The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  36.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

34) 030-แกนแห่งความมืด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

030-แกนแห่งความมืด

 

 

 

        ขณะเนเน๊ะเฝ้าหนทาง จ้องมองสิ่งที่กำลังเข้าใกล้กราย ทุกคนวิ่งมายืนเรียงแถวรอประจัญบานแบบเต็มอัตราศึก  ในห้วงความรู้สึกนั้น หลายคนคิดตรงกันต่างทำใจยอมรับไปแล้วว่าหากคิดหนีคงไม่มีวันไปต่อได้แน่เพราะหนทางเบื้องหลังถูกปิดตาย แต่หากยืนหยัดสู้ขั้นวัดดวงโอกาสพ้นเขตพิศวงนี้ก็มีมากเช่นกัน

 

         ชาร์ลอยู่แนวหลัง แหงนมองฟ้าด้วยความตะหงิดและสิ่งที่เขาได้พบนั้น เป็นข้อความก้อนเมฆแปลอักษรส่งจากหน่วยงานสาธารณะ ใจความมีเพียงแค่สั้นๆแต่น่าประหวั่นว่า"กลุ่มคาสึยะเริ่มเคลื่อนไหว" แม้รับรู้แล้ว หนุ่มมาดผู้ดีกลับเลือกเก็บไว้ก่อนด้วยสถานการณ์วิกฤติ ชาร์ลขยับขามาด้านหน้า บังเอิญเหลือบมองไปยังปืนในมือโอราฟอย่างแจ่มชัด พลันอุทานในใจว่า'ไซฟ่อน ครุสเซอร์!!' ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เป็นตำนานในสิ่งที่ตนรู้มาจากบันทึกการเดินทางแห่งข้า มันคือปืนทำลายล้างอนุภาคสูงไร้ขีดจำกัดหากควบคุมมันได้ใช้มันเป็นและเป็นอะไรที่ตนใฝ่ฝัน.. ทว่าสิ่งที่ใกล้เข้ามาทำให้ชาร์ลต้องตระหนักมากเสียกว่าปืนกระบอกนั้น

        ในมือบุรุษชุดดำอวดปืนสามลำกล้อง เรียวปากคาบบุหรี่มวนโตเผยไฟแดงวาบ พ่นมวลควันพุ่งพาดและทำให้เขาต้องเชิดหน้าหรี่ตา

 

"ฉันมั่นใจว่า สิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาคือแกนแห่งความมืด"โอราฟว่า สายตาเพ่งศูนย์ปืน"ยังไงๆ ก็ต้องกำจัดซะ"

 

"เราจะสู้แบบกระจายกำลังเพื่อดึงความสนใจจากมัน"เพียล่าระลึกได้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่มา มือง้างคันศร เอียงหน้ามาด้านข้าง"เนเน๊ะ ยังมีสติอยู่ไหม"

 

"ค่ะ"สาวน้อยหายใจฟึดฟัด เอาจริงเอาจังดวงตาแข็งกร้าวเช่นน้ำเสียง"ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สู้กันเต็มที่ไปเลย!!"

 

           หากคาลาเนสยืนอยู่ข้างเธอด้วยคงปลื้มปิติเป็นไหนๆ ทุกคนได้ยินเช่นนั้นแล้วสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นแทนความวิตกและเชื่อใจเนเน๊ะมากขึ้น ตอนนี้ มีเพียงเพียล่าคนเดียวเท่านั้นกระตุกยิ้มมุมปาก วาดหวังไปไกลว่าเนเน๊ะจะแสดงพลังผู้ถูกเลือกออกมาแบบที่ตนเห็นในมโนทัศน์ ส่วนวิคเตอร์แอบดีใจหนักก่อนกำลังจะได้รับการบันเทิงกับพลังของเนเน๊ะ

          สาวน้อยกัดฟันกรอด มือกุมด้ามมีดแน่นจนเหนื่อยแตกพรู สายลมพัดปลิวมาวูบเดียว..

          และแล้วสิ่งที่เนเน๊ะคิดก็ปรากฏกายออก ฟารัมขนาดมหึมาย่างกายมาด้วยการคลานอย่างเนิบนาบ ดวงตาฉายแสงสีเขียวสว่างจ้า ปากอ้าเผยอเห็นฟันแหลมกริบปล่อยน้ำลายน่าขยะแขยงไหลลงมุมปาก

         ครั้งเมื่อมันเจอกับกลุ่มกิเรเร่กลับต้องชะงักหุบปากเก็บเขี้ยว เอียงคอไปมาจ้องมองอย่างสงสัยแล้วหัวเราะคิกๆเมื่อเห็นวิคเตอร์เลื่อนมือขึ้นใช้ปลายดาบชี้หน้า ยิ้มแสยะให้แบบยินดีต้อนรับ

 

"ไง พวก"หนุ่มนักรบว่าด้วยเชิงท้าทาย

 

         พริบตา ฟารัมตะเกียกกายใช้ปากเข้างับร่างวิคเตอร์ แต่วืดไป  เมื่อมือโอราฟสะบัดหลังกระสุนลูกซองสามนัดเห่าโพล่งพุ่งตรงยังข้างแก้ม เปลี่ยนวิถีคมเขี้ยว เลี้ยวหลีกเข้าหาสาวน้อย เนเน๊ะรับรู้ถึงอันตราย ใช้ทักษะการหลบหลีกโดยการไต่ผนังฝั่งซ้ายทะยานตัวสูงขึ้นแล้วกระโดดม้วนลงยังอีกฝั่งอย่างไม่มืออาชีพ

 

"ปึ้งงง"เสียงปากฟารัมชนผนัง ร่างเซขวา

 

         ช่วงนั้น คมศรของเพียล่ามุ่งเข้าขาหน้าของมันเป็นชุด จังหวะเดียวกัน วิคเตอร์เร่งสาวเท้าเข้าสไตร์จนร่างตนหมุนฝุ่นฟุ้งเฉือนขาอีกข้าง ปาดเลือดสีเขียวให้สาดลงจากร่างมหึมาที่เริ่มมึนงงแต่ยังเขยื่อนกายเหลียวไปมา โอ'เกนท์อาสาทำหน้าที่เป็นเป้าล่อ ฟารัมไล่งับหนุ่มร่างท้วมอย่างหวุดหวิดคืบต่อคืบ เพียล่าและโอราฟเห็นทีจึงแยกกันไปคนล่ะฝั่ง

 

"ดูเหมือนจะได้ผลนิดนึงน่ะ"

        บุหรี่มวนโตคาบไว้ยังเรียวปาก โอราฟเหลือบตามองฟารัมที่ไล่ล่าโอ'เกนท์ พลางสะบัดข้อต่อไซฟ่อนให้ปลอกกระสุนเก่าเด้งออกก่อนยัดลงไปใหม่ และ..

