The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  36.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

33) 029-สู่ศึกสุดท้ายปริศนารานูนานุ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
029-สู่ศึกสุดท้ายปริศนารานูนานุ
 
 
 
         ท่ามกลางความพังพินาศของสถานที่ บุรุษชุดดำส่ายหัวเบาๆ เมื่อคงสติได้มือขวาก็ควานหาปืนและคว้ามันมาใส่ซองหนังข้างเอว สองขาได้ยันร่างยืน เขาปรายตาไปรอบๆก่อนปัดเนื้อปัดตัว ในม่านฝุ่นเขาเห็นภาพเลือนลางเป็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอ้าแขนในชุดขาว บุรุษชุดดำวิ่งซิกแซกไปพลางใช้ท่อนแขนป้องหัวกันเศษหินหล่นใส่ โดยหวังจะช่วยร่างนั้น 
         ทันทีที่เขาเข้าไปคว้าตัวสตรีร่างนั้น กลับคว้าได้เพียงอากาศ แม้ร่างของนางคงรูปมนุษย์หากแต่เป็นสิ่งโปร่งแสงในท่ายืนก้มหน้าหลับตาพริ้ม บุรุษชุดดำชักสีหน้าสงสัย ควานมือไปร่างนั้นอีกที แต่ผลลัพธ์คงเดิมไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้น จะว่าไปมันก็น่าแปลกเพราะเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน จึงคิดไปไกลถึงบางเรื่องที่ตนเคยรู้มา จากนั้นเขาเริ่มเดินวนรอบๆเพื่อสำรวจ   
        ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ชวนให้หนีตายเสียมากกว่าเพราะอยู่ต่อคงเท่งทึงเป็นแน่ บุรุษชุดดำตัดใจจากสตรีร่างบางแล้วมองหาทางหนีแต่ฝุ่นมันคลุ้งลบทางไปหมด เขาสุ่มเดา สาวเท้าวิ่งไปยังที่ๆที่จากมา ระหว่างทางหางตาเขาพบใครบางคนนั่งคอตกติดผนังทางด้านซ้าย ลักษณะเหมือนเป็นเด็กสวมชุดผ้าคลุมสีเทาทั่วร่างชโลมด้วยเลือด บุรุษชุดดำหาได้สนใจคงคิดว่ากลายเป็นศพไปแล้ว และกว่าจะฝ่าถึงที่หมาย เขาต้องหยุดชะงักไป
 
"นี่เราปลิวมาไกลถึงเพียงนี้เชียวรึ"บุรุษชุดดำพูดขณะยืนอยู่ริมผา สายตาจับจ้องไปยังช่องคล้ายหน้าต่างของอีกฟาก"ใช่สิ แล้วเด็กนั่นล่ะ"
 
       บุรุษชุดดำเปลี่ยนแผนทันทีก่อนเหลียวกลับหลัง มองดูการถล่มของเพดานที่ซึ่งไม่น่าจะสามารถไปต่อได้ เขายืนนิ่งอยู่แบบนั้น คงจะรอมันถล่มให้เสร็จกระมัง แต่แล้วเขาต้องดีใจและนึกหวั่น เมื่อใบหูได้ยินเสียงใครเรียกชื่อใคร
 
"คาลาเนส!! คาลาเนส!!.."
 
          ชื่อนี้ถูกเรียกซ้ำๆตลอดเวลาจากชายคนหนึ่งดังไปทุกทิศ บุรุษชุดดำนึกบางอย่างได้ พยายามวิ่งหาต้นเสียงที่เริ่มดังมาใกล้ ในบางส่วนของม่านฝุ่นมีสีจาง เขาเห็นชายคนหนึ่งในชุดเกราะนักรบแบบนิยมของจักรวรรดิลามิเรส ทรงผมไว้สั้นสีทอง ถือดาบเล่มโตและมีแผลเป็นรอยบากลากสั้นที่หางคิ้ว บุรุษชุดดำวิ่งตามไปจนคนนั้นต้องหันมองอย่างสงสัยและแปลกใจ
 
"คุณเป็นใคร?"
 
      ..เสียงของวิคเตอร์นั่นเอง 
         บุรุษชุดดำไม่ตอบคำถามหากถามกลับอย่างร้อนรน
 
"ทางออกของที่นี่อยู่ที่ไหน"
 
         วิคเตอร์ไม่ตอบด้วยคำพูด เขาชี้นิ้วไปทางที่จากมา อันมีม่านฝุ่นจางๆพอฝ่าไปได้ บุรุษชุดดำวิ่งไปได้สามสี่ก้าวแล้วต้องหันกลับมา
 
"ที่นี่ใกล้จะถล่มแล้วนะ"เขาตะโกน"อ่อ ฉันเห็นใครอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่รู้ใช่คนที่นายตามหารึป่าว"
 
         บุรุษชุดดำชี้นิ้วไปยังร่างนั้น พลางสงสัยกับคู่สนทนาตรงหน้าที่เหยียดมุมปากให้เล็กน้อย
 
"ขอบใจ"วิคเตอร์ว่าแล้วเร่งวิ่งฝ่าไป ไม่สบมองหรือคาใจอะไรกับบุรุษชุดดำที่ยังหยุดจ้อง
 
          ครั้นแล้ว เมื่อวิคเตอร์ไปถึง จึงพบเด็กชายนั่งคอตกร่างแดงฉาน
          เพียงห่างกันแค่ไม่กี่สิบก้าวขณะกำลังจะก้าวต่อหลังเสียงเรียกชื่อดังขึ้น
 
"คาลาเนส แข็งใจไว้ก่อนนะ!"
 
