The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  36.87K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

28) 024-ปริศนารานูนานุ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

024-ปริศนารานูนานุ

 

        หลังเสียงร้อง ทุกคนตื่นเต้นกรูกันเข้ามาสอบถามเจ้าเสียงเมื่อครู่ว่าเป็นจริงเช่นไร

 

"หมอนั่นยังไม่ตายแฮะ"เสียงจากคนมุงคนหนึ่งดังขึ้น ได้ยินชัดกันทั่ว บุคคลบริเวณนั้นพากันดีใจยกใหญ่เพราะชาร์ลคือบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่งในองค์กรเรเมดี้

 

"เป็นข้อความชาร์ลจริงๆด้วย"เสียงใสๆจากคนมุงอีกคนดังขึ้นอย่างปิติ หลังมองฟ้าเห็นอักษรประหลาดลอยเด่นอากาศ โดยมีชื่อของชาร์ลกำกับไว้ท้ายสาร

 

         เนื้อหาระบุว่า ขอความช่วยเหลือให้แปลอักษรประหลาดแล้วส่งกลับโดยด่วน หลายคนเข้าใจเจตนาของชาร์ล ว่าต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแน่ เลยพากันเป็นห่วงแต่ใช่ว่าแตกตื่น

         เจ้าของเสียงคนแรกหรือนิค เข้าใจเจตนาของชาร์ล เขาเร่งรีบจดอักษรนั่นลงบนกระดาษ แล้ววิ่งไปส่งมอบให้กับคณะอักษรศาสตร์ทันทีซึ่งอยู่ชั้นถัดลงมาจากชั้นหอรับส่งข่าวสาร

         หลังส่งถึงมือชายชราที่ก้มหน้าทำงานบนโต๊ะเอกสารก่ายกองอย่างรนราน นิคเร่งเร้าเขาด้วยเสียงหอบแฮ่กกระเสือกกระสน แถมยังกำกับแน่นชัดด้วยว่า"ด่วน!!!" คนในคณะอักษรศาสตร์เกิดอาการงงไปตามๆกัน แต่ก็พอเดาออกเพราะสีหน้านิคมันบ่งบอกกับอาการกระวนกระวาย

         ฟ้าสีดำเริ่มฉายไล่แสงอัสดง ศาสตราจารย์คณะอักษรศาสตร์พลันขยับกายไปทางกองเอกสารท้ายห้องและค้นหาบางอย่าง ค้นๆๆไป ไม่ช้า เขาด่วนกลับมายังโต๊ะทำงานที่เดิม

 

"เร็วๆหน่อยครับ ศาสตราจารย์"นิคร้อนรน

 

"อักษรนี่แปลกประหลาด คงต้องใช้เวลา"เสียงแหบแห้งกล่าวตอบ ขณะยังก้มหน้าคุ้ยหาเอกสารที่ต้องการ

 

        ครู่เดียว ศาตราจารย์ก็ยิ้มหน้าบานพร้อมหยุดเปิดหน้าแฟ้มเอกสาร เขาเลื่อนสายตาไปมาจดๆจ้องๆ นิคชะเง้อคอตามแต่ไม่ทราบละเอียด ช่วงนี้นิคดูกังวลจนมือไม้ไม่อยู่สุข สายตาล่อกแล่กเหลียวมองแต่ทางหน้าต่างตลอดเวลา

        ศาสตราจารย์ใช้มือหยิบกระดาษที่นิคให้ขึ้นมาดูและเทียบมันลงกับอักษรในหน้าเอกสารนั้น

 

"อ่า ใช่"ศาสตราจารย์ว่า แล้วเหลือบมองนิค"อักษรกูจากุน่ะ"

 

"พอแปลได้ไหมครับ"นิคถามแต่สายตาเหลียวไปทางหน้าต่าง"รีบๆหน่อยครับ แสงตะวันใกล้ลับฟ้าแล้ว"

 

         ศาสตราจารย์พยักหน้ารับ และหันไปหาคณะทำงานอีกสามชีวิตให้มาช่วยโดยด่วนหลังเสียงเรียกชื่อดังขึ้น

 

"ดาเวน บีย่า ดวอร์น"

 

"ครับ/ค่ะ" 

"ครับผม"

 

        หลังเสียงสามคนนั้นขานรับ พวกเขารีบลุกมาอย่างไวเพราะตื่นเต้นและแปลกใจกับสีหน้าของนิค ชายกลางคนหรือดวอร์นและหญิงสาวหรือบีย่าได้เห็นอักษรแล้วจำต้องขยับแว่นตาก้มมอง แต่ชายหนุ่มกลับถมึงตามองก่อนยื่นมือแย่งกระดาษนั้นเข้ามาดูใกล้ๆ

