร้แววนั้นได้ดี หล่อนไม่ได้น่าสะพรึงกลัวหรอก แต่มีพลังอำนาจประหลาดที่แม้แต่เพียงนึกถึง หลังเขาก็รู้สึกเย็นวาบ
แม่มะยี...อย่างนั้นหรือ
“ขอผมไปด้วยได้มั้ยครับ ไม่ไกลจากแคมป์ใช่มั้ย”
เขาว่า ชาลิดากระตุกแขน
“คุณจะบ้าเหรอนนท์ เรื่องความเชื่อบ้าน ๆ แบบนี้คุณสนใจด้วยเหรอ ไร้สาระจะตาย”
ธารากับลุงชาติหันขวับ พลอยทำให้คนหน้าสวยสะดุ้งตาม ชายวัยกลางคนกระซิบเตือน
“ระวัง ๆ หน่อยนะครับ ผมพูดว่าแม่มะยีศักดิ์สิทธิ์น่ะ หมายถึง ขลังและก็เฮี้ยนด้วย”
ชาลิดาไหวไหล่น้อย ๆ ยิ้มขำ สาวกรุงเทพเมืองฟ้าอมรอย่างหล่อน มีหรือจะใส่ใจอะไรกับเรื่องพันธุ์นี้ เรื่องผีสางนางฟ้าเป็นเรื่องของความเชื่อ หล่อนก็ไม่ได้อยากลบหลู่ให้ชาวบ้านขัดเคืองใจหรอก แต่แฟนหนุ่มของหล่อนนี่สิ เป็นหนุ่มชาวกรุงเหมือนกันแท้ ๆ ดันผ่าไปเข้าร่วมวงกับชาวป่าชาวเขาไปได้ บ้าจริง ๆ
“อ่อค่ะ พอดีเชอร์รี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ และก็คิดว่านนท์ก็ไม่น่าจะสนด้วย เรื่องความเชื่อน่ะค่ะ ไม่มีเหตุผล เราไม่สนใจหรอก”
หล่อนจิกตามองนนทภัทร ส่งสายตาบังคับให้เห็นด้วยกับหล่อน นนทภัทรจ้องหน้านั้นนิ่ง ไม่พูดว่าอะไร ลุงชาติขอตัวไปขับรถพลางชวนธาราไปนั่งด้วยกัน คุณอิริคตามหล่อนมาด้วย
“ไปกับคุณน้ำดีกว่า อยากมีไกด์ส่วนตัวครับ”
หนุ่มฝรั่งยิ้มแป้น เด็กไทยสองสามคนหัวเราะที่เห็นสตาฟหนุ่มผู้เคร่งขรึมพูดภาษาไทยได้คล่องปรื๋อ ธชาหรือครูต้นของเด็ก ๆ นั่งอยู่ด้วย เขามองท่าทีนั้นอย่างสงบ ตาคมเหลือบมองอดีตแฟนสาวที่ถือโอกาสชวนเด็ก ๆ ของเขาพูดคุยจ้อขณะนั่งบนรถสองแถวที่โยกโยนไปมาเพราะน้ำหนักที่ดูเกินอัตรากับเส้นทางที่คดเคี้ยว
ฟ้าข้างนอกค่อนข้างอึมครึม เมื่อคืนนี้มีฝนโปรยมาหน่อย ๆ ต้นไม้ใบหญ้าตามข้างทางจึงดูเขียวสด สองข้างทางถนนเห็นต้นพระยาเสือโคร่งหลายต้น เริ่มออกดอกตูมเป็นจุดเล็ก ๆ สีชมพูประปราย รอแย้มบานสะพรั่งรับฤดูหนาวที่ใกล้จะมาถึง รถแล่นมาจนสุดถนนลาดยาง ทางเริ่มแคบลงเมื่อถนนกลายเป็นลูกรัง รถสองแถวทั้ง 3 คัน ดูทรหดมากเมื่อพากันเร่งเครื่อง วิ่งฝุ่นตลบตีโค้งขึ้นตามเส้นทางบนดอยสูง ถนนแคบ โค้งเล็กจนรถเหวี่ยง สองข้างทางเป็นเหวลึกน่าหวาดเสียว
“นี่ไม่ใช่ทางที่เรามาคราวก่อนนี่คะ”
ธาราถาม ครั้งก่อนพวกหล่อนต้องลงเดินเมื่อสุดถนน แต่นี่กลับมีถนนลูกรังเป็นทางให้ตลอดสาย ถนนดูไม่สมบูรณ์นัก ทั้งเป็นหลุมเป็นบ่อและบางแห่งเป็นโคลนลึกยาวตามร่องยางล้อรถ ลุงชาติพยักหน้าหงึก ๆ
“ครับ พวกพรานในพื้นที่ชวนกันขึ้นทางถนนแทนเดินเท้า มันสะดวกกว่าและไวกว่าด้วย พวกเรามีสัมภาระมากเกินจะแบกกันเดินไหว แต่ก็นั่นแหละครับ มันอันตรายกว่า”
แกยิ้มเมื่อเห็นหน้าเป็นกังวลของหญิงสาว
“นิดหน่อยครับ ไม่ต้องกลัวหรอก”
แม้ถนนจะเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนเมื่อคืน แต่ฝุ่นก็ยังฟุ้งให้ผู้โดยสารท้ายรถต้องหันหน้าหาที่หลบ ชาลิดาห่อศีรษะตัวเองจนมิดด้วยหมวกแก๊บใบสวยกับผ้าคลุมไหล่ผืนหนา นี่แหละ สัญญาณแรกของความลำบากในแคมป์นรกนี่ ขอบคุณสวรรค์ที่พากันมาแค่คืนเดียว
“นนท์ช่วยรี่ถือกระเป๋าหน่อยสิคะ”
หล่อนยื่นกระเป๋าเป้ใบน้อยให้แฟนหนุ่มช่วยถือ ใบเล็กแต่หนักเอาการ
“อะไรครับเนี่ย”
นนทภัทรถามเมื่อเห็นขนาดกระเป๋ากับน้ำหนักของมันไม่สอดรับกัน หญิงสาวตอบอู้อี้
“เครื่องสำอางค่ะ รี่แยกออกมาจากเป้เสื้อผ้า กลัวมันกระแทกเดี๋ยวแตก”
“โห... รี่ เรามานอนแคมป์แค่คืนเดียวนะ ขนมาทำไมเยอะแยะ”
นนทภัทรบ่น รับกระเป๋ามาขมวดกองบนตักรวมกับเป้ของตัวเอง มือข้างหนึ่งโหนราวเหล็กกั้นที่ท้ายสองแถวไว้มั่น รถกำลังเร่งเครื่องไต่ขึ้นเขา เวลากระชากตัวรถทีหนึ่งน้ำหนักคนทั้งแถวเทมาที่เขาหมด ยิ่งชาลิดายิ่งแล้วใหญ่ หล่อนไม่มีความคิดจะเหนี่ยวตัวเองไว้กับอะไรทั้งสิ้น รถกระชากขึ้น หล่อนก็เซทับชายหนุ่มทั้งตัวเลย หญิงสาวหันมาหัวเราะคิก
“หนักมั้ยคะ”
“ไม่หนักครับ กระเป๋าอ่ะหนัก แต่คนไม่หนัก”
เขายิ้มหวานให้แฟนสาว หล่อนค้อนทั้งหน้ากาก
“ปากหวานนะ น่ารักจริง จะรักยิ่งกว่านี้อีกถ้าไม่ไปศาลผีบ้านั่น”
หล่อนย้ำอีกครั้งถึงศาลแม่มะยีที่แฟนหนุ่มนึกเฮี้ยนอะไรไม่รู้อยากจะไปกับยัยหมวยแห้งนั่น ขืนไปหล่อนจะงอนให้ถึงชาติหน้าเลย คอยดูสิ
“ฮื้อ... พูดอะไรอย่างนั้นรี่ ลุงชาติเค้าก็บอกอยู่แล้วว่า คนที่นี่เค้านับถือกัน”
นนทภัทรเตือน
“ช่างคนที่นี่ปะไร รี่พูดกับนนท์ ไม่ได้พูดให้ใครแถวนี้ฟังซะหน่อย”
หล่อนว่าหน้าง้ำหน้างอใต้ผืนผ้าคลุมหน้า นนทภัทรมองไม่เห็น แต่น้ำเสียงของหล่อนก็ฟ้องชัด ชายหนุ่มไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก แต่ใจเขาก็อยากไปเห็นศาลที่ว่านั้นเสียจริง เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเรื่องประหลาด ๆ ที่นี่... เมื่อวานซืนนี้เอง
มาเป็นร่าง เป็นหน้า เป็นเสียง พร้อมสรรพ
แถมแผลเปื้อนเลือดให้เขาอีกด้วย
รถตีฝุ่นฟุ้งกระจายถึงหมู่บ้านหลงผา อาณาเขตของน้ำตกภูสอยดาว ตะวันสูงปนม่านหมอกมัว ๆ แดดจึงดูไม่กล้าเท่าไหร่นัก ความมัวซัวมากับความชุ่มชื้นของสายน้ำ ละอองน้ำตกเซ็นกระสายเป็นฟองฝอยถึงบนฝั่ง ร่างใครบางคนยืนจ้องมองกลุ่มผู้มาเยือนอยู่ที่นั่น สตรีร่างผอมบางในชุดผ้าถุงสีดำลายแดงผมเกล้ามวยสูง หล่อนจ้องตรงมายังหญิงร่างระหง เส้นผมเป็นลอนสีน้ำตาลสลวยที่เพิ่งคลี่ออกจากผ้าคลุมไหล่ผืนโตและหมวกแก๊บใบนั้น....ดวงตาไร้แววจับจ้องมายังหล่อนนิ่ง...นานใต้ร่มเงาไม้ท่ามกลางอากาศมืดมัวนั้น...