 

"ปุ้งงงง!!!"

 

กลุ่มควันจากเขม่าดำขมคละฟุ้ง กระสุนลูกปรายพุ่งโจมตีส่วนกลางกบาลจนมันหมอบทรุดร้องครวญสองมือกุมขึ้น จากนั้น โอราฟพลันวิ่งไปเหยียบหัวและไต่ไปตามตัวก่อนกระโดดสูงราวกับลอยได้ ด่วนบรรจุกระสุนหันมาซ้ำอีกทีด้านท้ายทอย 

           ร่างฟารัมเหมือนดูไม่ได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยหากเกรี้ยวกราดด้วยการตวาดเขี้ยว แว้งใส่โอราฟที่กระโจนหลบตัวไปมาด้วยทักษะชั้นสูง เหล่านักรบของกลุ่มกิเรเร่ชะงักไปชั่วครู่เพราะทึ่งและในใจชื่นชม ส่วนเนเน๊ะยืนงงกำลังพยายามหาจังหวะเข้าตี

 

"นักรบฝีมือระดับนั้น.. นั่นมัน.."ชาร์ลสบถเสียงโดยไม่รู้ตัว"มัน.. ระดับตำนานชัดๆ"

 

"อาจใช่"วูดตันช่วยเสริมหลังก้าวเท้ามายืนเทียบเคียงกัน

 

          เสียงฟันขบกันดังกรึบๆไล่ล่าระห่ำ แต่ทว่านั่น.. คือการทำผิดพลาดครั้งใหญ่ของฟารัม เมื่อวิคเตอร์ โอ'เกนท์ เพียล่าและเนเน๊ะพร้อมใจกัน เข้าโรมรันกระหน่ำฟันตูยังสีข้างและลำตัวรวมทั้งบนด้านหลัง เกิดเป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่งจากหลากอาวุธ เลือดสีเขียวไหลหลั่งไม่ขาดสาย

         ฟารัมยังมิทันได้โจมตีโอราฟสำเร็จ กลับต้องกรีดเสียงโหยหวนหันมาทางเดิมเพราะด้านหลังรุมตอมไม่เลิก ร่างมหึมาพุ่งโหมตัวเข้าขบตัววิคเตอร์ด่วนจี๋ หนุ่มนักรบกระโจนร่างถอยพลางใช้คมดาบต้านคมเขี้ยวยันจนหลังชนฝาสู้กับแรงมหาศาล ระหว่างนั้นจึงมีช่องว่าง เป็นเหตุให้โอ'เกนท์ตีโต้อย่างไวพร้อมกับเนเน๊ะเข้าเล่นงานที่บ่าซ้ายเกิดเป็นรอยคล้ายแมวข่วน ดวงตาเขียวจ้าเหล่มาแต่คมเขี้ยวยังปะกับดาบของวิคเตอร์

         แม้สาวน้อยอาจเป็นตัวเกะกะในสายตาของใครทุกคน ทว่า สิ่งที่เธอแสดงออกมานั้น มันเกินกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันจะเพียรออกมาได้ดีถึงเพียงนี้ในสถานการณ์ที่ไม่ใช่การซ้อมรบ  หลังการฝึกการหลบหลีกในตอนนั้นจากเพียล่าที่ที่ราบมูไจ เนเน๊ะหาใช่ละเลยหากเธอยังเข้าใจในวิถีรุกรับและนำมาประยุกต์ใช้เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดกับการรวบรัดของการฝึก

         วิคเตอร์แอบมองอยู่เนืองๆ ความคิดมองข้าม7อัครองรักษ์ไปและหวังในใจลึกๆว่าสาวน้อยอาจมีฝีมือเทียบเท่าจักรพรรดินีของตนก็เป็นได้ หากสิ่งที่แสดงอยู่นั้นคือพรสวรรค์บวกสัญชาตญาณ

         ฟารัมผละจากวิคเตอร์ไป เปลี่ยนวิถีใช้มือตะปบสาวน้อยและโอ'เกนท์ แต่ไร้ผลทั้งสองหลบได้ จังหวะนั้นหนุ่มนักรบทำการโจมตีแบบฉวยโอกาสแล้วส่งให้เนเน๊ะบรรเลงมีดจ้วงแทงทั้งฟันตู

         และเป็นไปตามคาด วิคเตอร์แสยะยิ้มพลางคิดว่าเพียงแค่ใช้มีดสั้นเธอก็ทำได้ดีมาก ถ้าหากใช้ดาบดีๆสักเล่มแล้วคงทำให้นักดาบชั้นต้นๆของโลกสั่นสะเทือนไม่มากก็น้อย ตอนนี้ร่างฟารัมเริ่มเป๋ซ้ายบอดขวาหาจุดหมายไม่พบ

 

'แสดงออกมาเลยเนเน๊ะ พลังของเธอน่ะ!!'เขาพร่ำในใจ เหลือบมองการโจมตีอันเข้าขากันของโอ'เกนท์และเนเน๊ะ'แสดงออกมา!!'

 

          ต่อเนื่องกัน เพียล่าและโอราฟสำทับเข้าไปอีกหลายชุดอัดแน่นแบบเต็มสูบไร้ความปราณี ฟารัมร้องคราญครางสะบัดกายไปมาคลุ้มคลั่ง ใบหน้าเงยขึ้นฟ้า ยืนสองขา กรีดร้องเสียงแหลมด้วยเลือดโชกร่าง

 

"แสงอาทิตย์ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก"โอราฟเปรย ใช้นิ้วคีบบุหรี่มวนโตออกจากปากแล้วดีดขี้เถ้าทิ้ง"สู่สุขคติ"

 

         สิ้นเสียงบุรุษชุดดำ ปรากฏมวลแสงสีส้มสยายเป็นเส้นยาวทาบปลายปืน ก่อนรวมพลทยอยยัดลงปากกระบอกไปจนหมด

         สายลมแผ่วโชยมาชายเสื้อโคตสีดำเหมือมสะบัดพรึ่บๆ บุรุษชุดดำปิดเปลือกตา สูดหายใจลึก ขยับนิ้วชี้เหนี่ยวนก ..หลังลั่นไก ดั่งอนุภาคดาวหาง แสงส้มฉายออกเป็นเกลียวยาวที่ปลายปากไซฟ่อน กระสุนสามนัดพลันเห่าพุ่งโพล่งยังกลางกบาลฟารัมดุจความเร็วแสง แรงดินปืนแห่งตำนานกระทบกะโหลกเปิดฉีก เผยให้เห็นของเหลวสีเหลืองปนเลือดสีเขียวไหลเป็นมัน พร้อมเสียงหวีดร้องทรมานน่าสังเวช

