Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
6.5
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
40 Time
12 วิจารณ์
40.24K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) เรื่องเล่าของเวลา (บทเริ่ม)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลา... มนุษย์รู้จักสิ่งนี้ในรูปแบบของนามธรรม หรือก็คือมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจับต้องได้เลย เป็นพื้นฐานแรกเริ่มของทุกอย่างในมิติเวลาของเอกภพ
ในบางทฤษฎีเคยมีการกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าเวลา ว่าเป็นมูลฐานของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต จักรวาล หรือแม้แต่วงจรของทุกๆอย่างในเอกภพอันไร้ที่สิ้นสุด
หากไม่มีเวลา ก็คงไม่มีทางที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะทุกอย่างนั้นล้วนแต่ใช้เวลาเป็นแกนกลางในการดำรงอยู่
ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง มีการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่สามารถสรุปอะไรได้เลย มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่ามนุษย์ผู้พึ่งพาเวลาในการดำเนินชีวิตนั้นจะเข้าใจได้
ในอดีตกาล มีการศึกษาเวลามามากมาย กำหนดเป็นตัวแปรต่างๆให้มนุษย์ได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น วินาที นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี หรือจะคำอะไรก็แล้วแต่ที่มีความหมายครอบคลุมถึงกรอบระยะเวลาหนึ่งถึงอีกระยะเวลาหนึ่ง
แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เวลาที่แท้จริงนั้นไม่เคยมีอยู่ในรูปแบบใดเลย หากแต่มันดำรงไว้ซึ่งแกนกลางในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
............
(บ้านนรินทร์ห้องนั่งเล่น 19.52)
วอร์เรนตอนนี้นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันที่โต๊ะรับแขกที่จัดไว้ในห้องนั่งเล่น และเอาชุดที่เปียกฝนนั่นไปเก็บในมิติลึกลับอะไรนั่นอีกแล้ว (ถึงผมจะยังแห้งไม่สนิทก็เถอะ)
*ย้อนนึกไปก่อนหน้านั้น*
ตอนนั้นวอร์เรนเดินตากฝนมาเพราะส่งร่มให้รินทร์กางอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองก็เดินอยู่นอกร่ม
ไม่นานนักก็กลับมาถึงหน้าบ้านแล้ว
“เดี๋ยวขอเปลี่ยนชุดก่อนแปปนึงนะ”
“น-นายคิดจะถอดตรงนี้เนี่ยนะ”
“จะบ้ารึไง ก็ต้องขอยืมใช้ห้องน้ำเธออยู่แล้วสิ”
(พอนึกดูแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราพาผู้ชายเข้ามาทีบ้านเลยนี่นา แถมมาใช้ห้องน้ำที่มีแต่ข้าวของเครื่องใช้เราอีก มีอะไรน่าอายกว่านี้อีกไหม)
“จะให้เข้าเรื่องเลยไหม?”
ฉันพยักน้าตอบทันที สิ่งที่เขาเกริ่นมาตอนแรกก็จำไม่ค่อยได้เท่าไรหรอก แต่เหมือนจะมีส่วนสำคัญในเรื่องที่ฉันกำลังอยากรู้...
“แล้วเรื่องอะไรที่เธออยากรู้ล่ะ...”
“ฉัน... อยากรู้เรื่อง... เกี่ยวกับนาฬิกาพกเรือนนี้”
“ไม่สิ เกี่ยวกับความสามารถของมัน ในฐานะ... ตัวแทนแห่งเวลาอะไรนั่น”
“... เอาตามที่เธอว่ามาก็แล้วกัน”
“อย่างที่เราบอกคงจะจำได้ใช่ไหม ว่าแกนเวลาของเอกภพมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว”
“อ่า... ที่นายเล่ามาตอนแรกก็จำได้นะ”
“ใช่ มันก็เป็นตามนั้นแหละ ทฤษฎีต่างๆที่ตอนนี้พยายามคิดค้นขึ้นก็ยังอยู่ในกรอบที่พยายามเข้าใจเวลาให้มากขึ้นกว่าเดิม”
“แต่ว่า... เวลาที่แท้จริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“เวลาที่แท้จริง?”
มันหมายความว่ายังไงกันนะ วอร์เรนตอนนี้เองดูท่าจะจริงจังมากด้วย รู้สึกผิดกับภาพในหัวเราที่คิดมาตลอดเลยแฮะ
“เธอจำเรื่องในอดีตได้ไหม?”
“เรื่องในอดีต? ก็ต้องจำได้สิ ถามแปลกๆ”
“ไม่ใช่ ลองพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวินาที ทุกนาที ในช่วงก่อนๆดูสิ เธอนึกออกทั้งหมดไหม?”
“นายจะบ้าหรอ ใครจะไปนึกอะไรแบบนั้นออกกันล่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ? นั่นล่ะคือความหมายที่เรากำลังจะบอกเธอ”
“ความหมาย?”
“เวลาที่แท้จริงน่ะ คือมันไม่เคยมีอยู่เลยต่างหาก”
......
“หือ?”
“มิติที่เธอหลุดเข้าไปนั่นเรียกว่ามิติว่างเปล่า เป็นมิติที่สวนทางกับแกนเวลาที่ยังคงเดินหน้าไปตลอด”
“ทุกสรรพสิ่งในเอกภพล้วนใช้แกนเวลาเดียวกัน ซึ่งมีขนาดเวลาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพที่แต่ละสิ่งแต่ละอย่างอยู่”
“เราเรียกเวลาที่ส่งผ่านสู่สิ่งต่างๆว่า กระแสแห่งกาลเวลา หรือจะเรียกว่ากระแสเวลาเฉยๆก็ได้ มันเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมสิ่งต่างๆให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
“กระแสเวลา?”
“นั่นคือ... สิ่งที่นาฬิกาของเรากับเธอเป็นไงล่ะ”
นาฬิกาของพวกเรางั้นหรอ...
“เหตุผลที่พวกเราเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่านั่นได้ เพราะสื่อนำทางนี่ช่วยพาพวกเราไป”
“ที่แห่งนั้น มันเป็นศูนย์รวมของกระแสเวลาที่ตายแล้วทุกอย่าง”
“ตายแล้ว?”
“ตายแล้วที่ว่าน่ะ คือตัวตนของมันหายไปจากแกนกลางของเวลาจนหมดสิ้นแล้วไงล่ะ”
“เดี๋ยวนะ! มันหมายความว่ายังไงกัน!?”
ตาของฉันค้างไปเลยที่ได้ยินเรื่องประหลาดๆแบบนั้น มันดูไม่เหมือนกับที่ฉันคิดไว้เลย มิติที่ฉันไปนั่น ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จำลองขึ้นมาเฉยๆแค่นั้นเอง
“ไปคุยกันที่นั่น น่าจะเห็นภาพอะไรชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม”
ไปคุยที่นั่น หมายความว่าไง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงขยับข้อมือซ้ายที่ใส่นาฬิกาข้อมือนั่นอยู่?
ไม่นานนัก ก็เหมือนมีเข็มนาฬิการางๆเกิดขึ้นมาตรงปลายนิ้วของเขาที่กำลังขยับอยู่ สักพัก...
ห้องนั่งเล่นของฉัน... ก็ตกอยู่ในบรรยากาศแบบเดียวกันกับตอนอยู่ที่โลกใบนั้น...
“ท...ที่นี่มัน...”
“เธอยังไม่รู้วิธีใช้พลัง ก็ไม่แปลกหรอกที่จะงงกับอะไรแบบนี้”
วอร์เรนยืนขึ้นมาเดินไปทั่วห้องนั่งเล่นทันทีเลย
“มิติที่ว่างเปล่านี่เกิดขึ้นมาจากกระแสเวลาที่สิ้นสุดแล้ว นั่นก็คือสิ่งที่ผู้คนไม่มีทางจะนึกถึงได้อีก หายไปจากระบบเวลาในแกนหลัก”
“เป็นจุดสิ้นสุดของเวลาทั้งหมด ความไร้ตัวตน...”
“Void”
“วอยด์? (Void)”
“ที่เราสามารถเข้ามาที่นี่ได้ เพราะเราเป็นตัวแทนในการเชื่อมต่อกับมิติเวลาเหล่านี้ผ่านสื่อนำทางที่พวกเรามี”
“มิตินี่เป็นแหล่งรวมสิ่งที่ไม่มีการคงอยู่ในโลกใบนั้นยังไงล่ะ...”
“ไม่มีการคงอยู่? แล้วทำไมสภาพห้องฉันถึงยังเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ? ของพวกนี้มันยังมีอยู่ในมิติที่แท้จริงนั่นไม่ใช่หรอ แล้วทำไมนายถึงบอกว่าที่นี่รวมสิ่งที่ไม่มีการคงอยู่ล่ะ”
“สิ่งที่ไม่มีการคงอยู่...”
“คือเวลา...”
“เอ๋......”
“ที่นี่เป็นแหล่งรวมของกระแสเวลาที่ตายไป ซึ่งกระแสเวลาของทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งมีกระแสเวลาที่หายไปมากเท่านั้น”
“สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ คือส่วนกลับของความเป็นจริง”
“เธอคงไม่เคยคิดล่ะสิ ว่าเก้าอี้ตัวนี้มันอยู่มากี่วัน กี่เดือนแล้ว”
วอร์เรนชี้มาที่เก้าอี้ของเรา น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังจะย้ำให้เราเข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงที่เหลือเชื่อนี้
“ส่วนกลับของเวลา สิ่งที่ถูกลืม กระแสเวลาที่หายไป ทั้งหมดจะมารวมอยู่ที่นี่ เป็นมิติที่มีไว้รองรับอะไรก็ตาม”
“ที่หายไปตลอดกาลไม่กลับมาอีก”
......
สิ่งที่วอร์เรนพูดทำให้ฉันตกใจ และรู้สึกหวาดกลัวมากสุดๆ เพราะเหมือนที่นี่เต็มไปด้วยอันตราย ตัวของฉันสั่นไม่หยุด...
......
“สาเหตุที่โลกแห่งนี้... ไม่มีมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิต...”
“เพราะพวกเขายังคงถูกจดจำจากห้วงลึกของเวลาอยู่ ยังมีกระแสเวลาในแกนหลักไหลเวียนวงจรของพวกเขา”
“การตายของมนุษย์ สิ่งมีชีวิต หรือสิ่งของต่างๆน่ะ คือการสลายไปอย่างสมบูรณ์ตามกฎเกณฑ์ของเวลา หลอมรวมกับแกนกลางที่ยึดเหนี่ยวเวลาในมิติต่างๆเอาไว้”
“ส่วนมิติที่พวกเราอยู่ ณ ตอนนี้ เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนมิติเวลาที่เกิดจากกระแสเวลาที่หายไปของสิ่งต่างๆแค่นั้น ไม่ได้ส่งผลอะไรกับโลกแห่งความเป็นจริงหรอก มีแต่พวกเราที่สามารถเข้ามาในโลกใบนี้ได้”
พอฉันได้ฟังแบบนั้นก็ค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็แอบคิดอยู่ว่า มิติว่างเปล่านี่จะไม่ส่งผลกับโลกแห่งความจริง... แน่หรือเปล่า...
“วอร์เรนรู้เรื่องพวกนี้ได้ไงน่ะ”
“หืม?”
ไม่รู้ทำไมคำถามแบบนี้ถึงผุดขึ้นมาในหัว เขาดูจะรู้เรื่องอะไรแบบนี้เยอะมากเหมือนผู้ชายที่ชื่อควอส ทั้งๆที่ฉันยังไม่รู้จักเขาดีเลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครกันแน่
“นายเหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างเลย ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนดาดฟ้า หรือแม้แต่เรื่องที่นายเล่ามาทั้งหมด”
“ถึงอย่างนั้นแล้ว คำถามมากมายก็โผล่มาในหัวฉันไม่หยุด มีแต่ฉันที่ไม่รู้อะไรเลย”
“...ฉันควรจะทำยังไงต่อไป...”
......
“เธอมีความต้องการอะไรไหม?”
“...ความต้องการ...?”
วอร์เรนขยับมือที่มีเข็มนาฬิการางๆนั่นอีกรอบ...
โลกรอบข้างฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว พวกเราสองคนกลับมาที่โลกแห่งความจริง นาฬิกาในห้องเดินตามปกติหลังจากที่หยุดมาตลอด
“ความต้องการในการใช้พลังบิดเบือนเวลา...”
“การบิดเบือนเวลาในรูปแบบต่างๆนั่นสำคัญยิ่งกว่าการเข้าถึงมิติว่างเปล่านี่อีก”
“เธอคงจะรู้สินะ ว่าการบิดเบือนที่เราพูดถึงหมายความว่ายังไง...”
สิ่งที่เขาพูดทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกของสองสัปดาห์ก่อน เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มมีอาการแปลกๆที่เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับการบิดเบือนเวลา มิติว่างเปล่าที่เราเห็นครั้งแรกเมื่อสี่วันที่แล้ว ควอสที่ใช้พลังต่างๆ วอร์เรนที่ใช้พลังหยุดเวลา หรือพลังที่ทำให้คนรอบข้างไม่รู้สึกว่าเขามีตัวตน ทั้งหมดนั่นคือ
(การบิดเบือนเวลา...)
“การบิดเบือนเวลามีอะไรที่หลากหลายกว่านั้นมาก ถ้าเอาพลังคร่าวๆที่เป็นพื้นฐานหลักจะมีอยู่ไม่กี่อย่าง”
“อย่างตอนที่เราจะกระแทกเพื่อนร่วมห้องของเธอคนหนึ่งนั่นล่ะ เราก็ข้ามเวลาเพื่อไม่ให้โดนตัว ถูกไหม?”
“ส่วนหยุดเวลา คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก น่าจะเห็นชัดดีอยู่แล้ว”
“ตอนที่ไหล่เธอถูกยิง นั่นก็เป็นพลังในการย้อนเวลา มันจะย้อนกลับไปเป็นช่วงเวลาเดิมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น”
“นอกนั้นก็ยังมีการเร่งเวลา การลบเลือนเวลา การเฉื่อยเวลา เวียนเวลา และก็...”
“อธิบายไม่ถูกแฮะ”
ไม่เข้าใจว่าวอร์เรนจะอ้ำอึ้งไม่ค่อยกล้าตอบทำไม...
“คือ... มันมีรูปแบบที่เราใช้ไม่ได้อยู่น่ะ”
“หา!?”
“ก็แบบว่า มันเป็นรูปแบบนอกเหนือจากที่พูดมาไง เป็นรูปแบบที่เราไม่สามารถใช้ได้”
“เดี๋ยวสิ! ถ้านายสามารถใช้พลังได้ขนาดนั้น ทำไมถึงยังมีส่วนที่ทำไม่ได้อยู่อีกล่ะ?”
“คงต้องเรียกว่าการคัดเลือกล่ะมั้ง”
“การคัดเลือก?”
“อื้อ ผู้ที่รับหน้าที่เป็นตัวแทนในการควบคุมเวลาจะสามารถบังคับเวลาได้ทุกแบบก็จริงอยู่ แต่นั่นก็มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขต่างๆ ความเคยชินในการใช้พลังด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้ลดทอนความสามารถในการใช้พลังเวลาในด้านอื่นๆ”
“และยิ่งรูปแบบของการคัดเลือกแล้ว มนุษย์ผู้เป็นตัวแทนแห่งเวลาเองก็มีความสามารถในการบิดเบือนเวลารูปแบบที่นอกเหนือจากนั้นต่างกันไปด้วย ซึ่งพลังทั้งหมดอาจถูกเลือกให้ใช้หรือใช้ไม่ได้จากสื่อกาลเวลาที่แต่ละคนมี”
ไม่น่าเชื่อเลย ว่าคนที่มีความสามารถมากมายแบบเจ้านี่จะมีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่ด้วย หรือแม้แต่ควอสคนนั้นเองก็อาจจะเป็นแบบเดียวกันด้วยงั้นสิ? สื่อกาลเวลาเองก็มีความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก
เรื่องพลังนี่ ดูจะมีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิดมาก พยายามตั้งใจฟังต่อซะนะ ยัยรินทร์......
ในบางทฤษฎีเคยมีการกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าเวลา ว่าเป็นมูลฐานของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต จักรวาล หรือแม้แต่วงจรของทุกๆอย่างในเอกภพอันไร้ที่สิ้นสุด
หากไม่มีเวลา ก็คงไม่มีทางที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะทุกอย่างนั้นล้วนแต่ใช้เวลาเป็นแกนกลางในการดำรงอยู่
ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง มีการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่สามารถสรุปอะไรได้เลย มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่ามนุษย์ผู้พึ่งพาเวลาในการดำเนินชีวิตนั้นจะเข้าใจได้
ในอดีตกาล มีการศึกษาเวลามามากมาย กำหนดเป็นตัวแปรต่างๆให้มนุษย์ได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น วินาที นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี หรือจะคำอะไรก็แล้วแต่ที่มีความหมายครอบคลุมถึงกรอบระยะเวลาหนึ่งถึงอีกระยะเวลาหนึ่ง
แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เวลาที่แท้จริงนั้นไม่เคยมีอยู่ในรูปแบบใดเลย หากแต่มันดำรงไว้ซึ่งแกนกลางในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
............
(บ้านนรินทร์ห้องนั่งเล่น 19.52)
วอร์เรนตอนนี้นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันที่โต๊ะรับแขกที่จัดไว้ในห้องนั่งเล่น และเอาชุดที่เปียกฝนนั่นไปเก็บในมิติลึกลับอะไรนั่นอีกแล้ว (ถึงผมจะยังแห้งไม่สนิทก็เถอะ)
*ย้อนนึกไปก่อนหน้านั้น*
ตอนนั้นวอร์เรนเดินตากฝนมาเพราะส่งร่มให้รินทร์กางอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองก็เดินอยู่นอกร่ม
ไม่นานนักก็กลับมาถึงหน้าบ้านแล้ว
“เดี๋ยวขอเปลี่ยนชุดก่อนแปปนึงนะ”
“น-นายคิดจะถอดตรงนี้เนี่ยนะ”
“จะบ้ารึไง ก็ต้องขอยืมใช้ห้องน้ำเธออยู่แล้วสิ”
(พอนึกดูแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราพาผู้ชายเข้ามาทีบ้านเลยนี่นา แถมมาใช้ห้องน้ำที่มีแต่ข้าวของเครื่องใช้เราอีก มีอะไรน่าอายกว่านี้อีกไหม)
“จะให้เข้าเรื่องเลยไหม?”
ฉันพยักน้าตอบทันที สิ่งที่เขาเกริ่นมาตอนแรกก็จำไม่ค่อยได้เท่าไรหรอก แต่เหมือนจะมีส่วนสำคัญในเรื่องที่ฉันกำลังอยากรู้...
“แล้วเรื่องอะไรที่เธออยากรู้ล่ะ...”
“ฉัน... อยากรู้เรื่อง... เกี่ยวกับนาฬิกาพกเรือนนี้”
“ไม่สิ เกี่ยวกับความสามารถของมัน ในฐานะ... ตัวแทนแห่งเวลาอะไรนั่น”
“... เอาตามที่เธอว่ามาก็แล้วกัน”
“อย่างที่เราบอกคงจะจำได้ใช่ไหม ว่าแกนเวลาของเอกภพมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว”
“อ่า... ที่นายเล่ามาตอนแรกก็จำได้นะ”
“ใช่ มันก็เป็นตามนั้นแหละ ทฤษฎีต่างๆที่ตอนนี้พยายามคิดค้นขึ้นก็ยังอยู่ในกรอบที่พยายามเข้าใจเวลาให้มากขึ้นกว่าเดิม”
“แต่ว่า... เวลาที่แท้จริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“เวลาที่แท้จริง?”
มันหมายความว่ายังไงกันนะ วอร์เรนตอนนี้เองดูท่าจะจริงจังมากด้วย รู้สึกผิดกับภาพในหัวเราที่คิดมาตลอดเลยแฮะ
“เธอจำเรื่องในอดีตได้ไหม?”
“เรื่องในอดีต? ก็ต้องจำได้สิ ถามแปลกๆ”
“ไม่ใช่ ลองพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวินาที ทุกนาที ในช่วงก่อนๆดูสิ เธอนึกออกทั้งหมดไหม?”
“นายจะบ้าหรอ ใครจะไปนึกอะไรแบบนั้นออกกันล่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ? นั่นล่ะคือความหมายที่เรากำลังจะบอกเธอ”
“ความหมาย?”
“เวลาที่แท้จริงน่ะ คือมันไม่เคยมีอยู่เลยต่างหาก”
......
“หือ?”
“มิติที่เธอหลุดเข้าไปนั่นเรียกว่ามิติว่างเปล่า เป็นมิติที่สวนทางกับแกนเวลาที่ยังคงเดินหน้าไปตลอด”
“ทุกสรรพสิ่งในเอกภพล้วนใช้แกนเวลาเดียวกัน ซึ่งมีขนาดเวลาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพที่แต่ละสิ่งแต่ละอย่างอยู่”
“เราเรียกเวลาที่ส่งผ่านสู่สิ่งต่างๆว่า กระแสแห่งกาลเวลา หรือจะเรียกว่ากระแสเวลาเฉยๆก็ได้ มันเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมสิ่งต่างๆให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
“กระแสเวลา?”
“นั่นคือ... สิ่งที่นาฬิกาของเรากับเธอเป็นไงล่ะ”
นาฬิกาของพวกเรางั้นหรอ...
“เหตุผลที่พวกเราเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่านั่นได้ เพราะสื่อนำทางนี่ช่วยพาพวกเราไป”
“ที่แห่งนั้น มันเป็นศูนย์รวมของกระแสเวลาที่ตายแล้วทุกอย่าง”
“ตายแล้ว?”
“ตายแล้วที่ว่าน่ะ คือตัวตนของมันหายไปจากแกนกลางของเวลาจนหมดสิ้นแล้วไงล่ะ”
“เดี๋ยวนะ! มันหมายความว่ายังไงกัน!?”
ตาของฉันค้างไปเลยที่ได้ยินเรื่องประหลาดๆแบบนั้น มันดูไม่เหมือนกับที่ฉันคิดไว้เลย มิติที่ฉันไปนั่น ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จำลองขึ้นมาเฉยๆแค่นั้นเอง
“ไปคุยกันที่นั่น น่าจะเห็นภาพอะไรชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม”
ไปคุยที่นั่น หมายความว่าไง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงขยับข้อมือซ้ายที่ใส่นาฬิกาข้อมือนั่นอยู่?
ไม่นานนัก ก็เหมือนมีเข็มนาฬิการางๆเกิดขึ้นมาตรงปลายนิ้วของเขาที่กำลังขยับอยู่ สักพัก...
ห้องนั่งเล่นของฉัน... ก็ตกอยู่ในบรรยากาศแบบเดียวกันกับตอนอยู่ที่โลกใบนั้น...
“ท...ที่นี่มัน...”
“เธอยังไม่รู้วิธีใช้พลัง ก็ไม่แปลกหรอกที่จะงงกับอะไรแบบนี้”
วอร์เรนยืนขึ้นมาเดินไปทั่วห้องนั่งเล่นทันทีเลย
“มิติที่ว่างเปล่านี่เกิดขึ้นมาจากกระแสเวลาที่สิ้นสุดแล้ว นั่นก็คือสิ่งที่ผู้คนไม่มีทางจะนึกถึงได้อีก หายไปจากระบบเวลาในแกนหลัก”
“เป็นจุดสิ้นสุดของเวลาทั้งหมด ความไร้ตัวตน...”
“Void”
“วอยด์? (Void)”
“ที่เราสามารถเข้ามาที่นี่ได้ เพราะเราเป็นตัวแทนในการเชื่อมต่อกับมิติเวลาเหล่านี้ผ่านสื่อนำทางที่พวกเรามี”
“มิตินี่เป็นแหล่งรวมสิ่งที่ไม่มีการคงอยู่ในโลกใบนั้นยังไงล่ะ...”
“ไม่มีการคงอยู่? แล้วทำไมสภาพห้องฉันถึงยังเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ? ของพวกนี้มันยังมีอยู่ในมิติที่แท้จริงนั่นไม่ใช่หรอ แล้วทำไมนายถึงบอกว่าที่นี่รวมสิ่งที่ไม่มีการคงอยู่ล่ะ”
“สิ่งที่ไม่มีการคงอยู่...”
“คือเวลา...”
“เอ๋......”
“ที่นี่เป็นแหล่งรวมของกระแสเวลาที่ตายไป ซึ่งกระแสเวลาของทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งมีกระแสเวลาที่หายไปมากเท่านั้น”
“สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ คือส่วนกลับของความเป็นจริง”
“เธอคงไม่เคยคิดล่ะสิ ว่าเก้าอี้ตัวนี้มันอยู่มากี่วัน กี่เดือนแล้ว”
วอร์เรนชี้มาที่เก้าอี้ของเรา น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังจะย้ำให้เราเข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงที่เหลือเชื่อนี้
“ส่วนกลับของเวลา สิ่งที่ถูกลืม กระแสเวลาที่หายไป ทั้งหมดจะมารวมอยู่ที่นี่ เป็นมิติที่มีไว้รองรับอะไรก็ตาม”
“ที่หายไปตลอดกาลไม่กลับมาอีก”
......
สิ่งที่วอร์เรนพูดทำให้ฉันตกใจ และรู้สึกหวาดกลัวมากสุดๆ เพราะเหมือนที่นี่เต็มไปด้วยอันตราย ตัวของฉันสั่นไม่หยุด...
......
“สาเหตุที่โลกแห่งนี้... ไม่มีมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิต...”
“เพราะพวกเขายังคงถูกจดจำจากห้วงลึกของเวลาอยู่ ยังมีกระแสเวลาในแกนหลักไหลเวียนวงจรของพวกเขา”
“การตายของมนุษย์ สิ่งมีชีวิต หรือสิ่งของต่างๆน่ะ คือการสลายไปอย่างสมบูรณ์ตามกฎเกณฑ์ของเวลา หลอมรวมกับแกนกลางที่ยึดเหนี่ยวเวลาในมิติต่างๆเอาไว้”
“ส่วนมิติที่พวกเราอยู่ ณ ตอนนี้ เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนมิติเวลาที่เกิดจากกระแสเวลาที่หายไปของสิ่งต่างๆแค่นั้น ไม่ได้ส่งผลอะไรกับโลกแห่งความเป็นจริงหรอก มีแต่พวกเราที่สามารถเข้ามาในโลกใบนี้ได้”
พอฉันได้ฟังแบบนั้นก็ค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็แอบคิดอยู่ว่า มิติว่างเปล่านี่จะไม่ส่งผลกับโลกแห่งความจริง... แน่หรือเปล่า...
“วอร์เรนรู้เรื่องพวกนี้ได้ไงน่ะ”
“หืม?”
ไม่รู้ทำไมคำถามแบบนี้ถึงผุดขึ้นมาในหัว เขาดูจะรู้เรื่องอะไรแบบนี้เยอะมากเหมือนผู้ชายที่ชื่อควอส ทั้งๆที่ฉันยังไม่รู้จักเขาดีเลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครกันแน่
“นายเหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างเลย ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนดาดฟ้า หรือแม้แต่เรื่องที่นายเล่ามาทั้งหมด”
“ถึงอย่างนั้นแล้ว คำถามมากมายก็โผล่มาในหัวฉันไม่หยุด มีแต่ฉันที่ไม่รู้อะไรเลย”
“...ฉันควรจะทำยังไงต่อไป...”
......
“เธอมีความต้องการอะไรไหม?”
“...ความต้องการ...?”
วอร์เรนขยับมือที่มีเข็มนาฬิการางๆนั่นอีกรอบ...
โลกรอบข้างฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว พวกเราสองคนกลับมาที่โลกแห่งความจริง นาฬิกาในห้องเดินตามปกติหลังจากที่หยุดมาตลอด
“ความต้องการในการใช้พลังบิดเบือนเวลา...”
“การบิดเบือนเวลาในรูปแบบต่างๆนั่นสำคัญยิ่งกว่าการเข้าถึงมิติว่างเปล่านี่อีก”
“เธอคงจะรู้สินะ ว่าการบิดเบือนที่เราพูดถึงหมายความว่ายังไง...”
สิ่งที่เขาพูดทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกของสองสัปดาห์ก่อน เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มมีอาการแปลกๆที่เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับการบิดเบือนเวลา มิติว่างเปล่าที่เราเห็นครั้งแรกเมื่อสี่วันที่แล้ว ควอสที่ใช้พลังต่างๆ วอร์เรนที่ใช้พลังหยุดเวลา หรือพลังที่ทำให้คนรอบข้างไม่รู้สึกว่าเขามีตัวตน ทั้งหมดนั่นคือ
(การบิดเบือนเวลา...)
“การบิดเบือนเวลามีอะไรที่หลากหลายกว่านั้นมาก ถ้าเอาพลังคร่าวๆที่เป็นพื้นฐานหลักจะมีอยู่ไม่กี่อย่าง”
“อย่างตอนที่เราจะกระแทกเพื่อนร่วมห้องของเธอคนหนึ่งนั่นล่ะ เราก็ข้ามเวลาเพื่อไม่ให้โดนตัว ถูกไหม?”
“ส่วนหยุดเวลา คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก น่าจะเห็นชัดดีอยู่แล้ว”
“ตอนที่ไหล่เธอถูกยิง นั่นก็เป็นพลังในการย้อนเวลา มันจะย้อนกลับไปเป็นช่วงเวลาเดิมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น”
“นอกนั้นก็ยังมีการเร่งเวลา การลบเลือนเวลา การเฉื่อยเวลา เวียนเวลา และก็...”
“อธิบายไม่ถูกแฮะ”
ไม่เข้าใจว่าวอร์เรนจะอ้ำอึ้งไม่ค่อยกล้าตอบทำไม...
“คือ... มันมีรูปแบบที่เราใช้ไม่ได้อยู่น่ะ”
“หา!?”
“ก็แบบว่า มันเป็นรูปแบบนอกเหนือจากที่พูดมาไง เป็นรูปแบบที่เราไม่สามารถใช้ได้”
“เดี๋ยวสิ! ถ้านายสามารถใช้พลังได้ขนาดนั้น ทำไมถึงยังมีส่วนที่ทำไม่ได้อยู่อีกล่ะ?”
“คงต้องเรียกว่าการคัดเลือกล่ะมั้ง”
“การคัดเลือก?”
“อื้อ ผู้ที่รับหน้าที่เป็นตัวแทนในการควบคุมเวลาจะสามารถบังคับเวลาได้ทุกแบบก็จริงอยู่ แต่นั่นก็มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขต่างๆ ความเคยชินในการใช้พลังด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้ลดทอนความสามารถในการใช้พลังเวลาในด้านอื่นๆ”
“และยิ่งรูปแบบของการคัดเลือกแล้ว มนุษย์ผู้เป็นตัวแทนแห่งเวลาเองก็มีความสามารถในการบิดเบือนเวลารูปแบบที่นอกเหนือจากนั้นต่างกันไปด้วย ซึ่งพลังทั้งหมดอาจถูกเลือกให้ใช้หรือใช้ไม่ได้จากสื่อกาลเวลาที่แต่ละคนมี”
ไม่น่าเชื่อเลย ว่าคนที่มีความสามารถมากมายแบบเจ้านี่จะมีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่ด้วย หรือแม้แต่ควอสคนนั้นเองก็อาจจะเป็นแบบเดียวกันด้วยงั้นสิ? สื่อกาลเวลาเองก็มีความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก
เรื่องพลังนี่ ดูจะมีอะไรซับซ้อนกว่าที่คิดมาก พยายามตั้งใจฟังต่อซะนะ ยัยรินทร์......
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