คณะครู นักเรียนและสต๊าฟวีเอสพีช่วยกันขนเต๊นท์ลงประจำตามจุดต่าง ๆ ที่ได้ทำเครื่องหมายสำหรับกางเต๊นท์ไว้ พรานคนหนึ่งช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดสาวกางเต๊นท์ขนาดนอนคนเดียวให้ หล่อนได้โลเกชั่นสวย เป็นเนินหญ้าโล่งค่อนข้างห่างกับเด็ก ๆ แต่ไม่ไกลจากกลุ่มวีเอสพีนัก หล่อนชอบตำแหน่งนี้ ทั้งสวยและเงียบ
“กิจกรรมเราจะมี 2 วัน รวมครึ่งวันของวันนี้ด้วยนะครับ เราจะให้เด็ก ๆ ทำอาหารกลางป่า ต่อแพไม้ไผ่ ล่องแพ ออกไปเดินสำรวจป่า และเรียนรู้การใช้ชีวิตในป่า”
นนทภัทรอธิบายงานให้คณะครูและสตาฟคนไทยฟัง รวมทั้งธาราด้วย หล่อนยืนฟังเงียบ ๆ ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะได้รับผิดชอบเด็ก ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า สถานการณ์ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์นัก หล่อนรู้สึกเหมือนถูกสาวสวยเขม่นอยู่ตลอดเวลา
“เราจะแบ่งกลุ่มนักเรียนด้วยหรือเปล่าครับ”
ธชาถามขึ้น เขากับชุดเดินป่าดูเป็นของเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ เขาดูเข้มชนิดฝรั่งสูงใหญ่อย่างอิริคดูจืดไปถนัดตา ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม สวมทับด้วยเสื้อยีนส์สีเขียวขี้ม้า กางเกงลายทหาร ผมหยิกเป็นลอนถูกสวมทับด้วยหมวกแก๊ปทรงโกโบริ ร่างสูงหนาจึงดูเด่นสะดุดตามท่ามกลางผู้คนหลายวัย ธาราลอบมองชายหนุ่มไม่วางตา
คนอะไร น่ากินตั้งแต่เด็กยันโต
หญิงสาวคิดอย่างขัดเคือง เคืองตัวเอง ที่กี่ปี ๆ ก็ยังเห็นผู้ชายคนนี้หล่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เด็ก ๆ จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มครับ ทำกิจกรรมสลับกัน เด็กสองคนที่ไม่ค่อยแข็งแรง เราจะให้เขาทำกิจกรรมเฉพาะในแคมป์ ไม่ไปเดินป่า ไม่ไปล่องแพ ตรงนี้เด็ก ๆ เข้าใจแล้ว อืม..น้ำ ช่วยดูเด็ก ๆ ตรงนี้นะ”
นนทภัทรหันมาทางธารา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง พยักหน้าเร็ว ๆ ตาใสจ้องเป๋งที่ตาคนพูด ในใจยิ้มแฉ่ง มีงานทำด้วยเรา
“ธาราดูเด็กก็ดีนะจ๊ะ พี่จะได้มีเวลาทำงานที่สำคัญ ๆ อย่างอื่นแทน ขอบใจที่มานะ”
ชาลิดาว่าพลางยิ้มหวาน ธชาหันมามองหน้าสวย เขายิ้มให้หล่อนอย่างฉงน
“มีงานอะไรที่สำคัญกว่าการดูแลเด็กนักเรียนเหรอครับพี่เชอร์รี่ หาฟืน ตัดไม้ไผ่ หรือว่าล้างหม้อ...อุ่ย..ผมหมายถึงหม้อหุงข้าวน่ะครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน หลบสายตาดุ ๆ ของชาลิดาพ่วงด้วยของนนทภัทรอีกคน เขายิ้มแห้ง ๆ เดินเลี่ยง ๆ ลงไปทางน้ำตกด้านล่างที่กลุ่มเด็กนักเรียนกำลังเตรียมตัวไปเล่นน้ำ ซึ่งจัดเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำอาหารมื้อเย็น ธาราแอบหัวเราะคนเดียว ยิ่งนึกหน้าชาลิดากับนนทภัทรแล้วยิ่งขำ ทั้งคู่จ้องธชาพร้อมกัน ใบหูแดงพอ ๆ กันอีกด้วย หล่อนเดินเลี้ยวจาก “ลานกางเต๊นท์” ไปหาลุงชาติ เป้าหมายมีไว้พุ่งชน มาถึงที่ทั้งที จะลืมวัตถุประสงค์หลักได้ยังไง
“ลุงชาติคะ ว่างรึยังเอ่ย”
หล่อนเดินเข้าใกล้ ถามเสียงค่อยอย่างเกรงใจ ลุงชาติดูวุ่นวายกับกองไม้ไผ่ปล้องยาวหลายสิบปล้อง กับโครงแพอีกสามสี่โครง พรานหนุ่มอีกสองคนกำลังเตรียมเชือกตอกสำหรับมัดต่อแพไม้ไผ่ ดูเป็นอุปกรณ์ง่าย ๆ แต่ขนยากลำบากพอดู ธาราไม่อยากจะคิดว่า หล่อนจะต้องลงน้ำไปครึ่งขาเพื่อจะมัดไม้ไผ่ปล้องยาวและหยาบเหล่านี้เป็นแพให้นักเรียนด้วย มันไม่ใช่งานง่ายเลยสำหรับหล่อน ต่อให้แถมหมวก รองเท้าบู้ทกับถุงมือยางมาให้ด้วยก็เหอะ
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับ แต่ว่าพวกผมจะต้องลงไปขนพวกผัก พวกเนื้อที่จะให้เด็ก ๆ เขาเอามาทำอาหารกันอีก คุณน้ำรอหลังมื้อเย็นดีมั้ยครับ คุณนนท์ก็อยากไปด้วย ค่ำ ๆ หน่อย คุณน้ำก็ไม่ยุ่งด้วย”
“น้ำไม่ยุ่งอะไรอยู่แล้วล่ะค่ะ วันนี้น้ำแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เค้าขอน้ำดูเด็กนักเรียนให้ วันพรุ่งนี้โน่น ...แต่ค่ำ ๆ ไปศาลแม่มะยี น้ำแอบหนาวนะคะลุง”
หล่อนว่าแล้วห่อไหล่ หนาวยะเยือกเลยล่ะ แม่มะยีสำแดงเดชกับหล่อนมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว แต่ละคราวหนาวเย็นแตกต่างกันออกไป ลุงชาติอาจจะแค่เคยได้ยิน แต่ธาราสัมผัสมาแล้ว หล่อนอึดอัดอยู่ไม่น้อย ที่ไม่อาจจะเล่าเรื่องวีรกรรมหลอนประสาทของแม่มะยี บวกกับความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่เกิดขึ้นในชีวิตของหล่อนมากมายเหล่านี้ให้ใครฟังได้
“กลัวทำไม”
ลุงชาติว่าเสียงสูงแล้วหัวเราะ
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอดูเวลาก่อนนะครับ ถ้ามันไม่ค่ำมากเราค่อยไป แต่ถ้ามันมืด รอพรุ่งนี้เช้าไปเลยก็แล้วกัน”
แกสรุป ธาราพยักหน้าเห็นด้วย กรุ๊ปวีเอสพีอยู่กับเราตั้งเดือน เด็กกลุ่มนี้กลับไป ก็ยังเหลือกลุ่มใหม่มาอีกตั้งสามกลุ่ม หล่อนยังมีโอกาสจะมาที่น้ำตกนี้อีกก็ได้ เพียงแต่ถ้าเลือกได้...หล่อนก็อยากให้จบลงในวันนี้เลย เท่านั้นเอง
“ตกลงค่ะ งั้นน้ำไปอยู่ที่เต๊นท์ก่อนละกันนะคะ ถ้าลุงชาติพร้อม เรียกน้ำเลยนะคะ”
ลุงชาติชูนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าเข้าใจตรงกัน ธารายิ้มตอบ หล่อนหันหลังเดินกลับไปยังเต๊นท์ที่พักของตัวเอง ก่อนจะพบว่าตะวันยามบ่ายสาดแสงแรงกว่าที่คาดคิด ฟ้าเปิดเอาตอนบ่าย แดดจัดจ้าชนิดเข้าไปนั่งในเต๊นท์คงไม่ต่างอะไรกับห้องอบซาวน่า ธาราเปลี่ยนความคิดเลือกเดินไปทางน้ำตกด้านล่างแทน ปลายน้ำกระแสน้ำไม่เชี่ยวแรง ทั้งยังมีแอ่งหินรองรับน้ำใสสะอาดน่าลงว่ายเล่น เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวดังมาแว่ว ๆ หญิงสาวชะเง้อคอมองหากลุ่มเด็กนักเรียน หล่อนคงตามมาไม่ผิดแล้วล่ะ
“มิสน้ำจะไปเล่นน้ำตกด้วยเหรอครับ”
เสียงทักดังขึ้นด้านหลัง เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นกลุ่มเดียวกับที่มาเข้าค่าย เขาสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวมีผ้าขนหนูพาดที่ไหล่ วิ่งซอยเท้าถี่ ๆ ลงจากเนินเขาไล่ตามหญิงสาวไปอย่างเร็ว เด็กหนุ่มลูกครึ่งชะลอฝีเท้ารอคำตอบ หญิงสาวตัวเล็กกว่ายิ้มให้
“กำลังจะไปดูน่ะค่ะ ดูเฉย ๆ ไม่เล่นหรอก”
“โอเค เอ่อ... ผมอลันครับ คุณนนท์บอกว่า มิสน้ำจะดูแลผมพรุ่งนี้”
เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาล จมูกโด่งเป็นสันแก้มสีแดงเฉดเรื่อทั้งสองข้างแต่พูดไทยคล่องปรื๋อ ...ธารางงเล็กน้อย นี่คือเด็กนักเรียนคนไทยที่บอกเหรอ ไหนบอกเด็กผู้หญิงไง
“ค่ะ แต่... พี่เข้าใจว่าเป็นเด็กผู้หญิงสองคนเสียอีก”
อลันพยักหน้าเร็ว ๆ
“ครับ ๆ มีผม พริมและก็โมโม ผมเป็นหอบครับ ไม่ไปล่องแพกับเดินป่าด้วย”
ธาราทำหน้ารับรู้ มองเด็กหนุ่มโบกมือบ๊ายบายแล้ววิ่งหายลับไปอย่างครุ่นคิด เด็กม.2 ตัวโตยังกะเด็กม.ปลาย โลกมันไปเร็วหรือไก่มันได้รับสารเยอะเกินไปก็ไม่รู้ เด็กวัยรุ่นถึงได้โตเหมือนชายหนุ่ม เด็กสาว ๆ ก็พลอยมีอะไรต่อมิอะไรล้ำหน้าหญิงสาว ‘เต็มวัย’ อย่างหล่อนไปไกลโข ธาราคิดแล้วก็ยักไหล่ อึ๋มไปก็ได้แต่อยู่บนป่าบนเขา จะเศร้าไปไยให้เปลืองสารเอ็นโดรฟิน สงสารต่อมหมวกไตให้ทำงานหนักเปล่า ๆ ปลี้ ๆ โสดก็โสดสิ สดใหม่เสมออย่างหล่อนเนี่ย ความจริงก็ให้ความรู้สึกที่ดีนะ
“ดูจากข้างหลังก็นึกว่าใครพาเด็กประถมมาด้วยซะอีก”
อีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ธาราจำได้โดยไม่ต้องหันไปดู นนทภัทรเดินไล่หลังตามมา หญิงสาวรู้สึกหัวใจเต้นรัวขึ้นมาฉับพลัน หัวใจนี่มันช่างแสนรู้ ประสาทสัมผัสไวนัก รับรู้ได้ทันกันไปหมด หู ตา ใจ นี่ขาก็เริ่มจะพลอยสั่นไปด้วยแล้วนะนี่
ถนนกลางป่ากลางเขา สองข้างทางขนัดแน่นไปด้วยไผ่กอใหญ่ โยกไหวโอนเอนตามแรงลม ยามแดดกล้าช่วยกรองแสง ยามแดดอ่อนแรงก็ไหวให้ได้รับลมเย็นรื่น หล่อนกำลังอยู่กับบรรยากาศที่แสนดี แต่...กับผู้ชายของคนอื่น
คิดแล้วเอ็นโดรฟินฝ่อลงไปอีกเป็นกอง
“จะไปว่ายน้ำด้วยเหรอน้ำ”
เขาเดินมาประชิด เห็นหล่อนจ้องแต่ทางเดินก็มองตาม
“กลัวสะดุดเหรอ”
ธาราทำตาขวางมองเขา ที่แกล้งทำเป็นเดินมองแต่เท้าเพราะไม่กล้าสบตาตรง ๆ นี่แหละ เขายิ้มกว้าง
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเนอะ ไม่ได้คุยอะไรกับแกเป็นจริงเป็นจังเลย แกเป็นไงมั่งล่ะ”
นนทภัทรกำลังพูดถึงชีวิตในโลกของความเป็นจริงระหว่างเขากับหล่อน โชคชะตาพัดพาให้ทั้งคู่ต้องห่างไกลกันมากว่า 7 ปี เป็นเวลาที่นานโข ทั้งคู่ห่างกันแบบที่แทบจะไม่ติดต่ออะไรกันเลย หล่อนไม่เคยได้เบอร์โทรของเขา ไม่ได้อัพเดทอะไรกับโลกออนไลน์ วัน ๆ ที่รีสอร์ทนี้ หล่อนมีอะไรให้คิดให้ทำเต็มไปหมด ความเครียดรุมเร้า ความเศร้าเจือปน ความสนุกก็มีให้เห็นอยู่ในชีวิต ที่แม้จะเหงา หล่อนก็มีความสุขตามอัตภาพ มีหัวใจไว้นั่งเหงา ๆ คิดถึงใครบางคนที่ติดอยู่ในใจ แน่นอน...ในนั้นก็มีเขาอยู่ด้วย
“ก็เห็นอยู่นี่ไง ชีวิตที่ผ่านมาฉันก็อยู่แบบนี้แหละ”
ธารายักไหล่ ถ้าไม่นับเหตุการณ์ “ผีสำแดง” เมื่อสองสามวันก่อนที่ผ่านมานะ หล่อนคงจะมองหน้าเขาได้สนิทใจกว่านี้ นนทภัทรคงไม่ได้สนใจอะไร เขามีชีวิตของเขา เป็นอิสระทางความคิดและหัวใจตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนหล่อนที่หัวใจวูบไหวไปกับการ “บังเอิญ” ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าของหัวใจเขาชั่วคราว พอกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง ดูเหมือนหัวใจหล่อนจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ทั้งคู่เดินมาถึงที่ท่าน้ำตก เด็ก ๆ เล่นน้ำกันส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ธารามองกางเกงยีนส์ห้าส่วนของตัวเองแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนซื่อบื้อที่สุด รองเท้าผ้าใบที่หล่อนสวม ทำให้เดินขึ้นเนินลงเนินได้โดยสะดวกก็จริง แต่น้ำใส ๆ เย็น ๆ ข้างล่างนั่น หล่อนก็จำต้องอดลงไปสัมผัสความเย็นชื่นนั้นไปโดยปริยาย หญิงสาวยืนมองบรรยากาศรอบน้ำตก ละอองน้ำจากหน้าผากระเซ็นสายปรายโปรย พอต้องแดดให้เห็นลำแสงสีรุ้งเป็นประกาย ลำธารไม่กว้างมาก แต่น้ำใสสะอาด ธาราเลือกแผ่นหินขนาดใหญ่ใกล้กับขอบลำธารอาศัยร่มเงาไม้ใหญ่ข้าง ๆ น้ำตกนั่งชมวิวทิวทัศน์ นนทภัทรเลือกที่นั่งไม่ไกลจากหล่อน ใต้ร่มเงาไม้ประดู่ รากไม้ชอนไชจากง่ามหินสูงเป็นริ้วลำให้เขาได้หย่อนตัวนั่งลงที่นั่น เขาหันมายิ้มกับหล่อน
“มาด้วยกันสบายจะตายเห็นมั้ย ลมก็เย็น น้ำก็สวย ดีกว่าในออฟฟิศแกตั้งเยอะ”
“ช่าย..ดีกว่าในออฟฟิศฉันตั้งเยอะ”
หล่อนยิ้ม แต่เพื่อนหนุ่มหุบ ออฟฟิศธารา... ปริศนาในใจที่เขายังไม่ได้คำตอบเลย
หล่อนไม่ไว้ใจทั้งคู่เอาเสียเลย
แล้วนี่... คุณอิริคยังไปขอให้ยัยน้ำไปแคมป์น้ำตกแทนหล่อนอีกด้วย บ้าที่สุด
“ก็หล่อนอยากไม่ไปเองนี่ยะ งานตัวเองแท้ ๆ”
นังเบสกระเทยคู่ยากจีบปากมาตามสาย หลังจากฟังเพื่อนรักรำพี้รำพัน ชาลิดานั่งหน้าคว่ำอยู่บนเตียง
“ก็ฉันไม่ชอบเข้าป่านี่ รังเกียจตัวทาก ยุงก็เยอะ นอนเต๊นท์ด้วยนะ ทรมานจะตาย”
เพื่อนสาวเบะปากอยู่ปลายสาย
“แหม...หล่อนก็เรื่องมาก ถ้ากลัวเสียผู้ชาย หล่อนก็ไป ถ้าไม่อยากไป หล่อนก็หาใหม่ กิ๊กเยอะจะตายกลัวอะไร”
“กิ๊กเยอะ กิ๊กน้อยมันก็ของฉัน นนท์ก็ของฉัน ฉันไม่อยากให้อีเด็กนี่มาแย่งของของฉันไป ไม่มีทางหรอก”
“ค่า....ทำเป็นมาหวง ”
เบสลากเสียง หมั่นไส้เพื่อนสาวคนนี้นัก ปกติอยู่กทม.ก็ริก ๆ จะมีแฟนใหม่อ้างเบื่อผู้ชายเซอร์ ๆ สมัยนนทภัทรไม่หล่อก็เห็นเขาเป็นของเล่น เห็นเป็นเครื่องวัดความฮอทของตัวเอง หล่อนล่ะเบื่อ
“ได้ไงยะ นนท์น่ะมันของตาย ควงไปไหนก็สมหน้าสมตา แล้วถ้ามาโดนอีหมวยแห้งนี่แย่งไปฉันคงอกแตกตาย สู้เสียให้อีนก อีแนนนี่ไปซะยังดีกว่า”
หล่อนเอ่ยชื่อสาว ๆ ร่วมแก๊ง
“งั้นหล่อนก็ไปสิยะ ถ้าหล่อนไป หัวหน้าฝรั่งคงไม่ไปยุ่งกับนังเด็กนั่นหรอก เลือกเอาก็แล้วกัน ว่าผู้ชายกับความสุขความสบายหล่อนจะเลือกอะไร”
ปลายสายทำเสียงเบื่อหน่าย ชาลิดาก็ไม่เถียงหรอกว่าหล่อนเรื่องมาก แต่ในป่ามันเกินจะทนจริง ๆ ห้องน้ำห้องท่าก็ลำบาก สวย ๆ อย่างหล่อนให้ไปทำธุระในส้วมชั่วคราวหล่อนก็ไม่ไหวนะ แต่ซีรีย์โรแมนติกหลายเรื่อง พระนางมันก็ชอบไปสวีทหวานกันบนเขาทุกที ถ้าเกิดยัยน้ำมันทำแบบนั้นกับนนท์หล่อนคงทนไม่ได้ ชาลิดาเห็นภาพตัวเองในหัวกำลังปรี่เข้าไปกระชากหัวธาราออกมาจากอกกว้าง ๆ ของนนทภัทร หล่อนกระหน่ำซัดผู้หญิงหน้าหมวยจนอายไลน์เนอร์หลุด ลิปสติกกระจาย ชาลิดากำหมัดแน่น แค่คิดอารมณ์ก็พลุ่งพล่านแล้ว
ธารามายืนท่ามกลางคณะผู้เดินทางไปแคมป์น้ำตกด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดอีกครั้ง เมื่อชาลิดามายืนแบกเป้ทำหน้าขาวเนียนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย อิริคกับซางฮุนมองหล่อนอย่างเหนื่อยหน่าย
“คุณไม่ต้องไปก็ได้เชอร์รี่ เราไปขอคุณน้ำมาแทนแล้ว”
อิริคว่า มองชาลิดาโพสท่าเกี่ยวแขนนนทภัทรอย่างรำคาญตา
“มันเป็นหน้าที่ของเชอร์รี่ค่ะ คุณจะไปรบกวนคนอื่นมาทำไมกัน”
หล่อนเน้นเสียง สามหนุ่มแห่งวีเอสพีถอนใจเกือบพร้อมกัน
“ถ้าตอนแรกคุณพูดแบบนี้ เราจะได้ไม่ต้องไปรบกวนคุณน้ำมาเลย”
อิริคมองหล่อนอย่างตำหนิ ธารารู้สึกว่าตัวเองดูเกะกะ หล่อนเหลือบมอง คนนั้นคนนี้ก่อนจะตัดสินในยกเป้ของตัวเองขึ้นบ่า
“ถ้ามีคนครบแล้ว งั้นน้ำขอตัวเลยนะคะ”
หล่อนยิ้มเจื่อน กลับไปทำงานต่อก็ดีเหมือนกัน ขืนหล่อนไปก็ยังนึกไม่ออกว่าหล่อนจะทำงานตรงไหน ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน มันไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีนี่นะ
“โน ๆ พลีส... คุณน้ำ เราอยากให้คุณไปกับเรา คุณไปเถอะ... นะ”
อิริคปราดเข้ามาขวางหน้าหญิงสาวไว้ พูดจาร้องขอด้วยท่าทีสุภาพ ซางฮุนรีบมาปลดเป้ของหล่นออกจากบ่าไปแบกแทน
“let me help you, khun Nam”
เขายิ้มเอาใจ ธารายิ้มตอบ รถลุงชาติกับทีมมาจอดเทียบพอดี แกโดดลงจากรถด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง พรานอีกสองคนมาช่วยเด็ก ๆ ขนสัมภาระ ขึ้นรถสองแถว
“อ้าว คุณน้ำมาด้วยกันจริง ๆ ด้วย ดีครับดี ๆ”
แกหันมาทักธาราอย่างแช่มชื่น พลางกระเถิบเข้ามากระซิบ
“เดี๋ยวผมจะพาไปไหว้ศาลแม่มะยีกัน”
ลุงชาติขยิบตาให้อย่างรู้กัน ธาราจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ หินพันด้ายแดงหล่อนห่อผ้าเช็ดหน้ามาด้วยในกระเป๋าเป้ เกือบลืมไปเลย หล่อนตั้งใจจะเอาหินนี้ไปคืนที่ศาลนั้นด้วยนี่นะ
“อะไรเหรอน้ำ”
นนทภัทรเข้ามากระซิบถามใกล้ ๆ มีชาลิดาเดินตามมาฟังด้วย ลุงชาติยิ้ม
“คุณนนท์สนใจมั้ยครับ ผมจะพาคุณน้ำไปไหว้ศาลแม่มะยีพรุ่งนี้ ใกล้ ๆ ผาศิลาแอ่นที่คุณน้ำลื่นหัวแตกคราวก่อนนั่นแหละครับ”
แกเล่ากลั้วหัวเราะ นนทภัทรหัวเราะตาม มองหน้าเพื่อนตัวเล็กแล้วพูดสำทับ
“สนสิครับ ศิลาจารึกเลยแหละนั่นน่ะ ว่าแต่มีอะไรน่าสนใจที่นั่นเหรอครับ”
นนทภัทรถาม
“ศาลแม่มะยีครับ โห้ย... ศักดิ์สิทธิ์ สาว ๆ แถวนี้เขารู้จักกันดี คุณน้ำก็ยังมีของดีของแม่มะยีเลยนะครับ”
ลุงชาติหยอกเบา ๆ แต่ธารากลับสะดุ้งโหยง หล่อนเบี่ยงตัวออกจากวงสนทนา ทำเป็นเหม่อมองไปยังเด็กนักเรียนที่กำลังทยอยขนสัมภาระต่าง ๆ ขึ้นรถ ชาลิดาหรี่ตามองหล่อน
“ว้าว... น้ำมีของดีอะไรเหรอจ๊ะ น่าสนใจจัง”
หล่อนว่า นนทภัทรหัวเราะหันมาคุยต่อกับลุงชาติ
“อย่าบอกนะครับว่าเป็นหินสีเทา ๆ มีด้ายแดงนั่นพันอยู่อ่ะ ผมเห็น...”
เขาชะงัก นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาเมื่อคืนก่อน ลมหมุนในห้องทำงานของธารา กับผู้หญิงสาวชาวเขา มันเหมือนจริงจนสับสนว่ามันเป็นฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ แต่รอยเสื้อขาดกับแผลถลอกบนสีข้างยังคงเป็นสิ่งที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในใจ เขาจำใบหน้าสวย นัยน์ตาไร้แววนั้นได้ดี หล่อนไม่ได้น่าสะพรึงกลัวหรอก แต่มีพลังอำนาจประหลาดที่แม้แต่เพียงนึกถึง หลังเขาก็รู้สึกเย็นวาบ
แม่มะยี...อย่างนั้นหรือ
“ขอผมไปด้วยได้มั้ยครับ ไม่ไกลจากแคมป์ใช่มั้ย”
เขาว่า ชาลิดากระตุกแขน
“คุณจะบ้าเหรอนนท์ เรื่องความเชื่อบ้าน ๆ แบบนี้คุณสนใจด้วยเหรอ ไร้สาระจะตาย”
ธารากับลุงชาติหันขวับ พลอยทำให้คนหน้าสวยสะดุ้งตาม ชายวัยกลางคนกระซิบเตือน
“ระวัง ๆ หน่อยนะครับ ผมพูดว่าแม่มะยีศักดิ์สิทธิ์น่ะ หมายถึง ขลังและก็เฮี้ยนด้วย”
ชาลิดาไหวไหล่น้อย ๆ ยิ้มขำ สาวกรุงเทพเมืองฟ้าอมรอย่างหล่อน มีหรือจะใส่ใจอะไรกับเรื่องพันธุ์นี้ เรื่องผีสางนางฟ้าเป็นเรื่องของความเชื่อ หล่อนก็ไม่ได้อยากลบหลู่ให้ชาวบ้านขัดเคืองใจหรอก แต่แฟนหนุ่มของหล่อนนี่สิ เป็นหนุ่มชาวกรุงเหมือนกันแท้ ๆ ดันผ่าไปเข้าร่วมวงกับชาวป่าชาวเขาไปได้ บ้าจริง ๆ
“อ่อค่ะ พอดีเชอร์รี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ และก็คิดว่านนท์ก็ไม่น่าจะสนด้วย เรื่องความเชื่อน่ะค่ะ ไม่มีเหตุผล เราไม่สนใจหรอก”
หล่อนจิกตามองนนทภัทร ส่งสายตาบังคับให้เห็นด้วยกับหล่อน นนทภัทรจ้องหน้านั้นนิ่ง ไม่พูดว่าอะไร ลุงชาติขอตัวไปขับรถพลางชวนธาราไปนั่งด้วยกัน คุณอิริคตามหล่อนมาด้วย
“ไปกับคุณน้ำดีกว่า อยากมีไกด์ส่วนตัวครับ”
หนุ่มฝรั่งยิ้มแป้น เด็กไทยสองสามคนหัวเราะที่เห็นสตาฟหนุ่มผู้เคร่งขรึมพูดภาษาไทยได้คล่องปรื๋อ ธชาหรือครูต้นของเด็ก ๆ นั่งอยู่ด้วย เขามองท่าทีนั้นอย่างสงบ ตาคมเหลือบมองอดีตแฟนสาวที่ถือโอกาสชวนเด็ก ๆ ของเขาพูดคุยจ้อขณะนั่งบนรถสองแถวที่โยกโยนไปมาเพราะน้ำหนักที่ดูเกินอัตรากับเส้นทางที่คดเคี้ยว
ฟ้าข้างนอกค่อนข้างอึมครึม เมื่อคืนนี้มีฝนโปรยมาหน่อย ๆ ต้นไม้ใบหญ้าตามข้างทางจึงดูเขียวสด สองข้างทางถนนเห็นต้นพระยาเสือโคร่งหลายต้น เริ่มออกดอกตูมเป็นจุดเล็ก ๆ สีชมพูประปราย รอแย้มบานสะพรั่งรับฤดูหนาวที่ใกล้จะมาถึง รถแล่นมาจนสุดถนนลาดยาง ทางเริ่มแคบลงเมื่อถนนกลายเป็นลูกรัง รถสองแถวทั้ง 3 คัน ดูทรหดมากเมื่อพากันเร่งเครื่อง วิ่งฝุ่นตลบตีโค้งขึ้นตามเส้นทางบนดอยสูง ถนนแคบ โค้งเล็กจนรถเหวี่ยง สองข้างทางเป็นเหวลึกน่าหวาดเสียว
“นี่ไม่ใช่ทางที่เรามาคราวก่อนนี่คะ”
ธาราถาม ครั้งก่อนพวกหล่อนต้องลงเดินเมื่อสุดถนน แต่นี่กลับมีถนนลูกรังเป็นทางให้ตลอดสาย ถนนดูไม่สมบูรณ์นัก ทั้งเป็นหลุมเป็นบ่อและบางแห่งเป็นโคลนลึกยาวตามร่องยางล้อรถ ลุงชาติพยักหน้าหงึก ๆ
“ครับ พวกพรานในพื้นที่ชวนกันขึ้นทางถนนแทนเดินเท้า มันสะดวกกว่าและไวกว่าด้วย พวกเรามีสัมภาระมากเกินจะแบกกันเดินไหว แต่ก็นั่นแหละครับ มันอันตรายกว่า”
แกยิ้มเมื่อเห็นหน้าเป็นกังวลของหญิงสาว
“นิดหน่อยครับ ไม่ต้องกลัวหรอก”
แม้ถนนจะเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนเมื่อคืน แต่ฝุ่นก็ยังฟุ้งให้ผู้โดยสารท้ายรถต้องหันหน้าหาที่หลบ ชาลิดาห่อศีรษะตัวเองจนมิดด้วยหมวกแก๊บใบสวยกับผ้าคลุมไหล่ผืนหนา นี่แหละ สัญญาณแรกของความลำบากในแคมป์นรกนี่ ขอบคุณสวรรค์ที่พากันมาแค่คืนเดียว
“นนท์ช่วยรี่ถือกระเป๋าหน่อยสิคะ”
หล่อนยื่นกระเป๋าเป้ใบน้อยให้แฟนหนุ่มช่วยถือ ใบเล็กแต่หนักเอาการ
“อะไรครับเนี่ย”
นนทภัทรถามเมื่อเห็นขนาดกระเป๋ากับน้ำหนักของมันไม่สอดรับกัน หญิงสาวตอบอู้อี้
“เครื่องสำอางค่ะ รี่แยกออกมาจากเป้เสื้อผ้า กลัวมันกระแทกเดี๋ยวแตก”
“โห... รี่ เรามานอนแคมป์แค่คืนเดียวนะ ขนมาทำไมเยอะแยะ”
นนทภัทรบ่น รับกระเป๋ามาขมวดกองบนตักรวมกับเป้ของตัวเอง มือข้างหนึ่งโหนราวเหล็กกั้นที่ท้ายสองแถวไว้มั่น รถกำลังเร่งเครื่องไต่ขึ้นเขา เวลากระชากตัวรถทีหนึ่งน้ำหนักคนทั้งแถวเทมาที่เขาหมด ยิ่งชาลิดายิ่งแล้วใหญ่ หล่อนไม่มีความคิดจะเหนี่ยวตัวเองไว้กับอะไรทั้งสิ้น รถกระชากขึ้น หล่อนก็เซทับชายหนุ่มทั้งตัวเลย หญิงสาวหันมาหัวเราะคิก
“หนักมั้ยคะ”
“ไม่หนักครับ กระเป๋าอ่ะหนัก แต่คนไม่หนัก”
เขายิ้มหวานให้แฟนสาว หล่อนค้อนทั้งหน้ากาก
“ปากหวานนะ น่ารักจริง จะรักยิ่งกว่านี้อีกถ้าไม่ไปศาลผีบ้านั่น”
หล่อนย้ำอีกครั้งถึงศาลแม่มะยีที่แฟนหนุ่มนึกเฮี้ยนอะไรไม่รู้อยากจะไปกับยัยหมวยแห้งนั่น ขืนไปหล่อนจะงอนให้ถึงชาติหน้าเลย คอยดูสิ
“ฮื้อ... พูดอะไรอย่างนั้นรี่ ลุงชาติเค้าก็บอกอยู่แล้วว่า คนที่นี่เค้านับถือกัน”
นนทภัทรเตือน
“ช่างคนที่นี่ปะไร รี่พูดกับนนท์ ไม่ได้พูดให้ใครแถวนี้ฟังซะหน่อย”
หล่อนว่าหน้าง้ำหน้างอใต้ผืนผ้าคลุมหน้า นนทภัทรมองไม่เห็น แต่น้ำเสียงของหล่อนก็ฟ้องชัด ชายหนุ่มไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก แต่ใจเขาก็อยากไปเห็นศาลที่ว่านั้นเสียจริง เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเรื่องประหลาด ๆ ที่นี่... เมื่อวานซืนนี้เอง
มาเป็นร่าง เป็นหน้า เป็นเสียง พร้อมสรรพ
แถมแผลเปื้อนเลือดให้เขาอีกด้วย
รถตีฝุ่นฟุ้งกระจายถึงหมู่บ้านหลงผา อาณาเขตของน้ำตกภูสอยดาว ตะวันสูงปนม่านหมอกมัว ๆ แดดจึงดูไม่กล้าเท่าไหร่นัก ความมัวซัวมากับความชุ่มชื้นของสายน้ำ ละอองน้ำตกเซ็นกระสายเป็นฟองฝอยถึงบนฝั่ง ร่างใครบางคนยืนจ้องมองกลุ่มผู้มาเยือนอยู่ที่นั่น สตรีร่างผอมบางในชุดผ้าถุงสีดำลายแดงผมเกล้ามวยสูง หล่อนจ้องตรงมายังหญิงร่างระหง เส้นผมเป็นลอนสีน้ำตาลสลวยที่เพิ่งคลี่ออกจากผ้าคลุมไหล่ผืนโตและหมวกแก๊บใบนั้น....ดวงตาไร้แววจับจ้องมายังหล่อนนิ่ง...นานใต้ร่มเงาไม้ท่ามกลางอากาศมืดมัวนั้น...
คณะครู นักเรียนและสต๊าฟวีเอสพีช่วยกันขนเต๊นท์ลงประจำตามจุดต่าง ๆ ที่ได้ทำเครื่องหมายสำหรับกางเต๊นท์ไว้ พรานคนหนึ่งช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดสาวกางเต๊นท์ขนาดนอนคนเดียวให้ หล่อนได้โลเกชั่นสวย เป็นเนินหญ้าโล่งค่อนข้างห่างกับเด็ก ๆ แต่ไม่ไกลจากกลุ่มวีเอสพีนัก หล่อนชอบตำแหน่งนี้ ทั้งสวยและเงียบ
“กิจกรรมเราจะมี 2 วัน รวมครึ่งวันของวันนี้ด้วยนะครับ เราจะให้เด็ก ๆ ทำอาหารกลางป่า ต่อแพไม้ไผ่ ล่องแพ ออกไปเดินสำรวจป่า และเรียนรู้การใช้ชีวิตในป่า”
นนทภัทรอธิบายงานให้คณะครูและสตาฟคนไทยฟัง รวมทั้งธาราด้วย หล่อนยืนฟังเงียบ ๆ ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะได้รับผิดชอบเด็ก ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า สถานการณ์ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์นัก หล่อนรู้สึกเหมือนถูกสาวสวยเขม่นอยู่ตลอดเวลา
“เราจะแบ่งกลุ่มนักเรียนด้วยหรือเปล่าครับ”
ธชาถามขึ้น เขากับชุดเดินป่าดูเป็นของเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ เขาดูเข้มชนิดฝรั่งสูงใหญ่อย่างอิริคดูจืดไปถนัดตา ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม สวมทับด้วยเสื้อยีนส์สีเขียวขี้ม้า กางเกงลายทหาร ผมหยิกเป็นลอนถูกสวมทับด้วยหมวกแก๊ปทรงโกโบริ ร่างสูงหนาจึงดูเด่นสะดุดตามท่ามกลางผู้คนหลายวัย ธาราลอบมองชายหนุ่มไม่วางตา
คนอะไร น่ากินตั้งแต่เด็กยันโต
หญิงสาวคิดอย่างขัดเคือง เคืองตัวเอง ที่กี่ปี ๆ ก็ยังเห็นผู้ชายคนนี้หล่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เด็ก ๆ จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มครับ ทำกิจกรรมสลับกัน เด็กสองคนที่ไม่ค่อยแข็งแรง เราจะให้เขาทำกิจกรรมเฉพาะในแคมป์ ไม่ไปเดินป่า ไม่ไปล่องแพ ตรงนี้เด็ก ๆ เข้าใจแล้ว อืม..น้ำ ช่วยดูเด็ก ๆ ตรงนี้นะ”
นนทภัทรหันมาทางธารา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง พยักหน้าเร็ว ๆ ตาใสจ้องเป๋งที่ตาคนพูด ในใจยิ้มแฉ่ง มีงานทำด้วยเรา
“ธาราดูเด็กก็ดีนะจ๊ะ พี่จะได้มีเวลาทำงานที่สำคัญ ๆ อย่างอื่นแทน ขอบใจที่มานะ”
ชาลิดาว่าพลางยิ้มหวาน ธชาหันมามองหน้าสวย เขายิ้มให้หล่อนอย่างฉงน
“มีงานอะไรที่สำคัญกว่าการดูแลเด็กนักเรียนเหรอครับพี่เชอร์รี่ หาฟืน ตัดไม้ไผ่ หรือว่าล้างหม้อ...อุ่ย..ผมหมายถึงหม้อหุงข้าวน่ะครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน หลบสายตาดุ ๆ ของชาลิดาพ่วงด้วยของนนทภัทรอีกคน เขายิ้มแห้ง ๆ เดินเลี่ยง ๆ ลงไปทางน้ำตกด้านล่างที่กลุ่มเด็กนักเรียนกำลังเตรียมตัวไปเล่นน้ำ ซึ่งจัดเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำอาหารมื้อเย็น ธาราแอบหัวเราะคนเดียว ยิ่งนึกหน้าชาลิดากับนนทภัทรแล้วยิ่งขำ ทั้งคู่จ้องธชาพร้อมกัน ใบหูแดงพอ ๆ กันอีกด้วย หล่อนเดินเลี้ยวจาก “ลานกางเต๊นท์” ไปหาลุงชาติ เป้าหมายมีไว้พุ่งชน มาถึงที่ทั้งที จะลืมวัตถุประสงค์หลักได้ยังไง
“ลุงชาติคะ ว่างรึยังเอ่ย”
หล่อนเดินเข้าใกล้ ถามเสียงค่อยอย่างเกรงใจ ลุงชาติดูวุ่นวายกับกองไม้ไผ่ปล้องยาวหลายสิบปล้อง กับโครงแพอีกสามสี่โครง พรานหนุ่มอีกสองคนกำลังเตรียมเชือกตอกสำหรับมัดต่อแพไม้ไผ่ ดูเป็นอุปกรณ์ง่าย ๆ แต่ขนยากลำบากพอดู ธาราไม่อยากจะคิดว่า หล่อนจะต้องลงน้ำไปครึ่งขาเพื่อจะมัดไม้ไผ่ปล้องยาวและหยาบเหล่านี้เป็นแพให้นักเรียนด้วย มันไม่ใช่งานง่ายเลยสำหรับหล่อน ต่อให้แถมหมวก รองเท้าบู้ทกับถุงมือยางมาให้ด้วยก็เหอะ
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับ แต่ว่าพวกผมจะต้องลงไปขนพวกผัก พวกเนื้อที่จะให้เด็ก ๆ เขาเอามาทำอาหารกันอีก คุณน้ำรอหลังมื้อเย็นดีมั้ยครับ คุณนนท์ก็อยากไปด้วย ค่ำ ๆ หน่อย คุณน้ำก็ไม่ยุ่งด้วย”
“น้ำไม่ยุ่งอะไรอยู่แล้วล่ะค่ะ วันนี้น้ำแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เค้าขอน้ำดูเด็กนักเรียนให้ วันพรุ่งนี้โน่น ...แต่ค่ำ ๆ ไปศาลแม่มะยี น้ำแอบหนาวนะคะลุง”
หล่อนว่าแล้วห่อไหล่ หนาวยะเยือกเลยล่ะ แม่มะยีสำแดงเดชกับหล่อนมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว แต่ละคราวหนาวเย็นแตกต่างกันออกไป ลุงชาติอาจจะแค่เคยได้ยิน แต่ธาราสัมผัสมาแล้ว หล่อนอึดอัดอยู่ไม่น้อย ที่ไม่อาจจะเล่าเรื่องวีรกรรมหลอนประสาทของแม่มะยี บวกกับความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่เกิดขึ้นในชีวิตของหล่อนมากมายเหล่านี้ให้ใครฟังได้
“กลัวทำไม”
ลุงชาติว่าเสียงสูงแล้วหัวเราะ
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอดูเวลาก่อนนะครับ ถ้ามันไม่ค่ำมากเราค่อยไป แต่ถ้ามันมืด รอพรุ่งนี้เช้าไปเลยก็แล้วกัน”
แกสรุป ธาราพยักหน้าเห็นด้วย กรุ๊ปวีเอสพีอยู่กับเราตั้งเดือน เด็กกลุ่มนี้กลับไป ก็ยังเหลือกลุ่มใหม่มาอีกตั้งสามกลุ่ม หล่อนยังมีโอกาสจะมาที่น้ำตกนี้อีกก็ได้ เพียงแต่ถ้าเลือกได้...หล่อนก็อยากให้จบลงในวันนี้เลย เท่านั้นเอง
“ตกลงค่ะ งั้นน้ำไปอยู่ที่เต๊นท์ก่อนละกันนะคะ ถ้าลุงชาติพร้อม เรียกน้ำเลยนะคะ”
ลุงชาติชูนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าเข้าใจตรงกัน ธารายิ้มตอบ หล่อนหันหลังเดินกลับไปยังเต๊นท์ที่พักของตัวเอง ก่อนจะพบว่าตะวันยามบ่ายสาดแสงแรงกว่าที่คาดคิด ฟ้าเปิดเอาตอนบ่าย แดดจัดจ้าชนิดเข้าไปนั่งในเต๊นท์คงไม่ต่างอะไรกับห้องอบซาวน่า ธาราเปลี่ยนความคิดเลือกเดินไปทางน้ำตกด้านล่างแทน ปลายน้ำกระแสน้ำไม่เชี่ยวแรง ทั้งยังมีแอ่งหินรองรับน้ำใสสะอาดน่าลงว่ายเล่น เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวดังมาแว่ว ๆ หญิงสาวชะเง้อคอมองหากลุ่มเด็กนักเรียน หล่อนคงตามมาไม่ผิดแล้วล่ะ
“มิสน้ำจะไปเล่นน้ำตกด้วยเหรอครับ”
เสียงทักดังขึ้นด้านหลัง เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นกลุ่มเดียวกับที่มาเข้าค่าย เขาสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวมีผ้าขนหนูพาดที่ไหล่ วิ่งซอยเท้าถี่ ๆ ลงจากเนินเขาไล่ตามหญิงสาวไปอย่างเร็ว เด็กหนุ่มลูกครึ่งชะลอฝีเท้ารอคำตอบ หญิงสาวตัวเล็กกว่ายิ้มให้
“กำลังจะไปดูน่ะค่ะ ดูเฉย ๆ ไม่เล่นหรอก”
“โอเค เอ่อ... ผมอลันครับ คุณนนท์บอกว่า มิสน้ำจะดูแลผมพรุ่งนี้”
เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาล จมูกโด่งเป็นสันแก้มสีแดงเฉดเรื่อทั้งสองข้างแต่พูดไทยคล่องปรื๋อ ...ธารางงเล็กน้อย นี่คือเด็กนักเรียนคนไทยที่บอกเหรอ ไหนบอกเด็กผู้หญิงไง
“ค่ะ แต่... พี่เข้าใจว่าเป็นเด็กผู้หญิงสองคนเสียอีก”
อลันพยักหน้าเร็ว ๆ
“ครับ ๆ มีผม พริมและก็โมโม ผมเป็นหอบครับ ไม่ไปล่องแพกับเดินป่าด้วย”
ธาราทำหน้ารับรู้ มองเด็กหนุ่มโบกมือบ๊ายบายแล้ววิ่งหายลับไปอย่างครุ่นคิด เด็กม.2 ตัวโตยังกะเด็กม.ปลาย โลกมันไปเร็วหรือไก่มันได้รับสารเยอะเกินไปก็ไม่รู้ เด็กวัยรุ่นถึงได้โตเหมือนชายหนุ่ม เด็กสาว ๆ ก็พลอยมีอะไรต่อมิอะไรล้ำหน้าหญิงสาว ‘เต็มวัย’ อย่างหล่อนไปไกลโข ธาราคิดแล้วก็ยักไหล่ อึ๋มไปก็ได้แต่อยู่บนป่าบนเขา จะเศร้าไปไยให้เปลืองสารเอ็นโดรฟิน สงสารต่อมหมวกไตให้ทำงานหนักเปล่า ๆ ปลี้ ๆ โสดก็โสดสิ สดใหม่เสมออย่างหล่อนเนี่ย ความจริงก็ให้ความรู้สึกที่ดีนะ
“ดูจากข้างหลังก็นึกว่าใครพาเด็กประถมมาด้วยซะอีก”
อีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ธาราจำได้โดยไม่ต้องหันไปดู นนทภัทรเดินไล่หลังตามมา หญิงสาวรู้สึกหัวใจเต้นรัวขึ้นมาฉับพลัน หัวใจนี่มันช่างแสนรู้ ประสาทสัมผัสไวนัก รับรู้ได้ทันกันไปหมด หู ตา ใจ นี่ขาก็เริ่มจะพลอยสั่นไปด้วยแล้วนะนี่
ถนนกลางป่ากลางเขา สองข้างทางขนัดแน่นไปด้วยไผ่กอใหญ่ โยกไหวโอนเอนตามแรงลม ยามแดดกล้าช่วยกรองแสง ยามแดดอ่อนแรงก็ไหวให้ได้รับลมเย็นรื่น หล่อนกำลังอยู่กับบรรยากาศที่แสนดี แต่...กับผู้ชายของคนอื่น
คิดแล้วเอ็นโดรฟินฝ่อลงไปอีกเป็นกอง
“จะไปว่ายน้ำด้วยเหรอน้ำ”
เขาเดินมาประชิด เห็นหล่อนจ้องแต่ทางเดินก็มองตาม
“กลัวสะดุดเหรอ”
ธาราทำตาขวางมองเขา ที่แกล้งทำเป็นเดินมองแต่เท้าเพราะไม่กล้าสบตาตรง ๆ นี่แหละ เขายิ้มกว้าง
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเนอะ ไม่ได้คุยอะไรกับแกเป็นจริงเป็นจังเลย แกเป็นไงมั่งล่ะ”
นนทภัทรกำลังพูดถึงชีวิตในโลกของความเป็นจริงระหว่างเขากับหล่อน โชคชะตาพัดพาให้ทั้งคู่ต้องห่างไกลกันมากว่า 7 ปี เป็นเวลาที่นานโข ทั้งคู่ห่างกันแบบที่แทบจะไม่ติดต่ออะไรกันเลย หล่อนไม่เคยได้เบอร์โทรของเขา ไม่ได้อัพเดทอะไรกับโลกออนไลน์ วัน ๆ ที่รีสอร์ทนี้ หล่อนมีอะไรให้คิดให้ทำเต็มไปหมด ความเครียดรุมเร้า ความเศร้าเจือปน ความสนุกก็มีให้เห็นอยู่ในชีวิต ที่แม้จะเหงา หล่อนก็มีความสุขตามอัตภาพ มีหัวใจไว้นั่งเหงา ๆ คิดถึงใครบางคนที่ติดอยู่ในใจ แน่นอน...ในนั้นก็มีเขาอยู่ด้วย
“ก็เห็นอยู่นี่ไง ชีวิตที่ผ่านมาฉันก็อยู่แบบนี้แหละ”
ธารายักไหล่ ถ้าไม่นับเหตุการณ์ “ผีสำแดง” เมื่อสองสามวันก่อนที่ผ่านมานะ หล่อนคงจะมองหน้าเขาได้สนิทใจกว่านี้ นนทภัทรคงไม่ได้สนใจอะไร เขามีชีวิตของเขา เป็นอิสระทางความคิดและหัวใจตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนหล่อนที่หัวใจวูบไหวไปกับการ “บังเอิญ” ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าของหัวใจเขาชั่วคราว พอกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง ดูเหมือนหัวใจหล่อนจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ทั้งคู่เดินมาถึงที่ท่าน้ำตก เด็ก ๆ เล่นน้ำกันส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ธารามองกางเกงยีนส์ห้าส่วนของตัวเองแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนซื่อบื้อที่สุด รองเท้าผ้าใบที่หล่อนสวม ทำให้เดินขึ้นเนินลงเนินได้โดยสะดวกก็จริง แต่น้ำใส ๆ เย็น ๆ ข้างล่างนั่น หล่อนก็จำต้องอดลงไปสัมผัสความเย็นชื่นนั้นไปโดยปริยาย หญิงสาวยืนมองบรรยากาศรอบน้ำตก ละอองน้ำจากหน้าผากระเซ็นสายปรายโปรย พอต้องแดดให้เห็นลำแสงสีรุ้งเป็นประกาย ลำธารไม่กว้างมาก แต่น้ำใสสะอาด ธาราเลือกแผ่นหินขนาดใหญ่ใกล้กับขอบลำธารอาศัยร่มเงาไม้ใหญ่ข้าง ๆ น้ำตกนั่งชมวิวทิวทัศน์ นนทภัทรเลือกที่นั่งไม่ไกลจากหล่อน ใต้ร่มเงาไม้ประดู่ รากไม้ชอนไชจากง่ามหินสูงเป็นริ้วลำให้เขาได้หย่อนตัวนั่งลงที่นั่น เขาหันมายิ้มกับหล่อน
“มาด้วยกันสบายจะตายเห็นมั้ย ลมก็เย็น น้ำก็สวย ดีกว่าในออฟฟิศแกตั้งเยอะ”
“ช่าย..ดีกว่าในออฟฟิศฉันตั้งเยอะ”
หล่อนยิ้ม แต่เพื่อนหนุ่มหุบ ออฟฟิศธารา... ปริศนาในใจที่เขายังไม่ได้คำตอบเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