         ชั่วพริบตา ฟารัมทรุดร่างพังพาบลงกับพื้นแน่นิ่งไป กลุ่มกิเรเร่ไม่มีใครดีใจ ทุกคนค่อยๆขยับเท้าเข้าใกล้และมองเพื่อความแน่ใจ

         เนเน๊ะสาวเท้าไป กุมมีดแน่นพร้อมเตรียมเสียบอีกครั้งหากมันลุกขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวฟ้าใสไร้แววความกลัวย่างกายเข้าใกล้มันมากกว่าใคร สองมือเงื้อขึ้นจับด้ามมีดมั่นและโถมแรงลงมาหวังเสียบเบ้าตาฟารัมให้ทะลุเละ แต่ต้องผิดหวังและทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงเมื่อวิคเตอร์พรวดร่างเร็วดุจสายฟ้าเข้าสกัดใช้ใบดาบสนองรับคมมีดแทนดวงตาร่างมหึมา

        แม้กระนั้น ด้วยแรงแค้นหรืออะไรสักอย่างมิอาจหยั่งถึงจิตใจของเนเน๊ะ  สาวน้อยกดคมมีดด้วยแรงมหาศาลอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่สนใจผู้รับมือว่าจะเป็นใคร ทางด้านหนุ่มนักรบต้านด้วยกำลังกายสุดลำเอ็นของทุกส่วนตามแต่สรีระจะเค้นพลังออกมาได้เพื่อหวังทดสอบ  และสิ่งที่วิคเตอร์ได้เข้าใจนั้น มันทำให้เขาต้องชอบใจและหวั่นเกรงเนเน๊ะมากขึ้นหลังเท้าขวาของตนทรุดลงกดจมดิน ซึ่งกลับกันกับเนเน๊ะยังยันร่างได้สง่าจนรัศมีบางอย่างแผดออกใสๆบางๆโดยไม่มีใครสังเกตทัน เว้นแต่ตาเหยี่ยวของโอราฟเหล่มองพลางเบ้ปากทะนง

        เพียล่าเห็นเช่นนั้น จึงเดินมาห้ามด้วยการยกด้ามมีดและจับสันดาบแยกออกจากกันอย่างง่ายดายราวปุยนุ่น สาวน้อยคงสติได้ จึงเก็บมีดถอยห่างออกมาและค่อยทุเลาความบ้าลงได้บ้าง ทว่า ดวงตายังลุกโพลงฉายไฟแค้นระอุจ้องฟารัมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนวิคเตอร์ก้มหน้า แอบยิ้มมุมปากหลังเดินผ่านเนเน๊ะไปด้านหลังก่อนเก็บดาบเข้าซอง

        การที่ฟารัมสิ้นชีพอย่างง่ายดายในตอนนี้นั้น  ไม่มีใครเอะใจหรือแปลกใจแม้แต่น้อยทั้งที่ก่อนหน้านี้คณะเดินทางต้องหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุน ทุกคนเข้าใจไปเองว่าน่าจะเป็นผลจากปืนสามลำกล้อง ลักษณะคือสองลำกล้องถูกเทินด้วยอีกหนึ่งลำกล้องทำมุมสามเหลี่ยม ลำกล้องทั้งสามมีขนาดสั้นสองคืบสีขาวนวลกว้างหนึ่งองคุลี ด้ามจับทำจากไม้อเดลสีขาวมุกนวล สลักลายนูนจับถนัดมือด้วยลายเถาดอกเลื้อยสีทอง นกและช่วงข้อต่อสะท้อนแสงสีเงินวาวขึ้นลายเถา

 

"มันตายละ"สาวนักรบว่าพลางใช้เท้าขย่มต้นคอฟารัม"โอราฟ ต่อจากนี้เราจะไปไหนกันต่อ"

 

"ฉัน.. ก็ไม่รู้เหมือนกัน"โอราฟถอดหมวกออกมาพัด"เฮ่อ.. ฉันเองก็หลงมา"

 

"ถ้างั้น เอางี้นะ พวกเราทั้งหมดจะไม่แยกกันสำรวจ คือเราต้องมุ่งไปข้างหน้า ฉันจำได้ที่ปลายสุดทางทิศตะวันออกเขตกูกู ตอนที่อยู่บนทางลอย ฉันเห็นบางอย่างน่าสงสัย ซ้ำยังพวกเจ้านายหัวฟักทองยังบินตรงไปทางนั้นซะด้วย"ชาร์ลแทรกอย่างจริงจัง"ฉันว่าเมื่อเราไปถึงคงจะเจออะไรบ้าง เรื่องนี้ฉันขอรับประกันเอง เอ้อ.. แล้วอีกเรื่อง คือ มีข้อความสาธารณะประกาศข่าวมาน่ะว่ากลุ่มคาสึยะเริ่มเคลื่อนไหว หวังว่าพวกนั้นคงไม่ติดแหง็กอยู่ในนี้หรอกนะ"

 

"ไอ่พวกนั้นช่างเถอะ สำคัญคือตอนนี้เราจะไปกันได้รึยัง"วิคเตอร์เลิกคิ้วถาม

 

"ไปสิ"เพียล่าตอบ

 

         ข้อสรุปเหมือนไม่ชัดเจน กลุ่มกิเรเร่มุ่งตรงไปยังทางทิศตะวันออกแบบเสี่ยงดวง เพื่อหวังจะเจออะไรสักอย่างที่เป็นเงื่อนงำ

         ระหว่างทาง สองข้างฝั่งมีแต่ต้นเซคทึ่มๆเขียวขจีไร้คำบอกใบ้คลอด้วยเถารากยิ่งน่าระแวง เบื้องบนฉายฟ้าสดใสทอแสงอาทิตย์ยามสายและเมฆบางตา อีกทั้งเรื่องของเนธาเนียร์เซไลท์สมองของชาร์ลต้องคิดหนัก เมื่อตนรับปากไปแล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้างที่ส่วนปลาย ซึ่งมันคือการเดิมพันด้วยความน่าเชื่อถือ 

         ตะวันเคลื่อนเที่ยง คณะเดินทางฝ่าฟันมาถึงสุดขอบเขตกูกูได้สำเร็จ ทว่าสิ่งที่ได้พบเห็นนั้น มีแต่กำแพงหินสูงตระหง่านอิงแอบด้วยไม้เลื้อยรกร้าง ครั้งสำรวจถี่ถ้วนแล้วไม่มีใครพบทางไปต่อได้แม้แต่รูหมารอด มีแต่หนทางด้านหลังเท่านั้นที่รอให้หวนคืน อย่างไรก็ตาม แม้สภาพจิตใจถูกกดดันแต่ทุกคนหาได้ถอดใจ

 

"มีแต่กำแพงซื่อบื้อทั้งนั้นเลย"วิคเตอร์พูดพร้อมถีบกำแพงปั่กๆ เอียงคอมา"ชาร์ล! เอาไงต่อ"

 

หนุ่มมาดผู้ดีชักสีหน้าวิตก ขมวดคิ้ว นิ้วมือทาบคาง"มันต้องมีอะไรสักอย่างสิ"ตอบแล้วหันไปทางบุรุษชุดดำ"โอราฟ คุณว่าไง"

 

"สนามพลังแห่งความมืดยังอยู่"เขาหลับตายกฝ่ามือทั้งสองขึ้นลิ้นปี่ ใช้ความรู้สึกสัมผัส"ต้องมีที่ไหน ที่เป็นแกนแห่งความมืดอีกนะ ซึ่งฉันเดาว่ามันน่าจา.. อยู่ตรงใจกลางของพื้นที่"

 

         บุรุษชุดดำว่าอย่างจริงจังบ่ายหน้าไปด้านหลัง กลุ่มกิเรเร่ฟังถนัดกันทุกคนพลางพยักเพยิดให้กันพลันมีสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ไม่มีใครปริปากต่อว่าชาร์ลเพราะไม่อยากต้องทำให้เขารู้สึกผิดและโทษตัวเอง แม้กระนั้น หนุ่มมาดผู้ดีเองก็รู้สึกละอาย เขาดูเคร่งเครียดกว่าใครขณะจดบางอย่างลงสมุดก่อนเดินละจากกลุ่มไปเฉยๆไปตามทางที่โอราฟแนะ

 

"เฮ่ ชาร์ลจะไปไหนน่ะ"เพียล่าถาม ทุกคนมองตามหนุ่มมาดผู้ดี

 

        วิคเตอร์สีหน้าเคร่ง ด่วนตอบแทนก่อนเดินตามไปเพราะเข้าใจความรู้สึกของชาร์ลดี

 

"ไปตามทางที่ลุงโอราฟบอกไงล่ะ"

 

"คงต้องเสี่ยง"โอราฟยิ้มแห้งๆ สะบัดข้อต่อไซฟ่อน ก้มมองสำรวจกระสุนก่อนสะบัดกลับคืน

 

"สถานการณ์แบบนี้พวกเราต้องสามัคคีกันเข้าไว้นะ"โอ'เกนท์เอ่ยหนักแน่นดวงตาส่อประกายกวาดมองทุกคนพลางยกหมัดกุมขึ้นกลางอก คณะเดินทางได้ฟังไม่มีใครกล่าวอะไรหากสองขาก้าวตามหลังชาร์ลไป"อดทนกันหน่อยนะ"

 

        คำกล่าวของหนุ่มร่างท้วมเหมือนมีพลังกระชากความกระชุ่มกระชวย คณะเดินทางก้าวย่างอย่างเร่งรีบ ทุกคนดูมุ่งมั่นและไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคใดๆและหากเกิดเหตุร้ายไม่คาดฝันก็พร้อมจะลุยกันต่อเนื่อง

        ชาร์ลทำหน้าที่ได้เด็ดขาด นำขบวนมาเกือบถึงใจกลางได้สำเร็จเพียงแค่ใช้สายตาสาดเข้ามอง บริเวณข้างหน้าเป็นลานไม้ต้นเซคกว้างขวางเกือบสุดนัยน์ตาแล เรียบสนิทราวกับบรรจงประดิษฐ์ ตรงใจกลางมีบางอย่างตั้งไว้นิ่งงันลักษณะคล้ายแท่นหินทึมๆ

         แต่ทว่า เมื่อทั้งหกก้าวย่างไปจนเหยียบลงพื้นลานได้สามสี่ก้าว สถานที่กลับเกิดการผิดปกติ จู่ๆโดยรอบเกิดสั่นสะเทือนไหวๆ หลายคนพยุงตัวกันแทบไม่ติด เหนือแท่นหินข้างหน้าของกลุ่มกิเรเร่พลันปรากฏแสงสีขาวสว่างล้ำ พุ่งขึ้นฟ้าสูงลิบไปและตั้งฉากกับพื้นโลกกลายเป็นเสาลำแสงขนาดหลายคนโอบ มวลเมฆแตกออกเป็นวง แสงสีฟ้าไต่ตามรอยหยัก เกิดเสียงอึกทึกคล้ายฟ้าคำราม

        เบื้องหน้าตอนนี้ แสงขาวอาบใบหน้าทุกคนที่หรี่ตามองด้วยความสงสัย ทว่าชั่วอึดใจเดียว แสงสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงยังรอบนอก ล้อมแสงสีดำในใจกลางลำเสาแสงพ่วงด้วยสายฟ้าแปล่บๆ ช่วงเวลาเดียวกัน ดวงอาทิตย์หรี่แสงลงค่อนคล้ำหลบหลังเมฆ ความเย็นเยือกแผ่ปกคลุมค้านกับความเป็นจริงส่อลางมรณะ บรรยากาศโดยรอบถูกกลืนกินด้วยลิ้นพลังแห่งความมืด  ท้องฟ้าทั้งหมดคลาดแสงแจ่มแจ้งจมสู่ความหม่น สายลมมรสุมโหมวูบวาบกรีดผิวกายด้วยความหนาวเหน็บพร้อมหว่านเสียงสะพรึงหลอกหลอนจากใบต้นเซคที่เสียดสีกัน ทั้งยังพัดพรากฉุดใบไหวให้ปลิวว่อน ทั้งหกรับรู้ได้ทันทีว่าความแห่งความมืดกำลังย่างเยือน

        ไม่มีใครหวั่นไหวเกรงกลัว ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใดหากคณะเดินทางกัดฟันยืนหยัดเพื่อวิถีแห่งแสง

 

"มาแล้ว!! แกนแห่งความมืด!!"โอราฟตะโกน คมนัยน์ตาเล็งศูนย์ปืน ชี้ยังเสาแสงสีหม่น"ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่แข็งแกร่งและรุนแรง ระวังตัวด้วยล่ะ!!"

 

         สิ้นเสียงบุรุษชุดดำ ภาพอัศจรรย์ยังฉายไปเรื่อยและหยุดการสั่นไหวของพื้นที่ ชั่วครู่.. หลายคนเกิดอาการตกใจและช้าไปจะเข้าไปดึงสาวน้อยที่ดูเหมือนไร้สติ เนเน๊ะก้าวขาเข้าใกล้เสาลำแสงจนกระชั้น มือน้อยๆค่อยๆยื่นไปสัมผัส เพียงแค่แตะเบาๆเท่านั้น แสงศักดิ์สิทธิ์กลับอุบัติสว่างโล่ในโทนสีทองปนขาวต้านแสงมืดยังบริเวณฝ่ามือจนคณะเดินทางนึกหวั่นและวาดหวัง และต่อเนื่องกัน..แสงจากฝ่ามือเนเน๊ะลุกลามโอบเสาลำแสงช่วงล่างได้ทั้งหมดก่อนคืบคลานอย่างช้าๆขึ้นไปด้านบน 

        ใบหน้าเนเน๊ะถูกฉาบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ เธอคิ้วขมวดแน่น ดวงตาฟ้าใสลุกแววดั่งเปลวไฟปะทุ มือขวาเหยียดเต็มลำแขนส่งพลังเต็มที่ สองเท้ายึดมั่นยังพื้นราวกับถูกตีสลักไว้

        ในตอนนี้สาวน้อยหาใช่รู้สึกตัว สิ่งที่บงการให้เธอทำได้เช่นนี้นั้น เป็นผลจากจิตใต้สำนึกบวกกับพลังบางอย่างโดยใครทุกคนยังหาคำตอบไม่ได้  หลายคนนิ่งอึ้งไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งโอราฟผู้เจนโลกก็ยังมีสีหน้าวิตกและแปลกใจ เพียล่าที่เป็นห่วงเนเน๊ะมากกว่าใครทำได้แต่ยืนมองและลุ้นไปกับทุกคน

        ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของสาวน้อยดูดุดัน สายตาเพ่งหนักพยายามใช้จิตเข้าข่มเสาลำแสงสีหม่นให้ยอมพ่าย แต่ทว่า เสาลำแสงมีมวลมากมายมหาศาล ตอบสนองและต้านพลังนั้นจนยากเกินกว่าแสงศักดิ์สิทธิ์จะกำชัยด้วยพลังเพียงเสี้ยวของเนเน๊ะ

       เมื่อพลังไม่เพียงพอจะสยบและถูกสะท้อนกลับ สายฟ้าสีม่วงฟาดฟันจากด้านบนลงหาสาวน้อยให้กระเด็นติดขอบบริเวณ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอถอดใจ หลังตั้งหลักได้มือขวาชักมีดขึ้น โพล่งปลายแหลมไปด้านหน้า เร่งวิ่งเข้าหาอย่างไม่สำนึกในความตาย

        ฉับพลัน!! หลังเนเน๊ะกระโจนตัว คมมีดพุ่งปักเข้าเสาลำแสงมิดด้าม ด้วยแรงปะทะอันหนักหน่วงฉายเป็นม่านแสงสีฟ้าสะท้านผ่าวยังจุดกระแทก แสงฟ้าครอบคลุมร่างสาวน้อย พื้นที่เกิดการสะเทือนอีกหน ช่วงบนเสาลำแสงสั่นคลอนเห็นได้ชัดและโดยทั่วไปของลำเสาแสงถูกเบียดเบียนด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นบางจุดแบบขาดๆหายๆ

       ปะพลังกันอยู่นาน กระทั่งทุกอย่างเริ่มมีท่าทีสงบลงหลังม่านแสงสีฟ้าจางหาย เนเน๊ะในท่ายืดแขนแทงคมมีดต้องหอบหายใจล้า กัดฟันอย่างเจ็บใจ เหลือบมองด้วยความผิดหวังก่อนกระชากมีดกลับ เอนร่างถลาเซถอยหลังไปทีล่ะก้าว จนทรุดเข่านั่งและมองสูงขึ้นไปยังฟ้าอย่างน่าเสียดายเมื่อลำเสาแสงเป็นฝ่ายชนะ

         ทุกคนผิดคาดไปตามๆกัน เพราะคงคิดว่าเนเน๊ะจะทำลายได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังโดยแท้หากทุกคนพร้อมลุยด้วยตัวเองบนความหาญ เช่นนั้น โอราฟจึงเปลี่ยนแผน

 

"กระจายกำลังกันไป!!"เขาตะโกนและหว่านมือ"ฉันมั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างอุบัติแน่!!"

 

         หลังก้าวเข้าไปใกล้เสาลำแสง ใบหน้าบุรุษชุดดำถูกฉาบด้วยสีหม่นแสดงถึงความกล้า คณะเดินทางไม่รีรอทำตามโดยดี เว้นแต่เพียล่า พุ่งหาโอกาสเข้าโฉบร่างเนเน๊ะและหิ้วมายังจุดปลอดภัยใกล้กับวูดตัน

         หลังเสียงโอราฟผ่านไปชั่วครู่ ทุกอย่างยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนเมื่อชาร์ลถอยกรูดและควักหินปริศนาออกมา ในตอนนั้น เขาคิดว่ามันคงเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอนหลังเห็นมันเปล่งประกาย'แต่อะไรล่ะ อะไรที่จะยืนยันว่าใช่!!'หนุ่มมาดผู้ดีนึกเร็วสลับมองหินและเสาลำแสง

        ทว่าหินเหล่านั้น ยิ่งทอแสงจ้าราวกับจะสื่อสารอะไรบางอย่างและยังไม่ทันได้ตีความ จู่ๆ.. เสียงร้องจากทิศใดมิทราบดังลั่นมา สมาธิของชาร์ลจึงละไป

 

"เอาไปซะ!! เนธาเนียร์เซไลท์!!"

 

         มันคือเสียงใสๆ หากเดาอายุแล้วน่าจะประมาณวัยรุ่นแตกกำลังเนื้อสาว ชาร์ลเหล่ไปเห็นร่างเล็กทางซ้ายมือว่าพลางเขวี้ยงหินแสงสีขาวใส่ลำเสาแสง เขามองตามเนธาเนียร์เซไลท์ปะทะและจมหายไปในลำเสาแสงอย่างมึนงง

         ทุกคนพลันมองตามอย่างฉงนพร้อมสงสัยหนักว่าเจ้าของเนธาเนียร์เซไลท์เป็นใคร ขณะเดียวกัน ชาร์ลต้องแปลกใจ เมื่อหินปริศนาทั้งหกกลับลอยเป็นเกลียวเรียงแถวล่องเข้าไปจนจมเสาลำแสง สายตาทุกคนเบนมาก่อนเบนกลับแล้วลุ้นผล

         โดยด่วน! ลำเสาแสงเกิดสั่นสะเทือนก่อนย่อลำพุ่งจากพื้นขึ้นฟ้าราวกับมันย่นตัวเพื่อไปเกาะกลุ่มกันแล้วหายลับไป เกิดเป็นเสียงความถี่ต่ำหึ่มๆหลังก้อนเมฆแตกเป็นวงขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยวงเวทสีชาดหลายชั้นซ้อนกันกินรัศมีเกินลานกว้างพร้อมอักขระโบราณน่าทึ่ง เป็นเหตุให้มวลเมฆกระเพื่อมโดยรอบพริ้วไหวราวกับคลื่นท้องน้ำในมหาสมุทร

         เหนือก้อนเมฆยังใจกลางวงโหว่อันพอสาดส่องชัดมีแสงรำไรกลายๆ เหล่าผู้อยู่เบื้องล่างมองกันด้วยเปลือกตาไม่กะพริบใจจดใจ ลำแสงสีดำขอบม่วงดิ่งตรงลงยังเบื้องลงใจกลางจนพื้นล่างลุกไหม้แล้วหายวับไป หลายคนหนีตายได้ทัน ใบหูยินเสียงคำรามลั่นฟ้าราวราชสีห์โห่ร้องน่าสะพรึง ต่อมา วงเมฆที่แยกเป็นวงนั้นเผยบางอย่างรุดออก นั่นคืออสูรซึ่งมีหัวเป็นกระทิงสีเทา อวดนัยน์แดงก่ำกับเขี้ยวฟันแหลมเรียง ทะยานส่วนหัวและร่างดุจมนุษย์ขนาดมหึมาลงมาด้วยปีกพังผืดคล้ายปีกมังกรสีเทาหม่นเช่นเดียวกับสีผิว เฉิดฉายด้วยเครื่องประดับสีทองสง่าตามข้อพับต่างๆและมวลกล้ามเกินกว่าจะหยั่งถึงแรง ฉายแสงน้ำเงินสะท้านด้วยสายฟ้าแปล่บๆ รวมมวลอยู่บริเวณช่องปากจากก้อนเล็กๆจนถึงขนาดใหญ่

         เมื่อถึงระยะ อสูรปริศนาพ่นพรวดลงเบื้องล่างราวกับสำรอก พุ่งยังใจกลางอย่างไม่หวังผลหากหวังแสดงความบ้าคลั่ง ทั้งหลายทุกคนพลันกระโดดหนีตายกันจ้าละหวั่นไม่เป็นท่า

         หลังมวลแสงสังหารสิ้นลง พื้นลานกว้างกลับเป็นหลุมเพียงน้อยนิด ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหากลุกไวเพื่อรอรับการโจมตีและสวนกลับ

         จังหวะนั้นเอง!! อสูรประหลาดปรากฏยังใจกลางแผดบารมี ท่วงท่าน่าเกรงขามพร้อมปลิดชีพทุกคนด้วยหน้าตาหมายมอบความตาย ทุกคนรีบฉายอาวุธพร้อมลุย ทว่าฝ่ายที่เปิดฉาก ไม่ใช่กลุ่มกิเรเร่หากเป็นใครสองสาววัยใสกระเตาะ ถัดมาใกล้กันนั้นเบื้องลึก มีใครกลุ่มหนึ่งซุ่มเงียบอยู่ด้านหลังซึ่งซ่อนกายในเงาสลัว

 

"สลิ่ม เธอพร้อมไหม"

 

          ชาร์ลและโอราฟยืนเคียงกันยินชัดหันขวับไป พบสาวร่างบางหันไปว่ากับสาวเจ้าของชื่อสลิ่มที่พยักหน้าบางๆส่งสัญญาณ จากนั้น สาวเสียงแรกเร่งร่ายมนตราแห่งสายอัญเชิญอย่างอลังการเฉิดประกายด้วยมวลแสงจินตนาการ ตามแบบฉบับดั้งเดิมของผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอัญเชิญที่แม้แต่หนุ่มบ้านนอกอย่างโอ'เกนท์ยังรับรู้ได้

         บัดดล!! แสงฟ้าใสสยายตีวงหลายชั้นอยู่เบื้องล่างผสานด้วยแสมรกตใสแสดงอยู่เบื้องบนจากสาวผู้เพื่อนรวมเป็นหนึ่ง และนั่นจึงทำให้เพียล่า วิคเตอร์และชาร์ลพลันนึกถึงไปยังกลุ่มคาสึยะ โดยเฉพาะผู้มีนามว่า"เอมิโกะ"และ"มินตรา"

         จากนั้น.. แสงสีฟ้ายังพื้นล่างและแสงมรกตใสยังเบื้องฟ้า ก่อเป็นมหาวายุเพลิงอัสนีแห่งอินฟาโน่ในตำนาน พัดโหมกระหน่ำเข้าโถมอสูรปริศนาจนร่างของมันที่ยังไร้การตั้งตัว ต้องสะเทือนสั่นทั้งสัดส่วนคล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆก่อนปลิวขึ้นสูงลอยในท่านอนหงาย

         เห็นเช่นดั่งใจหวัง หลังวงแสงฟ้าใสแผ่ยังพื้น สาวเสียงแรกรีบเงื้อมือสูงเหนือหัวและกวาดลง ก่อเกิดเป็นแท่นคริสตัลใสแหลมขนาดย่อมกระจายทั่วพื้นที่ จากนั้นพวยพุ่งจากพื้นขึ้นสู่ร่างอสูรเข้ากระแทกหลายต่อหลายครา ร่างอสูรสะบัดตามแรงกระแทกส่งผลให้ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  สาวผู้เพื่อนรู้งานทันที สองมือสยายออกอวดความกระจ่างถึงความเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอธิฐาน เธอวาดมนตราด้วยร่างอ่อนช้อยพริ้วไหวราวกับผู้ส่งวิญญาณร่ายคฑา ก่อกำเนิดเป็นพลังทรงกลมสีมืดลอยตามร่างอสูรขึ้นไป ก่อนเกิดอัสนีบาตม่วงคล้ำโผล่ออกจับร่างนั้นและกระชากเหวี่ยงลงมา

         ในห้วงนั้น ชาร์ล วิคเตอร์ เพียล่า โอ'เกนท์และโอราฟต่างไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราทั้งสองสายอยู่ที่นี่พร้อมกันทั้งยังรู้จักกันเสียด้วย นี่ต้องเป็นอะไรที่บังเอิญแน่ๆ คำถามมากมายพวยพุ่งขึ้นในสมองหากอยากได้คำตอบคงต้องสยบอสูรนี่เสียก่อน

 

"ตรึ้มมมมม!!"

 

เสียงช่างดังมหัน กลุ่มกิเรเร่เห็นอสูรปริศนากระแทกพื้นนอนไร้พิษสง ก่อนเหลียวมองอย่างตื่นตาไปยังสองสาวที่เหมือนจะโจมตีต่อ โอราฟยิ้มชอบใจจึงประกาศศักดา ด้วยการลั่นไกไซฟ่อนดังเปรี้ยงเข้าสมทบสกิดกลางร่างอสูรจนมันแน่นิ่ง

 

        ดั่งบุรุษชุดดำเปิดทาง เมื่อสบโอกาสกลุ่มกิเรเร่จึงรีบเข้าห้ำหั่น เว้นแต่เนเน๊ะยังนั่งจมปรักคล้ายกำลังฟื้นพลังและชาร์ลคอยเฝ้ามองท่าทีของอีกฝั่ง

 

"นี่ๆๆ ถ้าทำแบบนั้น พวกเราก็จะโจมตีไม่ได้น่ะสิ!!"สาวเสียงแรกโวยวายลั่น ทำท่าหงุดหงิดเห็นได้ชัด"มันไม่ยุติธรรมเลยนะที่จู่ๆก็มีใครไม่รู้ มาแย่งอสูรบารานอสไป!!"

 

        แม้มีเสียงพร่ำบอก เหล่านักรบกลุ่มกิเรเร่หาได้ใส่ใจซ้ำยังออกอาวุธไปเนืองๆ เว้นเพียงโอราฟยิ้มชอบใจหัวเราะฮ่าๆพลางบรรจุกระสุน ตอบไปว่า..

"ถ้างั้น ใครดีใครได้ละกัน"

 

        ราวกับปลุกพลังเสือป่า คำๆนี้เหมือนเป็นการจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายให้กับกลุ่มกิเรเร่ที่ไม่ได้คัดค้านอะไร หากเห็นด้วยว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำโดยไม่หวังมือใครช่วยจึงเงียบกริบไป ยืนกรานความทะนงของตน

        เช่นนั้นแล้ว.. สองสาวจึงผสานพลังกันอีกครั้ง ท่วงท่าคล้ายกับเต้นระบำและรวมความสามารถของศาสตร์มนตราราวกับพลังเฮือกสุดท้ายขณะอสูรบารานอสเริ่มยันขายืนโซเซ พลางปัดเหวี่ยงอาวุธจากกลุ่มกิเรเร่ที่คล้ายไม้จิ้มฟันแทงเหงือก

        เพียงอึดใจ อสูรหยัดกายยืนได้มั่นคงด่วนเปล่งเสียงคำรามคลุ้มคลั่งอย่างบ้าเลือด กลุ่มกิเรเร่ล่าถอยกราดไปตั้งหลัก จากนั้นอสูรบารานอสจึงตีปีกขึ้นบินสูงฟ้าลิบ ทั้งหมดมองตามไปก่อนเห็นมวลแสงสีเดิมของอสูรเริ่มรวมตัวและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆกว่าครั้งก่อน กระทั่งหลังได้ที่พลังนั้นถูกปล่อยออกจากปาก เกิดคลื่นระเบิดแผ่ไปทุกทั่วทิศ ส่งลำแสงฝ่าอากาศลงมา ขณะนั้น..

 

"ฟรี๊ดดดดดดดด!!!!"

 

เสียงของอนุภาคพลังทั้งสองพุ่งหากันด้วยความเร็วแสงและเข้าปะทะกันกับพลังระดับผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราของสองสาวกลางเวหา

 

ก่อนเสียงสนั่น แสงหลากสีโทนหม่นแสดงเร็วรี่ฉายแปล่บปลาบ สายตาหลายผู้ไม่สามารถติดตามและคาดผลได้ยาก

 

"บรึ้มมมมมมมม!!!!"

         หลังเสียงการปะทะกันของพลังมหาศาลทั้งสองสิ้นซาก กลับเกิดผลข้างเคียงอย่างคณานับราวกับบิ๊กแบง อากาศโดยรอบถูกแผดเผาร้อนระอุกว่าผิวดวงอาทิตย์ ต้นเซคทั่วไปเกิดการเผาไหม้ แสงประลัยไฟจากประจุพลังงานสว่างเลิศ ส่งคลื่นระเบิดตีเป็นวงแหวนขยายออกทุกทิศยังกลางอากาศ ตามมาด้วยลำแสงโทนส้มแสดบริสุทธิ์ราวพลังแห่งดวงประทีปมุ่งเป็นเส้นตรงขึ้นฟ้าทะลุขอบอวกาศและพุ่งลงยังแกนโลก ร่างอสูรเพียงแค่ผงะก่อนพ่นพลังออกเพื่อสมทบไป

         ขณะทุกคนเบื้องล่างแหงนบ่าตั้งคอมองด้วยขณะยังไม่รับรู้ถึงหายนะขั้นขอชีวิตและเตรียมใจตาย ดวงตาหลายคู่เบิกค้างตะลึงหลังลำแสงส้มแสดฉายทอมาจนร่างกายสัมผัสได้ถึงความระอุ

  

         ทว่า..!!!!  เพียงเสี้ยววินาทีในระหว่างที่ใครหลายคนยังไม่ตระหนักถึงความตายและก่อนที่แสงส้มแสดจะแผดเผาร่างทุกคน ร่มบาเรียสีมรกตจากมนตราแห่งสายอธิฐานถูกกลางออกครอบร่างผู้เป็นปริศนาทั้งหมด

        เว้นแต่กลุ่มกิเรเร่.. ไม่มีใครสามารถสร้างพลังปกป้องได้ถึงระดับนั้นทุกคนพลันรับรู้ชะตากรรมโดยไม่ทันตั้งเตรียมใจ  ทางเลือกสุดท้ายของกลุ่มกิเรเร่หมายถึงความตายกระนั้นหรือ?

       ขณะแสงส้มแสดผ่าอากาศลงมาและห่างกันเพียงหกวา!!

 

"แสงแห่งไพลินจงบังเกิด!!"

 

ฉับพลัน!! หลังเสียงลึกลับดังลั่นระงมไปทุกทิศ วงแสงไพลินฉายขึ้นจากพื้นก่อเป็นทรงโดมครอบคลุมคณะเดินทางได้ทันท่วงทีอย่างน่าอัศจรรย์ เบียดรัศมีกับร่มบาเรียมรกตจนประสานพลังกันเป็นหนึ่ง รวมกันเป็นวงเดียวกันโดยอีกครึ่งหนึ่งเป็นแสงไพลินและอีกครึ่งเป็นแสงมรกตพร้อมตั้งรับพลังแสงส้มแสด ไม่ช้าจึงเกิดแรงปะทะอันหนักหน่วงฉายแสงวาบสว่างโล่ พลันเกิดลมมรสุมขึ้นโดยรอบพัดกระหน่ำจนกิ่งก้านใบต้นเซคปลิวว่อน กลุ่มกิเรเร่ยินเสียงนั่นนึกเอะใจทันทีแต่ไม่มีเวลาให้หาคำตอบ ทั้งหมดตกอยู่ในตาพายุไปปริยาย แหงนคอมองอย่างลุ้นระทึกว่าพลังแห่งบาเรียจะต้านได้ไหว

         ชั่วอึดใจผ่านไป บาเรียสองแสงเริ่มสั่นสะท้านก่อนเกิดรอยร้าวคล้ายแก้วเริ่มแตก หลายคนเห็นแล้วถึงกับประหวั่น หลายปากเริ่มส่งเสียงโวยวายและปรึกษากันอย่างอลหม่าน

        ..สถานการณ์ตอนนี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะจบมันได้ ชาร์ลคิดได้ดังนั้นจึงตะโกนไป

 

"เฮ่.. โอราฟ!!!"

 

         บุรุษชุดดำหันขวับมา มองชาร์ลด้วยสายตาตอบรับความเชื่อมั่นของหนุ่มมาดผู้ดีที่ส่งมา เขาพยักให้ชาร์ลก่อนยกมือขึ้น คมนัยน์ตาดุจเหยี่ยวเล็งศูนย์หวังยิงฝ่าพลังแสงส้มแสดขึ้นไป ต่อมา มวลแสงคล้ายควันปรากฏขึ้นยังปลายกระบอกไซฟ่อนก่อนรวมลงลำกล้องเรียงกันเป็นเกลียวจนหมด และ..

 

"ปุ้งงงงง!!!"

 

มือโอราฟสะบัดด้วยแรงดีดของดินปืน ฉายกระสุนแสงส้มพุ่งขึ้นฟ้าราวกับดาวหาง กระสุนฝ่าม่านบาเรียออกไป พุ่งสวนพลังนั้นไปยังใจกลางลำแสงและทะยานขึ้นหมายโจมตีอสูรบารานอสให้ได้

         เป็นไปตามคาด กระสุนพุ่งโจมตีได้สำเร็จ อสูรบารานอสหงายเงิบ แสงส้มแสดจางจากแล้วหยุดลง แต่ยังคงร่างไว้ได้ด้วยการกระพรือปีก โดมบาเรียอวดแสงเพิ่มขึ้นสร้างความอุ่นใจเป็นยิ่งนัก

        และต่อเนื่องจากเมื่อครู่นี้ สองสาวคนเดิมเร่งรีบเข้าซ้ำด้วยศาสตร์แห่งมนตรา ทั้งสายฟ้า แท่งน้ำแข็ง ลูกไฟ ลมสลาตัน เปลวเพลิง ผลึกคริสตัล ลำแสงใสลำใหญ่ อีกทั้งยังตรึงร่างอสูรบารานอสด้วยมนตราแห่งสายอธิฐาน พร้อมกันนั้นคมศรจากเพียล่าและกระสุนไซฟ่อนบุกเข้าอัดราวสายธารเชี่ยวกราด แม้กระนั้นอสูรบารานอสก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะผล็อยหล่นหากยังหลบหลีกไปมาอย่างไร้สำนึก พร้อมพ่นลูกบอลแสงสีม่วงอมฟ้ายังใจกลางออกจากปากอยู่เนืองๆ ทั้งหมดด้านล่างหนีตายกันจ้าละหวั่นอย่างลืมไปว่ามีบาเรียป้องกันอยู่ แม้มีบาเรียป้องกายไว้หากตอนนี้ยังไม่มีใครมั่นใจว่ามันจะคงทนตลอดไป

        เพียล่าเห็นลูกบอลแสงลูกหนึ่งหลงมาทางเนเน๊ะที่นั่งพับเพียบอาการยังซึมๆดวงตาปริบปรือร่างกายไร้การตอบสนอง กระโจนร่างไปหมายจะเข้าช่วย ทว่ากระสุนจากโอราฟพุ่งมาสลายได้ทัน สองมือสาวนักรบโอบสาวน้อยไว้ ใบหน้าหันไปทางบุรุษชุดดำพลางพูดขอบคุณขณะเขากำลังง่วนกับการสอยอสูรบารานอส

 

         สู้กันนามนม บาเรียเริ่มล้าแสงเผยช่องโหว่บางหย่อม อสูรบารานอสดั่งรู้ทัน บินโฉบบินเกี่ยวพลางพ่นลูกบอลแสงเข้าถล่มพื้นยังเบื้องล่าง เปลวเพลิงสีฟ้าบนลานบางจุดลุกไหม้ บีบให้พื้นที่แคบลง ผู้ท้าทายทั้งหลายไม่คิดหนีหากยังวิ่งวนเวียน พลางสวนกลับอย่างดุเดือดและไม่สนใจบางสิ่งยังใจกลางลานกว้าง

        ขณะนั้น ชาร์ลฉุกใจคิดได้ว่ามีบางอย่างตั้งอยู่ใจกลางลาน ซึ่งเหมือนแท่นบูชาหรืออะไรสักอย่างที่น่าจะมีผลต่อสถานการณ์นี้  หนุ่มมาดผู้ดีขยับเท้าไปอย่างระวังพลางเหลือบมองเบื้องบนว่าลูกบอลแสงจะมาทางใด ทั้งยังต้องระวังเหล่านักรบทั้งหลายที่วิ่งกันพลุ่กพล่านเพื่อไม่ให้ตนถูกชนจนล้ม

       ไม่มีใครสนใจชาร์ล เมื่อเดินมาถึง เขาจึงสำรวจอย่างละเอียดพบว่ามันคือแท่นหินสูงขนาดเคียงเอวระบายด้วยสีเทาหม่น บริเวณขาตั้งที่บานออกถึงลำเสาและส่วนบนที่แผ่ออกเป็นหกเหลี่ยมสลักลายบางอย่างไว้  ชาร์ลคิดว่ามันคือสถาปัตยกรรมโบราณแน่ๆ เมื่อมองด้านบนให้แน่ชัดมุมหกเหลี่ยมนั้นยื่นเป็นเรียวแหลมและห่อขึ้นคล้ายดอกบัวใกล้บาน ในใจกลางนั้นมีทรงกลมนูนมาสีแดงคล้ำน่าหลงใหล หนุ่มมาดผู้ดีเผลอใจไป ใช้ฝ่ามือค่อยๆลูบจนรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ลึกล้ำเหนือจินตนาการ

 

       

 

         

 

          

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา