มาลย์มายา รีไรท์
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.34 น.
แก้ไขเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558 13.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) หินหวันด้ายแดง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงนกร้องเบา ๆ แสงแดดเริ่มสาดส่องกระทบเปลือกตา ธาราค่อยปรือตาขึ้นจากการหลับใหล รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน ทัศนียภาพเบื้องหน้าดูแปลกตาไปจากที่เคย หล่อนตะแคงเบียดชนอยู่กับขาเตียง ฝ้าเพดานดูสูงกว่าปกติ อ้อ เมื่อคืนหล่อนนอนบนพื้นกับนนทภัทรนี่นะ
ร่างบางพลิกตัวกลับประสานสายตาเข้ากับชายหนุ่มที่เพิ่งลืมตาตื่น หล่อนเกือบจะยิ้มให้แล้ว ทว่าร่างสูงกลับทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอน เบิกตากว้างมองหล่อนราวกับเห็นผี
“เฮ้ย!!! ไอ้น้ำ !!! มานอนอยู่กะเราที่นี่ได้ไงเนี่ย!!!”
เขาตกใจ หล่อนก็ตกใจ มือควานเปะปะพยุงตัวเองลุกขึ้นมาบ้าง เกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย เมื่อคืนเป็นคนชวนเรานอนด้วยแท้ ๆ ธารากำลังงุนงงกับท่าที ‘ช็อก’ ของชายหนุ่ม ก็พลันเสียงจากบนเตียงกรีดร้องเอะอะขึ้นมาอีกคน
“ว้าย!! อะไรกันน่ะ นนท์... นี่พวกเธอลงไปนอนด้วยกันทำไมตรงนั้น!!!”
ชาลิดาปราดลงมาจากเตียง ตรงเข้าดึงแขนนนทภัทรไว้ข้างตัว ตาจ้องธาราเขียวปัด
“เอ่อ...”
ธารามองสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างงุนงง นนทภัทรยืนตัวหดอยู่บนฟูกที่นอน มีชาลิดายืนหยิกทึ้งจิกตีด้วยความโมโหอยู่ใกล้ ๆ หน้าตาชายหนุ่มดูมึนงง ก็แน่ล่ะ หล่อนก็งง
“ก็เมื่อคืนพี่เชอร์รี่มาขอนอนห้องของน้ำไงคะ พี่บอกว่ารีสอร์ทเรามีผี”
หล่อนอธิบายเสียงเบา จ้องหน้าทั้งคู่อย่างลังเล ไม่รู้ความทรงจำของคนทั้งหลายจะอยู่ในหมวดไหน
“ก็...ก็ใช่นะ แต่ จริง ๆ มันก็ไม่เชิงหรอก ฉันแค่ฝันไปต่างหาก เอ่อ...ใช่ ฝัน..”
ชาลิดายืนคิด นิ้วมือยังหนีบติดที่แขนของชายหนุ่ม นนทภัทรพยายามปัดมือขาวนั้นออก
“ใช่ ผมจำได้ว่าพี่มาขอนอนห้องของน้ำ ส่วนผม...”
นนทภัทรก็อึ้งไปอีกคน
“ผม มาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
เขาเกาคาง แล้วก็ย้ายไปเกาหัว ธาราอยากจะเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนเคลียร์กันอยู่หรอก แต่มันเป็นไปไม่ได้ อำนาจของผีสาวมะยีทำเรื่องให้หล่อนปวดหัวอีกแล้ว อดีตหมุนกลับมาเหมือนเดิม แต่เหตุการณ์กลับยังดำเนินต่อไปตามปกติ แล้วหล่อนควรจะทำอย่างไรกับความทรงจำของคนพวกนี้ดี ชาลิดาดึงแขนชายหนุ่ม จ้องหน้ากระซิบกันเสียงดังว่า เขาลงไปนอนกับหล่อนได้อย่างไร นาทีนี้ธารารู้สึกว่า ตัวเองนั้นช่างดูเกะกะ อยู่ผิดที่ผิดทางเหลือเกิน แต่กระนั้นหล่อนก็เชิดหน้า ยักไหล่อย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า
ก็นี่มันห้องของหล่อนนี่ อยากพากันเข้ามาเองทำไม
ธาราตัดสินใจเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ ปล่อยวางเรื่องการอธิบายให้พวกเขาเข้าใจลงเสีย เดี๋ยวก็คงพากันไปปรับความเข้าใจกันที่อื่นเอง
มีใครซักคนหนึ่งเคยพูดถึงความรักไว้ว่าเป็นเรื่องฉาบฉวย มาไวไปไว แต่ใครเลยจะมีโอกาสสัมผัสกับมันเหมือนอย่างหล่อน รักมาไว ไปไวเกินกว่าใครจะคิดตามทัน
หล่อนเองก็ตามไม่ทัน
รู้สึกเสียใจอยู่มั่งหรือเปล่ายังไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเลย ในใจวูบ ๆ หวิว ๆ อยู่หน่อย ๆ เหมือนกับตอนที่เห็นนนทภัทรกับชาลิดาเกาะเกี่ยวแขนกัน แล้วไม่ค่อยชอบใจ ยิ่งคิดต่อว่าที่จริงแล้วเขาสนิทกันไปถึงไหนต่อไหน ในใจก็ยิ่งขุ่นมัว
คำพูดประโยคสุดท้ายของมะยี ยังก้องอยู่ในหัว
“กูตัดคู่มึงออกแล้ว ต่อไปนี้มึงมีคู่คนเดียว ไปเลือกเอาเอง”
ตอนสาย ธารานั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งใกล้สระบัว หล่อนเท้าคาง มองเด็กนักเรียนจับกลุ่มคุยกันตามสนามหญ้าอย่างเอื่อยเฉื่อย เรื่องในความฝันจะเป็นจริงซักเท่าไหร่ไม่รู้ หล่อนนึกถึงภาพในความฝันเมื่อคืน เนื้อคู่ของหล่อนช่างมีหลากหลาย ทั้งคุณอิริค ธชา และนนทภัทร แล้วยังไงดี เมื่อนางตัดให้หล่อนเหลือคู่เพียงคนเดียวโดยไม่บอกว่าเป็นใคร หล่อนควรจะเดินเกมชีวิตอย่างไรต่อ
ในเมื่อคนที่หล่อนหมายปอง เขาก็มีเจ้าของไปเสียแล้ว
จริง ๆ ชีวิตโสดก็ไม่เลวร้ายเท่าใดนักหรอก หล่อนทำงานทุกวันนี้ก็มีความสุขดี บางทีอาจเป็นเพราะหล่อนยึดติดกับอดีตมากไปอย่างที่ผีมะยีว่า ปล่อยวางไปบ้าง ใจเราก็ไม่ทุกข์นะ
ความรักเป็นเพียงมายา เราสร้างภาพมายาขึ้นมาหลอกตัวเอง ว่ามีรักแล้วใจจะมีสุข รักทำให้โลกเป็นสีชมพู รักร้าง... เราจะจมกับทุกข์ โลกเป็นสีดำ หม่นหมอง
คิดถึงตรงนี้แล้วธาราก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
หล่อนสร้างภาพมายาขึ้นหลอกตัวเองในใจ ... แต่มะยีกลับทำให้ภาพนั้นมันเกิดขึ้นจริง ๆ ทว่า มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เมื่อสุดท้าย มันก็กลายเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้นเอง
มันเกิดขึ้น แล้วก็ดับหายไป....
เหลือก็แต่ใจของหล่อนนี่แหละ ที่หลงใหลไปกับภาพมายาที่ตัวเองสร้างขึ้น มัดตัวเองติดบ่วงรักของผู้ชายในภาพฝันแน่นเข้าไปอีก...
เด็กผู้หญิงจีนสองสามคนนั่งบนสนามหญ้าใกล้ ๆ พวกเธอกำลังเก็บดอกปีบมารวบเข้าด้วยกันเป็นช่อ มีเด็กหญิงคนไทยคนหนึ่งสอนให้พวกเธอเอามาร้อยเป็นสร้อยคอ
“That’s cool”
เด็ก ๆ สวมพวงมาลัยดอกปีบที่คอแล้วพากันหัวเราะคิกคักชอบใจ ธาราอมยิ้ม มองพวกเขาเดินออกจากสนามไปอวดสร้อยดอกไม้ให้เด็กกลุ่มอื่นดูด้วยความภาคภูมิใจ เป็นเด็กนี่ก็ดีนะ ไม่เห็นต้องมาวิตกอะไรกับชีวิตมากมาย น่าอิจฉาจัง
“โดดงานมานั่งเล่นอะไรตรงนี้ครับ”
เสียงทักเบา ๆ แต่ทำคนเหม่อลอยสะดุ้งโหยง ธชาเดินเข้ามาเงียบ ๆ เขาอมยิ้ม นัยน์ตาพราว ธาราขยับตัวอย่างอึดอัด ธชาตอนนี้เป็นคนเดิมทุกประการ เป็นแฟนเก่าจอมหลอกลวงที่ใจกล้าหน้าด้านเข้ามาคุยกับหล่อนอย่างเป็นกันเอง
“นั่นสิ งั้นกลับไปทำงานก่อนล่ะ”
คนหน้าตึงลุกขึ้น แต่คนตัวสูงไวกว่า เขารีบเดินมาขวางหน้าไว้
“ดะ เดี๋ยวสิครับ น้ำ คุยกันก่อน”
ธารากอดอก เสมองไปทางถนน หน้าตาฟ้องชัดว่าไม่สบอารมณ์ คนตัวสูงถอนใจ เขาล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างเก้อเขิน ผู้หญิงตรงหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะพูดคุยกับเขาเลยแม้แต่น้อย
“เราไม่เจอกันตั้งหลายปี เอ่อ... น้ำ...เป็นยังไงบ้าง”
เขาถาม ธาราพยักหน้าไม่ยอมหันไปมองหน้าคนถาม
“ก็ดี สบายดี แต่ยุ่งมากเลย ขอตัวก่อนนะ”
หล่อนเบี่ยงตัวออกจากคนข้างหน้าแล้วเดินลิ่ว คนตัวสูงตะโกนตาม
“ถ้าน้ำจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับการเข้าใจผิดเหมือน 4 ปีที่แล้วก็ตามใจ... งี่เง่าไม่เลิก”
ประโยคหลังเขาเบาเสียงลงเหมือนบ่นกับตัวเอง แต่หญิงสาวกลับได้ยินชัด หล่อนชะงักฝีเท้า หันกลับมาจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ใครงี่เง่า”
“ก็... น้ำนั่นแหละ”
เขาพูดอู้อี้ มองตาเขียว ๆ อย่างหวาดหวั่น
“ถ้าฉันงี่เง่าแล้วเธอเป็นอะไร เป็นไอ้พวกมักมาก หื่นกาม หรือเป็นคนตอแหล โกหกไปวัน ๆ”
ถามรัวเร็ว เสียงเริ่มมีอารมณ์
“น้ำก็คิดกับต้นได้แค่นั้นแหละ แต่ไหนแต่ไรมา เวลาทะเลาะกัน น้ำเคยมาถาม มาคุยกับต้นบ้างมั้ย คิดเองเออเองตลอดเลย”
ธชาสวนเสียงแข็ง ธาราน้ำตาคลอ เจ็บใจมากกว่าเสียใจ เกลียดมากกว่าโกรธ เกลียดนักคนโกหก ปั้นเรื่องด้วยหน้าตาใสซื่อ ทำราวกับตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ หล่อนอยากยกจะม้านั่งไม้สักตัวแถวนี้ทุ่มใส่หน้าหล่อๆ ของเขานัก จะได้ไม่ต้องไปทำหน้าใสใจคดไปโป้ปดกับสาวคนไหนอีก
“เหรอ....”
หล่อนลากเสียง
“โอเค... งั้นฉันผิดเอง จบนะ ไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรกันอีก”
ว่าแล้วหล่อนก็หันกลับ เดินจ้ำอ้าวกลับไปที่ออฟฟิศโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง ธชาทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งตัวยาวอย่างท้อแท้ พูดกับคนหัวดื้ออย่างธารา ชาติหน้าก็คงไม่มีวันเข้าใจ
ธาราเดินก้มหน้างุด ๆ เสียงของธชายังคงก้องดังในหัวซ้ำ ๆ
คิดเองเออเองอย่างนั้นเหรอ หล่อนจำได้ไม่เคยลืม ในวันที่หล่อนกลับไปเยี่ยมเขาที่บ้านเช่าหลังมหาวิทยาลัย ธชาเรียนอยู่ปี 4 ธารายังคงว่างงาน ใจอยากเซอร์ไพรซ์แฟนหนุ่มด้วยการพรวดพราดเข้าห้องไปจ๊ะเอ๋เขา แต่หล่อนกลับเจอเรื่องเซอร์ไพรซ์ยิ่งกว่า...
มีสาวสวยนั่งอยู่บนเตียงในห้องของเขา ทั้งคู่กำลังใช้เวลาดูหนังด้วยกันสองต่อสองอย่างออกรส หล่อนจำได้ถึงอาการวีนแตกของตัวเอง ภาพทั้งคู่แสดงความตื่นตกใจก็ยังคงชัดเจน หล่อนขว้างของฝากทิ้งเกลื่อนห้องเด็กหนุ่ม บอกเลิกตัดขาดกับเขาทั้งน้ำตา ก่อนจะฟูมฟายวิ่งออกมาเหมือนคนเสียสติ
แต่จะมาว่าหล่อนพูดเองเออเองล่ะก็ผิดถนัด เพราะไม่กี่นาทีต่อจากนั้น สาวน้อยนางนั้นก็ตามลงมาพูดอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้แจ่มแจ้ง
น้องแยม เด็กปีสาม สาวยะลาตาคม ตัวเล็กอกโต จีบปากจีบคอขอโทษหล่อนด้วยน้ำตาคลอหน่วย
“หนูไม่รู้จริง ๆ ค่ะ ว่าพี่ต้นมีแฟนแล้ว”
หล่อนอยากจิกลูกกะตาคู่นั้นออกมาเสียจริง ๆ ช่างกล้าพูดนัก มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ สังคมแคบ ๆ ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าตาต้นมีแฟนแล้ว หล่อนช่างกล้าโกหกได้อย่างหน้าซื่อตาใส ธาราคงไม่ตัดสินใจเลิกกับธชา ถ้าหากว่าหล่อนไม่พูดต่อ
“แต่หนู เอ่อ... เรา หนูหมายถึงหนูกับพี่ต้นน่ะค่ะ เรารักกันจริง ๆ นะคะ ถ้าพี่จะสงสารเรา ปล่อยเราทั้งสองคนเถอะนะคะ พี่เองก็จบไปแล้ว อยู่ที่นี่ ใครก็รู้ว่ามันเหงา พี่ต้นจะมีความสุขดี ที่มีหนู”
ปากแดงพูดเจื้อยแจ้ว แต่ทำคนฟังจุกอกแน่นไปหมด ธาราตัดขาดกับธชาอย่างถาวรไม่ยอมคิดติดต่อกับเด็กหนุ่มอีกเลย รีสอร์ทแสนเงียบเหงาที่เชียงรายแห่งนี้ จึงเป็นแหล่งพักใจที่หล่อนตัดสินใจเลือกมา ใครจะรู้ ... ว่าสามปีต่อมา ชะตาจะลิขิตให้เขามาพบหล่อนที่นี่
“พักเที่ยงซักนานเลยหัวหน้าหนู ลุงชาติมารอตั้งกะบ่าย”
ดาด้าบุ้ยปากไปปากโต๊ะทำงาน ทันทีที่ธาราโผล่เข้าประตูห้อง หัวหน้าช่างใหญ่พ่วงตำแหน่งหัวหน้านายพรานด้วยอีกนั่งฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะหล่อน มือกร้านดำถืออะไรบางอย่างนั่งพิเคราะห์อยู่
“อ้าว...ขอโทษทีค่ะลุงชาติ น้ำอู้งานไปนิด”
หล่อนพูดหยอกเขา หัวเราะแห้ง ๆ ให้พอรู้ว่าที่อู้งานน่ะ เรื่องจริง ลุงชาติโบกมือยิ้ม ๆ
“ไม่เป็นไรครับคุณน้ำ วันนี้ช่วงบ่ายลุงว่างแล้ว ว่าจะมาปรึกษาคุณน้ำเรื่องกรุ๊ปฝรั่งนี้น่ะครับ”
เขาพูดพลางวางของในมือลง ธาราเพิ่งเห็นว่ามันคือหินพันด้ายแดงของมะยี บัดนี้มันกลับลงไปอยู่ในกล่องปากกาของหล่อนอีกแล้ว ธาราเห็นแล้วนึกถึงเรือนของมะยีในความฝัน อดขนลุกไม่ได้ เรือนไม้เหมือนศาลผีทั่วไปไม่มีผิด ฝุ่นหนาเขรอะ เครื่องเซ่นเต็มเรือน
“มีอะไรเหรอคะ ดูเหมือนกรุ๊ปนี้เขาจะสบาย ๆ นะคะ สต๊าฟก็เยอะ ครูของทางรร.ก็มี”
ธาราหยิบเอาแฟ้มเอกสารของกรุ๊ปเด็กเข้าค่ายนี้ออกมาดู ลุงชาติส่ายหน้า
“มีเด็กนักเรียนที่มีโรคประจำตัวครับ สองคนเป็นคนไทยทั้งคู่ คุณนนท์บอกว่าเขาไม่อยากนอนที่รีสอร์ทกัน อยากไปเข้าฐานนอนที่ริมน้ำตกด้วย คุณน้ำคิดว่าไงครับ”
“มีโรคประจำตัวแบบไหนคะ ไปค้างในป่าเกิดโรคกำเริบมาจะอันตรายรึเปล่า”
หล่อนนึกถึงปีแรกที่หล่อนมาทำงาน มีกรุ๊ปนักเรียนแบบนี้มาเข้าค่ายที่รีสอร์ท เจอเด็กอเมริกันแพ้ถั่วเผลอกินแกงจืดเต้าหู้เข้าไป แตกตื่นกันทั้งรีสอร์ท จัดหารถไปส่งรพ.ในตัวเมืองแทบไม่ทัน
“คนหนึ่งเป็นภูมิแพ้ครับ อีกคนเขาขาหักดามขาไว้ เห็นว่าเพิ่งถอดเฝือกออกก่อนมาค่ายนี่เอง”
“โอ่ย เยอะค่ะ เดี๋ยวได้แก้ปัญหากันวุ่นวาย ถ้าถามน้ำ น้ำแนะนำว่า ฝากรีสอร์ทไว้เถอะ เรามีคนช่วยดูแลอยู่ละ”
กันไว้ดีกว่าแก้ ปัญหาพวกนี้หล่อนเจอมาพอสมควร หลาย ๆ อย่างอะลุ้มอะหล่วยมากไป หล่อนต้องตามมาแก้ปัญหาเสียหืดขึ้นคอ สู้ปฏิเสธให้ชัดเจนไปง่าย ๆ แต่แรกเลยดีกว่า
“ครับ เย็นนี้ผมจะบอกทางคุณนนท์ ว่าเรารับดูแลเด็กทางนี้ให้”
ลุงชาติยิ้ม ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“คุณน้ำไม่พกหินหวันด้ายแดงนี้ติดตัวไว้ล่ะครับ ของแท้นะครับเนี่ย ยายแอบ้านหลงผาแกอุตส่าห์ให้ผมมา”
ชายวัยกลางคนเล่า พลางหยิบหินขึ้นมาลูบคลำดวงตาเป็นประกาย
“ถ้าผมไม่มีเมีย ผมไม่ให้คุณน้ำนะครับ โห... ศักดิ์สิทธิ์อย่าบอกใคร ว่ากันว่าด้ายแดงอันนี้เป็นด้ายตั้งแต่สมัยแม่มะยีตายแล้วนะครับ ยายของยายแอแกเก็บไว้ ส่งต่อให้กันเป็นรุ่น ๆ นี่ยายแอแกอยากจะตอบแทนที่ผมไปช่วยแก แกเลยยกให้”
ธาราอยากจะเล่าให้ลุงชาติฟังเหลือเกินว่า หินนี้มันศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ศักดิ์สิทธิ์จนชีวิตหล่อนวุ่นวายปั่นป่วนไปหมดแล้วเนี่ย...
“ลุงชาติเอามาไว้ให้น้ำตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย น้ำเพิ่งจะเห็นเมื่อวันสองวันนี้เอง”
“หือ... ตั้งนานแล้วนะครับ ผมเอามาฝากดาด้าไว้ตั้งแต่ก่อนกรุ๊ปคุณอิริคจะเข้าเสียอีก”
ธาราสูดลมหายใจเข้ากลั้นหายใจนิ่งนาน ราวกับอยากจะให้ลมหายใจช่วยประคอง “ใจ” ของหล่อนไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหล่อนอันมากมายเหลือรับนี้ มีเหตุจากหินเก่า ๆ ก้อนนี้เท่านั้นเองหรือ หล่อนนึกถึงคำอธิษฐานของตัวเอง หากวันนั้นหล่อนได้รู้สักนิดว่า มีหินศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่แห่งบ้านหลงผาอยู่ในครอบครองก่อนแล้ว หล่อนจะไม่พลั้งเผลออธิษฐานจิตโพล่ง ๆ แบบนั้นออกไปเลย เป็นอันได้คำตอบถึงฝันประหลาด เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหลายแล้ว
ธาราเหลือบดูรูปบนโต๊ะทำงาน ภาพกอดคอเพื่อน ๆ ในชุดครุยสีดำ อันเป็นความทรงจำแสนหวานยังวางอยู่ที่นั่น หญิงสาวลอบถอนใจ หล่อนตั้งมันไว้หวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ เสียตั้งนาน นี่คงจะได้เวลาตัดใจเสียที
“น้ำคืนหินนี้ให้ลุงชาติได้มั้ยคะ คือตั้งแต่ได้หินก้อนนี้มา น้ำก็เจออะไรแปลก ๆ เยอะเลย น้ำกลัว”
หล่อนทำหน้าแหยง ๆ ใช้นิ้วเขี่ย ๆ ก้อนหินไปทางหัวหน้าพราน ลุงชาติเบิกตากว้าง แสดงความตื่นเต้นทางสีหน้าอย่างเด่นชัด
“ทำไมเหรอครับคุณน้ำเจออะไรเหรอ”
“คือ...น้ำฝันแปลก ๆ อ่ะค่ะ แล้วก็รู้สึกแปลก ๆ ด้วย หนาว ๆ เย็น ๆ พิลึกค่ะ”
ธาราตอบเลี่ยง ๆ ลุงชาติเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คลายความตื่นเต้นลง แกยิ้ม
“ผมก็นึกว่าคุณน้ำได้เจออิทธิฤทธิ์ของแม่มะยีแล้วซะอีก เก็บเอาไว้เถอะครับ เก็บไว้เผื่อจะเจอเรื่องดี ๆ คนเขาอยากได้กันจะตาย คุณน้ำมีของดีแล้วนะครับ เก็บไว้ ๆ”
แกลุกขึ้นหยิบหมวกลายทหารใบเก่ง ธาราโคลงหัวอย่างเหนื่อยอ่อน ตามองหินบนโต๊ะ ไม่กล้าแม้แต่จะหยิบไปวางไว้ที่อื่น จู่ ๆ ลุงชาติก็หันกลับมา
“เอ้อ... ที่จริงวันมะรืนนี้ เด็ก ๆ ที่จะไปค่าย เขาจะไปค้างแถวน้ำตกภูสอยดาว ถ้าคุณน้ำอยากไปไหว้ศาลแม่มะยี ผมจะพาไปก็ได้นะครับ อยู่ไม่ไกลกันหรอก คุณน้ำสนใจไปเข้าค่ายด้วยกันมั้ยครับ”
ธาราอยากบอกอีกด้วยว่า ศาลแม่มะยีหล่อนก็ไปมาแล้ว ถึงจะเป็นในฝันก็เถอะ หล่อนยังได้เข้าไปในเรือน ฟังแม่มะยีกับสามีนางคุยกันด้วย เรือนเก่ามากจริง ๆ แถมยังน่ากลัวมาก อย่ามาชวน ไม่อยากไปแล้ว
“น้ำขอตัวค่ะ ไปคราวที่แล้ว เจอน้ำป่า...แอบเข็ด”
หล่อนติดตลก ลุงชาติหัวเราะ
“โอ้.... ยังไม่ลืมนะครับ ผมก็สงสารคุณน้ำ ทั้งหัวแตกทั้งเป็นไข้ ไม่เป็นไรครับ ถ้าสนใจค่อยว่ากัน ไหว้ปุ๊บแต่งปั๊บเลยนะครับ”
ประโยคหลังแกกระซิบหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะลับหายออกไปจากห้อง ธาราหันมาทางดาริกา บุ้ยปากให้ดูหินพันด้ายแดง
“สนมั้ย”
ลูกน้องสาวยกมือไหว้สวย แต่ต่อท้ายด้วยการโบกมือน้อย ๆ
“ไม่เอาค่ะ ด้ากลัว”
**********************************************************
กรุ๊ปวีเอสพีกับคณะคุณครูทั้งหลายกำลังอยู่ในภาวะเคร่งเครียด เด็กนักเรียนไทยทั้งสองคนนั่งฟูมฟายน้ำตานองหน้า โศกเศร้าเสียใจที่ถูกกีดกันให้ออกจากกลุ่มนอนเต๊นท์ เพียงเพราะเขามีโรคประจำตัว เด็กทั้งคู่ยืนยันด้วยเอกสารอนุญาตจากผู้ปกครองว่าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมกับทางร.ร.ได้ทุกรูปแบบ แล้วจู่ ๆ บริษัทมาปฏิเสธการเข้าร่วมกลุ่มของพวกเขาแบบนี้ได้อย่างไร
งานนี้ผู้ใหญ่ทั้งหลายถึงกับกุมขมับ สต๊าฟ 4 คน ครู 3 คน ดูเหมือนจะมีจำนวนเพียงพอกับนักเรียนทั้ง 30 คน แต่ว่า มีนักเรียนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปนอนกลางป่าอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องแบ่งคุณครูไว้ดูแลพวกเขาที่นี่ด้วย
“เชอร์รี่ก็ยืนยันว่า เขาจะอยู่ที่ห้องพักทำเอกสารรอ เขาจะไม่ไปนอนเต๊นท์เด็ดขาด”
อิริคพูดเหนื่อยหน่าย ซางฮุนเกาหัว เขาเคยบอกอีริคแล้วว่า อย่าให้ชาลิดามาเลย หล่อนไม่เหมาะกับงานค่ายนี้แม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าหล่อนร่ายมนตร์อะไรใส่หัวหน้าของเขา หล่อนมาที่นี่สำเร็จจนได้ แล้วดูสิ นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ทำ เยอะแยะ
“ทางเราก็กลัวนะครับ พาเด็กเข้าป่า เกิดมีปัญหาขึ้น ฉุกเฉินขึ้นมา ไกลหมอไกลโรงพยาบาล อันตรายนะครับ”
ลุงชาติเสริมขึ้น อิริคพยักหน้าเห็นด้วย เขาจำตอนไปสำรวจป่าครั้งแรกได้ดี ตอนที่ธาราประสบอุบัติเหตุ สถานการณ์แย่มากและทุกคนก็ต้องปล่อยให้เธอนอนเจ็บอยู่อย่างนั้น กล่องปฐมพยาบาลช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
แต่เด็กนักเรียนก็มีเอกสารจากทางบ้านมา หากปฏิเสธเด็กไป ผู้ปกครองก็มีสิทธิ์มาโวยวายได้
“เราก็ให้เขาไปเถอะครับ หาคนมาเพิ่ม ตอนทำกิจกรรมยาก ๆ เราก็ให้เขาอยู่กับสต๊าฟ”
นนทภัทรเสนอ
“แต่เด็กเป็นผู้หญิงทั้งคู่ เชอร์รี่ก็ไม่ไป ครูเขาก็เฝ้าเด็กป่วยที่นี่อีก คุณจะให้ผมไปหาใครมาล่ะ”
อิริคถอนใจกับข้อจำกัดหยุมหยิมพวกนี้ ซางฮุนพูดถูก พาชาลิดามาเปลืองทรัพยากรเปล่า ๆ เลย แต่จะพูดไปก็เกรงใจมือขวาอย่างนนทภัทร ข้างฝ่ายชายหนุ่มก็ครุ่นคิด ใครกันล่ะที่น่าจะพอช่วยเขาได้
นนทภัทรมานั่งยิ้มแป้นอยู่ที่หน้าโต๊ะห้องทำงานของธารา ค่ำแล้ว ชายหนุ่มก็ยังวนเวียนตอแยไม่เลิก
“เซ้าซี้จัง บอกว่ามีงาน ไม่ไป ๆ”
ธาราปัด หล่อนไม่สบตาเพื่อนหนุ่ม ย้ายหน้าไปตามตู้ด้านหลังโต๊ะทำงาน ใต้ลิ้นชัก ไม่ก็กระดานโน้ตข้างฝา ทำราวกับว่ามีงานเต็มจนล้นมือไปหมด ไม่ว่างคุยด้วย
“อย่ามาแกล้งงานยุ่งได้ป่ะ น้ำ”
นนทภัทรมองอย่างรู้ทัน
“งานแกก็มีแต่กรุ๊ปเรานี่แหละ ไม่เห็นจะมีใครมา อย่ามาทำเป็นยุ่งมากหน่อยเลย แหม”
เขาลากเสียงอย่างหมั่นไส้ ธาราซัดแฟ้มลงโต๊ะ แสร้งหงุดหงิดกลบเกลื่อน
เกลียดนักคนรู้ทัน
“มา มานั่งนี่ คุยกันดี ๆ “
เขากวักมือ ทำเป็นปัดเก้าอี้ให้เพื่อนสาว ธาราค้อน
“อยู่นี่ก็คุยได้ จะเอาไงอ่ะ ให้ดาด้าไปมะ”
หล่อนว่าอ้อมแอ้ม นนทภัทรจะมาเข้าใจอะไรหล่อน เมื่อคืนนี้เองที่หล่อนกับเขายังเป็นคนรักกัน เมื่อวานนี้เองที่เขาเพิ่งจะแสดงบทรักแสนหวานกับหล่อน และเมื่อเช้านี้เอง ที่ทั้งคู่ยังอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันบนฟูกผืนน้อย แต่... เขาคงไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว จะว่าไป สำหรับเขามันไม่มีเรื่องใด ๆ เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำไป แม้แต่เรื่องเมื่อเช้า ก็ดูจะกลายเป็นประเด็นใหญ่โตระหว่างเขากับแฟนสาวไปเสียอย่างนั้น แต่กับหล่อน ทุกเรื่องราวมันยังติดอยู่ในใจทุกอิริยาบท ทุกฉากตอน และแน่นอน รวมถึงซิกแพ็กในเสื้อยืดตัวนั้นด้วย ...
ธาราคิดแล้วลอบกลืนน้ำลาย เกลียดตัวเองนักเชียว เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานชอบเผลอคิดเลยเถิดออกนอกเรื่องเสียเรื่อย
คนตรงหน้ายังคงเคาะนิ้วรอ
“เกินไปมั้ง...ให้ลูกน้องไป งานตัวเองนะเนี่ย งานใหญ่ด้วย ตัวเองก็ว่างด้วย ขี้เกียจเทคแคร์พวกเรารึไง” เขาว่าเสียงเนิบแต่ทุกถ้อยคำเสียดแทงเข้าไปในใจคนฟัง ธาราเดินฉับ ๆ กลับมาที่โต๊ะ กำลังจะแหวใส่เพื่อนหนุ่ม ก็พอดีกับที่เขาล้วงหยิบบางอย่างออกมาจากกล่องปากกาขึ้นดู
“อะไรอ่ะ”
หญิงสาวชะงัก ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ นนทภัทรกำลังพลิกหินพันด้ายแดงอย่างพิจารณา ใกล้กันกับกล่องปากกา รูปถ่ายกลุ่มที่มีนนทภัทรก็ตั้งอยู่ตรงนั้นด้วย หล่อนรีบย้ายกรอบรูปให้หลบมุมในกองเอกสาร นึกขอบคุณความรกของโต๊ะทำงานตัวเอง ธาราหันกลับมามองชายหนุ่ม เห็นเขาเพ่งพินิจก้อนหินก็ลุ้นตามเขาจนรู้สึกเกร็งต้นคอ หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเป็น ‘วัวสันหลังหวะ’ จะเป็นอะไรไป ถ้าเขาแค่อยากจะหยิบดู
“หินน่ะ ศักดิ์สิทธิ์นะ”
หล่อนว่า เสียงขาด ๆ หาย ๆ จนคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“ศักดิ์สิทธิ์เหรอ”
เขากลั้วหัวเราะ
“ยังไง”
“ก็... ช่วยเรื่องความรักน่ะ ไม่เกี่ยวกะแกหรอก แกมีแฟนแล้วนี่”
ธาราอยากจะแย่งหินคืนก็ยักแย่ยักยัน หล่อนไม่กล้าจับหินก้อนนั้น นนทภัทรยึดหิน ไว้กับมือหัวเราะลั่น
“เฮ้ย...จริงดิ ไอ่น้ำ นี่แกถึงขั้นต้องพึ่งไสยศาสตร์หาแฟนเลยเหรอวะ เฟี้ยวว่ะ”
หล่อนหน้าแดง โกรธกับอายคงจะมาพร้อม ๆ กัน หญิงสาวคิดหาวิธีการใหม่ โดยการยื่นกล่องปากกาให้เขา เขย่าน้อย ๆ ให้เขาคืนก้อนหินมา พลางส่งสายตาข่มขู่
“ไม่ใช่ของเล่นอีก้าบ เอาคืนมา”
“โห ดุด้วย”
นนทภัทรยังคงขำ
“อ่ะ คืนก็ได้ แหม แค่นี้ก็ดุ สาวแก่ สาวเทื้อก็เงี้ย”
ธาราเกือบจะเอากล่องปากกาขว้างเขา แต่ชายหนุ่มกลับดึงมือกลับไปเสียก่อน
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขออธิษฐานขอพรกะหินวิเศษของคุณน้ำหน่อยซิ”
เขาเอาก้อนหินใส่ฝ่ามือ พนมมือแต้ กลิ้งด้ายแดงในอุ้งมือนั้นไปมา
“สาธุ..หินศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพครับ โปรดช่วยผมได้เจอเนื้อคู่ สวย ๆ ดี ๆ รวย ๆ ซักคนด้วยนะคร้าบ เพี้ยง”
ธาราช็อกกับการกระทำของชายหนุ่ม หล่อนอ้าปากเหวอ มองเขาหัวเราะหึ ๆ อย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะหย่อนก้อนหินคืนลงในกล่องปากกา ธารามองตามก้อนหินพันด้ายแดงในกล่องอย่างเป็นกังวล มันยังคงเป็นหินพันด้ายสีแดงเล็ก ๆ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิม และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ธาราถอนใจอย่างโล่งอก หันกลับมาทำตาเขียวใส่เขาอีกรอบ
“เล่นอะไรไม่คิดนะแก ระวังให้ดีเถอะ”
นนทภัทรลอยหน้า
“กลัวตายแล้ว ... เออ... แล้วนี่ ตกลงแกจะไปช่วยดูเด็กกะเราได้มั้ย ฮึ”
เขายักไหล่พลางลุกขึ้นยืนมองหน้าหญิงสาวรอคำตอบ ธาราเอากล่องไปเก็บบนชั้น ส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ใจดำจริง”
นนทภัทรเห็นท่าทางยื้อเขย่งของคนตัวเตี้ยแล้วนึกรำคาญตา เขาจึงเดินไปคว้ากล่องปากกาใส่หินก้อนนั้นมาจากมือหญิงสาว
“เอามานี่มา เก็บให้”
ลมเย็น ๆ พัดมาไหนซักแห่ง มันเสยพัดผ่านเส้นผมของทั้งคู่จนทำให้รู้สึก นนทภัทรหาที่มาของลมอย่างประหลาดใจ ธาราชะเง้อมองไปทางหน้าต่างเห็นต้นไม้สงบนิ่งก็พอจะเฉลียวใจได้ หล่อนกลั้นใจหลับตานิ่ง เอาแล้ว อีก้าบ เพราะปากแกทีเดียว
ลมตีขึ้นจากพื้น นนทภัทรยกขาขยับเท้าจากพื้นไม้ปาร์เก้ของออฟฟิศ ลมอะไรมาตีขึ้นจากพื้น ทั้งหนาวเย็นยะเยือกและแรงขึ้นอย่างไม่มีจังหวะ เขาขยับตัวไปมาหาที่มาของลม ลมเย็นหมุนวนขึ้นจากพื้นโดยไร้แหล่ง เขามองไปตามช่องบนพื้น คนตัวเล็กตรงหน้ายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจับแขนคู่นั้นให้ขยับตัว ธาราตัวเย็นชืด
นนทภัทรเงยหน้าขึ้นมองธาราแทบจะในทันที แต่ทว่าหล่อนไม่ใช่ธารา ผู้หญิงตรงหน้าเป็นผู้หญิงหน้าสวยซีด มวยผมสูง ดวงตาไร้แวว ริมฝีปากเหยียดตรง กำลังยืนจ้องมายังเขา ชายหนุ่มผงะถอยหลัง
“คู่งามอยู่ใกล้ บ่เหลียวผ่อ[1]หา”
เสียงแหลมเล็กดังก้องในหูของเขา ผู้หญิงตรงหน้ายังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น ลมจากพื้นยังตีกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อย ๆ ลมเย็นจัดพัดหมุนวนเป็นวงใหญ่ โคมไฟกลางห้องแกว่งไปมาจนน่ากลัว หน้าต่างและประตูออฟฟิศกระแทกเปิดปิดไปมาเสียงดังน่ากลัว มันเป็นลมจากภายในห้องนั้นจริง ๆ นนทภัทรมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ กระแสลมเย็นจัดนั้นหมุนพัดพาร่างของเขาหลุดลอยขึ้นจากพื้น เขาเซถลาไปตามแรงลม ไม่สามารถควบคุมอะไรไว้ได้ ลมพาร่างสูงกระเด็นกระแทกผนังเสียงดัง นนทภัทรทรุดตัวลงข้างหน้าต่าง รู้สึกเจ็บแปลบเข้าที่สีข้าง คงถูกตะปูข่วนเข้าแล้ว
“น้ำ”
เขาหันมองหาธารา พายุประหลาดยังคงตีวนอยู่อย่างนั้นกลางห้องทำงาน ร่างผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว ธาราก็ด้วย หล่อนหายไปไหน
“น้ำ น้ำ....”
เขาเรียกเสียงดังแข่งกับเสียงลม นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมานะ
มืออุ่น ๆ แตะที่ใบหน้าของเขา ชายหนุ่มรีบคว้าไว้
“น้ำ ... แกไปอยู่ที่ไหนมา”
เสียงของเขาดูเบาหวิว เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองหลับตาอยู่ ชายหนุ่มลืมตาขึ้น มือยังกุมมือบางอุ่น ๆ นั้นไว้แน่น ก่อนจะพบว่า เจ้าของมือเรียวบางนั้นไม่ใช่ธารา...
“นนท์เป็นอะไรไปคะ”
เสียงหวานบ่งบอกความเยียบเย็นในอารมณ์ของคนพูด ชาลิดามองเขากลับมาด้วยสายตาหวาดระแวง
นนทภัทรผลุนผลันลุกขึ้น เขาพบว่าตัวเองนอนพิงอยู่ที่โซฟาในล็อบบี้ มีชาลิดานั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังจ้องมองมายังเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง นนทภัทรขยับมองไปรอบ ๆ ตัว เป็นที่ล็อบบี้จริง ๆ เขาจำไม่ได้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วธาราล่ะ ไปอยู่เสียที่ไหน...
“นนท์ ... นนท์เรียกหาน้ำเหรอ”
คนหน้าขาวตรงหน้าตั้งคำถาม แฟนหนุ่มดูไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวใด ๆ กับคำพูดละเมอของตัวเองเลย ชาลิดาขยับตัวอย่างหงุดหงิด
“รี่เห็นน้ำรึเปล่า”
เขาหันมาถาม ชาลิดาขมวดคิ้ว
“คือ..ผมหมายถึง ผม ... คิดว่า ผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ ผมอยู่ในออฟฟิศของน้ำน่ะ”
เขาจับไหล่แฟนสาวเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนจะจับมือให้คนหน้างอคลายความขุ่นเคือง แต่ยังคงหันไปมองรอบ ๆ อย่างคนพยายามหาคำตอบ
“รี่มาก็เห็นนนท์นอนอยู่ตรงนี้นะคะ นนท์ฝันไปรึเปล่า”
นนทภัทรรู้สึกเจ็บที่สีข้าง เขาขยับดูก็เห็นว่าเสื้อยืดที่สวมอยู่ขาดเป็นรู มีเลือดไหลออกซิบ ๆ หากนั่นเป็นความฝัน แล้วแผลที่เกิดขึ้นนี่มาได้ยังไงกัน
ที่มุมหนึ่งของโถงล็อบบี้ไม่ไกลจากเคาท์เตอร์รีเซฟชั่นนัก ธารากับสบชัยยืนอยู่ที่นั่น หญิงสาวยืนบังเสาไว้ลอดสายตาออกดูปฏิกิริยาของทั้งคู่ สบชัยมองดูลูกพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ
“เจ๊...เค้าไม่สบายทำไมเจ๊เอามาทิ้งไว้ที่ล็อบบี้แบบนั้นล่ะ”
ธาราจุปาก
“เรากลับบ้านกันเถอะ”
นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาใกล้ห้าทุ่ม ธารารู้สึกโชคดีมากที่สบชัยยังอยู่ใกล้ ๆ ตอนที่นนทภัทรหมดสติไป อากาศภายนอกเริ่มเย็นลง ช่วงปลายเดือนตุลาคม ฝนตกสลับกับหมอกลง เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวที่อากาศยังแปรปรวน แต่ลมพายุเมื่อครู่นี้ มันเป็นคนละเรื่องกันกับสภาพภูมิอากาศ
“มันเรื่องอะไรกันเนี่ยเจ๊ ใครทำอะไรคุณนนท์ ทำไมเจ๊ต้องแอบ ๆ เอาเค้ามาทิ้งไว้แบบนี้ด้วย”
สบชัยกระซิบถามลูกพี่ขณะเร่งฝีเท้าตามหญิงสาวให้ทัน ธาราถอนใจอย่างอึดอัด ไม่ขอสบชัยมาช่วย หล่อนก็ไม่มีปัญญาลากผู้ชายตัวโต ๆ คนเดียวไหว พอขอมาก็มาถามเซ้าซี้มากความอีก เหนื่อยใจจริง ๆ แล้วจะพูดยังไงให้พ่อหนุ่มขี้สงสัยคนนี้เข้าใจดีล่ะเนี่ย
“มันเป็นเรื่องประหลาด พูดไปก็จะยาว พี่ก็ปวดหัวอยู่เหมือนกันแหละ”
“ประหลาดยังไงล่ะ”
“เอาเป็นว่า พี่ไม่ได้เป็นคนทำให้นนท์เป็นแบบนั้น... มัน .....”
ธาราพยายามคิดหาเหตุผลที่ฟังดูเข้าท่า
“มันประหลาด”
หล่อนโคลงหัว คิดไม่ออก สบชัยทำหน้างง
“ประหลาดจริง ๆ พี่”
“เออ... สบช่วยดูออฟฟิศให้พี่หน่อยนะ พี่จะไปแคมป์กับกรุ๊ปฝรั่งสองวัน ช่วยเค้าหน่อย คนเค้าขาด”
ธาราเปลี่ยนเรื่อง ไปก็ได้ ... จริง ๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เล่นตัวไปอย่างนั้นเอง หล่อนนึกถึงศาลแม่มะยีด้วย ใจอยากจะไปกราบจุดธูปขอขมา และตั้งใจจะเอาหินพันด้ายแดงไปคืน หลังเจอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนนทภัทรคืนนี้ หญิงสาวก็คิดว่าอยากจะจบเรื่องราววุ่นวายต่าง ๆ ลงเสียที
[1] ดู มอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