หินก้อนใหญ่จากเพดานเกิดหล่นลงโดยเขาไม่รู้ตัวถึงอันตราย บุรุษชุดดำเห็นแววความตายรีบกระโจนร่างพุ่งเข้าใส่ คว้าร่างวิคเตอร์ให้กลิ้งไปตามๆกัน
        หลังหินหล่นลง วิคเตอร์หันมองพลางเป่าลมปากเพื่อคลายความระทึก ทั้งสองในท่านอนทับกันรีบผละร่างออกพลันลุกยืน บุรุษชุดดำว่าด้วยใบหน้าจริงจังพร้อมผลักไหล่วิคเตอร์
 
"ตัดใจซะ! ที่นี่ใกล้ถล่มแล้ว ไปกันต่อเถอะ นาย.."
 
        ไม่ทันขาดคำ หินจากเพดานร่วงหล่นราวกับใบไม้ กั้นทางกั้นร่างคาลาเนสและวิคเตอร์ให้แยกออกจากกันอย่างน่าเสียดาย เกือบทั่วบริเวณเริ่มมีสิ่งกีดขวางหนาสูง เวลาหนีตายเหลือน้อยนิด โอกาสช่วยเหลือเด็กชายดับสูญไปโดยปริยาย
         วิคเตอร์กัดฟันมองไปยังกองหินดั่งกำแพง พลันออกตัววิ่งหมายจะช่วยคาลาเนสให้ได้ แต่ไม่เป็นผล หนุ่มนักรบถูกกระชากแขนไว้จนร่างแทบปลิวลอย เขาเลื่อนหน้ามามองผู้กระทำอย่างฉุนเฉียวที่พยายามฉุดแขนตนให้หนีไปด้วยกัน แต่วิคเตอร์เลือกทำตามใจตน ยื้อมือสู้แรงกับบุรุษชุดดำหวังจะสลัดออกให้พ้น
 
"ปล่อยนะเฟ้ย!! ฉันสัญญากับเพื่อนฉันแล้ว ว่าจะช่วยหมอนั่นให้ได้"วิคเตอร์หันไปกระชากคอเสื้อพลางปล้ำกันไปมา"คุณรู้จักคำว่าเพื่อนรึป่าว!!"
 
         เมื่อฟังแล้ว บุรุษชุดดำไม่ได้สนใจแม้แต่เสี้ยวความรู้สึกยังคงใบหน้าขึงขัง จังหวะนั้นเอง ทั้งสองเกิดการวัดกำลังกล้ามเนื้อกันขึ้น จนท้ายสุดยังไม่ทันเหนื่อย แรงชายชุดดำนั้นมหาศาลกว่า เขาฟาดร่างวิคเตอร์กระแทกลงกับพื้นดังแอ่ก ก่อนอ้าขาทรุดเข่าเข้าคร่อมตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกระชากคอเสื้อดึงหน้าหนุ่มนักรบเข้ามาใกล้ๆ
 
"นายรู้อะไรไหม! ที่นี่มีสนามพลังแห่งความมืด! "เขาตะคอก"ถ้าอยากตายก็เชิญ!!" ว่าเสร็จบุรุษชุดดำก็ผลักวิคเตอร์ออกโดยไม่ใยดี ปล่อยให้หนุ่มนักรบต้องนอนคิด
 
        การที่ฝ่าเข้ามาในพื้นที่นี้อีกครั้งย่อมหมายถึงชีวิตของตนเองด้วย ..จะยอมทิ้งสัญญาแล้วยอมตาย หรือจะยอมทิ้งสัญญาแล้วไปต่อ 2สิ่งนี้วิคเตอร์ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
        ในตอนนั้นบุรุษชุดดำไม่ได้หนีเอาตัวรอดไปคนเดียว หากใช้ปืนยิงสกัดหินชิ้นใหญ่ให้กลายเป็นผง วิคเตอร์สะบัดหน้าปราดๆเมื่อตัดสินใจได้ก่อนใช้ฝ่ามือลูบตาม เขาพรวดร่างลุกยืน วิ่งตรงสู่ทางออกที่ต่างไปจากตอนที่กลับเข้ามาใหม่
 
"ตามฉันมา!!"หนุ่มนักรบเปล่งเสียงขณะวิ่งเลยบุรุษชุดดำไป
 
        ระหว่างทางบุรุษชุดดำวิ่งตามหลังติดชิด วิคเตอร์ไม่ได้คิดถึงเรื่องเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องคำสัญญาที่ว่าจะช่วยคาลาเนสกลับมาให้ได้ไว้กับทุกคน
 
'ขอโทษด้วยคาลาเนส ขอโทษด้วยทุกคน'
 
        เขารู้สึกละอายที่คิดไปแบบนั้น ไหนจะต้องเผชิญกับพ้องพวกอีกไม่นานนี้ จะทำสีหน้าและต้องมีคำพูดแบบไหนดีพอจะทำให้ทุกคนเข้าใจ ลูกผู้ชายต้องกล้ายอมรับความจริงสิ!
 
        ..วิคเตอร์สีหน้าดูเป็นกังวล ซึ่งสุดท้ายก็รอดมาได้อย่างทรหด โผล่ออกอีกที่หนึ่ง เป็นทางลาดชันขึ้น มีต้นเซครายล้อมทั้งสองข้างทางรับกับแสงยามสาย บุรุษชุดดำยกหมวกขึ้นจากหัว สะบัดผมไล่เหงื่อและความร้อนก่อนสวมมันคืน ที่ปลายสุดของสายตา กลุ่มกิเรเร่นั่งกันอยู่เรียงรายในบรรยายอึมครึม
 
        บุรุษชุดดำและวิคเตอร์เดินกันต่อไปได้ชั่วครู่ เกิดเสียงโครมครามขนานใหญ่ลั่นไล่หลังพวกเขา ทั้งสองชะลอเท้า ขมวดคิ้วหันกลับไปมอง มวลฝุ่นพัดพุ่งตามแรงลมออกจากปากทางลาดราวกับระเบิดหลายถังแตกฮือ บุรุษชุดดำเบือนหน้าหนีพลางใช้มือปิดจมูกและใช้มืออีกข้างยันลม แต่วิคเตอร์กลับยืนนิ่งรับการท้าทาย
        ชั่วครู่ผ่านไป ทุกอย่างเงียบสงบ วิคเตอร์หันกลับและเดินต่อไปอย่างแช่มช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บุรุษชุดดำเห็นสีหน้าเช่นนั้น ได้แต่นิ่งงันไม่กล้าเอ่ยปากถามขณะเดินเคียงข้างกันไป กระทั่ง..
 
"รอดแล้วหนิ คุณจะตามผมไปถึงไหน"วิคเตอร์เอ่ยปากเหลียวมา บุรุษชุดดำเหมือนเหม่อลอย
 
"ห้ะๆ อ่อ คือ ฉันอยากเจอสาวน้อยคนนั้นอีกครั้งหนึ่งน่ะ"เขาบอก
 
"ใคร"
 
"เด็กผู้หญิงผมดำตาสีฟ้าไง"
 
"เธอชื่อ"เนเน๊ะ" อีกเดี๋ยวก็ได้เจอแล้วล่ะ"เสียงวิคเตอร์ตอบเรียบตามใบหน้า
"นั่นไง"หนุ่มนักรบเพยิดหน้าไป
 
        จนทั้งสองเดินเข้ามารวมกลุ่ม บรรยากาศแห่งความโศกแผ่เข้มข้น บุรุษชุดดำรับรู้ด้วยการคาดเดาก่อนเดินเลาะเลี่ยงไปทางอื่น สายตาหลายคู่จับจ้องวิคเตอร์เสียมากกว่าผู้มาใหม่ พลันได้คำตอบโดยการเดาที่เห็นด้วยอารมณ์และใบหน้ารู้สึกผิด รู้ว่าเขาไม่สามารถนำร่างคาลาเนสออกมาได้ ไม่มีใครอยากเอ่ยถาม คงเพราะไม่ต้องการให้วิคเตอร์หนักใจ
 
"คาลาเนสล่ะ"เนเน๊ะสะอื้นสบมองชายนักรบทั้งน้ำตา"คาลาเนสล่ะ คาลาเนสล่ะ ฮือๆๆ"
 
"ฉันเสียใจ"วิคเตอร์เบนหน้ามองพื้น"ฉันขอโทษด้วย"
 
        เพียล่าเห็นท่าเช่นนั้นจึงเงียบกริบ รู้ว่าวิคเตอร์ทำถึงที่สุดแล้วในฐานะผู้เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน ทุกคนก็เช่นกันพลอยเข้าใจแบบนั้น แต่สาวน้อยยังฟูมฟายไปเรื่อยถามถึงแต่คาลาเนสพลางเข้าซบอ้อมอกเพียล่า มือจากวูดตันและโอ'เกนท์เลื่อนมาลูบผมดำขลับดั่งคำปลอบ
        ส่วนบุรุษชุดดำยังเดินสำรวจโน่นนี่นั่นห่างจากกลุ่ม พลางควักบางอย่างออกมาเชยชมแม้เขาจะอยากพูดกับเนเน๊ะก็ตามที แต่ตอนนี้ต้องอดใจไว้เพราะสาวน้อยยังร้องไห้เสียใจในอ้อมกอดเพียล่า
 
"ว่าแต่ใครน่ะ คนนั้น"ชาร์ลผายมือถามกับวิคเตอร์ ที่เดินหันหลังละไปไกลไม่ตอบคำถาม
 
         หนุ่มมาดผู้ดีเห็นท่าทีแบบนั้น คงเข้าใจโดยง่ายเลยไม่อยากเซ้าซี้ ด้วยความสงสัยและอยากถามไถ่ หลายคนเดินไปหาบุรุษชุดดำ เพราะสิ่งที่น่าสนใจเรืองแสงอยู่บนมือเขารวมทั้งตัวเขาด้วย
 
"สวัสดีครับ คุณ.. ชื่ออะไร"ชาร์ลถามด้วยความสุภาพขณะเขาหันหลังให้ก่อนหันมา สายตาคนในกลุ่มก้มมองสิ่งนั้นมากกว่าใบหน้าบุรุษชุดดำ
 