 

"ทามูรานูนานุ คุตาราโซนาเอ  โยะโชวาเงรา.... "ชายหนุ่มหรือดาเวนอ่านด้วยเสียงทอดช้ากระทั่งหยุดลง แล้วหันมองศาสตราจารย์ที่ก้มหน้าเคร่งคิด

         หลังศาสตราจารย์ดูเอกสารเรียบร้อยแล้ว สายตาเลื่อนเหลือบขึ้นและช่วยดาเวนว่าต่อจนจบ นิคพลันเอ่ยถาม"ปัญหาต่อมา มันแปลว่าอะไรครับ"

 

          เสียงของนิคดังชัดถ้อยชัดคำ หญิงสาวและชายกลางคนกลับขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดพร้อมกันว่า..

 

"ปริศนาแห่งรานูนานุ จงหาอัญมณีสีแพรวพราวให้ครบ บรรจบกันแล้วจึงเกิดแสงทางเข้า ที่ใดหลายที่ เจ้าจงค้นคว้ามัน บลัดสโตน มูนสโตน ซันสโตน ลาบราโดไลท์ แบล็คทัวร์มาลีน เมจิกไซท์ เนธาเนียร์เซไลท์ "ว่าเสร็จทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนหันสบตาชายชราพร้อมกันเป็นเชิงถามด้วยสายตาว่าแปลถูกหรือไม่ ศาสตราจารย์ตอบโดยการพยักหน้า  นิคเผยใบหน้าตื่นเต้นก่อนพูดพรวดขึ้น..

"ตามนี้ใช่ไหม"

 

          จากนั้น นิคทำทีจะวิ่งจากไป แต่ศาสตราจารย์รีบโบกมือห้ามเขาให้ช้าก่อน เพื่อกล่าวสรุปความอย่างมั่นใจพร้อมกับตีความให้ฟัง แต่ก็ช้าหน่อยเพราะสมองลดประสิทธิภาพการประมวลผลเนื่องด้วยความชรา

         ครั้งศาสตราจารย์จะเอ่ยปากถามถึงที่มาของอักษรประหลาดนั่น แต่เมื่อนิคได้ฟังครบถ้วนแล้วนั้น จึงเร่งพรวดกายออกจากคณะอักษรศาสตร์ ไปหอรับส่งข่าวสารทันทีพร้อมกล่าวคำขอบคุณทิ้งท้ายไว้ ทิ้งให้ศาสตราจารย์ต้องนั่งอ้าปากค้าง และทั้งสามเกิดความงุนงงปรายตามองตามนิคไป

 

          ครั้นแล้ว หลังขึ้นมายังหอรับส่งข่าวสาร นิคถูกจับจ้องเป็นตาเดียวด้วยสายตาลุ้นระทึกกับการส่งสารให้ทันเวลา

          ..คงทันเวลา เมื่อนิคส่งข้อความตอบกลับเสร็จ เป็นเวลาค่ำพอดีแต่ขอบฟ้ายังทาสีม่วง ซึ่งเมื่อมองฟ้ายังพอเห็นก้อนเมฆได้บ้างบางส่วน ทุกคนภาวนาว่า ขอให้ชาร์ลได้อ่านและส่งข้อความรับทราบกลับมา

        เหตุการณ์นี้ มันเหมือนกับว่าชาร์ลกำลังจะหยุดอุกกาบาตพุ่งชนโลกอย่างไงอย่างงั้น เพราะหากไม่เข้าตาจน ชาร์ลจะไม่รบกวนบุคลากรในองค์กรเป็นอันขาด ทุกคนในหอรับส่งข่าวสารหยุดทำงานไปโดยปริยาย และเฝ้ามองฟ้าค่อนราตรีด้วยใจจดใจจ่อ 

         หัวใจนิคมีแต่ความห่วงใยและคิดถึงชาร์ล เขาได้ใส่ข้อความห่วงใยจากทุกคนในองค์กรเรเมดี้ไว้ในสารนั้นด้วย

 

ทางด้านกลุ่มกิเรเร่ในเขตกูกู

 

          ทั้งคณะเดินทางพักผ่อนกันข้างล่าง นั่งล้อมกองไฟอันให้แสงสว่างและไล่หนาว ทั้งยังเตรียมคบไฟไว้เผื่อต้องเดินทาง เว้นแต่ชาร์ล ซึ่งอยู่บนทางลอยเพียงคนเดียวยังจดจ้องท้องยามราตรีด้วยความเชื่อ

          แม้เข้าสู่ช่วงค่ำแล้ว ทว่าทัศนียภาพด้านซ้ายไกลยังเบื้องล่างของทางลอยช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ตามพุ่มใบยอดไม้ต้นเซคแทงออกเป็นสีส้มสว่างไสวส่องมา ส่งให้ใบเขียวชะอุ่มเรืองแสงมรกตในเขตกูจู

         ส่วนด้านขวา ซึ่งเป็นเขตกูกูส่องด้วยแสงสีเขียวสลับเหลืองแซมด้วยส้ม ตามซอกใบตามซอกต้นและไม้ดอกไม้เลื้อย ช่างดูน่าตื่นตาตื่นใจ รวมๆแล้วแสงทั้งหมดสว่างมากพอสามารถเห็นก้อนเมฆเบื้องฟ้าได้สะดวก

         ชาร์ลเพ่งฟ้านานโข แต่ไม่สนใจความงามของแสง และแล้วความเชื่อของเขาก็แสดงขึ้น ข้อความจากองค์กรเรเมดี้ลอยเด่นสง่าบอกคำแปลของอักษรประหลาด

         หลังอ่านสาร ชาร์ลยืนกอดอกส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อยเพราะช่วงท้ายมีการฝากความคิดถึงไว้ แสงจากป่าพลันสวยงามขึ้นทันทีในใจเขา ดังนั้น หนุ่มมาดผู้ดีจึงส่งข้อความขอบคุณกลับไปยังองค์เรเมดี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

"เฮ่ ทุกคน ขึ้นมาบนนี้สิ"ชาร์ลเกาะขอบทางลอยเรียก ผู้ที่อยู่ล่างรีบแหงนหน้าขึ้นอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครขัดข้องจึงทยอยตามกันมาทันที

          หลังมาถึง ทุกคนต้องสะดุดตาตะลึงใจ เมื่อมองไปรอบๆแล้วเห็นมหกรรมแสงสีจากป่าอันเฉิดฉาย เนเน๊ะเป็นปลื้มยิ่งนักจนเธอต้องหมุนตัวไปรอบๆ

 

"ว้าวววว"เนเน๊ะผายมือทั้งสองพร้อมเงยหน้าสูดอากาศ"สวยงามที่ซู้ดดด"

 

"คงพอได้หายเหนื่อยบ้างแฮะ"วิคเตอร์เหม่อมองยังเขตกูจู โดยมีโอ'เกนท์ คาลาเนส วูดตันยืนเรียงกันและเหม่อมองสิ่งเดียวกัน

 

"เขตศักดิ์สิทธิมันอัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง"โอ'เกนท์สำทับ หันมาทางวูดตัน"นายว่าไหม"

 

"ฉันอยู่ป่ามาก็นาน เพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ย"วูดตันพูดพลางยิ้ม ทั้งหมดจึงหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ทำให้วูดตันต้องเกาหัวยุ่งยิ้มอายๆ

 

"ไง บ้าง มันแปลว่าอะไรชาร์ล"เพียล่าสะกิดถามหลังเล็งเห็นชาร์ลดูเครียดไป

 

           ชาร์ลทำท่าครุ่นคิด ก่อนหันไปเรียกทุกคนให้มารวมตัวเพื่อจะได้บอกคำแปลนั่นให้ฟัง

 

"ปริศนาแห่งรานูนานุ จงหาอัญมณีสีแพรวพราวให้ครบ บรรจบกันแล้วจึงเกิดแสงทางเข้า ที่ใดหลายที่ เจ้าจงค้นคว้ามัน บลัดสโตน มูนสโตน ซันสโตน ลาบราโดไลท์ แบล็คทัวร์มาลีน เมจิกไซท์ เนธาเนียร์เซไลท์ "ชาร์ลกล่าวด้วยสีหน้าวิตกพร้อมยกมือกุมขมับ ทุกคนรับฟังโดยไม่มีใครแย้งหรือไม่เชื่อ แต่แค่อาจทำให้ปวดหัวนิดหน่อย

 

"โอ้ววว นี่เราต้องไขปริศนากันอีกแล้วใช่ไหมนี่"โอ'เกนท์เอ่ยพร้อมยกมือกุมขมับตาม

 

"แล้วทำไมเราต้องไขปริศนาอะไรเหล่านี้ด้วย"คาลาเนสทำหน้าตาแปลกใจ

 

"มันเกี่ยวอะไรกับที่นี่งั้นหรอ"วิคเตอร์ครุ่นคิดถาม ขณะยืนอยู่ข้างชาร์ล

 

"ข้อความนี้ต้องถูกส่งมาจากพวกเจ้านายหัวฟักทองเป็นแน่"ชาร์ลเสริมให้ ก่อนสบมองใบหน้าทุกคน

 

"คงใช่ เพราะตอนที่ฉันถามเขา จริงๆแล้ว เขาบอกเพียงแค่ว่าเขาจะพาเรามายังเขตกูกู แต่ไม่ได้บอกว่าจะพาเราไปไหน"หลังวูดตันระลึกได้จึงช่วยกล่าวอีกเสียง"พวกเขาคงต้องการ ทดสอบอะไรพวกเราล่ะมั้ง"

 

"วูดตัน!! แล้วที่นายบอกว่าพวกเขาจะพาเรามาต้อนรับล่ะ!!"เพียล่าใช้เสียงสูงเพ่งมองผู้ช่ำชองป่า

 

"เอ่อ.. อันนั้นฉันเดาเอง"วูดตันยิ้มแก้ต่างพร้อมเกาหัวแกรกๆ

 

"ถ้าปริศนารานูนานุคือหนทางออกจากที่นี่ได้.."ชาร์ลเว้นช่วง"เราจะลองเสี่ยงกันไหม"

 

"เสี่ยง!?"โอ'เกนท์พูดพรวดขึ้นพร้อมทำหน้าสงสัย"ก็น่าลองอยู่นะ"

 

"คงไม่มีทางเลือกเพราะมันมีแค่ทางเดียวที่เราจะต้องไปจากที่นี่"เพียล่าเปรยรวบรัด"ตามนั้นนะ"

 

"หากมีโอกาสได้เจอพวกนั้นอีกครั้ง"วูดตันพูดขณะมองฟ้าด้วยใบหน้าจริงจัง"ฉันก็อยากจะถามเหมือนกันว่าภาษากูจากุ ใช่ภาษาถิ่นของเผ่ากูจิไหมนะ"

 

"พร้อมค่ะ"เนเน๊ะพูดโพล่งหน้าตามุ่งมั่น แต่ดูเหมือนสาวน้อยจะสนุกกับสถานการณ์มากกว่าวิตก

 

"เริ่มวางแผนกันเลยละกัน"วิคเตอร์ว่าขณะมองไปยังเขตกูกู

 

"งั้น ฉันนำทางให้เอง"วูดตันชูมือขึ้น เหลียวมองทุกคนที่เงียบงัน

 

"เอ่อ ฉันว่านายระวังหลังดีกว่านะ"เพียล่าแค่นยิ้มตอบไป ทุกคนรีบพยักเพยิดเห็นด้วย

 

         ทว่า แม้เป็นราตรีหรือฟ้ามืดเพียง บริเวณโดยรอบและตึกของศูนย์ใหญ่องค์กรเรเมดี้ยังคงสว่างไสว เนื่องด้วยแสงของมนตราจากผู้ใช้ศาสตร์สายสร้างนิมิตระดับ7อัครองครักษ์จักรพรรดินีลามิเรส ซึ่งมันสว่างมากพอจนคืนแห่งความมืดมิอาจกล้าย่างกรายเข้าหาเพราะแสงนั้นแรงดุจแสงตะวัน และยังส่องฟากฟ้าจนเห็นทุกซอกมุมในมวลเมฆ

         หลังศูนย์ใหญ่องค์กรเรเมดี้ชั้นหอรับส่งข่าวสารได้รับข้อความจากชาร์ล ทุกคนพากันเฮดีใจส่งเสียงกันลั่นตึก พลางปรบตบมือกันสนั่นชั้น จนแผนกและฝ่ายอื่นๆนึกสงสัยจึงถากันขึ้นมาแออัดและพลอยดีใจร่วมกันไปด้วย เมื่อรู้ว่าชาร์ลยังสบายดีจากข้อความที่เขาส่งมา

 

          กลุ่มกิเรเร่เริ่มประชุมกันหลังยืนล้อมเป็นวงกลมบนทางลอย คณะเดินทางครุ่นคิดกันอย่างหนักเพื่อตีความ ความหมายของปริศนา  ทว่าเนื้อความที่ตีได้ยังกำกวงไม่เด่นชัดเห็นแก่นแท้ แต่พอเดาได้คร่าวๆว่าต้องตามหาอัญมณีที่โจทย์บอกให้ครบแล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากัน และนี่เองคือโจทย์แรกจะต้องทำให้สำเร็จ..

         จากนั้น ชาร์ลผู้รอบรู้ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของหินแต่ละชนิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยมีโอ'เกนท์กับวูดตันคอยเสริมข้อตกหล่น ทุกคนพยักหน้ารับฟังกันอย่างตั้งใจ แต่ยังมีข้อสงสัยผุดขึ้นอีกสำหรับเนเน๊ะ

 

"อะไรคือเมจิกไซท์ อะไรคือเนธาเนียร์เซไลท์"หลังงุนงงเนเน๊ะพลันเอ่ยถาม เพราะไม่เคยชวดชมมาก่อน

 

"เมจิกไซท์ คือ หินเวทคล้ายหินพ่อมด เป็นสิ่งสังเคราะห์ขึ้นจากความชั่วร้ายแห่งการหักหลัง มันมีสีเขียวแกมน้ำเงินเข้มและเปล่งประกาย คุณสมบัติ คือ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ใช้มนตราได้ดี แต่! มันเป็นดาบสองคม ไม่ควรครอบครองไว้นาน"ชาร์ลกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่งแล้วว่าต่อ ซึ่งเนเน๊ะตั้งใจฟังมาก พร้อมทำตาโตและใช้นิ้วแม่มือจุ๊บปาก"ส่วนเนธาเนียร์เซไลท์ คือ หินใส แต่มีสีขาวขุ่นเล็กน้อยและเปล่งประกาย ส่วนคุณสมบัตินั้น ฉัน.. ฉันจำไม่ได้"

 

         ชาร์ลเงียบลง เนเน๊ะก้าวเท้าถอยออกจากวงสนทนา แล้วมองไปยังเขตกูกูที่ไกลออกไป เห็นแสงสีเล่นสลัับลายแสง เธอหันกลับมามองชาร์ลเป็นคนแรก ซึ่งพบว่าเขากำลังทอดขาเดินลงไปยังข้างล่างและตามด้วยที่เหลือ สีหน้าทุกคนดูเรียบเฉยจนน่าประหวั่น

 

"ไปกันเถอะเนเน๊ะ"เสียงคาลาเนสเอ่ยช่วย หลังเห็นเนเน๊ะหยุดนิ่งไปเฉยๆ

 

"อื้อ.."สาวน้อยตอบสั้น แล้วก้าวขาไปพร้อมคาลาเนส

 

         หลังลงมาถึงช่วงนี้ของเขตกูกู มันมืดจนโอ'เกนท์ต้องกระจายแจกคบไฟให้ครบครัน เนเน๊ะด้วยเช่นกันที่รับมันไว้ในมือ

 

"จะไปทางไหนกันดี?"

เพราะบรรยากาศมันมืดสลัวชาร์ลพรวดถามทุกคน

 

         ทว่า แม้มีคำเอ่ยถามแต่ทุกคนกลับเงียบฉงนเพราะไม่แน่ใจ ทั้งคณะยื่นคบไฟส่องตามต้นเซคและโดยรอบของทางเดิน แต่ยังไม่พบอะไรที่น่าสังเกต

         ชั่วอึดใจผ่านไป ทุกคนยังไม่มีใครให้คำตอบ ปล่อยให้ชาร์ลเดียวดายโดยมิได้ตั้งใจ

         เนเน๊ะสำรวจไกลกว่าเพื่อน ปลีกตัวเดินออกไปทางขวา ที่ๆมีทางสามแยก สาวน้อยราวถูกล่อลวง เธอฉายคบไฟไปทางซ้ายซึ่งมีเถาวัลย์โยงระย้าลงรุงรัง ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป จนกระทั่ง..

 

"เนเน๊ะไปไหนน่ะ"เพียล่าผิดสังเกตพลันร้องทัก แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้เช่นกัน เพราะต่างคนมัวแต่สำรวจและมองไปยังหน้าเพียล่า

 

"คงอยู่แถวนี้ล่ะน่า"วิคเตอร์หน่ายหน้าตอบ"กระจายกันสำรวจก็แล้วกัน"

 

          คำพูดนั้นของวิคเตอร์ บ่งชี้บอกทุกคนให้เห็นด้วย เพราะหลายคนต่างเป็นห่วงเนเน๊ะ

          จากนั้น ชาร์ลจึงสำทับว่าหากรุ่งสางยังตามหาหินไม่เจอหรือไม่ครบ ยังไงก็..ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ ที่ลาดลงทางลอย อันมีซากกองฟืนเป็นตำแหน่งหลัก

         เพียล่ากับคาลาเนสคงห่วงเนเน๊ะไม่คลาย ทั้งสองสำรวจไปพลางร้องเรียกชื่อสาวน้อยไป ร้องไปเท่าไรแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบ สาวนักรบกับเด็กชายเริ่มประหวั่น ทั้งที่จริงแล้วเนเน๊ะไม่น่าจะหนีห่างไปไกลเกินเสียงจะหยั่งถึง

         ทั้งสองสบตากันเป็นเลศนัย โดยไม่ให้ใครสังเกตทันและพยักหน้ารับรู้เข้าใจกันว่าควรทำสิ่งใด ในฐานะผู้รู้คำทำนาย

         ครั้นแล้ว ทั้งสองเร่งออกสำรวจไปเส้นทางเดียวกัน หวังตามหาเนเน๊ะให้เจอ ซึ่งได้เลือกเดินมาตามทางที่เห็นเนเน๊ะเป็นครั้งสุดท้าย

        ส่วนที่เหลือนั้น ชาร์ลจับคู่กับวูดตันและมีโอ'เกนท์พ่วงด้วย ช่วงนี้ ชาร์ลแปลกใจกับวิคเตอร์ที่จู่ๆพลันหายวับหลังมองโดยรอบละเอียดแล้ว และต้องสงสัยหนักกว่าเก่า เนื่องจาก เพียล่ากับคาลาเนสก็หายวับไปด้วยเช่นกัน

        สาเหตุที่หนุ่มนักรบหายวับไป เพราะเขาเห็นท่าทางของเพียล่ากับคาลาเนสทำลับๆล่อๆ จึงแอบย่องสะกดรอยไปอย่างห่างๆ หลังดับคบไฟจนมอดมิดโดยไม่ให้ใครสังเกตได้ 

     

         สาวน้อยย่ำไกลมาได้สักพัก เธอรู้สึกหลงทางและคิดถึงเพียล่า รู้สึกเปลี่ยวระแวงและระวังตัว จะหันทางใดก็พบเจอแต่ความมืด และริ้วลายไม้ของต้นเซคน่าสะพรึงดั่งวาดเป็นดวงหน้ามนุษย์  

         ทว่า..ทางย้อนกลับ ในตอนนี้มีเพียงพุ่มเถาไม้ขนาดใหญ่บดบังกลั้นไว้ เนเน๊ะไม่มีทางเลือก เธอต้องเลือกไปต่อ ไปข้างหน้า 

         ไปได้ไกล กระทั่งพบต้นเซคต้นหนึ่งด้านซ้าย อันมีแสงสีเขียวประกายจากเปลือกไม้ และทางข้างหน้าก็สว่างไสวไปด้วยแสงเดียวกัน

          สาวน้อยเหล่ตานึกสงสัยเพราะเห็นว่าแปลก ครั้งจะเอื้อมมือจับ กลับมีเสียงดังขึ้นจากทางใดมิอาจทราบ

 

"ไง เทพธิน้อยของข้า"เสียงแหบแห้งน่าเกรงกลัวดังแว่วมาตามสายลม"โอ๊ะ โอ ไม่ต้องตกใจ นี่ข้าเอง"

 

"ใครน่ะ!?!"เนเน๊ะเหลียวขวับเอ่ยดัง

 

         พลันนั้น เจ้าของเสียงได้ปรากฏร่างต่อเบื้องหน้าเนเน๊ะ สาวน้อยยกมือขึ้นป้องตาเพราะแสงสว่างจ้าขึ้นมากและย้อนมา เนเน๊ะหลี่ตามองแลเห็นบางสิ่งเป็นเงาดำคล้ายมนุษย์ตัวเล็ก 

        ร่างนั้น ขยับเท้าเข้าหาเนเน๊ะขณะยังยืนอึ้ง และหยุดยืนห่างกันเกือบหนึ่งวา ครู่เดียว เธอระลึกขึ้นได้ว่าเหมือนเคยเห็นร่างนั้นที่ป่าอิปรู ทางเข้าหมู่บ้านกูจิและในกระโจมซอมซ่อ ซึ่งมันก็จริง ร่างนั้นมีลักษณะตรงตามทุกประการที่จำได้ ทว่าเนเน๊ะกลับไม่เกิดความหวาดกลัวต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่สงสัยว่าทำไมต้องทำลับๆล่อๆด้วย ครั้งจะเอ่ยถามแต่จำต้องหยุดไป..

 

"ข้าชื่อ ฟารัม"เขาพูดเสียงแหบแห้ง พร้อมยกมือแตะอกและยื่นมืออีกข้างหนึ่งออก"และนี่คือสิ่งที่เจ้าตามหา"

 

        หินสามชนิด อันได้แก่ บลัดสโตน มูนสโตน แบล็คทัวร์มาลีน เปล่งประกายบนฝ่ามือของร่างประหลาดพร้อมเผยรอยยิ้มชวนขนลุก เนเน๊ะมองไม่ถนัดจึงขยับกายเทียบเคียงหันหลังให้แสง

         ครั้นแล้ว สาวน้อยต้องตกตะลึง หินทั้งสามเป็นของจริง แต่เธอกลับแปลกใจว่าเหตุใดร่างเล็กถึงรู้ว่าเธอต้องการสิ่งเหล่านี้ 

          ฟารัมมองสาวน้อยด้วยดวงตากลมโตและรอยยิ้มส่อพิรุธ เหมือนกำลังรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่

 

"รับไปสิ"เขายัดหินทั้งสามเข้าฝ่ามือเนเน๊ะ"แล้วข้าจะช่วยหาที่เหลือ"

 

       เนเน๊ะรับสิ่งนั้นมาอย่างงุนงง เธอยกหินทั้งสามขึ้นดูใกล้ๆแล้วปรายตามองร่างเล็กขณะยิ้มไม่หุบ แสงสว่างเบื้องหน้าสว่างมากเหลือ ฟารัมหันขวับย่องกายไปยังแสงนั่น แสงที่เป็นทรงกลมรีแนวตั้งดั่งแสงวาร์ป

        จวนถึงวงแสง ฟารัมหันกลับทำท่าขวักมือให้สาวน้อยเดินตาม ทว่าเนเน๊ะใจซื่อ เดินตามอย่างไม่มีคำถาม

        เข้าใกล้วงแสงเรื่อยๆ มือจึงยกป้องหน้าและหรี่ตามองฟารัมหายวับเข้าไปและเธอก็ตามไป

 

        กระทั่ง  ฟารัมและเนเน๊ะโผล่ออกอีกที่หนึ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรกันมากกับที่จากมา เนเน๊ะเดาว่ายังคงอยู่ในเขตกูกู เธอเดินตามหลังฟารัม เว้นระยะห่างกันแค่4ก้าวเท่านั้น

 

"ข้าจะพาเจ้าไปหาเมจิกไซท์น่ะ"เขาพูดราวกับรู้ความคิดเนเน๊ะ"คงไม่ใกล้ไม่ไกล"

 

        เนเน๊ะอึ้งเงียบ เมื่อรู้ว่าเขาอ่านใจออก แต่เธออาศัยใจซื่อไม่คิดร้าย  กลับกันกับร่างเล็กซึ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วจะพาไปไหน

        ขณะยังย่ำไปเรื่อย เนเน๊ะชวนคุยแต่ฟารัมกลับเฉยและบางครั้งมักทำท่าขู่ให้เงียบ สาวน้อยไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าตนตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน 

        ครั้นจะหนี คงทำได้ยาก หากขัดขืนคงเกิดการต่อสู้ เนเน๊ะเหมือนถูกบังคับทางอ้อม ต้องจำใจก้าวตามฟารัมไปโดยปริยาย

 

        ทางด้านเพียล่ากับคาลาเนส เสาะหารอยทางของเนเน๊ะกันไม่หยุดหย่อนพลางเรียกชื่อไปพลาง มีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา ทั้งสองไม่ได้สนใจหาหินปริศนาเพราะรู้ว่าเนเน๊ะสำคัญกว่ามาก

 

        ส่วนวิคเตอร์ยังสะกดรอยเงียบ ในใจเขามีแต่ความใคร่รู้ ว่าเหตุใดสองคนนั้นถึงไปด้วยกัน ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่นาน อีกอย่างตัวตนของคาลาเนสยังเป็นปมมืดและเป็นบุคคลปริศนา วิคเตอร์แน่ชัดในใจว่าทั้งสองต้องมีอะไรปิดบังเกี่ยวกับเนเน๊ะ 

        ทว่า หนุ่มนักรบเดาได้ถูกทางแม่นยำ หลังสะกดรอยตามมาไกลเพียล่ากับคาลาเนสกลับไม่สนทนากันเลยสักนิด ได้แต่เรียกชื่อเนเน๊ะลั่นป่า อดทนเท่านั้นที่ต้องทำต่อไป

 

        ด้านชาร์ล โอ'เกนท์และวูดตันขมักเขม่นสำรวจกันอย่างยิ่งยวด แต่ยังไม่พบเจออะไรต้องสงสัย ทั้งสามคืบคลานกันไปช้ามาก กระทั่งมือของโอ'เกนท์สะดุดเข้ากับบางสิ่งของต้นเซคที่เรืองสีส้มเป็นเส้นริ้ว และไม่ตั้งใจใช้แรงผลัก

        ฉับพลัน กลไกบางอย่างด่วนทำงาน พื้นที่ที่ทั้งสามยืนอยู่กลับสั่นกระเพื่อมแล้วยกตัวลอยขึ้นสูง

 

"เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย"โอ'เกนท์พยายามทรงตัว"นี่มันอะไรกัน"

 

"กลไกหรือกับดัก"วูดตันแตกตื่น"ปลอดภัยๆแน่ๆ"

 

"ใจเย็นๆน่า"ชาร์ลร้องมาหลังพื้นกลไกชะลอความเร็ว

 

          เบื้องหน้าพวกเขาตอนนี้ คือลานไม้กว้างเตียนโล่ง แต่มีพุ่มกิ่งใบรายรอบเป็นวงของต้นเซคราวถูกผ่าในฉับเดียว 

          ทุกคนตกตะลึง มองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่ยังคงสติ ชาร์ลก้าวขานำเข้าไปเป็นคนแรกและตามมาด้วยที่เหลือ ทุกคนกระจายฉายคบไฟสำรวจกันโดยละเอียด แต่ยังเหมือนเดิม ยังไม่พบสิ่งใดนอกจากใบไม้กับความมืด

 

"ขึ้นมาเพื่อแค่นี้น่ะรึ"โอ'เกนท์ว่าพลางตวัดคบไฟใส่พุ่มใบ

 

"ลองหาดูดีๆก่อน"ชาร์ลพูดขณะยังใช้คบไฟส่องลายวงไม้ที่ใจกลาง เพื่อนับรอบอายุของต้นเซคต้นนี้

 

        ขณะไม่มีใครทันสังเกต ความร้อนจากคบไฟที่โอ'เกนท์ตวัดเหวี่ยงนั้นได้ลุกลามทำให้บริเวณนั้นติดไฟ ไม่ช้า มันเร่งแพร่ออกจนโดยรอบติดไฟลุกโชนสว่างจ้ารวดเร็วจากการเผาไหม้ ทั้งสามรวมตัวกันอยู่ตรงกลางลานไม้เพราะตกอยู่ในวงล้อมแห่งไฟ ทางเข้าถูกปิดไปโดยพลัน

 

"นายทำอะไรของนายเนี่ยโอ'เกนท์!!"ชาร์ลร้องดัง"เฮ่อ.."

 

         แสงไฟโชติช่วงส่องใบหน้าและร่างทุกคนให้เห็นชัด ความร้อนระอุส่งผลให้ทั้งสามเริ่มหาหนทางหลีกหนี ทว่ามันไม่ง่ายดายเช่นนั้น ครั้งจะกระโดดลงคงตาย ครั้งจะดับไฟมันก็เสี่ยง

        ทางเลือกเดียวคือต้องร้องให้ใครช่วยซึ่งเป็นแผนของโอ'เกนท์นั่นเอง

        ผ่านไปหลายเสียงหลายรอบ กลับยังไม่มีใครโผล่มาหรือขานรับ ทั้งสามจนปัญญาโดยแท้แน่วแน่รับชะตากรรม แต่ใครจะยอมตายเพราะถูกไฟคอกล่ะ คิดได้ดังนั้น โอ'เกนท์จึงเขวี้ยงหอกอาบเพลิงที่ปลายแหลมขึ้นฟ้าราวจุดพลุสัญญาณ 

        ทั้งสามคาดว่าคงได้ผล ทั้งแสงจากฟืนไฟรายล้อมและแสงไฟจากหอกพุ่งขึ้นฟ้า ความหวังเริ่มส่องแสง แต่หลายรอบผ่านไปยังเหมือนเดิมไม่มีใครมาช่วย

 

"ใครจะถอดใจกับเรื่องแบบนี้กันล่ะ!!"ชาร์ลแหกปาก"ฉันยังมีความฝันอยู่นะ!! ฉันจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่แน่!!"

 

         ชาร์ลเผยสีหน้าจริงจัง กล่าวด้วยเสียงกังวาลน่าสะพรึง พลันนั้นเหล่าเพลิงไฟกลับอ่อนลงเกือบดับสนิท และเสียงใครอื่นก็ดังขึ้นมาตามอากาศ

 

"จิตคุกคามช่างน่ายกย่อง"เป็นเสียงสตรีเอ่ยกร้าว"แต่ยังห่างชั้น"

 

        สายลมพัดโบกสะบัด เพลิงไฟมอดดับสนิท สูงขึ้นบนไปท้องฟ้าราตรี เบื้องหน้าของพวกเขามีบางสิ่งลอยลงอย่างเชื่องช้า จนกระทั่ง.. สายตาทั้งสามมองชัดถนัดได้

        สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ สตรีร่างงาม สวมอาภรณ์เขียวยาวปักลวดลายชวดชมคล้ายดั่งลายไม้ ใบหน้าค่าตาแปลกไปจากมนุษย์ เพราะข้างแก้มนั้นมีรอยปูดโปนคล้ายรากไม้แซมขึ้น ดวงตาก็แปลกไป  มีผิวสีโทนเขียวดูกลมกลืนกับธรรมชาติ ส่วนมือและเท้าทั้งสองมีลักษณะเหมือนรากไม้ยาวยั๊วเยี๊ย ร่างนั้นไม่ยืนติดพื้นและมีแสงมรกตเปล่งประกายทั่วร่างสมสง่า

 

"เฮ่ย!! นั่นมัน"วูดตันโพล่งขึ้นพร้อมยื่นนิ้วชี้ไปยังสตรีร่างมรกต"มัน พรายไม้ปีศาจ"

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา