ฉาวกับ...ซุปเปอร์สตาร์
9.0
เขียนโดย DTBII
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.17 น.
5 chapter
1 วิจารณ์
7,404 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558 18.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ฉาวครั้งที่ ๕
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉาวครั้งที่ ๕
[Phakin Side]
“พรีเซ็นเตอร์หมวกกันน็อคเหรอ”ผมหันไปมองหน้าผู้จัดการส่วนตัวเป็นครั้งแรก เมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกว่ารับงานนี้ไว้ให้ผมแล้ว
“อย่างน้อยน่าจะเรียกกระแสดีๆกลับมาได้บ้าง เดี๋ยวพี่จะติดต่อพี่โบว์ช่วยกระพือข่าวอีกทาง”
“เหอะ...”ผมพ่นลมหายใจออกมา พี่มิวหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เข้าไปคุยกับเฮียเปรมรึยัง นี่ก็นานแล้วนะตั้งแต่เกิดเรื่อง”ผมยักไหล่ทำเหมือนว่าไม่แคร์ ผมยังไม่อยากเข้าไปตอนนี้ ให้เฮียเปรมเป็นเดือดเป็นร้อนอยู่แบบนี้ก็สนุกดี
“แล้วก็...ถ้าคิดจะไปคุยพาเด็กคนนั้นมาด้วย”
“ทำไมผมต้องพาเมฆมาด้วย ....อีกอย่างเขาก็ไม่ได้อยากมา”พี่มิวมองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“เรื่องทั้งหมด พี่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง อย่าไปดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเลยนะคิน เรื่องมันจะยิ่งบานปลาย พี่รู้จักกับนักข่าวหลายคนก็จริง แต่นักข่าวแค่ไม่กี่คนก็ช่วยคินไม่ได้นะ ถ้าคินยังไม่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองแบบนี้ รู้รึเปล่าตั้งแต่เกิดเรื่องพี่ต้องวิ่งรอกหานักข่าวคนนู้นที คนนี้ที ช่วยทำตัวให้สมกับอายุเถอะนะ”ผมยิ้มเมื่อได้ฟังอีกฝ่ายพูด
“พี่คงเหนื่อยแย่เลยนะครับ เริ่มจะรู้สึกผิดแล้วนะเนี่ย”แต่สีหน้าผมตอนนี้ตรงข้ามกับคำพูดสุด ๆ พี่มิวถอนหายใจเหมือนเหนื่อยหน่ายใจที่จะพูดกับผม
“พี่อยากให้คินเคลียร์ตัวเอง ตอนนี้พี่ไม่รู้จะตอบนักข่าวคนอื่นเรื่องเด็กคนนั้นว่ายังไง พี่ไม่เชื่อหรอกนะ ว่าคบกันจริง”
“ก็แล้วแต่พี่เถอะ เรื่องของผม ผมจัดการเองได้”
“คิดจะทำอะไรอีกล่ะ ขอร้องนะ อย่าสร้างเรื่องอีกเลย พี่เหนื่อย”
“เอาเถอะ นอกจากเป็นพรีเซ็นเตอร์หมวกกันน็อคแล้ว วันนี้ผมมีตารางงานอะไรอีกมั้ย"ผมเปลี่ยนเรื่องมาถามเรื่องงานเห็นแวบๆ เหมือนวันนี้ผมต้องไปอัดรายการอะไรสักอย่าง …
“ต้องไปอัดรายการ เจาะลึกดารา”หือ ...เจาะลึกดารา นี่มันรายการขุดคุ้ยประวัติชัดๆ แถมไอ้พิธีกรเจสันนั่น ก็ถามเซ้าซี้น่ารำคาญ สงสัยจังเลยนะว่าจะไปขุดเรื่องไหนมาเล่นงานผมบ้าง ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ
“คินโอเคใช่ไหม พี่ก็ไม่อยากให้ไปนักหรอก ใครจะอยากให้เด็กในสังกัดเอาคอไปไว้บนเขียง บางครั้งเส้นพี่ก็ไม่ใหญ่พอจะช่วยคินได้ทุกเรื่องหรอกนะ แถมทางช่องโทรทัศน์นั่นก็คอยกดดันค่ายเราอยู่ พี่เลยจำเป็นต้องรับงานนี้”
“โอเคครับ ผมไม่มีปัญหาอะไร ผมขอดูคิวงานหน่อย”มีอัดรายการบ่ายนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็คิวงานพรีเซ็นเตอร์หมวกกันน็อค ถ่ายครึ่งวัน
รถตู้มุ่งหน้าเข้าสู่สถานีโทรทัศน์ช่อง NNC ช่องยอดฮิตสำหรับพวกที่ชื่นชอบการเมาท์ดารา มีกลุ่มแฟนคลับอออยู่หน้าสถานี และกลุ่มนักข่าวกลุ่มเล็กๆ เมื่อรถตู้ของผมจอด เหล่าแฟนคลับก็พยายามจะกรูเข้ามาแต่การ์ดตัวโตก็คอยกันไว้อยู่ เห็นยัยแป้งแฟนตัวแม่ของผมแว๊บๆด้วย
“พร้อมนะ”พี่มิวส่งสัญญาณให้ผม ที่เตรียมตัวจะลงจากรถ ประตูเปิดออกแสงแฟรชวิบวับสาดใส่หน้า การ์ดช่วยกันผมกับ พี่มิวผจก.ไว้
“ให้ภาคินเข้าไปก่อนน้า อัดรายการเสร็จเดี๋ยวค่อยเจอกันค่ะ รบกวนน้องๆถอยออกไปก่อนค่ะ”ได้ยินเสียงพี่มิวตะโกน แฟนคลับบางส่วนถอยออกไป บางคนพยายามจะเข้าใกล้ผม โดนเล็บข่วนมืออีก แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้ม กว่าจะเข้ามาได้ไส้แทบบิดเป็นเลขแปด
“เข้ามารอที่ห้องแต่งตัวเลยค่ะ”มีพีอาร์หน้าเด็ก ๆเดินนำผมไปที่ห้องที่มีชื่อผมแปะอยู่ เข้าไปก็เจอพี่แต้วช่างแต่งหน้าประจำของผมรออยู่ด้านในแล้ว
“หวัดดีครับพี่แต้ว วันนี้ก็สวยเหมือนเดิมเลยนะครับ”ยกมือไหว้ทักทายพร้อมกับพูดแซวตามปกติ
“หวัดดีจ้า เห็นคินพูดแบบนี้มาหลายปีล่ะ ไม่เห็นจะมีใครมาสนใจพี่เลย”พี่แต้วสาวประเภทสองที่ผมมองว่าสวยกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก พี่เอ๋สไตลิสต์ร่างท้วมเอาชุดเข้ามาให้
“ใครว่าคินไม่ดัง เห็นไหมกระแสยังดีอยู่เลย”พี่เอ๋หันไปเมาท์กับพี่แต้ว ส่วนหนึ่งที่ยังมีนักข่าวมาทำข่าวผมก็เพราะผจก.ด้วยที่พยายามจะโปรโมทผมตลอดเวลา
“อัดรายการเสร็จคินอยู่เจอกับแฟนคลับก่อนนะ พี่โพสต์บอกไว้แล้ว”พี่มิวส่งเสียงมาจากมุมห้อง สายตาจัดจ่ออยู่ที่แท็ปแล็ต อัพเดทข่าวของผมให้แฟนๆรู้ ระหว่างที่รออัดรายการผมก็เหลือบไปเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งที่พี่เอ๋กำลังอ่านอยู่ บนหน้าปกมีรูปผมกับไอ้เมฆ ถ่ายคู่กันแล้วก็ดูดีใช้ได้เลยนะ ดูๆไปก็เหมือนคู่รักสุขสันต์ดีนะ ผมยกยิ้มเมื่อจ้องมองรอยยิ้มของอีกคนที่ทำให้ผมสนใจตั้งแต่ได้เห็นครั้งแรก ...นี่ผมสนใจมันมากไปรึเปล่าเนี่ย ผมมองโทรศัพท์ที่นอนเงียบกริบอยู่บนโต๊ะ ตั้งแต่คุยกันคราวก่อนผมก็ไม่ได้ติดต่อไปเลย ลองโทรไปดีไหม แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเรียนอยู่ รบกวนเปล่าๆ ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...ผมก็ยังไม่ได้อัด ไอ้พิธีกรยังไม่โผล่หัวมาเลย ผมเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างหงุดหงิด ไม่ชอบรออะไรนานๆเลย ให้ตายสิ ผมเหยียดเท้ากระแทกเก้าอี้อีกตัวเพื่อระบายอารมณ์
“ภาคินใจเย็นๆก่อนนะ ดื่มน้ำแก้หงุดหงิดก่อน”พี่แต้ววางแก้วน้ำเย็นๆลงตรงหน้าผม
“กระเพาะผมจะเต็มเพราะกินน้ำรอเนี่ยแหละ ถ้าอีกยี่สิบนาทียังไม่มา ผมไม่อัดแล้วนะ ถือว่าไม่ไว้หน้าผม ถึงตอนนี้ผมจะแย่ยังไงก็ไม่มีสิทธิมาปล่อยให้รอเป็นชาติแบบนี้”พี่แต้วหมดปัญญาจะทำให้ผมใจเย็น พี่มิวออกไปคุยกับ PDด้านนอก ก่อนจะกลับเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ทางนั้นบอกให้รออีกหน่อย เจสันกำลังมา บอกว่ารถติด”เหอะ รถติด หมดมุกจะใช้แล้วรึไง สรุปว่าผมรออัดรายการตั้งหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที พิธีกรปากหมา เอ๊ย ปากกรรไกรก็เอาแต่ขอโทษขอโพยด้วยท่าทางสำนึกผิด เสแสร้งจริงๆ ผมรู้หริกว่าลับหลังไอ้หมอนี่มันปากปีจอขนาดไหน
“ใจเย็นๆไว้นะ อย่าพูดอะไรไม่คิด”พี่มิวกระซิบเบาๆ ผมแค่นยิ้มให้ ไม่รู้สินะ ตอนนี้ผมกำลังเดือด ไอ้เรื่องโดนด่าว่าไร้สัมมาคาราวะเนี่ย โดนประจำ ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก เจสันพิธีกรลูกครึ่งเปิดรายการพล่ามถึงสปอร์นเซอร์สนับสนุนนานหลายนาที จนผมแอบทำหน้าเซ็ง ช็อตนี้อาจจะถูกเอาไปออกอากาศก็ได้ ผมจะได้ดูแย่เข้าไปอีก งานหลักของรายการนี้อยู่แล้ว
“วันนี้เราอยู่กับนักร้องดัง ‘ภาคิน’นั่นเองครับ แน่นอนว่าความดังของเขาเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว หลายๆคนคงรู้ใช่ไหมครับว่าเพราะอะไร คุณคิดว่าไงครับกับเรื่องดังกล่าว”พิธีกรหน้าหนา (เพราะเมคอัพ) หันมาถามผม รอยยิ้มจอมปลอมประดับอยู่บนหน้า
“ครับ MV ล่าสุดผมได้ คิม มียองมาแสดงเป็นนางเอก ผมรู้สึกดีใจมากเลยครับ แถมเพลงนี้ก็ติดชาร์ตอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็วเลยครับทั้งๆที่ปล่อยไปเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น อัลบั้มนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของผมเลยล่ะครับ น่าภูมิใจจริงๆ”ผมจงใจพูดถึงผลงานเมื่อกลางปีที่ดังเป็นพลุแตกก่อนที่ข่าวฉาวเรื่องผมจะเกิด ผมส่งยิ้มให้กล้อง เจสันอ้าปากค้างไปนิดนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหัวเราะแทน
“นั่นสินะครับ เป็นผลงานที่ตื่นตาตื่นใจมาก แต่หลังจากนั้นชีวิตคุณก็เหมือนมีพายุเข้าเลยใช่ไหมครับ”แล้วก็วกกลับมาเข้าประเด็นที่ต้องการจะเล่นงานผม
“ครับ ก็ถือเป็นสีสันของชีวิต ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเจอกับพายุลูกใหญ่แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ ผมเองก็เป็นแบบนั้นครับ”แต่ผมเป็นคนก่อพายุเองต่างหาก พิธีกรพยักหน้า ก่อนจะก้มดูสคริปคำถาม ผมก็อ่านมาแล้วเหมือนกัน แต่รายการนี้มักจะถามนอกเรื่องอยู่สักหน่อย
“ตอนนี้หลายคนกำลังจับตามองเรื่องความสัมพันธ์ของคุณระหว่าง เอ่อ เมฆ...ที่เป็นข่าวครึกโครมในช่วงนี้ พวกคุณคบกันจริงๆใช่ไหม”พิธีกรเน้นคำว่าจริงๆเป็นพิเศษ ผมยิ้มระหว่างนั้นหัวสมองกำลังประมวลหาคำตอบที่ดีที่สุด
“ตอนนี้ต้องเรียกว่าอยู่ในขั้นตอนคบหาดูใจกันดีกว่าครับ”...ขอโทษอีกทีนะเมฆ
“ตอนแถลงข่าว คุณบอกว่าเป็นแฟนกันนี่ครับ...”
“ผมสบายใจกว่าครับที่เรียกเขาแบบนั้น”ผมปั้นหน้านิ่ง ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ในใจร้อนรนอยู่ไม่น้อย ขออย่ายิงคำถามลึกไปกว่านี้เลย จากนั้นคำถามซ้ำซากที่ผมเคยโดนถามไปแล้วก็ถูกหยิบยกมาตอบอีกครั้ง จนผมแอบรำคาญกว่าจะอัดเสร็จก็กินเวลาหลายชั่วโมง ผมเชื่อว่าคำพูดที่ดูมีสาระของผมคงโดนตัดออกแน่นอน
“ขอบคุณมากครับที่ยอมมารายการของเรา ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะปฏิเสธซะอีก ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้รอนาน”พิธีกรเข้ามาคุยกับผมระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าห้องแต่งตัว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่อย่าทำแบบนี้บ่อยๆนะครับเดี๋ยวติดเป็นนิสัยจะแก้ไม่หาย วันนี้ผมสนุกมาก ได้อะไรจากรายการนี้เยอะเลย หวังว่าEP ของผมจะได้เรตติ้งสูงนะครับ”ผมยิ้มตบท้ายก่อนจะเข้าห้องแต่งตัว
“เฮ้อ...ผมหิวข้าวอ่ะพี่แต้ว รายการนี้ไม่มีของว่างให้แขกรับเชิญเลยเหรอนอกจากน้ำเปล่ากันคอแห้ง”ผมนั่งพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“พี่มีขนมปังค่ะ รองท้องไปก่อนนะคะ เจอแฟนคลับเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรทานกัน”พี่แต้วยื่นขนมปังไส้ช็อคโกแล็ตมาให้ ผมเปลี่ยนชุด ลงไปด้านล่างผจก.กำลังคุยกับเหล่าแฟนคลับอยู่ พอเห็นผมโผล่มาเสียงกรี๊ดก็ดังมาระลอกใหญ่
“พี่คินนนนนน ถ่ายรูปกับหนูหน่อยค่าา”
“ก่ดรากวฟบไยพาทดวด%$##%%+$<($%”อีกมากมายที่ผมจับใจความไม่ได้ ผมก็พยายามถ่ายรูปกับทุกคนอย่างทั่วถึงแต่ก็ค่อนข้างลำบาก
“พี่คินเซ็นนี่ให้หนูด้วย”...หมวกกันน็อค ผมหัวเราะแห้งๆก่อนจะเซ็นชื่อลงไป เชื่อเลยว่าถ้าป้ายไวนิลนั่นเสร็จเมื่อไหร่ คงมีเรื่องฮาๆกว่านี้อีกแน่
“ฝากให้พี่เมฆด้วยค่ะ”ของบางอย่างถูกยัดใส่อ้อมแขนของผม มีแฟนคลับเมฆด้วยเหรอ
“คินได้เวลากลับแล้ว”ผจก.สาวกระซิบ ผมโบกมือลาเหล่าแฟนคลับ รู้สึกดีขึ้นเยอะหลังจากที่หงุดหงิดมาจากรายการบ้าๆนั่น
“พี่ไปก่อนนะ ขอบคุณทุกคนมากครับ”การ์ดมากันตัวผมออกไป ผมหันไปส่งยิ้มให้ครั้งสุดท้าย มีของหลายอย่างที่ฝากมากับผจก.ส่วนใหญ่เป็นจดหมาย ดอกไม้ ผมนั่งแกะของฝากที่แฟนคลับฝากมาให้เมฆ ขอดูหน่อยนะว่าคืออะไร....ตุ๊กตาแมวเหมียวที่อยู่ในท่านั่ง ดูเหมือนจะสั่งทำเองเพราะตรงหน้าอกสกรีนหน้าเมฆไว้ด้วย ผมบีบหน้าแบนๆของเจ้าตุ๊กตานั่นสองสามที แมว....เมฆ...จะว่าไปมันก็เหมือนแมวเลยนะ อืม...น่ารักดี ขอเก็บไว้เองล่ะกัน ถ้าเมฆเป็นแมว...แล้วผมจะเหมาะเป็นตัวอะไรดีล่ะ
…………………………………………………………………………………….
“ยิ้มกว้างๆ หน่อยครับ ดีมาก...ชูนิ้วโป้งด้วยครับ แบบว่าสุดยอดอะไรแบบนี้ นั่นแหละครับ”
ผมกำลังทำตามที่ช่างภาพบอกรู้สึกเหมือนคนบ้าชอบกล พี่แต้วกับพี่เอ๋ยืนหัวเราะอยู่ที่มุมห้อง ผมพยายามคิดว่า หมวกกันน็อคนี่นะ เจ๋งสุดๆ...ภาพจะได้ออกมาสมจริงและดูจริงใจ แต่มันก็ยากเอาเรื่องเลย
“เสร็จแล้วครับ ถ่ายไวกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี่ย ผมเชื่อว่ายอดขายของเราต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เปอร์เซ็นต์ของการสวมหมวกจะต้องเพิ่มขึ้นแน่ ๆผมมั่นใจแบบนั้นครับ”ช่างภาพดูพออกพอใจ ผมถอดหมวกกันน็อคออก ร้อนด้วย ทีมงานเข้ามาซับเหงื่อให้ ผมได้ลองหมวกกันน็อคหลายแบบ แบบที่ปิดหน้าผมมิด (ผมจะแต่งหน้า เซ็ตผมทำไม) และแบบครึ่งใบ ช่างภาพเลือกรูปที่ผมยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่มาใช้ ให้เหตุผลว่าผมดูมีความสุขที่ได้ใส่หมวกกันน็อค อืม...ว่ายังไงก็ตามนั้นแหละนะ
ครืดดด~
JJ
ผมมองสายเข้าจากเพื่อนร่วมวงการ รุ่นน้องค่ายเดียวกันที่ค่ายพยายามดันอยู่ด้วยการไปร่วมงานกับบอยแบนด์เกาหลี ก็ไม่รู้ว่าดันครั้งนี้จะได้ผลรึเปล่า เพราะผมก็เห็นว่าแป้กมาหลายรอบ
“ว่าไง”
[พี่คิน ผมเพิ่งเห็นข่าวของพี่ พี่ไม่เป็นไรแน่นะ] น้ำเสียงมันดูตกใจและตื่นๆ
“พี่ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่กลับจากเกาหลีแล้วเหรอ”
[ครับ กำลังไปที่ค่าย ไว้เราออกไปหาอะไรกินด้วยกันนะครับ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนานมีเรื่องจะถามตั้งเยอะเลย] เดาว่าเรื่องข่าวของผมแน่นอน
“ก็ได้ ตามนั้นล่ะกัน”
[ครับ ผมวางก่อนนะนักข่าวมา] มีเสียงดังกุกกักก่อนที่สายจะถูกตัดไป ...ผมไม่ได้อคติอะไรกับรุ่นน้องแต่ถ้าในวงการผมจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆเพราะที่ผ่านมาผมพลาดเพราะคำว่า ‘ไว้ใจ’นี่แหละ
…………………………………………………………………………………….
“งานเข้าแล้วว่ะแมวเอ้ย”ไอ้บอร์ทวิ่งหน้าตั้งมาหาผมที่กำลังจะตักข้าวมื้อเที่ยงเข้าปาก ไอ้เชษเองที่กำลังดูดเส้นเล็กเข้าปากไอค่อกแค่ก แถมไอ้บอร์ทก็ทำเสียงดังไม่อายใครอีก
“อะไรของมึงวะ”ผมมองเพื่อนที่ยืนหอบแฮ่กๆ ในมือถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง คงมีข่าวอะไรอีกล่ะสิ ไอ้เชษหยิบทิชชูมาเช็ดปากก่อนจะปาใส่ไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้สำลัก
“ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระนะมึง หัวทิ่มแน่ๆ”ไอ้เชษเตรียมเงื้อมือ
“ไม่ไร้สาระเว้ย เกี่ยวกับมึงเลยเเมว ดูซะ!”มันวางหนังสือพิมพ์ลงตรงหน้าผม ผมกวาดสายตามองรูปประกอบที่เด่นสะดุดตา ในรูปเป็นภาคินที่นั่งกินข้าวกับชายหนุ่มหน้าใสท่าทางดูสนิทกัน
ลือหึ่ง ภาคินนอกใจแฟนหนุ่มนอกวงการ แอบคบกับนักร้องรุ่นน้องในค่าย พากันเข้าโรงแรมกลางวันแสกๆ
พาดหัวข่าวไร้สาระทำให้ผมย่นหน้า ก็แค่กินข้าวด้วยกันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องเอามาเป็นประเด็นเลย
“แล้วไง”ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไอ้เชษคว้าหนังสือพิมพ์มาฟาดหัวไอ้บอร์ทหนึ่งที
“ก็แค่ข่าวไร้สาระ”ไอ้เชษส่ายหัวไปมา
“แต่มันเคยมีข่าวลือมาก่อนนะเว้ยว่าภาคินแอบคบกับรุ่นน้องในค่าย”ไอ้บอร์ทชี้ไปที่คอลัมน์วิจารณ์เล็กๆ
“เฮ้อ...เพิ่งจะมีกระแสดีๆแท้ๆ ดันมีกระแสแย่ๆมากลบอีกแล้วว่ะ ดวงมันซวยจริงๆนะไอ้ภาคินเนี่ย”ผมได้แต่ฟังไอ้เชษพูด นั่นสิ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้เชื่อข่าวไร้สาระนี่หรอก นักข่าวแค่อยากเล่นงานมันเท่านั้นแหละ แต่...หรือว่ามันต้องการจะสร้างข่าวเสียๆซะเอง
“เป็นคนดังนี่แม่งน่าสงสารนะกูว่า”ไอ้เชษยังพร่ำไม่หยุด
“เออ แล้วเมื่อเช้าทำไมไม่มาเรียนว่ะ เขาเก็บคะแนนแบบฝึกหัดนะเว้ย”ผมหันไปถามไอ้บอร์ทที่ดูจะสนใจข่าวซุบซิบน่าดู
“ก็ไอ้เชี่ยเจนอ่ะดิ เมื่อคืนก็นัดเที่ยวกับมันที่บลู มันแม่งเมาแล้วก็อาละวาด ไม่รู้หงุดหงิดอะไรมา สาวๆเข้าหามันตรึมแต่มันไม่สนใจเลยนะเว้ย ท่าทางอย่างกับคนอกหัก กูเลยต้องลากมันมานอนที่ห้องกว่าจะได้นอนก็เช้าแล้วกูเลยตื่นไม่ทัน”ไอ้บอร์ทลูบผมอย่างหัวเสีย
“บ้าไปแล้ว อย่างไอ้เจนเนี่ยนะจะอกหัก”ผมแย้ง หรือว่าทะเลาะ มีเรื่องกับไอ้ปอยอีก
“เออ กูว่ามันแปลกๆแล้วนะ เฮียจอห์นก็โทรมาให้จับตาดูไอ้เจนให้หน่อย ทำอย่างกับกูตัวติดกับมันอย่างนั้นแหละ ทำไมเฮียเขาไม่โทรหาไอ้ปอยวะ เรียนคณะเดียวกันแท้ๆ”ไอ้เชษบ่นอย่างไม่เข้าใจ สงสัยผมคงต้องไปคุยกับไอ้เจนจริงๆจังๆแล้วมั้ง ส่วนไอ้ปอยค่อยไปดูท่าทีมัน ผมเหลือบมองข่าวของภาคิน อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้เหมือนกัน ...แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเพราะยังไงจริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่แฟนของมันจริงๆสักหน่อย
หลังเลิกเรียนผมกะจะไปหอสมุดหาหนังสืออ่านคลายเครียดดีกว่า ระหว่างที่มาหอสมุดผมก็รู้สึกว่ามีคนตามผมมา ...ตามผมมาทำไมเนี่ย ผมมองกระจกรถตู้ขับเข้ามาใกล้มากขึ้น จะบิดหนีก็ไม่ทันแล้ว ผมจอดรถข้างทาง มีผู้หญิงคนหนึ่งลงมาจากรถ
“น้องเมฆใช่ไหมคะ พี่ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ ไม่นานหรอก”พี่ผู้หญิงเข้ามาใกล้ มีผู้ชายอีกคนลงมาด้วย แต่มีกล้องติดมือมาอีก อะไรล่ะเนี่ย
“คุยอะไรครับ ผมมีธุระ”
“แค่ถามความคิดเห็นเรื่องข่าวของภาคินเฉยๆค่ะ คือ—”ผมไม่รอช้าบิดรถหนีทันที ไม่เหลียวหลังไปมองเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวสิคะ –”บ๊าย บาย หวังว่าคงไม่ตามมานะ ผมขี่หลบมายังทางหลังมอ.เส้นทางนี้เปลี่ยวหน่อย ไม่ค่อยมีคนใช้แล้ว แต่คงปลอดภัยกว่าแน่ๆ ผมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าออกมา
“ว่าไงครับแม่”โทรมามีอะไรรึเปล่า ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ
[อย่าเพิ่งกลับบ้านนะลูก ไปค้างบ้านเพื่อนก่อนนะ ดูเหมือนจะมีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้านเรา] นั่นไง
“ครับ”ผมถอนหายใจ ภาคินสร้างเรื่องอีกแล้ว ไปค้างกับไอ้เจนก่อนก็แล้วกันยังไงก็ต้องคุยกับมันเรื่องไอ้ปอย
ครืดดดด~
ภาคิน
พอนึกถึงก็โทรมาเลย ผมย่นหน้าใส่ชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอโทรศัพท์ก่อนจะกดรับ
“มีอะไร”ผมพูดเสียงห้วน
[อยู่ไหน ...ฉันอยากคุยกับนาย]
“คุยอะไรอีกล่ะ นายนี่นึกอยากให้ฉันไปหาก็โทรมาเหรอไง ถ้าจะคุยก็คุยตอนนี้นี่แหละ”
[นี่...แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปหานายเองก็ได้] ผมถอนหายใจ อยู่ๆเมื่อกี้ก็ฉุนขึ้นมา
“อยู่...ตรงซอยข้างมอ.”ผมบอกรายละเอียดให้มันไปว่าอยู่ตรงไหน รออยู่พักใหญ่มันก็มา แต่รถมันเข้ามาในซอยไม่ได้ ผมก็เลยต้องไปหามันแทน ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถมันก็ออกรถทันที อ้าวเฮ้ย รถผมล่ะ
“เฮ้ย จะพาไปไหน ทำไมไม่คุยตรงนี้”ผมทำหน้าบึ้ง ภาคินหันมามองผมก่อนจะตบไฟเลี้ยวจอดข้างทาง
“เรื่องข่าวนั่น...ทำให้นายโดนลากไปเอี้ยวอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะ"ไอ้ภาคินถอนหายใจ เอนพิงเบาะรถหันหน้ามามองผม ที่ยังไม่ยอมมองหน้ามัน
“ช่างเถอะ เริ่มจะชินแล้ว”
“แต่ข่าวนั่นไม่จริงนะ ไอ้เจก็แค่รุ่นน้อง เหอะ ไม่รู้เขียนข่าวกันมาได้ไง คิดว่าฉันจะชอบผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้เลยรึไง”ไอ้ภาคินบ่นด้วยน้ำเสียงเคืองๆ นั่นสิ ผมก็ไม่เชื่อเรื่องข่าวนี่ แต่กลับรู้สึกโกรธมันซะงั้น ถ้ามันไม่ไปก็คงไม่เป็นข่าวหรอก ...เฮ้อ ผมว่าผมมีปัญหาแล้วล่ะ จะไปโกรธมันด้วยเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสักหน่อย
“ตั้งใจสร้างเรื่องเองรึเปล่า เห็นอยากดับนักนี่”ผมเหลือบมองหน้าภาคิน มันขมวดคิ้วมองผม
“อย่าบอกนะว่า...นายคิดว่าฉันสร้างข่าวขึ้นมาเองน่ะ”ภาคินยกยิ้ม ผมหันไปมอง ยิ้มอะไรอีก
“แค่สมมุติเฉยๆ”
“สงสัยเป็นคราวซวยของฉันล่ะมั้ง พอถึงช่วงขาลงก็เลยโดนหนัก ตัวฉันเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับข่าวบ้าบอพวกนี้หรอกนะ แต่ฉันห่วงนายต่างหาก...นายไม่เป็นไรนะ”ภาคินเอื้อมมาลูบหัวผม
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วก็ อย่ามาลูบหัวจะได้ไหม"ผมปัดมืออีกคนออก พยายามปกปิดท่าทางแปลก ๆของตัวเอง
“อ่า โทษที ไม่รู้นี่ ว่าไม่ชอบ”ภาคินชักมือกลับ ภายในรถเงียบกริบขึ้นมา
“แมว...”
“อะไร”ผมหันไปมอง ทำไมมันรู้ฉายาผมล่ะ เพราะนอกจากในกลุ่มเพื่อนเเล้วก็ไม่มีใครเรียกผมแบบนี้
“ฉันว่าดูๆไปนายก็เหมือนแมวนะ แมวที่กำลังขู่ แฮ่..."มันทำเสียงขู่ประหลาดๆ
“ไม่เห็นจะเหมือน แล้วนั่นมันเสียงหมาขู่ไม่ใช่แมว”ผมหลุดยิ้มออกมา คนบ้าอะไรแยกไม่ออกอันไหนแมวขู่ อันไหนหมาขู่
“ไหนทำเสียงแมวขู่ให้ดูหน่อยสิ”ผมถลึงตาใส่ภาคินที่หัวเราะหึ ๆ ชอบใจ
“นายมาค้างที่คอนโดฉันก็ได้นะ...”ผมหันไปมองอีกคนทันที ไปค้างคอนโดภาคิน ...ผมก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ แต่จะให้ผมไปค้างกับคนที่รู้จักได้ไม่นานมันก็ยังไงอยู่ ผมเป็นเด็กดีนะเฮ้ย
“ห้ะ ไม่เป็นไร ฉันไปค้างที่คอนโดเพื่อนสะดวกกว่า”
“ทำไม กลัวเหรอ ถ้าฉันจะกินนายล่ะก็...ดิ้นหนีให้ตายนายก็ไม่หลุดหรอก เพราะฉันจะตะครุบนายแน่นๆเลยล่ะ”ภาคินเอื้อมมือมาขยุ้มแขนผม ผมหยิกข้อมือมัน
“ทำร้ายร่างกายซุปตาร์ เดี๋ยวเรียกค่าเสียหายนะ”อีกฝ่ายยิ้มทะเล้น ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นโหมดจริงจัง
“เมฆ ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายน่ะ”
“ว่ามาสิ”ผมรอฟัง
“คือ พรุ่งนี้ฉันนัดนักข่าวมาตอบเรื่องข่าวบ้าๆนี่ แน่นอนว่าอาจจะต้องโยงไปถึงเรื่องนาย นายโอเคไหมที่จะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน”ผมนั่งมองมือตัวเอง อันที่จริงผมก็หงุดหงิดอยู่บ้างที่กลับบ้านไม่ได้ หงุดหงิดที่ต้องคอยหนีนักข่าว แต่เอาเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกว่าผมยังอยากเจอมันอยู่
“ภาคิน...”
“หืม?”เจ้าของชื่อหันมามอง รอฟังว่าผมจะพูดอะไร
“นายถามฉันใหม่สิ”
“อะไรนะ”มันดูงงๆ ที่จู่ๆผมก็พูดขึ้นมา ผมกระแอมก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น
“ก็ไอ้วันนั้นน่ะ ที่ร้านข่าวมันไก่ที่นายถามน่ะ ถามใหม่สิ”ผมกลั้นใจพูดไป ถ้ามันไม่ได้อยากพูดแบบนั้นเเล้วผมคงหน้าแตกยับเยิน จนเก็บเศษหน้ามาแปะคืนเหมือนเดิมไม่ได้แน่ ภาคินทำหน้าเหมือน ‘อ้อ...’แล้วก็ยิ้ม
“นายจะตอบเหรอ”
“ก็เออสิ จะถามหรือไม่ถาม ฉัน...จะไปแล้วนะ”รู้สึกว่าบรรยากาศในรถมันเริ่มจะร้อนอบอ้าวขึ้นทุกที
“...เมฆ....เรื่องวันนั้นเรามาเริ่มกันใหม่กันเถอะ”เสียงของภาคินตอนที่พูดประโยคนี้ดูจะนุ่มลึกเป็นพิเศษ หรือว่าผมเพี้ยนไปแล้ว ที่รู้สึกแบบนั้น แต่จริง ๆนะ ....ผมไม่กล้ามองหน้ามันเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้ภาคินจะทำสีหน้าแบบไหน
“ก็ได้ ฉันตกลง”อย่างน้อยผมก็ไม่ชอบอะไรที่มันค้างคา ผมจะได้ไม่ต้องมาประสาทอยู่คนเดียว
“มีอีกคำถามหนึ่ง นายต้องตอบฉันใหม่”
“อืม...”
“วันนี้นายมาค้างที่คอนโดฉันก็ได้นะ”ภาคินจ้องหน้าผมอย่างคาดหวัง จนผมต้องเบนสายตาไปอีกทาง ไอ้หมอนี่คิดอะไรอยู่เนี่ย สายตาที่มันมองผมเหมือนวันนั้นเลย...แย่อ่ะ แล้วเด็กดีอย่างผมจะตอบว่ายังไงดีล่ะ
ฉาวครั้งที่ ๖
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปค้างที่คอนโดของภาคิน ซึ่งก็เสี่ยงเหมือนกัน กลัวทั้งมัน กลัวทั้งตัวเอง? เอาเถอะ เป็นไงเป็นกันไหนๆ เรื่องของผมกับมันก็มาไกลขนาดนี้แล้ว ผมจำได้ว่าคอนโดมันอยู่แถวไหน เลยตามไปทีหลังเผื่อเจอแฟนคลับมันแถวนั้น โชคดีที่ปลอดคน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขโมยที่ย่องเข้าบ้านคนอื่นยังไงยังงั้น ห้องของภาคิน ก็ใหญ่สมฐานะ ตกแต่งห้องด้วยโทนสีอ่อน สบายตา ผมมองตู้กระจกที่มีถ้วยรางวัลวางเป็นตับการันตีความสำเร็จในการเป็นนักร้อง จู่ๆก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าผมกับมันนี่ต่างกันแค่ไหน ทำไมมันถึงมาสนใจผมนะ ผมก็แค่คนธรรมดา หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่มากมายอะไร หรือว่ามันต้องการแค่เซ็กซ์จากผมกัน ผมปัดความคิดไร้สาระออกไปจากสมองก่อนจะเบนสายตาสำรวจภาพเขียนที่เป็นรูปนกโผบินในท้องฟ้ากว้างใหญ่
“ทำตัวตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกร็ง”ไม่รู้เจ้าของห้องไปอารมณ์ดีมาจากไหน เพราะเจ้าตัวผิวปากเป็นทำนองเพลง เดินแกว่งกุญแจรถไปเปิดตู้เย็น ผมแอบมองสำรวจห้องอยู่เงียบๆ ห้องที่ไม่รกมากบ่งบอกว่ามันเป็นคนรักสะอาด และดูเหมือนจะอยู่คนเดียว
“หิวรึเปล่า เดี๋ยวฉันทำอะไรให้ทาน”อีกฝ่ายเอี่ยวตัวมาถาม เปิดตู้เย็นค้างไว้
“ยังไม่หิวอ่ะ ว่าแต่ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะผมแอบเปิดดูประวัติของพ่อคนดังมาแล้ว ก็ไม่เห็นมีบอก
“ก็พอเป็น ฉันอยู่คนเดียวก็ต้องหัดไว้บ้าง...กำลังมองหาคนทำให้อยู่พอดีเลย”ภาคินยิ้มสายตาจับจ้องอยู่ที่ผม แม่ผมเปิดร้านอาหารก็จริงแต่ฝีมือการทำอาหารของผมก็ค่อนข้างเข้าขั้นแย่
“คงหายากหน่อยล่ะมั้ง...”ผมเดินเลี่ยงไปที่โซฟา ตรงนี้ติดกับบานกระจกกว้าง วันนี้ค่อนข้างจะเหนื่อยก็เลยเผลองีบไปพักใหญ่ รู้สึกตัวเพราะเหมือนมีอะไรมาวุ่นวายแถวๆ หน้าผาก ผมปัดออก พร้อมกับลืมตาขึ้นทาเจอภาคินที่กำลังลูบหัวผมอยู่
“อ้าว ตื่นเลยเหรอ อุตส่าห์กล่อมให้หลับนะเนี่ย”ภาคินชักมือกลับ ก่อนจะกอดอกมองผมอยู่ที่อีกด้านของโซฟา มันเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้ว
“มืดเเล้วเหรอ”ผมขมวดคิ้วมองแสงไฟสีส้มบนเพดานห้อง
“อืม สองทุ่มกว่าๆแล้ว”ผมเผลองีบไปนานเหมือนกันนะเนี่ย ผมขยับตัวมานั่งก่อนจะลูบผมยุ่งๆของตัวเองให้เข้าที่ รู้สึกเหนียวตัวขึ้นมา ผมยืมเสื้อของภาคินมาใส่ อันที่จริงเป็นเสื้อที่แฟนคลับทำมาให้มันมากกว่า ผมแอบสำรวจห้องนอนของภาคินหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ในห้องมีเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง ผมเดินไปแตะๆดู นุ่มนิ่มดีเหมือนกัน ถัดมาเป็นโต๊ะดีไซน์เก๋ไก๋ มีกรอบรูปตั้งอยู่ ในนั้นมีภาคินที่กำลังอยู่ในวัยสดใสกำลังกอดพ่อแม่ด้วยสีหน้ามีความสุข ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เด็กน้อยคนนี้ดูใสซื่อตอนนั้นมันจะรู้หรือยังว่าตัวเองจะโตมาเป็นคนดังแบบนี้ ผมยืดตัวขึ้นก่อนจะสำรวจตู้หนังสือตรงข้ามกับปลายเตียง ไม่ยักรู้ว่ามันอ่านนิยายด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นวรรณกรรมแปล แนวสืบสวน ของอะกาธา คริสตี้
“ตุ๊กตาเหรอ?”ผมเหลือบไปเห็นตุ๊กตาที่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม ผมย่องไปหยิบมาดูด้วยความสงสัย ตุ๊กตาแมว หน้าประหลาดแข็งๆ ตรงหน้าอกมีรูปหน้าผมด้วย ...อะไรอ่ะ ภาคินมันนอนกับตุ๊กตาแบบนี้เหรอ
“ภาคิน นายเอาไอ้นี่มาจากไหน”ผมเดินถือตุ๊กตาที่มีหน้าผมออกมาให้อีกคนที่กำลังกอดหมอนอิงดูหนังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“แฟนคลับทำมาให้”ภาคินละสายตาจากจอโทรทัศน์แล้วคว้าเจ้าตุ๊กตานั่นไปกอดแทนหมอนอิง ผมก็นั่งดูหนังไปกับมันด้วย แต่ก็ดูไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะมัวแต่เกร็งกับสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆแทน
“จะดูหนัง ก็ดูไปสิ จ้องอยู่ได้”ผมพึมพำกับตัวเอง สายตาจ้องเขม็งไปที่โทรทัศน์ ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆดังมาจากภาคิน มันคิดอะไรไม่ดีๆอยู่รึเปล่าแถมอยู่กันสองต่อสองอีกมีไอ้ตุ๊กตาเหมียวนี่อีกตัว คราวก่อนผมก็ยอมให้มันจูบง่ายๆอีก สถานการณ์ตอนนี้ก็พร้อมกว่าตอนนั้นอีก เตียงเติงมีพร้อม....
“คิดอะไรอยู่ หน้าแดงๆนะ”ผมสะดุ้ง ความคิดไร้สาระปลิวหายไป ก่อนจะเห็นภาคินยกยิ้มแบบไม่น่าไว้ใจอยู่
“เปล่า หนังสนุกดี”ผมหันไปสนใจหนังแทน ...อ้าว จบซะแล้ว ยังดูไม่รู้เรื่องเลย ผมทำอะไรไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่มันขัดๆเขินๆไปหมด ดันมาอยู่ในห้องของคนที่มีบุคลิกน่าดึงดูดแบบนี้มันก็ออกจะ...เฮ้อ ผมนี่คิดอะไรไร้สาระเรื่อยเลยนะ ตั้งแต่มาภาคินยังไม่ได้เฉียดใกล้ตัวผมเลยแม้แต่น้อย โล่งอกหน่อย ผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าต้องนอนเตียงเดียวกับภาคิน มันถือเจ้าตุ๊กตานั่นมาด้วย
“ฉันชอบนอนกอดมันน่ะ”อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงข้างผม โดยเอาไอ้ตุ๊กตานั่นวางไว้ตรงกลางระหว่างผมกับมัน
“หลับฝันดีนะ”
“เช่นกันล่ะ”ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ความง่วงเข้ามาแทน เป็นคืนที่หลับสบายจนน่าแปลกใจเลยล่ะ ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยชินถ้าหากไปค้างแปลกที่....
“อือ...”ผมสะดุ้งตื่นมากลางดึก รู้สึกว่ามีลมหายใจอุ่นๆเป่ารดต้นคออยู่ แขนหนักๆของเจ้าของห้องพาดเอวผมอยู่ ไหนบอกว่าชอบนอนกอดไอ้ตุ๊กตานั่นไง ผมขยับตัวเล็กน้อยเพราะอึดอัด แต่คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังกลับส่งเสียงประท้วง พร้อมกับกอดแน่นกว่าเดิมอีก คนนะไม่ใช่หมอนข้าง หายใจไม่ออกแล้วเนี่ย
“ภาคิน”ผมกระทุ้งอีกคนเบาๆ กอดอย่างเดียวไม่ว่า มาลูบๆคลำๆทำไมเนี่ย
“หือ?”มันกระซิบตอบ อ้าว ไม่ได้หลับหรอกเหรอ
“ขยับออกไปหน่อย หายใจไม่ค่อยออก ร้อนด้วย”ผมใจเต้นตึกๆ
“ร้อนเหรอ ไม่เห็นจะร้อนเลย”มันคลายแขนออก มือยังลูบๆคลำๆแถวท้องน้อยผมอยู่
“พรุ่งนี้มีนัดกับพี่นักข่าวที่ฉันรู้จัก ขอกำลังใจหน่อยสิ”เสียงนุ่มๆดังอยู่ใกล้ ๆ
“สู้ๆ”พึมพำตอบ รู้สึกถึงริมฝีปากของอีกคนที่แตะหลังคออย่างแผ่วเบา ส่วนฝามือไล้วนอยู่ตรงท้องน้อยช้าๆ ผมหายใจไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่มือนั้นจะเลื้อยลงไปยังจุดที่ไวต่อสัมผัส ผมเม้มปากแน่นพยายามกลั้นเสียงที่จะหลุดออกมา ภาคินขยับมาประกบจูบ พลิกตัวผมนอนหงาย ก่อนจะบดเบียดริมฝีปากเข้ามามากขึ้น จูบเน้นย้ำจนผมเปิดปากรับลิ้นของอีกฝ่ายที่พยายามรุกล้ำเข้ามา ฝามือเลื่อนขึ้นมาลูบตามแผ่นอก บดคลึงยอดอกซ้ำๆจนผมต้องเบียดตัวเข้าหาอีกฝ่าย ขยำชายเสื้ออีกคนไว้แน่น ภาคินขยับมาใช้ลิ้นลากวนที่ยอดอกผมแทน
“ฮื่อ...”ผมเขี่ยใบหูอีกฝ่ายเล่น ร้อนไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะจุดที่ภาคินสัมผัส ผมยันตัวเองมานั่ง โชคดีที่ค่อนข้างมืดทำให้ผมไม่อายเท่าที่ควร กางเกงขาสั้นถูกดึงออกด้วยความร่วมมือของผม
“เมฆ วันนี้แค่นี้ก่อนนะ”มันกระซิบใกล้ใบหู ผมเอาคางเกยไหล่ภาตินไว้ ใช้มือสัมผัสอีกฝ่าย มีเพียงเสียงครางเเผ่วเบาและเสียงหอบหายใจเท่านั้น ภาคินขยับมือเร็วขึ้นเมื่อผมจิกหลังมัน อีกมือก็ช่วยให้มันถึงฝั่งเร็วๆ เราะผมเองก็ใกล้จุดเดือดแล้ว ภาคินขบเม้มต้นคอผมแรงๆ ก่อนที่ทั้งผมทั้งมันจะปล่อยน้ำสีขุ่นออกมา
“อา...”ร่างสูงย้ำจูบผมอีกครั้ง จูบกันอยู่นานพอที่ผมจะหมดลม ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่พักหนึ่ง เป็นช่วงเวลาของความขัดเขิน เมื่อรู้สึกว่าขาผมเปื้อน ผมว่าคืนนี้ผมนอนไม่หลับแล้วแน่ๆ ดีนะที่ห้องมืด ไม่อย่างนั้นต้องอายมากกว่านี้แน่
…………………………………………………………………………………….
ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านจากรอยแยกของผ้าม่าน ผมพลิกตัวไปอีกฝั่ง พบว่าที่ข้างตัวผมว่างเปล่า ...มันตื่นเเล้วเหรอ ผมงัวเงียโผล่หน้าไปนอกห้อง ได้ยินเสียงกุกกักมาจากในครัว มันลุกมาทำข้าวเช้าเหรอเนี่ย ผมเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ ล้างเนื้อล้างตัว สังเกตเห็นจ้ำแดงจางๆที่ต้นคอ ผมใส่เสื้อของภาคินไปก่อน ตัวใหญ่ไปนิดนึงแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ผมเดินเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ครัว ภาคินกำลังทอดเบคอนกลิ่นหอมๆอยู่ อาหารเช้าแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ อือหื้อ รู้สึกชีวิตอัพเกรดขึ้นมากทีเดียว ผมมองขนมปังปิ้งที่ไหม้นิดหน่อย บนโต๊ะอาหารกระจกใส
“มอนิ่ง”อีกฝ่ายเดินมาจูบผมเร็วๆทีนึง ก่อนจะหันไปกลับเบคอนที่เริ่มส่งกลิ่นประท้วง
“เอ่อ มอนิ่ง ให้ช่วยไหม”ผมไม่อยากสบายเกินไป รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ ภาคินโบกมือปฏิเสธ
“ใกล้เสร็จแล้ว”ครู่หนึ่งภาคินก็ยกจานอาหารเช้ามาวางที่โต๊ะ หยิบทิชชูมาเช็ดหน้าด้วยท่าทีหงุดหงิด
“ให้ตาย หน้ามัน เมื่อคืนก่อนนอนฉันลืมทาครีม เพราะนายทำฉันตื่นเต้น เดี๋ยวมา”ภาคินหายไปเข้าห้องน้ำ ไปล้างหน้าทาครีมอีกรอบล่ะมั้ง มื้อเช้าผ่านไปเงียบๆ ผมแย่งไส้กรอกของมันมา ให้กินแค่นี้ไม่ถึงครึ่งท้องผมหรอก กลิ่นกาแฟหอมกลุ่นมาจากร่างสูงที่อิ่มเรียบร้อย กำลังจิบกาแฟมองผมอยู่
“ฉันนัดพี่นักข่าวไว้ที่ร้านกาแฟตรงข้ามกับคอนโด นายไปด้วยกันนะ ถือว่าฉันเปิดตัวนายผ่านสื่อครั้งแรกและที่เดียวด้วย จะได้หยุดข่าวลือโง่ๆนั่นสักที และก็ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันรู้จักกับพี่แต รับรองไว้ใจได้”
“...เอางั้นก็ได้”ผมตอบอย่างลังเล เอาเถอะ ถึงยังไงผมก็หนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ภาคินพาผมมารอที่จุดนัดพบ ไม่นานสาวร่างเล็กก็มาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร ท่าทีดูไม่มีพิษสงอะไร ผมยกมือไหว้ พี่เขาก็รับไหว้แทบไม่ทัน
“รอกันนานรึเปล่า จะสั่งอะไรไหม พี่เลี้ยงเอง”พี่แตหันมาถามผมกับภาคินที่ปฏิเสธไปเพราะทานมื้อเช้ามาแล้ว ก็เลยขอแค่น้ำเปล่าพอ
“เอาแบบเป็นทางการหน่อยนะ ขอถ่ายรูปคู่สักสองสามรูปนะ โอเค”ถ่ายไปหลายช็อต หน้าผมจะโทรมรึเปล่าไม่รู้ พี่แตก็ถามเข้าประเด็นเรื่องข่าวเจเจรุ่นน้องในค่าย มันก็ตอบเหมือนที่บอกกับผมว่าไม่ใช่เรื่องจริง
“ผมมีคนของผมแล้ว ข่าวพวกนั้นก็แค่ข่าวไร้สาระที่หวังจะทำลายผมให้จมดินก็เท่านั้นเอง”ภาคินยักไหล่ประกอบการพูด จากนั้นก็ถามผมบ้างนิดหน่อยเรื่องภาคิน จบการสัมภาษณ์ พี่แตก็อยู่คุยอีกพักใหญ่ส่วนมากก็เรื่องข่าวเมาท์ในวงการนั่นแหละ ผมได้รู้อะไรมานิดหน่อย พี่แตเป็นรุ่นพี่ที่จบจากคณะเดียวกันกับไอ้ภาคิน
“แล้วก็มีข่าวบ้าๆด้วยนะแก ว่ายัยลูกน้ำ คนที่แกเคยคบอยู่พักหนึ่งน่ะ จะมารีเทิร์นกับแก ตลกเวอร์ ถ้ามีข่าวอะไรหลุดออกมาเมฆไม่ต้องเชื่อหรอกนะ ข่าวมั่วๆทั้งนั้นแหละ”พี่แตหันมาพยักหน้าจริงจังกับผม เพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่าลูกน้ำนักร้องที่เคยดังอยู่พักหนึ่งเคยคบกับภาคินด้วย
“กับน้ำน่ะเหรอ ไม่ได้คบสักหน่อย ตอนนั้นค่ายให้ตีซี้ออกสื่อโปรโมทอัลบั้มเฉยๆ”ภาคินตอบเสียงขุ่น มีแบบนี้ด้วย
“อุ้ย จริงอ่ะ ก็ว่า อย่างลูกน้ำไม่ใช่สเป็คแกหรอก”พี่แตเหล่มามองผม
“เมฆ ก็หน้าตาใช้ได้อยู่นะ ขึ้นกล้องด้วย สนใจเป็นนายแบบไหม เงินดีนะ เดี๋ยวพี่ติดต่อให้”ผมรีบปฏิเสธทันที
“อย่างผมไม่เหมาะหรอก แห้งจะตาย”ผมยิ้มแห้งๆ
“แห้งตรงไหน ก็หุ่นดีนี่...”
“...”ผมชะงักไปนิดนึง พี่แตมองผมกับภาคินสลับไปมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ถ้าภาคินบอกมาอย่างนั้นก็คงจริงล่ะมั้ง มั่นใจในตัวเองหน่อยสิเมฆ เราก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร"
“เมฆมันหัวอ่อนจะตาย อยู่วงการนี้เดี้ยงพอดี”พี่แตไม่สนใจไอ้ภาคิน ยื่นนามบัตรให้ผม
“เผื่อไว้ เปลี่ยนใจก็โทรหาพี่นะ”ผมรับนามบัตรไว้ตามมารยาท
“แต่เมฆคงไม่สนงานพี่หรอกมั้ง มีงานน่าสนใจกว่ารออยู่นี่”
“อะไรเหรอครับ”ผมถามด้วยความอยากรู้ งานอะไรอีกล่ะ ภาคินเองก็เลิกคิ้วด้วยความสนใจ
“พอดี ได้ยินมาอีกทีน่ะ ว่าอยากได้คินกับเมฆเป็นพรีเซ็นเตอร์รถฟีโน่ด้วยกัน เห็นว่าจะทำเป็นหนังสั้นด้วยนะ”ผมแทบสำลักน้ำเปล่าที่กำลังกิน อะไรนะ พรีเซ็นเตอร์คู่ ภาคินเดาะลิ้น
“คราวนี้อัพเกรดมาเป็นรถแล้วเหรอ”มันหัวเราะขำๆ สงสัยจะยังไม่ลืมเรื่องหมวกกันน็อค
“เห็นว่าลูกสาวของเจ้าของอยากให้พวกเธอสองคนเท่านั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์น่ะ ยังไงก็จะรอดูนะ ไปก่อนดีกว่า คนเริ่มเยอะแล้ว โชคดีกันทั้งคู่เลยนะ”แล้วจากนั้นก็แยกย้ายกลับ
“คิดยังไง”จู่ๆ มันก็ถามผมที่กำลังอ่านนิตยสารเล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับภาคินเอาไว้ ผมเงยหน้ามองเจ้าตัวที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาเท้าแขนมองผมอยู่
“เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องที่พี่แตบอกไง นายว่าไง อยากทำไหม”ภาคินมองผมอย่างคาดหวัง ถ้าเรื่องที่พี่แตพูดเป็นเรื่องจริง มันก็ถือว่าเป็นการประกาศที่ชัดเจนเลยว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน ผมเองก็…ไม่รู้สิ
“ก็…ห้าสิบห้าสิบ”ผมกลับมาอ่านนิตยสารต่อ
“นายชอบเลี้ยงหมาเหรอ”ผมถามขึ้นมาอย่างสงสัย ดูๆไปแล้วมันไม่เห็นเหมือนคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์เลย
“เคยคิดว่าอยากเลี้ยงน่ะ ไอ้คอลัมน์นั่นโกหกทั้งแพ ฉันตอบไปให้ดูดีงั้นแหละ อยากรู้อะไรถามฉันสิ นั่งตัวเป็นๆอยู่นี่แล้วไง”ผมเหลือบมองภาคินที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม ก่อนจะก้มอ่านหาจุดที่จะถามมันอีกครั้ง
“มีแฟนมาแล้วกี่คน”ไม่มีอยู่ในคอลัมน์หรอก แค่อยากรู้เฉยๆ ภาคินทำหน้านึก …นานอยู่หลายนาที
“ตอบช้า หลายคนล่ะสิ”ภาคินส่ายหน้า
“ส่วนใหญ่ไม่มีคนที่ฉันคบจริงๆจังๆหรอก ไม่ถึงขั้นเรียกว่าแฟน”
“อืม”ผมพยักหน้าช้า ๆ
“แต่เดี๋ยวก็มีล่ะมั้ง”
“จริง...”ผมเบ้หน้า
“ไม่รู้สิ ต้องถามก่อนว่าอีกคนเขาจะยอมรึเปล่า ……เป็นไหม”มันหันมาสะกิด
“ยังอีกไกล”ผมหันหน้าหนีไปอีกทาง ในใจมีหลายเรื่องที่อยากถามมัน แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ก็ดูเหมือนจะก้าวก่ายเกินไป ....เอาไว้รอจังหวะดีๆมากกว่านี้ค่อยถามมันล่ะกัน
[Phakin Side]
“พรีเซ็นเตอร์หมวกกันน็อคเหรอ”ผมหันไปมองหน้าผู้จัดการส่วนตัวเป็นครั้งแรก เมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกว่ารับงานนี้ไว้ให้ผมแล้ว
“อย่างน้อยน่าจะเรียกกระแสดีๆกลับมาได้บ้าง เดี๋ยวพี่จะติดต่อพี่โบว์ช่วยกระพือข่าวอีกทาง”
“เหอะ...”ผมพ่นลมหายใจออกมา พี่มิวหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เข้าไปคุยกับเฮียเปรมรึยัง นี่ก็นานแล้วนะตั้งแต่เกิดเรื่อง”ผมยักไหล่ทำเหมือนว่าไม่แคร์ ผมยังไม่อยากเข้าไปตอนนี้ ให้เฮียเปรมเป็นเดือดเป็นร้อนอยู่แบบนี้ก็สนุกดี
“แล้วก็...ถ้าคิดจะไปคุยพาเด็กคนนั้นมาด้วย”
“ทำไมผมต้องพาเมฆมาด้วย ....อีกอย่างเขาก็ไม่ได้อยากมา”พี่มิวมองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“เรื่องทั้งหมด พี่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง อย่าไปดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเลยนะคิน เรื่องมันจะยิ่งบานปลาย พี่รู้จักกับนักข่าวหลายคนก็จริง แต่นักข่าวแค่ไม่กี่คนก็ช่วยคินไม่ได้นะ ถ้าคินยังไม่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองแบบนี้ รู้รึเปล่าตั้งแต่เกิดเรื่องพี่ต้องวิ่งรอกหานักข่าวคนนู้นที คนนี้ที ช่วยทำตัวให้สมกับอายุเถอะนะ”ผมยิ้มเมื่อได้ฟังอีกฝ่ายพูด
“พี่คงเหนื่อยแย่เลยนะครับ เริ่มจะรู้สึกผิดแล้วนะเนี่ย”แต่สีหน้าผมตอนนี้ตรงข้ามกับคำพูดสุด ๆ พี่มิวถอนหายใจเหมือนเหนื่อยหน่ายใจที่จะพูดกับผม
“พี่อยากให้คินเคลียร์ตัวเอง ตอนนี้พี่ไม่รู้จะตอบนักข่าวคนอื่นเรื่องเด็กคนนั้นว่ายังไง พี่ไม่เชื่อหรอกนะ ว่าคบกันจริง”
“ก็แล้วแต่พี่เถอะ เรื่องของผม ผมจัดการเองได้”
“คิดจะทำอะไรอีกล่ะ ขอร้องนะ อย่าสร้างเรื่องอีกเลย พี่เหนื่อย”
“เอาเถอะ นอกจากเป็นพรีเซ็นเตอร์หมวกกันน็อคแล้ว วันนี้ผมมีตารางงานอะไรอีกมั้ย"ผมเปลี่ยนเรื่องมาถามเรื่องงานเห็นแวบๆ เหมือนวันนี้ผมต้องไปอัดรายการอะไรสักอย่าง …
“ต้องไปอัดรายการ เจาะลึกดารา”หือ ...เจาะลึกดารา นี่มันรายการขุดคุ้ยประวัติชัดๆ แถมไอ้พิธีกรเจสันนั่น ก็ถามเซ้าซี้น่ารำคาญ สงสัยจังเลยนะว่าจะไปขุดเรื่องไหนมาเล่นงานผมบ้าง ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ
“คินโอเคใช่ไหม พี่ก็ไม่อยากให้ไปนักหรอก ใครจะอยากให้เด็กในสังกัดเอาคอไปไว้บนเขียง บางครั้งเส้นพี่ก็ไม่ใหญ่พอจะช่วยคินได้ทุกเรื่องหรอกนะ แถมทางช่องโทรทัศน์นั่นก็คอยกดดันค่ายเราอยู่ พี่เลยจำเป็นต้องรับงานนี้”
“โอเคครับ ผมไม่มีปัญหาอะไร ผมขอดูคิวงานหน่อย”มีอัดรายการบ่ายนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็คิวงานพรีเซ็นเตอร์หมวกกันน็อค ถ่ายครึ่งวัน
รถตู้มุ่งหน้าเข้าสู่สถานีโทรทัศน์ช่อง NNC ช่องยอดฮิตสำหรับพวกที่ชื่นชอบการเมาท์ดารา มีกลุ่มแฟนคลับอออยู่หน้าสถานี และกลุ่มนักข่าวกลุ่มเล็กๆ เมื่อรถตู้ของผมจอด เหล่าแฟนคลับก็พยายามจะกรูเข้ามาแต่การ์ดตัวโตก็คอยกันไว้อยู่ เห็นยัยแป้งแฟนตัวแม่ของผมแว๊บๆด้วย
“พร้อมนะ”พี่มิวส่งสัญญาณให้ผม ที่เตรียมตัวจะลงจากรถ ประตูเปิดออกแสงแฟรชวิบวับสาดใส่หน้า การ์ดช่วยกันผมกับ พี่มิวผจก.ไว้
“ให้ภาคินเข้าไปก่อนน้า อัดรายการเสร็จเดี๋ยวค่อยเจอกันค่ะ รบกวนน้องๆถอยออกไปก่อนค่ะ”ได้ยินเสียงพี่มิวตะโกน แฟนคลับบางส่วนถอยออกไป บางคนพยายามจะเข้าใกล้ผม โดนเล็บข่วนมืออีก แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้ม กว่าจะเข้ามาได้ไส้แทบบิดเป็นเลขแปด
“เข้ามารอที่ห้องแต่งตัวเลยค่ะ”มีพีอาร์หน้าเด็ก ๆเดินนำผมไปที่ห้องที่มีชื่อผมแปะอยู่ เข้าไปก็เจอพี่แต้วช่างแต่งหน้าประจำของผมรออยู่ด้านในแล้ว
“หวัดดีครับพี่แต้ว วันนี้ก็สวยเหมือนเดิมเลยนะครับ”ยกมือไหว้ทักทายพร้อมกับพูดแซวตามปกติ
“หวัดดีจ้า เห็นคินพูดแบบนี้มาหลายปีล่ะ ไม่เห็นจะมีใครมาสนใจพี่เลย”พี่แต้วสาวประเภทสองที่ผมมองว่าสวยกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก พี่เอ๋สไตลิสต์ร่างท้วมเอาชุดเข้ามาให้
“ใครว่าคินไม่ดัง เห็นไหมกระแสยังดีอยู่เลย”พี่เอ๋หันไปเมาท์กับพี่แต้ว ส่วนหนึ่งที่ยังมีนักข่าวมาทำข่าวผมก็เพราะผจก.ด้วยที่พยายามจะโปรโมทผมตลอดเวลา
“อัดรายการเสร็จคินอยู่เจอกับแฟนคลับก่อนนะ พี่โพสต์บอกไว้แล้ว”พี่มิวส่งเสียงมาจากมุมห้อง สายตาจัดจ่ออยู่ที่แท็ปแล็ต อัพเดทข่าวของผมให้แฟนๆรู้ ระหว่างที่รออัดรายการผมก็เหลือบไปเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งที่พี่เอ๋กำลังอ่านอยู่ บนหน้าปกมีรูปผมกับไอ้เมฆ ถ่ายคู่กันแล้วก็ดูดีใช้ได้เลยนะ ดูๆไปก็เหมือนคู่รักสุขสันต์ดีนะ ผมยกยิ้มเมื่อจ้องมองรอยยิ้มของอีกคนที่ทำให้ผมสนใจตั้งแต่ได้เห็นครั้งแรก ...นี่ผมสนใจมันมากไปรึเปล่าเนี่ย ผมมองโทรศัพท์ที่นอนเงียบกริบอยู่บนโต๊ะ ตั้งแต่คุยกันคราวก่อนผมก็ไม่ได้ติดต่อไปเลย ลองโทรไปดีไหม แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเรียนอยู่ รบกวนเปล่าๆ ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...ผมก็ยังไม่ได้อัด ไอ้พิธีกรยังไม่โผล่หัวมาเลย ผมเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างหงุดหงิด ไม่ชอบรออะไรนานๆเลย ให้ตายสิ ผมเหยียดเท้ากระแทกเก้าอี้อีกตัวเพื่อระบายอารมณ์
“ภาคินใจเย็นๆก่อนนะ ดื่มน้ำแก้หงุดหงิดก่อน”พี่แต้ววางแก้วน้ำเย็นๆลงตรงหน้าผม
“กระเพาะผมจะเต็มเพราะกินน้ำรอเนี่ยแหละ ถ้าอีกยี่สิบนาทียังไม่มา ผมไม่อัดแล้วนะ ถือว่าไม่ไว้หน้าผม ถึงตอนนี้ผมจะแย่ยังไงก็ไม่มีสิทธิมาปล่อยให้รอเป็นชาติแบบนี้”พี่แต้วหมดปัญญาจะทำให้ผมใจเย็น พี่มิวออกไปคุยกับ PDด้านนอก ก่อนจะกลับเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ทางนั้นบอกให้รออีกหน่อย เจสันกำลังมา บอกว่ารถติด”เหอะ รถติด หมดมุกจะใช้แล้วรึไง สรุปว่าผมรออัดรายการตั้งหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที พิธีกรปากหมา เอ๊ย ปากกรรไกรก็เอาแต่ขอโทษขอโพยด้วยท่าทางสำนึกผิด เสแสร้งจริงๆ ผมรู้หริกว่าลับหลังไอ้หมอนี่มันปากปีจอขนาดไหน
“ใจเย็นๆไว้นะ อย่าพูดอะไรไม่คิด”พี่มิวกระซิบเบาๆ ผมแค่นยิ้มให้ ไม่รู้สินะ ตอนนี้ผมกำลังเดือด ไอ้เรื่องโดนด่าว่าไร้สัมมาคาราวะเนี่ย โดนประจำ ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก เจสันพิธีกรลูกครึ่งเปิดรายการพล่ามถึงสปอร์นเซอร์สนับสนุนนานหลายนาที จนผมแอบทำหน้าเซ็ง ช็อตนี้อาจจะถูกเอาไปออกอากาศก็ได้ ผมจะได้ดูแย่เข้าไปอีก งานหลักของรายการนี้อยู่แล้ว
“วันนี้เราอยู่กับนักร้องดัง ‘ภาคิน’นั่นเองครับ แน่นอนว่าความดังของเขาเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว หลายๆคนคงรู้ใช่ไหมครับว่าเพราะอะไร คุณคิดว่าไงครับกับเรื่องดังกล่าว”พิธีกรหน้าหนา (เพราะเมคอัพ) หันมาถามผม รอยยิ้มจอมปลอมประดับอยู่บนหน้า
“ครับ MV ล่าสุดผมได้ คิม มียองมาแสดงเป็นนางเอก ผมรู้สึกดีใจมากเลยครับ แถมเพลงนี้ก็ติดชาร์ตอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็วเลยครับทั้งๆที่ปล่อยไปเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น อัลบั้มนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของผมเลยล่ะครับ น่าภูมิใจจริงๆ”ผมจงใจพูดถึงผลงานเมื่อกลางปีที่ดังเป็นพลุแตกก่อนที่ข่าวฉาวเรื่องผมจะเกิด ผมส่งยิ้มให้กล้อง เจสันอ้าปากค้างไปนิดนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหัวเราะแทน
“นั่นสินะครับ เป็นผลงานที่ตื่นตาตื่นใจมาก แต่หลังจากนั้นชีวิตคุณก็เหมือนมีพายุเข้าเลยใช่ไหมครับ”แล้วก็วกกลับมาเข้าประเด็นที่ต้องการจะเล่นงานผม
“ครับ ก็ถือเป็นสีสันของชีวิต ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเจอกับพายุลูกใหญ่แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ ผมเองก็เป็นแบบนั้นครับ”แต่ผมเป็นคนก่อพายุเองต่างหาก พิธีกรพยักหน้า ก่อนจะก้มดูสคริปคำถาม ผมก็อ่านมาแล้วเหมือนกัน แต่รายการนี้มักจะถามนอกเรื่องอยู่สักหน่อย
“ตอนนี้หลายคนกำลังจับตามองเรื่องความสัมพันธ์ของคุณระหว่าง เอ่อ เมฆ...ที่เป็นข่าวครึกโครมในช่วงนี้ พวกคุณคบกันจริงๆใช่ไหม”พิธีกรเน้นคำว่าจริงๆเป็นพิเศษ ผมยิ้มระหว่างนั้นหัวสมองกำลังประมวลหาคำตอบที่ดีที่สุด
“ตอนนี้ต้องเรียกว่าอยู่ในขั้นตอนคบหาดูใจกันดีกว่าครับ”...ขอโทษอีกทีนะเมฆ
“ตอนแถลงข่าว คุณบอกว่าเป็นแฟนกันนี่ครับ...”
“ผมสบายใจกว่าครับที่เรียกเขาแบบนั้น”ผมปั้นหน้านิ่ง ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ในใจร้อนรนอยู่ไม่น้อย ขออย่ายิงคำถามลึกไปกว่านี้เลย จากนั้นคำถามซ้ำซากที่ผมเคยโดนถามไปแล้วก็ถูกหยิบยกมาตอบอีกครั้ง จนผมแอบรำคาญกว่าจะอัดเสร็จก็กินเวลาหลายชั่วโมง ผมเชื่อว่าคำพูดที่ดูมีสาระของผมคงโดนตัดออกแน่นอน
“ขอบคุณมากครับที่ยอมมารายการของเรา ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะปฏิเสธซะอีก ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้รอนาน”พิธีกรเข้ามาคุยกับผมระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าห้องแต่งตัว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่อย่าทำแบบนี้บ่อยๆนะครับเดี๋ยวติดเป็นนิสัยจะแก้ไม่หาย วันนี้ผมสนุกมาก ได้อะไรจากรายการนี้เยอะเลย หวังว่าEP ของผมจะได้เรตติ้งสูงนะครับ”ผมยิ้มตบท้ายก่อนจะเข้าห้องแต่งตัว
“เฮ้อ...ผมหิวข้าวอ่ะพี่แต้ว รายการนี้ไม่มีของว่างให้แขกรับเชิญเลยเหรอนอกจากน้ำเปล่ากันคอแห้ง”ผมนั่งพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“พี่มีขนมปังค่ะ รองท้องไปก่อนนะคะ เจอแฟนคลับเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรทานกัน”พี่แต้วยื่นขนมปังไส้ช็อคโกแล็ตมาให้ ผมเปลี่ยนชุด ลงไปด้านล่างผจก.กำลังคุยกับเหล่าแฟนคลับอยู่ พอเห็นผมโผล่มาเสียงกรี๊ดก็ดังมาระลอกใหญ่
“พี่คินนนนนน ถ่ายรูปกับหนูหน่อยค่าา”
“ก่ดรากวฟบไยพาทดวด%$##%%+$<($%”อีกมากมายที่ผมจับใจความไม่ได้ ผมก็พยายามถ่ายรูปกับทุกคนอย่างทั่วถึงแต่ก็ค่อนข้างลำบาก
“พี่คินเซ็นนี่ให้หนูด้วย”...หมวกกันน็อค ผมหัวเราะแห้งๆก่อนจะเซ็นชื่อลงไป เชื่อเลยว่าถ้าป้ายไวนิลนั่นเสร็จเมื่อไหร่ คงมีเรื่องฮาๆกว่านี้อีกแน่
“ฝากให้พี่เมฆด้วยค่ะ”ของบางอย่างถูกยัดใส่อ้อมแขนของผม มีแฟนคลับเมฆด้วยเหรอ
“คินได้เวลากลับแล้ว”ผจก.สาวกระซิบ ผมโบกมือลาเหล่าแฟนคลับ รู้สึกดีขึ้นเยอะหลังจากที่หงุดหงิดมาจากรายการบ้าๆนั่น
“พี่ไปก่อนนะ ขอบคุณทุกคนมากครับ”การ์ดมากันตัวผมออกไป ผมหันไปส่งยิ้มให้ครั้งสุดท้าย มีของหลายอย่างที่ฝากมากับผจก.ส่วนใหญ่เป็นจดหมาย ดอกไม้ ผมนั่งแกะของฝากที่แฟนคลับฝากมาให้เมฆ ขอดูหน่อยนะว่าคืออะไร....ตุ๊กตาแมวเหมียวที่อยู่ในท่านั่ง ดูเหมือนจะสั่งทำเองเพราะตรงหน้าอกสกรีนหน้าเมฆไว้ด้วย ผมบีบหน้าแบนๆของเจ้าตุ๊กตานั่นสองสามที แมว....เมฆ...จะว่าไปมันก็เหมือนแมวเลยนะ อืม...น่ารักดี ขอเก็บไว้เองล่ะกัน ถ้าเมฆเป็นแมว...แล้วผมจะเหมาะเป็นตัวอะไรดีล่ะ
…………………………………………………………………………………….
“ยิ้มกว้างๆ หน่อยครับ ดีมาก...ชูนิ้วโป้งด้วยครับ แบบว่าสุดยอดอะไรแบบนี้ นั่นแหละครับ”
ผมกำลังทำตามที่ช่างภาพบอกรู้สึกเหมือนคนบ้าชอบกล พี่แต้วกับพี่เอ๋ยืนหัวเราะอยู่ที่มุมห้อง ผมพยายามคิดว่า หมวกกันน็อคนี่นะ เจ๋งสุดๆ...ภาพจะได้ออกมาสมจริงและดูจริงใจ แต่มันก็ยากเอาเรื่องเลย
“เสร็จแล้วครับ ถ่ายไวกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี่ย ผมเชื่อว่ายอดขายของเราต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เปอร์เซ็นต์ของการสวมหมวกจะต้องเพิ่มขึ้นแน่ ๆผมมั่นใจแบบนั้นครับ”ช่างภาพดูพออกพอใจ ผมถอดหมวกกันน็อคออก ร้อนด้วย ทีมงานเข้ามาซับเหงื่อให้ ผมได้ลองหมวกกันน็อคหลายแบบ แบบที่ปิดหน้าผมมิด (ผมจะแต่งหน้า เซ็ตผมทำไม) และแบบครึ่งใบ ช่างภาพเลือกรูปที่ผมยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่มาใช้ ให้เหตุผลว่าผมดูมีความสุขที่ได้ใส่หมวกกันน็อค อืม...ว่ายังไงก็ตามนั้นแหละนะ
ครืดดด~
JJ
ผมมองสายเข้าจากเพื่อนร่วมวงการ รุ่นน้องค่ายเดียวกันที่ค่ายพยายามดันอยู่ด้วยการไปร่วมงานกับบอยแบนด์เกาหลี ก็ไม่รู้ว่าดันครั้งนี้จะได้ผลรึเปล่า เพราะผมก็เห็นว่าแป้กมาหลายรอบ
“ว่าไง”
[พี่คิน ผมเพิ่งเห็นข่าวของพี่ พี่ไม่เป็นไรแน่นะ] น้ำเสียงมันดูตกใจและตื่นๆ
“พี่ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่กลับจากเกาหลีแล้วเหรอ”
[ครับ กำลังไปที่ค่าย ไว้เราออกไปหาอะไรกินด้วยกันนะครับ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนานมีเรื่องจะถามตั้งเยอะเลย] เดาว่าเรื่องข่าวของผมแน่นอน
“ก็ได้ ตามนั้นล่ะกัน”
[ครับ ผมวางก่อนนะนักข่าวมา] มีเสียงดังกุกกักก่อนที่สายจะถูกตัดไป ...ผมไม่ได้อคติอะไรกับรุ่นน้องแต่ถ้าในวงการผมจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆเพราะที่ผ่านมาผมพลาดเพราะคำว่า ‘ไว้ใจ’นี่แหละ
…………………………………………………………………………………….
“งานเข้าแล้วว่ะแมวเอ้ย”ไอ้บอร์ทวิ่งหน้าตั้งมาหาผมที่กำลังจะตักข้าวมื้อเที่ยงเข้าปาก ไอ้เชษเองที่กำลังดูดเส้นเล็กเข้าปากไอค่อกแค่ก แถมไอ้บอร์ทก็ทำเสียงดังไม่อายใครอีก
“อะไรของมึงวะ”ผมมองเพื่อนที่ยืนหอบแฮ่กๆ ในมือถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง คงมีข่าวอะไรอีกล่ะสิ ไอ้เชษหยิบทิชชูมาเช็ดปากก่อนจะปาใส่ไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้สำลัก
“ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระนะมึง หัวทิ่มแน่ๆ”ไอ้เชษเตรียมเงื้อมือ
“ไม่ไร้สาระเว้ย เกี่ยวกับมึงเลยเเมว ดูซะ!”มันวางหนังสือพิมพ์ลงตรงหน้าผม ผมกวาดสายตามองรูปประกอบที่เด่นสะดุดตา ในรูปเป็นภาคินที่นั่งกินข้าวกับชายหนุ่มหน้าใสท่าทางดูสนิทกัน
ลือหึ่ง ภาคินนอกใจแฟนหนุ่มนอกวงการ แอบคบกับนักร้องรุ่นน้องในค่าย พากันเข้าโรงแรมกลางวันแสกๆ
พาดหัวข่าวไร้สาระทำให้ผมย่นหน้า ก็แค่กินข้าวด้วยกันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องเอามาเป็นประเด็นเลย
“แล้วไง”ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไอ้เชษคว้าหนังสือพิมพ์มาฟาดหัวไอ้บอร์ทหนึ่งที
“ก็แค่ข่าวไร้สาระ”ไอ้เชษส่ายหัวไปมา
“แต่มันเคยมีข่าวลือมาก่อนนะเว้ยว่าภาคินแอบคบกับรุ่นน้องในค่าย”ไอ้บอร์ทชี้ไปที่คอลัมน์วิจารณ์เล็กๆ
“เฮ้อ...เพิ่งจะมีกระแสดีๆแท้ๆ ดันมีกระแสแย่ๆมากลบอีกแล้วว่ะ ดวงมันซวยจริงๆนะไอ้ภาคินเนี่ย”ผมได้แต่ฟังไอ้เชษพูด นั่นสิ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้เชื่อข่าวไร้สาระนี่หรอก นักข่าวแค่อยากเล่นงานมันเท่านั้นแหละ แต่...หรือว่ามันต้องการจะสร้างข่าวเสียๆซะเอง
“เป็นคนดังนี่แม่งน่าสงสารนะกูว่า”ไอ้เชษยังพร่ำไม่หยุด
“เออ แล้วเมื่อเช้าทำไมไม่มาเรียนว่ะ เขาเก็บคะแนนแบบฝึกหัดนะเว้ย”ผมหันไปถามไอ้บอร์ทที่ดูจะสนใจข่าวซุบซิบน่าดู
“ก็ไอ้เชี่ยเจนอ่ะดิ เมื่อคืนก็นัดเที่ยวกับมันที่บลู มันแม่งเมาแล้วก็อาละวาด ไม่รู้หงุดหงิดอะไรมา สาวๆเข้าหามันตรึมแต่มันไม่สนใจเลยนะเว้ย ท่าทางอย่างกับคนอกหัก กูเลยต้องลากมันมานอนที่ห้องกว่าจะได้นอนก็เช้าแล้วกูเลยตื่นไม่ทัน”ไอ้บอร์ทลูบผมอย่างหัวเสีย
“บ้าไปแล้ว อย่างไอ้เจนเนี่ยนะจะอกหัก”ผมแย้ง หรือว่าทะเลาะ มีเรื่องกับไอ้ปอยอีก
“เออ กูว่ามันแปลกๆแล้วนะ เฮียจอห์นก็โทรมาให้จับตาดูไอ้เจนให้หน่อย ทำอย่างกับกูตัวติดกับมันอย่างนั้นแหละ ทำไมเฮียเขาไม่โทรหาไอ้ปอยวะ เรียนคณะเดียวกันแท้ๆ”ไอ้เชษบ่นอย่างไม่เข้าใจ สงสัยผมคงต้องไปคุยกับไอ้เจนจริงๆจังๆแล้วมั้ง ส่วนไอ้ปอยค่อยไปดูท่าทีมัน ผมเหลือบมองข่าวของภาคิน อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้เหมือนกัน ...แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเพราะยังไงจริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่แฟนของมันจริงๆสักหน่อย
หลังเลิกเรียนผมกะจะไปหอสมุดหาหนังสืออ่านคลายเครียดดีกว่า ระหว่างที่มาหอสมุดผมก็รู้สึกว่ามีคนตามผมมา ...ตามผมมาทำไมเนี่ย ผมมองกระจกรถตู้ขับเข้ามาใกล้มากขึ้น จะบิดหนีก็ไม่ทันแล้ว ผมจอดรถข้างทาง มีผู้หญิงคนหนึ่งลงมาจากรถ
“น้องเมฆใช่ไหมคะ พี่ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ ไม่นานหรอก”พี่ผู้หญิงเข้ามาใกล้ มีผู้ชายอีกคนลงมาด้วย แต่มีกล้องติดมือมาอีก อะไรล่ะเนี่ย
“คุยอะไรครับ ผมมีธุระ”
“แค่ถามความคิดเห็นเรื่องข่าวของภาคินเฉยๆค่ะ คือ—”ผมไม่รอช้าบิดรถหนีทันที ไม่เหลียวหลังไปมองเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวสิคะ –”บ๊าย บาย หวังว่าคงไม่ตามมานะ ผมขี่หลบมายังทางหลังมอ.เส้นทางนี้เปลี่ยวหน่อย ไม่ค่อยมีคนใช้แล้ว แต่คงปลอดภัยกว่าแน่ๆ ผมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าออกมา
“ว่าไงครับแม่”โทรมามีอะไรรึเปล่า ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ
[อย่าเพิ่งกลับบ้านนะลูก ไปค้างบ้านเพื่อนก่อนนะ ดูเหมือนจะมีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้านเรา] นั่นไง
“ครับ”ผมถอนหายใจ ภาคินสร้างเรื่องอีกแล้ว ไปค้างกับไอ้เจนก่อนก็แล้วกันยังไงก็ต้องคุยกับมันเรื่องไอ้ปอย
ครืดดดด~
ภาคิน
พอนึกถึงก็โทรมาเลย ผมย่นหน้าใส่ชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอโทรศัพท์ก่อนจะกดรับ
“มีอะไร”ผมพูดเสียงห้วน
[อยู่ไหน ...ฉันอยากคุยกับนาย]
“คุยอะไรอีกล่ะ นายนี่นึกอยากให้ฉันไปหาก็โทรมาเหรอไง ถ้าจะคุยก็คุยตอนนี้นี่แหละ”
[นี่...แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปหานายเองก็ได้] ผมถอนหายใจ อยู่ๆเมื่อกี้ก็ฉุนขึ้นมา
“อยู่...ตรงซอยข้างมอ.”ผมบอกรายละเอียดให้มันไปว่าอยู่ตรงไหน รออยู่พักใหญ่มันก็มา แต่รถมันเข้ามาในซอยไม่ได้ ผมก็เลยต้องไปหามันแทน ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถมันก็ออกรถทันที อ้าวเฮ้ย รถผมล่ะ
“เฮ้ย จะพาไปไหน ทำไมไม่คุยตรงนี้”ผมทำหน้าบึ้ง ภาคินหันมามองผมก่อนจะตบไฟเลี้ยวจอดข้างทาง
“เรื่องข่าวนั่น...ทำให้นายโดนลากไปเอี้ยวอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะ"ไอ้ภาคินถอนหายใจ เอนพิงเบาะรถหันหน้ามามองผม ที่ยังไม่ยอมมองหน้ามัน
“ช่างเถอะ เริ่มจะชินแล้ว”
“แต่ข่าวนั่นไม่จริงนะ ไอ้เจก็แค่รุ่นน้อง เหอะ ไม่รู้เขียนข่าวกันมาได้ไง คิดว่าฉันจะชอบผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้เลยรึไง”ไอ้ภาคินบ่นด้วยน้ำเสียงเคืองๆ นั่นสิ ผมก็ไม่เชื่อเรื่องข่าวนี่ แต่กลับรู้สึกโกรธมันซะงั้น ถ้ามันไม่ไปก็คงไม่เป็นข่าวหรอก ...เฮ้อ ผมว่าผมมีปัญหาแล้วล่ะ จะไปโกรธมันด้วยเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสักหน่อย
“ตั้งใจสร้างเรื่องเองรึเปล่า เห็นอยากดับนักนี่”ผมเหลือบมองหน้าภาคิน มันขมวดคิ้วมองผม
“อย่าบอกนะว่า...นายคิดว่าฉันสร้างข่าวขึ้นมาเองน่ะ”ภาคินยกยิ้ม ผมหันไปมอง ยิ้มอะไรอีก
“แค่สมมุติเฉยๆ”
“สงสัยเป็นคราวซวยของฉันล่ะมั้ง พอถึงช่วงขาลงก็เลยโดนหนัก ตัวฉันเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับข่าวบ้าบอพวกนี้หรอกนะ แต่ฉันห่วงนายต่างหาก...นายไม่เป็นไรนะ”ภาคินเอื้อมมาลูบหัวผม
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วก็ อย่ามาลูบหัวจะได้ไหม"ผมปัดมืออีกคนออก พยายามปกปิดท่าทางแปลก ๆของตัวเอง
“อ่า โทษที ไม่รู้นี่ ว่าไม่ชอบ”ภาคินชักมือกลับ ภายในรถเงียบกริบขึ้นมา
“แมว...”
“อะไร”ผมหันไปมอง ทำไมมันรู้ฉายาผมล่ะ เพราะนอกจากในกลุ่มเพื่อนเเล้วก็ไม่มีใครเรียกผมแบบนี้
“ฉันว่าดูๆไปนายก็เหมือนแมวนะ แมวที่กำลังขู่ แฮ่..."มันทำเสียงขู่ประหลาดๆ
“ไม่เห็นจะเหมือน แล้วนั่นมันเสียงหมาขู่ไม่ใช่แมว”ผมหลุดยิ้มออกมา คนบ้าอะไรแยกไม่ออกอันไหนแมวขู่ อันไหนหมาขู่
“ไหนทำเสียงแมวขู่ให้ดูหน่อยสิ”ผมถลึงตาใส่ภาคินที่หัวเราะหึ ๆ ชอบใจ
“นายมาค้างที่คอนโดฉันก็ได้นะ...”ผมหันไปมองอีกคนทันที ไปค้างคอนโดภาคิน ...ผมก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ แต่จะให้ผมไปค้างกับคนที่รู้จักได้ไม่นานมันก็ยังไงอยู่ ผมเป็นเด็กดีนะเฮ้ย
“ห้ะ ไม่เป็นไร ฉันไปค้างที่คอนโดเพื่อนสะดวกกว่า”
“ทำไม กลัวเหรอ ถ้าฉันจะกินนายล่ะก็...ดิ้นหนีให้ตายนายก็ไม่หลุดหรอก เพราะฉันจะตะครุบนายแน่นๆเลยล่ะ”ภาคินเอื้อมมือมาขยุ้มแขนผม ผมหยิกข้อมือมัน
“ทำร้ายร่างกายซุปตาร์ เดี๋ยวเรียกค่าเสียหายนะ”อีกฝ่ายยิ้มทะเล้น ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นโหมดจริงจัง
“เมฆ ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายน่ะ”
“ว่ามาสิ”ผมรอฟัง
“คือ พรุ่งนี้ฉันนัดนักข่าวมาตอบเรื่องข่าวบ้าๆนี่ แน่นอนว่าอาจจะต้องโยงไปถึงเรื่องนาย นายโอเคไหมที่จะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน”ผมนั่งมองมือตัวเอง อันที่จริงผมก็หงุดหงิดอยู่บ้างที่กลับบ้านไม่ได้ หงุดหงิดที่ต้องคอยหนีนักข่าว แต่เอาเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกว่าผมยังอยากเจอมันอยู่
“ภาคิน...”
“หืม?”เจ้าของชื่อหันมามอง รอฟังว่าผมจะพูดอะไร
“นายถามฉันใหม่สิ”
“อะไรนะ”มันดูงงๆ ที่จู่ๆผมก็พูดขึ้นมา ผมกระแอมก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น
“ก็ไอ้วันนั้นน่ะ ที่ร้านข่าวมันไก่ที่นายถามน่ะ ถามใหม่สิ”ผมกลั้นใจพูดไป ถ้ามันไม่ได้อยากพูดแบบนั้นเเล้วผมคงหน้าแตกยับเยิน จนเก็บเศษหน้ามาแปะคืนเหมือนเดิมไม่ได้แน่ ภาคินทำหน้าเหมือน ‘อ้อ...’แล้วก็ยิ้ม
“นายจะตอบเหรอ”
“ก็เออสิ จะถามหรือไม่ถาม ฉัน...จะไปแล้วนะ”รู้สึกว่าบรรยากาศในรถมันเริ่มจะร้อนอบอ้าวขึ้นทุกที
“...เมฆ....เรื่องวันนั้นเรามาเริ่มกันใหม่กันเถอะ”เสียงของภาคินตอนที่พูดประโยคนี้ดูจะนุ่มลึกเป็นพิเศษ หรือว่าผมเพี้ยนไปแล้ว ที่รู้สึกแบบนั้น แต่จริง ๆนะ ....ผมไม่กล้ามองหน้ามันเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้ภาคินจะทำสีหน้าแบบไหน
“ก็ได้ ฉันตกลง”อย่างน้อยผมก็ไม่ชอบอะไรที่มันค้างคา ผมจะได้ไม่ต้องมาประสาทอยู่คนเดียว
“มีอีกคำถามหนึ่ง นายต้องตอบฉันใหม่”
“อืม...”
“วันนี้นายมาค้างที่คอนโดฉันก็ได้นะ”ภาคินจ้องหน้าผมอย่างคาดหวัง จนผมต้องเบนสายตาไปอีกทาง ไอ้หมอนี่คิดอะไรอยู่เนี่ย สายตาที่มันมองผมเหมือนวันนั้นเลย...แย่อ่ะ แล้วเด็กดีอย่างผมจะตอบว่ายังไงดีล่ะ
ฉาวครั้งที่ ๖
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปค้างที่คอนโดของภาคิน ซึ่งก็เสี่ยงเหมือนกัน กลัวทั้งมัน กลัวทั้งตัวเอง? เอาเถอะ เป็นไงเป็นกันไหนๆ เรื่องของผมกับมันก็มาไกลขนาดนี้แล้ว ผมจำได้ว่าคอนโดมันอยู่แถวไหน เลยตามไปทีหลังเผื่อเจอแฟนคลับมันแถวนั้น โชคดีที่ปลอดคน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขโมยที่ย่องเข้าบ้านคนอื่นยังไงยังงั้น ห้องของภาคิน ก็ใหญ่สมฐานะ ตกแต่งห้องด้วยโทนสีอ่อน สบายตา ผมมองตู้กระจกที่มีถ้วยรางวัลวางเป็นตับการันตีความสำเร็จในการเป็นนักร้อง จู่ๆก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าผมกับมันนี่ต่างกันแค่ไหน ทำไมมันถึงมาสนใจผมนะ ผมก็แค่คนธรรมดา หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่มากมายอะไร หรือว่ามันต้องการแค่เซ็กซ์จากผมกัน ผมปัดความคิดไร้สาระออกไปจากสมองก่อนจะเบนสายตาสำรวจภาพเขียนที่เป็นรูปนกโผบินในท้องฟ้ากว้างใหญ่
“ทำตัวตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกร็ง”ไม่รู้เจ้าของห้องไปอารมณ์ดีมาจากไหน เพราะเจ้าตัวผิวปากเป็นทำนองเพลง เดินแกว่งกุญแจรถไปเปิดตู้เย็น ผมแอบมองสำรวจห้องอยู่เงียบๆ ห้องที่ไม่รกมากบ่งบอกว่ามันเป็นคนรักสะอาด และดูเหมือนจะอยู่คนเดียว
“หิวรึเปล่า เดี๋ยวฉันทำอะไรให้ทาน”อีกฝ่ายเอี่ยวตัวมาถาม เปิดตู้เย็นค้างไว้
“ยังไม่หิวอ่ะ ว่าแต่ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะผมแอบเปิดดูประวัติของพ่อคนดังมาแล้ว ก็ไม่เห็นมีบอก
“ก็พอเป็น ฉันอยู่คนเดียวก็ต้องหัดไว้บ้าง...กำลังมองหาคนทำให้อยู่พอดีเลย”ภาคินยิ้มสายตาจับจ้องอยู่ที่ผม แม่ผมเปิดร้านอาหารก็จริงแต่ฝีมือการทำอาหารของผมก็ค่อนข้างเข้าขั้นแย่
“คงหายากหน่อยล่ะมั้ง...”ผมเดินเลี่ยงไปที่โซฟา ตรงนี้ติดกับบานกระจกกว้าง วันนี้ค่อนข้างจะเหนื่อยก็เลยเผลองีบไปพักใหญ่ รู้สึกตัวเพราะเหมือนมีอะไรมาวุ่นวายแถวๆ หน้าผาก ผมปัดออก พร้อมกับลืมตาขึ้นทาเจอภาคินที่กำลังลูบหัวผมอยู่
“อ้าว ตื่นเลยเหรอ อุตส่าห์กล่อมให้หลับนะเนี่ย”ภาคินชักมือกลับ ก่อนจะกอดอกมองผมอยู่ที่อีกด้านของโซฟา มันเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้ว
“มืดเเล้วเหรอ”ผมขมวดคิ้วมองแสงไฟสีส้มบนเพดานห้อง
“อืม สองทุ่มกว่าๆแล้ว”ผมเผลองีบไปนานเหมือนกันนะเนี่ย ผมขยับตัวมานั่งก่อนจะลูบผมยุ่งๆของตัวเองให้เข้าที่ รู้สึกเหนียวตัวขึ้นมา ผมยืมเสื้อของภาคินมาใส่ อันที่จริงเป็นเสื้อที่แฟนคลับทำมาให้มันมากกว่า ผมแอบสำรวจห้องนอนของภาคินหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ในห้องมีเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง ผมเดินไปแตะๆดู นุ่มนิ่มดีเหมือนกัน ถัดมาเป็นโต๊ะดีไซน์เก๋ไก๋ มีกรอบรูปตั้งอยู่ ในนั้นมีภาคินที่กำลังอยู่ในวัยสดใสกำลังกอดพ่อแม่ด้วยสีหน้ามีความสุข ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เด็กน้อยคนนี้ดูใสซื่อตอนนั้นมันจะรู้หรือยังว่าตัวเองจะโตมาเป็นคนดังแบบนี้ ผมยืดตัวขึ้นก่อนจะสำรวจตู้หนังสือตรงข้ามกับปลายเตียง ไม่ยักรู้ว่ามันอ่านนิยายด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นวรรณกรรมแปล แนวสืบสวน ของอะกาธา คริสตี้
“ตุ๊กตาเหรอ?”ผมเหลือบไปเห็นตุ๊กตาที่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม ผมย่องไปหยิบมาดูด้วยความสงสัย ตุ๊กตาแมว หน้าประหลาดแข็งๆ ตรงหน้าอกมีรูปหน้าผมด้วย ...อะไรอ่ะ ภาคินมันนอนกับตุ๊กตาแบบนี้เหรอ
“ภาคิน นายเอาไอ้นี่มาจากไหน”ผมเดินถือตุ๊กตาที่มีหน้าผมออกมาให้อีกคนที่กำลังกอดหมอนอิงดูหนังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“แฟนคลับทำมาให้”ภาคินละสายตาจากจอโทรทัศน์แล้วคว้าเจ้าตุ๊กตานั่นไปกอดแทนหมอนอิง ผมก็นั่งดูหนังไปกับมันด้วย แต่ก็ดูไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะมัวแต่เกร็งกับสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆแทน
“จะดูหนัง ก็ดูไปสิ จ้องอยู่ได้”ผมพึมพำกับตัวเอง สายตาจ้องเขม็งไปที่โทรทัศน์ ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆดังมาจากภาคิน มันคิดอะไรไม่ดีๆอยู่รึเปล่าแถมอยู่กันสองต่อสองอีกมีไอ้ตุ๊กตาเหมียวนี่อีกตัว คราวก่อนผมก็ยอมให้มันจูบง่ายๆอีก สถานการณ์ตอนนี้ก็พร้อมกว่าตอนนั้นอีก เตียงเติงมีพร้อม....
“คิดอะไรอยู่ หน้าแดงๆนะ”ผมสะดุ้ง ความคิดไร้สาระปลิวหายไป ก่อนจะเห็นภาคินยกยิ้มแบบไม่น่าไว้ใจอยู่
“เปล่า หนังสนุกดี”ผมหันไปสนใจหนังแทน ...อ้าว จบซะแล้ว ยังดูไม่รู้เรื่องเลย ผมทำอะไรไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่มันขัดๆเขินๆไปหมด ดันมาอยู่ในห้องของคนที่มีบุคลิกน่าดึงดูดแบบนี้มันก็ออกจะ...เฮ้อ ผมนี่คิดอะไรไร้สาระเรื่อยเลยนะ ตั้งแต่มาภาคินยังไม่ได้เฉียดใกล้ตัวผมเลยแม้แต่น้อย โล่งอกหน่อย ผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าต้องนอนเตียงเดียวกับภาคิน มันถือเจ้าตุ๊กตานั่นมาด้วย
“ฉันชอบนอนกอดมันน่ะ”อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงข้างผม โดยเอาไอ้ตุ๊กตานั่นวางไว้ตรงกลางระหว่างผมกับมัน
“หลับฝันดีนะ”
“เช่นกันล่ะ”ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ความง่วงเข้ามาแทน เป็นคืนที่หลับสบายจนน่าแปลกใจเลยล่ะ ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยชินถ้าหากไปค้างแปลกที่....
“อือ...”ผมสะดุ้งตื่นมากลางดึก รู้สึกว่ามีลมหายใจอุ่นๆเป่ารดต้นคออยู่ แขนหนักๆของเจ้าของห้องพาดเอวผมอยู่ ไหนบอกว่าชอบนอนกอดไอ้ตุ๊กตานั่นไง ผมขยับตัวเล็กน้อยเพราะอึดอัด แต่คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังกลับส่งเสียงประท้วง พร้อมกับกอดแน่นกว่าเดิมอีก คนนะไม่ใช่หมอนข้าง หายใจไม่ออกแล้วเนี่ย
“ภาคิน”ผมกระทุ้งอีกคนเบาๆ กอดอย่างเดียวไม่ว่า มาลูบๆคลำๆทำไมเนี่ย
“หือ?”มันกระซิบตอบ อ้าว ไม่ได้หลับหรอกเหรอ
“ขยับออกไปหน่อย หายใจไม่ค่อยออก ร้อนด้วย”ผมใจเต้นตึกๆ
“ร้อนเหรอ ไม่เห็นจะร้อนเลย”มันคลายแขนออก มือยังลูบๆคลำๆแถวท้องน้อยผมอยู่
“พรุ่งนี้มีนัดกับพี่นักข่าวที่ฉันรู้จัก ขอกำลังใจหน่อยสิ”เสียงนุ่มๆดังอยู่ใกล้ ๆ
“สู้ๆ”พึมพำตอบ รู้สึกถึงริมฝีปากของอีกคนที่แตะหลังคออย่างแผ่วเบา ส่วนฝามือไล้วนอยู่ตรงท้องน้อยช้าๆ ผมหายใจไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่มือนั้นจะเลื้อยลงไปยังจุดที่ไวต่อสัมผัส ผมเม้มปากแน่นพยายามกลั้นเสียงที่จะหลุดออกมา ภาคินขยับมาประกบจูบ พลิกตัวผมนอนหงาย ก่อนจะบดเบียดริมฝีปากเข้ามามากขึ้น จูบเน้นย้ำจนผมเปิดปากรับลิ้นของอีกฝ่ายที่พยายามรุกล้ำเข้ามา ฝามือเลื่อนขึ้นมาลูบตามแผ่นอก บดคลึงยอดอกซ้ำๆจนผมต้องเบียดตัวเข้าหาอีกฝ่าย ขยำชายเสื้ออีกคนไว้แน่น ภาคินขยับมาใช้ลิ้นลากวนที่ยอดอกผมแทน
“ฮื่อ...”ผมเขี่ยใบหูอีกฝ่ายเล่น ร้อนไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะจุดที่ภาคินสัมผัส ผมยันตัวเองมานั่ง โชคดีที่ค่อนข้างมืดทำให้ผมไม่อายเท่าที่ควร กางเกงขาสั้นถูกดึงออกด้วยความร่วมมือของผม
“เมฆ วันนี้แค่นี้ก่อนนะ”มันกระซิบใกล้ใบหู ผมเอาคางเกยไหล่ภาตินไว้ ใช้มือสัมผัสอีกฝ่าย มีเพียงเสียงครางเเผ่วเบาและเสียงหอบหายใจเท่านั้น ภาคินขยับมือเร็วขึ้นเมื่อผมจิกหลังมัน อีกมือก็ช่วยให้มันถึงฝั่งเร็วๆ เราะผมเองก็ใกล้จุดเดือดแล้ว ภาคินขบเม้มต้นคอผมแรงๆ ก่อนที่ทั้งผมทั้งมันจะปล่อยน้ำสีขุ่นออกมา
“อา...”ร่างสูงย้ำจูบผมอีกครั้ง จูบกันอยู่นานพอที่ผมจะหมดลม ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่พักหนึ่ง เป็นช่วงเวลาของความขัดเขิน เมื่อรู้สึกว่าขาผมเปื้อน ผมว่าคืนนี้ผมนอนไม่หลับแล้วแน่ๆ ดีนะที่ห้องมืด ไม่อย่างนั้นต้องอายมากกว่านี้แน่
…………………………………………………………………………………….
ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านจากรอยแยกของผ้าม่าน ผมพลิกตัวไปอีกฝั่ง พบว่าที่ข้างตัวผมว่างเปล่า ...มันตื่นเเล้วเหรอ ผมงัวเงียโผล่หน้าไปนอกห้อง ได้ยินเสียงกุกกักมาจากในครัว มันลุกมาทำข้าวเช้าเหรอเนี่ย ผมเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ ล้างเนื้อล้างตัว สังเกตเห็นจ้ำแดงจางๆที่ต้นคอ ผมใส่เสื้อของภาคินไปก่อน ตัวใหญ่ไปนิดนึงแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ผมเดินเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ครัว ภาคินกำลังทอดเบคอนกลิ่นหอมๆอยู่ อาหารเช้าแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ อือหื้อ รู้สึกชีวิตอัพเกรดขึ้นมากทีเดียว ผมมองขนมปังปิ้งที่ไหม้นิดหน่อย บนโต๊ะอาหารกระจกใส
“มอนิ่ง”อีกฝ่ายเดินมาจูบผมเร็วๆทีนึง ก่อนจะหันไปกลับเบคอนที่เริ่มส่งกลิ่นประท้วง
“เอ่อ มอนิ่ง ให้ช่วยไหม”ผมไม่อยากสบายเกินไป รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ ภาคินโบกมือปฏิเสธ
“ใกล้เสร็จแล้ว”ครู่หนึ่งภาคินก็ยกจานอาหารเช้ามาวางที่โต๊ะ หยิบทิชชูมาเช็ดหน้าด้วยท่าทีหงุดหงิด
“ให้ตาย หน้ามัน เมื่อคืนก่อนนอนฉันลืมทาครีม เพราะนายทำฉันตื่นเต้น เดี๋ยวมา”ภาคินหายไปเข้าห้องน้ำ ไปล้างหน้าทาครีมอีกรอบล่ะมั้ง มื้อเช้าผ่านไปเงียบๆ ผมแย่งไส้กรอกของมันมา ให้กินแค่นี้ไม่ถึงครึ่งท้องผมหรอก กลิ่นกาแฟหอมกลุ่นมาจากร่างสูงที่อิ่มเรียบร้อย กำลังจิบกาแฟมองผมอยู่
“ฉันนัดพี่นักข่าวไว้ที่ร้านกาแฟตรงข้ามกับคอนโด นายไปด้วยกันนะ ถือว่าฉันเปิดตัวนายผ่านสื่อครั้งแรกและที่เดียวด้วย จะได้หยุดข่าวลือโง่ๆนั่นสักที และก็ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันรู้จักกับพี่แต รับรองไว้ใจได้”
“...เอางั้นก็ได้”ผมตอบอย่างลังเล เอาเถอะ ถึงยังไงผมก็หนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ภาคินพาผมมารอที่จุดนัดพบ ไม่นานสาวร่างเล็กก็มาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร ท่าทีดูไม่มีพิษสงอะไร ผมยกมือไหว้ พี่เขาก็รับไหว้แทบไม่ทัน
“รอกันนานรึเปล่า จะสั่งอะไรไหม พี่เลี้ยงเอง”พี่แตหันมาถามผมกับภาคินที่ปฏิเสธไปเพราะทานมื้อเช้ามาแล้ว ก็เลยขอแค่น้ำเปล่าพอ
“เอาแบบเป็นทางการหน่อยนะ ขอถ่ายรูปคู่สักสองสามรูปนะ โอเค”ถ่ายไปหลายช็อต หน้าผมจะโทรมรึเปล่าไม่รู้ พี่แตก็ถามเข้าประเด็นเรื่องข่าวเจเจรุ่นน้องในค่าย มันก็ตอบเหมือนที่บอกกับผมว่าไม่ใช่เรื่องจริง
“ผมมีคนของผมแล้ว ข่าวพวกนั้นก็แค่ข่าวไร้สาระที่หวังจะทำลายผมให้จมดินก็เท่านั้นเอง”ภาคินยักไหล่ประกอบการพูด จากนั้นก็ถามผมบ้างนิดหน่อยเรื่องภาคิน จบการสัมภาษณ์ พี่แตก็อยู่คุยอีกพักใหญ่ส่วนมากก็เรื่องข่าวเมาท์ในวงการนั่นแหละ ผมได้รู้อะไรมานิดหน่อย พี่แตเป็นรุ่นพี่ที่จบจากคณะเดียวกันกับไอ้ภาคิน
“แล้วก็มีข่าวบ้าๆด้วยนะแก ว่ายัยลูกน้ำ คนที่แกเคยคบอยู่พักหนึ่งน่ะ จะมารีเทิร์นกับแก ตลกเวอร์ ถ้ามีข่าวอะไรหลุดออกมาเมฆไม่ต้องเชื่อหรอกนะ ข่าวมั่วๆทั้งนั้นแหละ”พี่แตหันมาพยักหน้าจริงจังกับผม เพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่าลูกน้ำนักร้องที่เคยดังอยู่พักหนึ่งเคยคบกับภาคินด้วย
“กับน้ำน่ะเหรอ ไม่ได้คบสักหน่อย ตอนนั้นค่ายให้ตีซี้ออกสื่อโปรโมทอัลบั้มเฉยๆ”ภาคินตอบเสียงขุ่น มีแบบนี้ด้วย
“อุ้ย จริงอ่ะ ก็ว่า อย่างลูกน้ำไม่ใช่สเป็คแกหรอก”พี่แตเหล่มามองผม
“เมฆ ก็หน้าตาใช้ได้อยู่นะ ขึ้นกล้องด้วย สนใจเป็นนายแบบไหม เงินดีนะ เดี๋ยวพี่ติดต่อให้”ผมรีบปฏิเสธทันที
“อย่างผมไม่เหมาะหรอก แห้งจะตาย”ผมยิ้มแห้งๆ
“แห้งตรงไหน ก็หุ่นดีนี่...”
“...”ผมชะงักไปนิดนึง พี่แตมองผมกับภาคินสลับไปมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ถ้าภาคินบอกมาอย่างนั้นก็คงจริงล่ะมั้ง มั่นใจในตัวเองหน่อยสิเมฆ เราก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร"
“เมฆมันหัวอ่อนจะตาย อยู่วงการนี้เดี้ยงพอดี”พี่แตไม่สนใจไอ้ภาคิน ยื่นนามบัตรให้ผม
“เผื่อไว้ เปลี่ยนใจก็โทรหาพี่นะ”ผมรับนามบัตรไว้ตามมารยาท
“แต่เมฆคงไม่สนงานพี่หรอกมั้ง มีงานน่าสนใจกว่ารออยู่นี่”
“อะไรเหรอครับ”ผมถามด้วยความอยากรู้ งานอะไรอีกล่ะ ภาคินเองก็เลิกคิ้วด้วยความสนใจ
“พอดี ได้ยินมาอีกทีน่ะ ว่าอยากได้คินกับเมฆเป็นพรีเซ็นเตอร์รถฟีโน่ด้วยกัน เห็นว่าจะทำเป็นหนังสั้นด้วยนะ”ผมแทบสำลักน้ำเปล่าที่กำลังกิน อะไรนะ พรีเซ็นเตอร์คู่ ภาคินเดาะลิ้น
“คราวนี้อัพเกรดมาเป็นรถแล้วเหรอ”มันหัวเราะขำๆ สงสัยจะยังไม่ลืมเรื่องหมวกกันน็อค
“เห็นว่าลูกสาวของเจ้าของอยากให้พวกเธอสองคนเท่านั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์น่ะ ยังไงก็จะรอดูนะ ไปก่อนดีกว่า คนเริ่มเยอะแล้ว โชคดีกันทั้งคู่เลยนะ”แล้วจากนั้นก็แยกย้ายกลับ
“คิดยังไง”จู่ๆ มันก็ถามผมที่กำลังอ่านนิตยสารเล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับภาคินเอาไว้ ผมเงยหน้ามองเจ้าตัวที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาเท้าแขนมองผมอยู่
“เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องที่พี่แตบอกไง นายว่าไง อยากทำไหม”ภาคินมองผมอย่างคาดหวัง ถ้าเรื่องที่พี่แตพูดเป็นเรื่องจริง มันก็ถือว่าเป็นการประกาศที่ชัดเจนเลยว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน ผมเองก็…ไม่รู้สิ
“ก็…ห้าสิบห้าสิบ”ผมกลับมาอ่านนิตยสารต่อ
“นายชอบเลี้ยงหมาเหรอ”ผมถามขึ้นมาอย่างสงสัย ดูๆไปแล้วมันไม่เห็นเหมือนคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์เลย
“เคยคิดว่าอยากเลี้ยงน่ะ ไอ้คอลัมน์นั่นโกหกทั้งแพ ฉันตอบไปให้ดูดีงั้นแหละ อยากรู้อะไรถามฉันสิ นั่งตัวเป็นๆอยู่นี่แล้วไง”ผมเหลือบมองภาคินที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม ก่อนจะก้มอ่านหาจุดที่จะถามมันอีกครั้ง
“มีแฟนมาแล้วกี่คน”ไม่มีอยู่ในคอลัมน์หรอก แค่อยากรู้เฉยๆ ภาคินทำหน้านึก …นานอยู่หลายนาที
“ตอบช้า หลายคนล่ะสิ”ภาคินส่ายหน้า
“ส่วนใหญ่ไม่มีคนที่ฉันคบจริงๆจังๆหรอก ไม่ถึงขั้นเรียกว่าแฟน”
“อืม”ผมพยักหน้าช้า ๆ
“แต่เดี๋ยวก็มีล่ะมั้ง”
“จริง...”ผมเบ้หน้า
“ไม่รู้สิ ต้องถามก่อนว่าอีกคนเขาจะยอมรึเปล่า ……เป็นไหม”มันหันมาสะกิด
“ยังอีกไกล”ผมหันหน้าหนีไปอีกทาง ในใจมีหลายเรื่องที่อยากถามมัน แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ก็ดูเหมือนจะก้าวก่ายเกินไป ....เอาไว้รอจังหวะดีๆมากกว่านี้ค่อยถามมันล่ะกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