"ฉัน ชื่อ โอราฟ แมคอาร์เธอร์"บุรุษชุดดำตอบเสียงเรียบ ควานสายตาสำรวจมองทุกคนที่เข้าหาอย่างคาดคิด จนทุกคนต้องสบมองใบหน้าชายวัยกลางคนตรงหน้า
 
        จากนั้น บทสนทนาการแนะนำตัวก็เริ่มขึ้นอย่างเงียบเชียบไร้รอยยิ้มชื่นมื่น ส่วนเพียล่ากับเนเน๊ะแล้วก็วิคเตอร์ที่อยู่ไกลออกไปไม่ได้มาด้วยนั้น มันไม่ใช่ปัญหาหากชาร์ลบอกชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาให้แล้ว 
        บุรุษชุดดำพยักหน้าเข้าใจพลางเหล่ตาไปจุดนั้น ก่อนหันมาทางชาร์ล
 
"พวกนายมาทำอะไรกันที่นี่"
 
"เราแค่บังเอิญผ่านทางมาน่ะ แล้วก็หลงอยู่ในนี้"ชาร์ลตอบอย่างถ่อมตน ก่อนก้มหน้าลง"แต่แย่หน่อยพวกเราเสียพวกไปหนึ่งคน"
 
         โอราฟขมวดคิ้วพยักหน้าหงึกๆ เลื่อนมือเก็บสิ่งที่เรืองแสงลงกระเป๋าเสื้อโค้ตดำแวว
 
"ฉันเสียใจด้วย"เขาตบไหล่ชาร์ลเบาๆ"ส่วนฉันมาที่นี่เพื่อตามหาแกนแห่งความน่ากลัวสีหม่นน่ะ"
 
"คุณว่าไงนะ!!"ชาร์ลอุทานเบาๆทำหน้าสงสัยพร้อมขยับเท้าเข้าใกล้ไปอีก ทุกคนได้ฟังพลอยเอะใจไปด้วย"แกนแห่งความน่ากลัวสีหม่นน่ะ"
       ..แม้กระนั้น แต่ยังคงงงกันอยู่ดี
 
"อ่อ ฉันหมายถึงแกนแห่งความมืดน่ะ"โอราฟกอดอก สายตามองหาบางอย่างที่ไกลออกไป"ฉันสัมผัสได้ว่าต้องมี มีแบบชนิดที่ยิ่งใหญ่เลยล่ะ"
 
        ต่อมา ชาร์ลจึงถามต่ออย่างซักไซ้จริงจังจนได้ใจความสำคัญ ส่วนบุรุษชุดดำตอบอย่างหมดเปลือกแบบจริงใจ ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายเริ่มเข้าขั้นไว้ใจกันได้
       การตอบคำถามของโอราฟ สามารถสร้างความตื่นเต้นและน่าสนใจได้มากมาย ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลใหม่สำหรับกลุ่มกิเรเร่ หากจะให้บุรุษชุดดำอธิบายทั้งหมดสามวันคงไม่จบแน่ โอ'เกนท์นึกเห็นชอบพลันขวักมือเรียกให้ทุกคนที่เหลือตามมารับฟัง โดยมีชาร์ลตะโกนเรียกสำทับอีกที
 
"ทุกคนมาที่นี่กันก่อน ชายคนนี้จะพาเราออกจากที่นี่!!"
 
        เพียล่าลุกยืนพร้อมจับมือเนเน๊ะ จูงกันเดินมาได้สามสี่ก้าวจึงหยุด สาวนักรบหันไปเรียกวิคเตอร์ที่กำลังลังเลว่าจะมา ท่าทีเพียล่าดูรบเร้าทรมานใจเหลือ สุดท้ายวิคเตอร์ทนไม่ไหว ต้องยอมตามมาโดยดี
         ครั้นแล้ว ทั้งสามผู้มาใหม่ได้แนะนำตัวต่อโอราฟผู้ซึ่งมีอายุราว40ต้นๆ บุรุษชุดดำหาได้ถือตัวหากยังเลื่อนมือล้วงลงกระเป๋าเสื้อ หยิบสิ่งหนึ่งที่เรืองแสงขึ้นมาพร้อมบอกว่า..
 
"ฉันมีเมจิกไซท์"โอราฟเลื่อนมือมาทางชาร์ล"ฉันให้"
 
       ซึ่งนั่นเองคือสิ่งที่เป็นประกันได้ว่า เขาไว้ใจได้ ชาร์ลยื่นมือรับไว้แล้วหยิบลาบราโดไลท์ออกมาอวดบ้าง ทำให้ตื่นเต้นกันขึ้นไปอีก
       ส่วนเนเน๊ะสลัดความเศร้าไปทันที ทิ้งแต่คราบน้ำตาไว้ จ้องมองหิน2ก้อนนั้นสลับไปมาด้วยความงุนงงก่อนล้วงมือลงกระเป๋า กำบางอย่างออกมา ชาร์ลและทุกคนเห็นแสงเล็ดลอดจากง่ามนิ้วในมือบางต้องนึกสงสัยไปเดี๋ยวนั้น ขณะยังไม่มีใครใคร่ขอดูหากเนเน๊ะเป็นคนคลายมือนั้นเอง ชาร์ลถึงกับอุทานลั่นเสียงหลง
 
"มูนสโตน!! บลัดสโตน!! ซันสโตน!! แบล็คทัวร์มาลีน!!"
 
        สาวน้อยตกใจสั่นสะดุ้ง หิน4ก้อนไหลจากฝ่ามือตกลงพื้นก่อนก้มลงไปเก็บ สีหน้าเหวอหวาเผยออก เมื่อหลายคนมองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายและหมายจะแย่งกันกอดเสียให้ได้ ทว่าเพียล่าย่างกายมาขวางได้ก่อน 
        เนเน๊ะเข้าใจว่ามันสำคัญ เธอใช้มืออีกข้างหยิบมือของชาร์ลเข้าหา ฝ่ามือน้อยๆค่อยๆเทลงบนฝ่ามือใหญ่ของหนุ่มมาดผู้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ชาร์ลรับมันมาด้วยดวงตาลุกแวว แต่วิคเตอร์หรี่ตามอง กระตุกมุมปากคล้ายแฝงเลศนัยโดยไม่มีใครสังเกตเห็น 
        แสงระยิบระยับเปล่งประกายบนฝ่ามือทั้งสองของชาร์ล โอราฟยิ้มอย่างยินดี พลันเหลียวมองหน้ากัน
 
"แล้วเนธาเนียร์เซไลท์ล่ะ จะหาได้จากไหน"ชาร์ลเหลือบตามองโอราฟ
 
"คงต้องไปต่อน่ะ"บุรุษชุดดำตอบแบบหนักใจ"เฮ่อ.."
 
"แต่ว่าเราควรพักกันก่อนนะ"เพียล่าเสนอ พยุงเนเน๊ะไว้ไม่ให้ล้ม
 
"นั่นสิ นี่ก็เหนื่อยกันมานานแล้วด้วย"วูดตันพูดแล้วก็หาวหวอด
 
        ความเงียบเข้าคลุม หลายคนเริ่มคิดกันอย่างชั่งใจ สบมองสภาพร่างกายและสีหน้ากันไปมา คำตอบที่ได้คือ..
 
"เอาล่ะ หยุดการเดินทางไว้ก่อนนะ"ชาร์ลยกท่อนแขนขึ้นปาดเหงื่อ เก็บหินทั้งหมดใส่กระเป๋า"พักกันที่นี่เถอะ"
 
       ไม่มีเสียงใดๆตอบรับ ทุกคนพยักหน้าให้กันก่อนแยกย้ายไปหามุมส่วนตัวเพื่อพักผ่อน ครั้งชาร์ลจะปลีกตัวไปนอนตามคนอื่นๆ กลับถูกฉุดแขนไว้ด้วยมือของโอราฟให้หันมา..
 
"ฉันรู้จักเผ่ากูจิตนหนึ่งน่ะ เขาพูดภาษาเราได้และก็อาศัยอยู่ในบ้านต้นเซค ซึ่งเป็นที่พลางตามากๆ"โอราฟเดินไปหยุด หันหน้าเข้าทางแสงตะวัน ยกมือติดคิ้วหรี่ตามองออกไปพร้อมโยกร่าง"น่าจาาา.. อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนะ ฉันว่าเขาน่าจะช่วยเราเรื่องอาหารได้น่ะ"
       บุรุษชุดดำว่าแล้ว เหลือบมองมาทางชาร์ลที่ละล้าละลังซึ่งกำลังจ้องมองไปทางโอ'เกนท์ หนุ่มมาดผู้ดีเข้าใจโดยเร็วว่าเสบียงคงร่อยหรอ พร้อมเห็นทุกคนเริ่มผล็อยหลับแบบไม่สนใจอะไรกันแล้ว ก่อนหันมาทางโอราฟ
 
"นายไหวไหม"บุรุษชุดดำถาม"เผื่อบางทีเราอาจเจอเนธาเนียร์เซไลท์ก็ได้นะ"
 
"ไหวครับ"ชาร์ลตอบเสียงแน่น
 
        หลายคนในกลุ่มนอนหลับกันอย่างเป็นตาย โอ'เกนท์นอนกรนคร่อกๆฟี่.. ส่วนเนเน๊ะหลับละเมอยกแขนลอยๆและตกไปราวกับว่าเธอฝันถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ชาร์ลทอดสายตาไปทั่วรู้สึกคลายกังวล เมื่อเพียล่าร่ายอาคมบางอย่างคล้ายบาเรียสีใสล้อมวงให้พวกพ้อง
 
"ฝันดีล่ะ"ชาร์ลพูดเบาๆ ยิ้มเล็กน้อย ก่อนหันไปทางลาดที่จากมา"นายก็ด้วยคาลาเนส"
        โอราฟส่อแววตาพราวประกายหันตามไป..
 
"ไปกันเถอะ"ชาร์ลหันกลับมาว่า
 
       ทั้งสองจากไปกันอย่างเงียบๆ เงียบจนไม่เกิดเสียงเท้ากระทบพื้นรบกวนผู้ใด ทว่า ใครคนหนึ่งกลับโผล่หัวขึ้นมามองพวกเขาอย่างลับๆ
 
"สองคนนั้นจะไปไหนกันนะ"
 
        เสียงวิคเตอร์นั่นเอง เขาพูดแล้วโน้มหัวลงนอนต่อแต่ไม่หลับตา เหตุด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งเป็นความลำบากใจ สายจนเที่ยงเขายังคงครุ่นคิดว่าจะทำตนให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง.. ไม่ช้า เขาต้องดับความคิดลงเมื่อสมองและร่างกายอ่อนล้าเกินรับไหวจนจมเข้าสู่นิทรา
 
       เวลาล่วงเลยเข้ายามเย็นค่อนค่ำแสงสุดท้ายเริ่มหรี่จาง โอราฟและชาร์ลกลับมาถึงที่พัก พร้อมอาหารจำนวนมากมายหอบมาแทบไม่ไหวก่อนวางลงหลังเข้าสู่เขตอาคมพร้อมทรุดนั่ง ปาดเหงื่อแต่ยิ้มด้วยปิติ 
       แม้กระนั้น ทุกคนยังหลับปุ๋ยไร้แววว่าจะตื่นด้วยบรรยากาศเย็นสบาย ชาร์ลเองก็ล้าเต็มกลืน โอนเอนกายนอนลงไปซะดื้อๆ โอราฟเห็นทีจึงสกิดด้วยมือแต่สายตาลอบเห็นแสงวาบๆ ลอดออกจากกระเป๋าเสื้อสเวทเตอร์ของหนุ่มมาดผู้ดีที่ไร้การตอบสนอง บุรุษชุดดำเลื่อนมือไปอีกครั้งหวังจะสกิดอีกที
 
"คิดจะขโมยรึไง"
 
       เสียงกร้าวแข็งนี้ถึงกับทำให้โอราฟชะงัก หันมองหาที่มาทันทีและก็เจอจนได้ เจ้าของเสียงยันกายลุกเร็ว เร่งเดินมานั่งตรงข้ามกับเขาที่เหลือบมองอย่างงงๆ
 
"อะไรคือแกนแห่งความมืด"วิคเตอร์ถามขณะหยิบถุงใบใหญ่มาค้นอาหาร เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาชูมันขึ้นต่อหน้าโอราฟก่อนกัดกิน"ขอบคุณนะสำหรับพวกนี้"
 
"อ่า ไม่เป็นไร แกนแห่งความมืดจริงๆแล้ว มันก็คล้ายๆเสาหลักในคืนแห่งความมืด เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหลากหลายรูปธรรมหรือบางทีอาจเป็นนามธรรม ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ อสูร จิตใต้สำนึก จิตสะท้อน จิตที่ส่งผลลบ หรือแม้แต่บางทีอาจเป็นแรงอธิฐานของใครบางคนบ้างก็ได้"โอราฟอธิบายอย่างช่ำชอง ก่อนยกมือขึ้นสะบัดๆหลังวิคเตอร์ยื่นอาหารมาให้"ไม่เป็นไรๆฉันกินมาแล้ว"
 
และด้วยความไม่อยากเชื่อ เสียงวิคเตอร์ลั่นถามต่อ"แล้วทำไมเราต้องทำลายมันด้วย"หนุ่มนักรบขบเคี้ยวตุ้ยๆพูดไม่เต็มปาก"ทำลายมันแล้วจะมีผลอะไร แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ามันใช่แกนแห่งความมืด"
        โอราฟได้ฟังแล้วทำสีหน้าหนักใจ เบนสายตาควานหาดาวบนฟ้า
 
"ฉันเองเจนโลกมาก็หลายปี ผ่านอะไรมาก็มาก ถ้าตอบไปนายจะเชื่อไหม"เขาหันกลับมองวิคเตอร์ หัวเราะในลำคอ"ไง พ่อหนุ่มจะฟังต่อไหมล่ะ"
 
"ฟัง"
 
        เสียงตอบนี้ไม่ใช่วิคเตอร์ แต่เป็นเพียล่าที่นอนแอบฟังมานานแล้ว ทั้งสองหันขวับ จ้องเธอกำลังเดินมานั่งล้อมวงอีกคน
 
"อธิบายมาเลย ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก"สาวนักรบว่า พลางเอื้อมมือหยิบอาหารจากวิคเตอร์
 
"นี่ถามจริง พวกนายออกเดินทางแสวงหาความรู้เกี่ยวกับคืนแห่งความมืด โดยที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเนี่ยนะ ฮ่าๆ ฉันคงต้องถามพวกนายใหม่แล้วล่ะว่า มาทำอะไรกันที่นี่แน่ ฮ่าๆ"โอราฟส่ายหน้า
 
"มันน่าขำตรงไหน"เพียเลิกคิ้วถามขณะเคี้ยวอาหาร
 
"ดูจากใบหน้าแต่ล่ะคนละ ฉันว่าพวกนายคงเพิ่งเริ่มผจญโลกสินะ"โอราฟพยายามห้ามเสียงหัวเราะจนหยุดลง"แต่ไม่เป็นไร ฉันจะบอกให้ก็ได้นะ ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะเมื่อก่อนฉันเองก็ไม่ได้เดินทางคนเดียวหรอก"
 
         บุรุษชุดดำเงยหน้ามองฟ้า ดวงตาสื่อความอย่างเศร้าๆและเงียบไปนานน่าฉงน เพียล่าและวิคเตอร์มองตามพลางคิดสงสัยว่าเขาจะมองมันเพื่ออะไรหรือนึกถึงใคร หรือว่านี่ เป็นสัญชาตญาณ ลางสังหรณ์ ลางบอกเหตุหรืออะไรสักอย่างที่เขาสัมผัสได้ แม้กระนั้น คงไม่ได้คำตอบหากไม่มีคำถาม 
 
"บนฟ้านั่นมีอะไร"วิคเตอร์ถามขณะฟ้าสีดำเริ่มไล่ฟ้าสีม่วงที่ขอบปลาย
 
"สำรวจลางมรณะน่ะ"เขาให้คำตอบพร้อมลุกยืน ก่อนหลุบตาพลางนั่งลง"คืนนี้น่าจะปกติ เมื่อกี้.. ถึงไหนแล้วนะ"
 
"ถึงตอนที่ผมถามต่อไงเล่า!"วิคเตอร์ตวาดเสียง ถุยบางอย่างออกจากปากคล้ายเศษกระดูกลงพื้น
 
"อ่อ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรคือแกนแห่งความมืด นั่นก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าสิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่จริงบนแซนเดอร่า หากสังเกตให้ดีๆ หลังทุกครั้งที่ความน่ากลัวสีหม่นอุบัติ มันจะทิ้งอะไรๆหลายอย่างไว้ เช่น อสูรหน้าตาแปลกประหลาด สสารบางอย่างที่หาคำตอบไม่ได้หรือไม่เคยมีบันทึกไว้ เรื่อยไปจนกระทั่งแม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้คือผลพวงของความน่ากลัวสีหม่น ส่วนเรื่องที่เราต้องทำลายมันก็คงเพราะ หากปล่อยไว้มันจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นล้างเผ่าพันธุ์ ก็.. อย่างเช่นที่เมืองป้อมปราการเซลสิอุสไงล่ะ"โอราฟพยักหน้าให้วิคเตอร์และเพียล่าคล้อยตาม
 
"อ่า ฉันรู้แล้วล่ะเรื่องนั้น"เพียล่าสบมองกับหนุ่มนักรบเป็นเชิงว่าเขาไม่ได้โกหก
 
"ใช่ นั่นแหละคือผลพวงของความน่ากลัวสีหม่น ส่วนแกนแห่งความมืดตรงนั้น ฉันยังไม่ได้ไปสำรวจ น่าจะมีอะไรสักอย่างที่เป็นแกน"โอราฟถอยลมหายใจ" แต่ที่นี่สิ ฉันรู้สึกได้ว่ามันมีทั้งสนามพลังและมีแกนแห่งความมืด ชนิดที่เข้มข้นเชียวล่ะ แล้วก็ปริศนารานูนานุอะไรนั่นอาจมีอะไรซ่อนอยู่ก็เป็นได้"บุรุษชุดดำว่าพลางเบิกตาทำหน้าลึกลับ"ที่สำคัญ ที่นี่ไม่ได้แค่ฉันหรือพวกนายหรอกนะที่หลงมา อาจมีอีกหลายกลุ่มยังวนเวียนอยู่ในเขตกูกู"
 
"อื้ม ฉันจะจดจำไว้"เพียล่ารับห้วนๆ ลุกไปปลุกทุกคน
 
วิคเตอร์มองตามไปก่อนหันกลับ"แล้ว.. ถ้าเรากำจัดมันหมดแล้วล่ะ"เขาจ้องตาโอราฟ"อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น"
 
"ไม่ ไม่หมดหรอก ฉันเองยังไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีที่ฉันเลือกจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามทำมันต่อไปเรื่อยๆ แม้น้อยนิดมันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยใช่ไหมล่ะ"รอยยิ้มจากบุรุษชุดดำส่งมาแบบแห้งๆ วิคเตอร์ผงกหัวแสยะยิ้มคืน"อันดับแรกเราทั้งหมดจะต้องหาวิธีออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน"
 
         ขณะโอราฟกับวิคเตอร์สนทนากันแบบถูกคออยู่นั้น สมาชิกกลุ่มเริ่มทยอยตื่นกันขึ้นมาบ้าง โอ'เกนท์ทำหน้าที่ก่อไฟเช่นเคย ไม่ช้าทั้งหมดได้ขยับร่างมานั่งล้อมกองไฟ 
         ในคืนนี้บรรยากาศดูอึมครึม สายลมลับหายไปกิ่งใบต้นเซคดูหงอยเหงา เนเน๊ะทำหน้าหน่ายยังออกอาการซึม ดวงตาฟ้าใสไม่เข้าใจกับการจากไปของเพื่อน เธอเริ่มสับสนและงุนงงอีกครั้งพลางตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ ถ้าเราคือผู้ที่ถูกเลือก แล้วทำไมเราถึงปกป้องใครไม่ได้ ทำไมต้องมีใครตายเพื่อเรา การเดินทางครั้งนี้จะไปสิ้นสุดตรงไหน นี่เรากำลังอ่อนแออยู่ใช่ไหม  ฯลฯ
        ความคิดตัดพ้อหลากหลายของเนเน๊ะ พวยพุ่งราวกับห่ากระสุนทำให้ดูท้อแท้ เธอไม่หยิบอาหารขึ้นมากินหากสองมือนั้นเลื่อนกุมขมับพร้อมก้มหัวลง สาวน้อยพยายามไล่ความคิดผิดโทษของตัวเองออกไป แล้วปลอบใจตัวเองว่า'เราต้องแข็งแกร่ง'
 
"เราต้องแข็งแกร่ง!!!!"
 
        คำนี้หลุดจากปากเนเน๊ะดังลั่น สายตาทั้งหมดเบนมาพลันคิดได้ว่าเธอยังคงเสียใจเรื่องคาลาเนสอยู่เป็นแน่ เพียล่าที่นั่งใกล้กัน  สาวมือเข้าโอบไหล่สาวน้อยพร้อมกระซิบคำปลอบก่อนเชื้อเชิญให้ทานอาหาร เนเน๊ะฝืนใจทำตามกัดกินไปทั้งน้ำตา แต่ในใจยังคิดว่า'เราต้องแข็งแกร่ง'
        คณะเดินทางทานมื้อเย็นเสร็จ ชาร์ลจึงเริ่มประชุมการเดินทางอีกครั้ง เพียงใช้เวลาไม่นานผลสรุปก็ออกมาว่า ในวันพรุ่งนี้ ต้องตามหาเนธาเนียร์เซไลท์ให้เจอกับหาทางออกเขตกูกูไปพลาง ทุกคนพยักหน้ารับทราบก่อนแยกย้ายหาที่ยืดแข้งยืดขา เพื่อเตรียมตัวนอนกันอีกรอบ
          ชาร์ลปลีกตัวไปไกล ใช้สายตาส่องฟ้าแลมวลเมฆ จับทิศทางสายลมที่เคลื่อนที่มาอ่อนๆ จ้องดูกลุ่มดาวจ้องความเข้มของแสงจันทร์ในคืนเดือนเสี้ยว ทั้งยังคิดถึงเรื่องเซเรร่าอีกด้วยจนใบหน้าดูเคร่งเกร็ง
 
"คิดอะไรอยู่"เสียงโอราฟทักมาจากด้านหลัง หนุ่มมาดผู้ดีหันมา
 
"ปะ เปล่าน่ะ"
 
       ชาร์ลตอบแล้ว หันกลับมองฟ้าอีกครั้งในท่ากอดอก โดยมีโอราฟยืนเคียงข้างกำลังล้วงแท่งทรงกลมสีน้ำตาลมวนใหญ่จากกระเป๋าเสื้อ ออกมาคาบไว้ที่ปากและล้วงมือลงอีกครั้งหยิบกล่องสี่เหลี่ยมสีเงินเล็กๆขึ้นมา
 
"แช็ก"
เสียงสั้นๆดังขึ้น ชาร์ลเห็นโอราฟใช้มือป้องลม ก้มหน้าใช้เรียวปากยื่นปลายแท่งทรงกลมจ่อเปลวไฟแล้วสูดซื้ด ก่อนพ่นออกเป็นควันฉุยโชยหอมกลิ่มใบยา เขายิ้มให้ชาร์ลเมื่อเงยหน้าขึ้น
 
"สักหน่อยไหม"เขาใช้นิ้วคีบบุหรี่มวนโตยื่นมาให้ ชาร์ลยิ้มส่ายหน้าตอบปฏิเสธ"นายกังวลเรื่องเนธาเนียร์เซไลท์ใช่ไหม"
 
         ชาร์ลพยักหน้าแช่มช้า ใบหน้าดูหนักใจ จากนั้น ทั้งสองได้เริ่มคุยกันถึงเรื่องของแผนการ การตามหาหินและเรื่องต่างๆทั่วไป ทั้งสุขบ้างทุกข์บ้างจนรู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีอะไรคล้ายๆกันหลายอย่าง
         เวลาเกือบค่อนคืนหลายคนหลับฝันกันไปก่อนแล้ว ทั้งชาร์ลและโอราฟเห็นสมควรจึงแยกย้ายกันไปนอนบ้าง
        ไม่นานชาร์ลผล็อยหลับไป แต่โอราฟยังนอนเบิกตาค้าง มือที่ว่างเปล่าได้ควักปืนออกมาเช็ดทำความสะอาด ทำท่าเล็งเพื่อทดสอบวิถีกระสุนก่อนลั่นไกดังแก็ก เมื่อเป็นที่แล้วเสร็จ เขาเบ้ปากพยักหน้าพอใจและนำกระสุนมาบรรจุไว้ เอนกายลงนอนพร้อมกอดมันไว้ทั้งแบบนั้น..
 
        รุ่งอรุณฉายยังปลายฟ้า แสงแรกเริ่มย่างเยือน วันใหม่นี้ต่างออกไปจากทุกที เสียงกระหน่ำสนั่นพื้นดังอึกทึกปลุกทุกคนให้หลุดจากนิทราพลันมองซ้ายมองขวาล่อกแล่กก่อนลุกยืนขึ้นจับมั่นที่อาวุธ ทว่า เนเน๊ะตื่นก่อนเสียงสนั่นจะคุกคามโสตประสาท เธอยืนอยู่ไกลจากกลุ่มโดยหันหลังให้และตั้งมั่นขวางทางสิ่งที่กำลังใกล้มา มือขวาเลื่อนลงกุมด้ามมีดไว้แน่น นัยน์ตาฟ้าใสแข็งกร้าวจ้องมองทางไม่กะพริบราวกับปีศาจซุ่มสังหารเหยื่อ ความแค้นระอุขึ้นในจิตใจเมื่อภาพคาลาเนสวนเวียนในหัว 
        หนทางข้างหน้า สาวน้อยระลึกได้ว่าสิ่งที่เริ่มใกล้มาต้องเป็นฟารัม
 
       
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา