The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  37.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) 025-ปริศนารานูนานุ(2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

025-ปริศนารานูนานุ(2)

 

        สิ้นเสียงวูดตัน สตรีร่างนั้นรีบเอ่ยขึ้น

 

"ลาบราโดไลท์อยู่กับข้า"นางว่าด้วยเสียงเฉื่อย พร้อมชูกำปั้นที่มีแสงขึ้น"ถ้าอยากได้ พวกเจ้าก็เข้ามาเอาสิ" 

      

         สตรีร่างมรกตเผยใบหน้าส่อแววเจ้าเล่ห์ ชาร์ลละล้าละลังหมายย่างกายไปรับ ขณะก้าวแรกกำลังขยับออกวูดตันรีบฉุดชาร์ลไว้ แล้วบอกด้วยสายตาว่าอย่าไป เช่นนั้น สตรีร่างมรกตกลับเป็นฝ่ายล่องเข้าหาทั้งสาม

         นางหยุดลอย ตรงหน้าทุกคนและชูหมัดขึ้นสูง ทั้งสามถอยกรูดเกาะกลุ่มกัน จ้องมองนางอย่างระวัง ไม่ช้า สตรีร่างมรกตก็คลายมือออก และบางอย่างได้ลอยลงอย่างแช่มช้า มันคือ หินสีน้ำเงินแกมเขียวเปล่งประกายหรือลาบราโดไลท์นั่นเอง 

         ชาร์ลรับมันด้วยฝ่ามือ ก่อนเหลือบตามองสตรีร่างมรกตอย่างแปลกใจ นางมองกลับ แต่ไร้กิริยาตอบสนองใดๆว่ามีแววเป็นศัตรู เพียงแต่ยิ้มให้ก็เท่านั้น

 

"ขอบคุณ"ชาร์ลเหยียดเรียวยิ้มไม่เต็มปาก บนสีหน้าประหลาดใจ"หลังจากนี้ผมจะหาส่วนที่เหลือต่อได้จากที่นี่ไหน"

 

         การที่ชาร์ลถามแบบนี้ ย่อมหมายความว่า เขารู้ว่า นางรับรู้ได้ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังตามหา

         นางไม่ตอบ หากแต่ยิ้มมุมปากพร้อมส่ายหน้าให้ และล่องกายถอยออกห่าง เลยลานไม้แล้วหายวับไปในความมืด ปล่อยให้ทั้งสามงงงวยกับคำถามที่ไม่ได้คำตอบ

         ทุกอย่างเข้าสู่สภาพปกติ ทั้งสามถอนหายใจ ก่อนหันหน้าปรึกษาพูดคุยกันอย่างวิตกเล็กน้อย เพราะยังไม่มีใครวางใจ และในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆหรอก ทุกคนเดินสำรวจรอบๆอีกครั้งหลังไฟไหม้มอดดับ วูดตันพบว่าพื้นลอยตัวยังคงอยู่ที่เดิมและน่าจะพร้อมใช้งาน ส่วนทางโอ'เกนท์เจอสลักกลไกบางอย่างซึ่งอยู่ห่างกันไม่เท่าไร

         เมื่อชาร์ลรวมความได้ จึงมั่นใจว่ามันต้องใช้ร่วมกัน เขาเรียกให้ทุกคนมายืนรวมกันที่พื้นลอยตัว วูดตันและโอ'เกนท์ทำตามแต่โดยดี จากนั้น หนุ่มมาดผู้ดีจึงง้างแขนและเขวี้ยงหินอัดใส่สลักนั่น 

          ครู่เดียว พื้นลอยตัวเกิดการขยับฟึ่บๆ มันขยับทะยานลงล่างอย่างช้าๆแต่มั่นคง ทุกคนพลอยอุ่นใจไปตามๆกัน กระทั่งถึงพื้นล่าง ชาร์ลก้าวออกเป็นคนแรกและควักลาบราโดไลท์ขึ้นมาชวดชม ทว่า แสงที่ได้จากมันไม่เลวเลยทีเดียว ชาร์ลคิดได้นั้น จึงใช้แสงนั้นส่องแทนคบไฟของตน

        

"จากนี้เราจะไปไหนกันต่อชาร์ล"โอ'เกนท์ว่า ขณะเหลียวหลัง"เราจะตามหาที่เหลือได้อีกที่ไหน"

 

ได้ฟังแล้ว ชาร์ลทำท่าครุ่นคิด"คงต้องเสี่ยงสำรวจไปเรื่อยอ่ะนะ"เขาชวดชมลาบราโดไลท์อยู่มิคลาย"ไม่รู้ว่าคนอื่นๆจะหากันได้รึป่าว"

 

"นั่นสิ เป็นห่วงเนเน๊ะจัง"วูดตันวิตก"ป่านนี้ เพียล่ากับคาลาเนสจะตามตัวเจอรึยังนะ"

 

"สองคนนั้นสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร"ชาร์ลถาม พลางมองโอ'เกนท์กำลังซุกซน"แปลกๆนะ ปกติแล้ว เพียล่าจะต้องมากับฉันไม่ก็วิคเตอร์"

 

"แปลกอะไร สองคนนั้นรู้จักเนเน๊ะอยู่แล้วหนิ อีกทั้งเนเน๊ะยังหายไปซะดื้อๆ มันก็ไม่เห็นแปลกที่สองคนนั้นจะไปด้วยกัน"โอ'เกนท์เถียง ขณะเด็ดดึงใบไม้ข้างกายมาสำรวจ คำพูดของโอ'เกนท์นั้นพลอยให้ทุกคนนึกตาม

         เช่นนั้น วูดตันกลับวิตกถึงเนเน๊ะ ส่วนหนุ่มมาดผู้ดี ได้ฟังแล้วกลับละไปสนใจทางอื่นแทนเพื่อหาและเลือกหนทางไปต่อ

 

          ทางด้าน เพียล่าและคาลาเนสยังคงมืดแปดด้าน ตามหาเนเน๊ะไม่เจอสักทีหลังย่ำมาไกล ทั้งสองเริ่มหันมาปรึกษากัน  ทว่ากลับมีใบหูของวิคเตอร์คอยเงี่ยฟังอยู่ด้วยใกล้ๆตลอดเวลา แต่สิ่งที่ได้ยินมานั้น มันก็แค่การพูดคุยทั่วไป 

          ความหวังริบหรี่ เพียล่ากับคาลาเนสเปลี่ยนมาตามหาหินแทน คำพูดของทั้งสองที่วิคเตอร์ได้ยิน มันทำให้เขาหมดสงสัย เพราะน้ำเสียงสนทนานั้นซึ่งฟังแล้วไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไร แต่เขายังไม่วางใจและยังสะกดรอยตามต่อไป 

          ครั้งยังสำรวจไปเรื่อย คาลาเนสเริ่มเอะใจเหลียวหลังไม่ขาดสาย เพียล่าก็เช่นกันที่คิดแบบนั้น ทั้งสองสบมองหน้ากัน เหมือนเดาได้ว่ามีใครตามมา

          พอถึงทางแยก เพียล่ากับคาลาเนสเดินเลี้ยวกันคนล่ะทาง เพื่อหวังล่อให้สิ่งนั้นเผยกาย คาลาเนสเลี้ยวขวา เพียล่าเลี้ยวซ้าย ทว่าผู้สะกดรอยกลับลังเลได้แต่รอเวลาให้สองคนนั้นทิ้งช่วงห่าง แต่..ทั้งสองแสร้งทำเนียน เดินสำรวจไปเหมือนไม่รับรู้ว่ามีใครตามมา 

          เมื่อยังไม่หยุดการตามหา เพียล่าได้พบเจอกลุ่มของชาร์ลโดยบังเอิญ ทั้งหมดจึงรีบมารวมกัน เพื่อสนทนาและแลกเปลี่ยนความรู้กัน พลันนึกขึ้นได้ สาวนักรบวิ่งกลับทางเดิม พลางตะโกนเรียกให้คาลาเนสมาทางนี้หลังเห็นร่างเด็กชายและคบไฟไกลๆ เด็กชายยินเพียงแว่วๆ แล้วหันขวับมองก่อนเร่งรีบวิ่งตามมาสมทบ

          ครั้นแล้ว คาลาเนสจึงเล่าถึงเส้นทางที่ตนได้สำรวจกับเรื่องตามหาเนเน๊ะ ทั้งห้าประชุมกันอีกครั้ง ว่าควรตามหาเนเน๊ะหรือหินก่อน เพียล่าเสนอว่า หาทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน ทุกคนพยักเพยิดเห็นด้วย เมื่อข้อสรุปออกมา ทุกร่างจึงก้าวเท้าเดินต่อไป

 

          เวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบ เนเน๊ะยังคงเดินตามฟารัมอย่างกระยืดกระยาดและเริ่มถอยห่าง กระทั่งถึงทางตัน ฟารัมหันมายิ้มด้วยใบหน้าสะพรึง หากแต่เนเน๊ะดูเฉยชา

 

"หยุดทำไมคะ"เธอสงสัย"เมจิกไซท์อยู่ที่นี่หรอคะ"

 

"ข้าจำไม่ได้"เขาเดินส่ายไปส่ายมา"อ่อ.. นึกออกละ"

 

         สิ้นเสียงเอ่ย ฟารัมย้อนกลับทางเดิม แต่เนเน๊ะหยุดนิ่งปรายตามองร่างเล็กผ่านไปได้ไม่กี่ก้าว ฟารัมต้องหงุดหงิดและหยุดก่อนหันมากระทืบเท้าขู่พร้อมแยกเขี้ยวฟันแหลมใส่ สาวน้อยผงะและผงกหัวเล็กน้อย รับรู้ว่าต้องเดินตาม แต่เดินตามอย่างจำใจ

          จนถึงทางแยกสามทาง ฟารัมลังเล แต่เลือกทางซ้าย เนเน๊ะตามไป ตรงไปเรื่อยๆ กระทั่ง ถึงสถานที่หนึ่งคล้ายศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ขนาดย่อมรูปทรงแปลกตาขึงขังตั้งอยู่สุดทางตัน บริเวณรอบข้างทั้งสามด้าน ปกคลุมด้วยเถารากแน่นขนัดและสูงลิบตาดั่งกำแพงไพรพง บรรยายกาศช่างน่าวังเวง 

          ฟารัมเดินย่อง เข้าไปหยุดตรงหน้าศาลเจ้า เขาคุกเข่าลงแล้วก้มหน้าต่ำติดพื้นอยู่นาน ก่อนตามมาด้วยเสียงสวดงึมงัมน่าขนลุก เห็นดังนั้น เนเน๊ะเกิดหวาดระแวง ย่างกายมาคุกเข่าอยู่ด้านหลังฟารัม สายตาเธอสอดเข้าไปภายในศาล พบเพียงตุ๊กตาดินเผาตั้งตระหง่าน ซึ่งดูโดดเด่นมากหากเทียบกับวัตถุข้างๆแล้ว

           สิ้นเสียงบทสวดวังเวง บรรยายกาศโดยรอบยิ่งวังเวงกว่าเก่า ฟารัมลุกขึ้นยืนแต่ยังบ่ายหน้ามองศาลเจ้า และเนเน๊ะจึงลุกขึ้นยืนตาม ช่วงนั้น สาวน้อยยินเสียงยวบยาบพลางปรายตามองรอบๆ พบบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวทั้งสามด้าน ลักษณะของมันคือเถารากกำลังเลื้อยคล้ายกับงูอย่างเชื่องช้า

        ยังไม่ทันได้ตั้งคำถาม ฟารัมหันขวับมาด้วยใบหน้าเศร้า ดวงตากลมโตคู่นั้นเกิดแสงสีเขียววาบ พร้อมสั่นร่างงึ่กๆตลอดเวลา เนเน๊ะจ้องมองฟารัมย่างกายเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ช่วงนั้น เถารากเริ่มเลื้อยลงพื้น

        จวบจนจะถึงร่าง เนเน๊ะเหลียวหลังหนึ่งครั้ง แล้วมองกลับมายังร่างเล็กซึ่งกระชั้นห่างไม่ถึง5ก้าว เถารากก็เลื้อยมาจวนเริ่มใกล้เท้า สาวน้อยเกิดลังเล ทว่า..ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจวิ่งหนี ฟารัมพุ่งกระโจนตัวหมายจะคร่อมร่างเนเน๊ะ แต่เถารากกลับเข้าปาดโอบร่างสาวน้อยและยกขึ้นได้ทันท้วงที หากแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย  เพราะเถารากนั้นขึงตรึงเนเน๊ะไว้กลางอากาศ จนคบไฟพลัดจากมือ สาวน้อยกระวีกระวาดดิ้นส่ายไปมาหวังหลุดร่วงลง ดวงตากลมโตจากเบื้องล่างมองขึ้นมาอย่างกระหาย อยากกระชากวิญญาณเนเน๊ะเสียให้ได้

        คงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น เมื่อเนเน๊ะรู้สึกกลัวพร้อมดวงตารื้นน้ำ เสียงร้องขอความช่วยดังลั่นขึ้น จนเถารากนั้นเขย่าร่างสาวน้อย ราวกับจะฉีกกระชากให้ขาดเป็นชิ้นๆด้วยเหตุผลอะไรมิอาจทราบ ส่วนฟารัมได้แต่เอามือป้องหู หมดแรงคิดจนปัญญาจะทำให้เธอหยุดและหล่นลง

        เสียงใสร้องดัง ขณะเถารากยังเขย่าและรัดร่างสาวน้อยแน่น เธอกระอักกระอ่วมและเริ่มบอบช้ำ ฟารัมพรวดเท้าวิ่งหนีไปจากตรงนั้น และหายลิบลิ่วจนสายตาเนเน๊ะไม่อาจส่องถึง เธอร่ำไห้โอดครวญ สะอึกสะอื้นจากความสิ้นหวัง ต้นเซคบริเวณข้างเคียงเรืองแสงหรี่ลงจนเข้าสู่ห้วงมืดมิด ทุกอย่างมืดสนิทไป พลันนั้น เถารากเริ่มหยุดเขย่าร่างสาวน้อย เธอหลับตาพริ้ม พยายามกลั้นน้ำตา คิดว่านี่คงเกิดคืนแห่งความมืดแล้วเป็นแน่เพราะอากาศโดยรอบเย็นเยียบขึ้นฉับพลัน เสียงของสรรพสิ่งเงียบจาก

        เนเน๊ะใจเย็นลงขึ้นบ้าง และชะลอจนหยุดส่งเสียงร้อง เถารากเริ่มคลายความแน่นแต่ยังตรึงร่างไว้ สาวน้อยลองดิ้นกายอันบอบบางของตนเบาๆ พบว่าน่าจะหลุดลงได้ยาก คงต้องรอให้ใครมาช่วย แล้วใครล่ะจะมา คิดได้เช่นนั้น เนเน๊ะปรายตาไปทางศาลเจ้าพลางอธิฐานขอให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่แล้ว.. ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

        ช่วงเวลาเกือบหมดสิ้นหวัง เสียงหนักบางอย่างคล้ายกับการก้าวเท้า ดังอึกทึกจากเบื้องหลังอย่างเฉื่อยช้า

        ตึ้ง.. ตึ้ง.. ตึ้ง..

สาวน้อยยินชัด เริ่มระทึกใจอีกครั้งหลังเหลียวกลับมองไปในความมืด ร่างสั่นไหวเพ่งด้วยดวงตาเบิกโพลง กำลังจ้องเฝ้าเจ้าของเสียงอึกทึกด้วยใจจดใจ 

         เสียงเริ่มดังมาใกล้ แต่สิ่งนั้นยังลึกลับ ทว่า.. อึดใจเดียวเนเน๊ะกลับเห็นแสงสว่างสีเขียวเรืองๆสองดวงคู่กัน แสงนั้นเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ มันคือแสงจากดวงตาคู่ใหญ่ สาวน้อยรู้สึกได้ถึงแรงลมหายใจแฝงกลิ่นสาป ซึ่งส่งมาจากบริเวณดวงตาคู่นั้น

        ตึ้ง.. ตึ้ง.. ตึ้ง..

ในเงามืดสลัว สิ่งนั้นเริ่มเผยกายออกเกือบเข้าใกล้เหยื่อ จากแสงคบไฟที่ส่องสะท้อน เนเน๊ะพอแลเห็นได้ถึงกับผงะดิ้น มันคือส่วนหัวของฟารัมนั่นเอง แต่ขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า เขาเคลื่อนกายด้วยการคลานจากมือและเท้าคล้ายตะกวด พลางแลบลิ้นยาวแหลมออกตวัดแปล่บๆ จากช่องปากเปี่ยมน้ำลายเหนียวยืดย้อยลงพื้น

        นั่นคือฟารัมแน่ๆ เนเน๊ะคิดไม่ผิด แต่ทำไมล่ะ ทำไมเขากลายเป็นปีศาจ เขาต้องการอะไรถึงทำแบบนี้  เราจะโดนกินใช่ไหม สาวน้อยพยายามดิ้นสุดฤทธิ์ แต่เถารากไม่ยอมคลาย เสียงร้องขอความช่วยร้องดังลั่นอีกครั้ง

 

"ช่วยด้วยยย"เธอแผดเสียงสุดลำคอ"ใครก็ได้ช่วยด้วยยย"

 

        สาวน้อยดิ้นรนอย่างน่าสังเวช ราวกับว่าเธอกำลังจะโดนเชือดบนเขียง ร่างนั้นไม่สนใจเสียงร้องแต่อย่างใดหากยังย่างกายเข้าหาช้าๆ ปล่อยให้เหยื่อตรงหน้ายอมรับชะตากรรม ไม่สิ! ยัดเยียดชะตากรรมต่างหากล่ะ จวนถึงร่างเนเน๊ะ ปากมหึมากลับอ้าขึ้นและยื่นเข้ามาหมายจะขบเหยื่อลงกระเพาะ จังหวะนั้น สาวน้อยพลันหลับตาแน่นเบือนหน้าหนี

         ทว่า!! ปาฏิหารย์จะเกิดขึ้นกับเฉพาะคนที่ไม่ยอมหมดหวังเท่านั้น และเนเน๊ะเองก็ไม่เคยหมดหวัง แสงบางอย่างพลันสว่างขึ้นจ้าดุจแสงตะวันเหนือศีรษะสาวน้อยสูงลิบ สาดส่องไปทั่วบริเวณนั้น ร่างปีศาจชะงักและถอยล่นพลางร้องเสียงทรมานโหยหวน

        เนเน๊ะยินเสียงนั้น จึงเหลียวเหลือบมองพบว่ามันทุรนทุราย และอาละวาดใช้มือบ้างหัวบ้างทุบข้างฝาตรงนั้นทีตรงนี้ จนทรงตัวไม่เป็นท่าโซซัดโซเซไปมา ซึ่งสุดท้ายมันก็ทุลักทุเลยอมหนีหายไป

        เธอหายใจรัวระริกพลันโล่งอก เมื่อเถารากยอมคลายร่างและหล่นตุบ จากนั้น จึงรีบมองหาที่มาของแสงปาฏิหารย์ หลังเงยหน้าขึ้น สายตาอันพร่าฟางจากการหรี่ตามองของเนเน๊ะบอกว่า เธอคือสตรีสวมอาภรณ์ขาวสมสง่าซึ่งเปล่งแสงสว่างจ้าทั่วร่าง ส่วนใบหน้านั้นประหนึ่งเทพธิดาสวยสร่าง และรอบกาย มีใครอีกเจ็ดร่างล้อมกายนางเป็นวงกลม ถืออาวุธเจ็ดชนิดบ่ายหน้าออกเป็นเจ็ดทิศ พวกเขาทั้งหมดสวมอาภรณ์ขาวทั้งยังเปล่งแสงเช่นเดียวกัน

        แสงสว่างหรี่ลงเล็กน้อย สาวน้อยเริ่มเบิกตาออกเต็มดวงพร้อมหยัดกายขึ้นยืน เมื่อพวกเขาเริ่มทะยานลงยังพื้น

 

"ขอบคุณค่ะ"สาวน้อยกล่าวใบหน้าหวาด ด้วยดวงตาฉายแววประกายจากน้ำในตา

 

        สตรีอาภรณ์ขาวพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมส่งยิ้มให้ เนเน๊ะจึงยิ้มกลับ จากนั้น สตรีร่างเดิมบ่ายหน้าไปทางหนึ่งในเจ็ดพยักหน้าเป็นคำสั่ง หนึ่งในเจ็ดคนนั้นผงกหัวรับทราบแล้วเดินเข้าหาสาวน้อย เขาเดินมาด้วยหน้าตาเป็นมิตร เมื่อหยุดอยู่เบื้องหน้า เขายกมือที่กำหมัดขึ้นเทียบระดับใบหน้าเนเน๊ะ สาวน้อยเลื่อยสายตาตามมือนั้น ที่เริ่มคลายออกและบางอย่างได้ตกลงมาอย่างภาพช้า มันคือ หินสีส้มเปล่งแสงแผดแรงดั่งดวงอาทิตย์ย่ำสนธยา เธอรับมันด้วยความดีใจจนเก็บเรียวยิ้มใสไว้ไม่อยู่เมื่อรู้ว่านั่นคือซันสโตน 

        ครั้นแล้ว หลังปลื้มปริ่มอยู่แว่บเดียว เนเน๊ะหมายจะพูดขอบคุณอีกครั้ง แต่กลับงุนงงเมื่อพวกเขาเหล่าเริ่มเลือนหายจางไปพร้อมรอยยิ้มและแสงสว่าง ตอนนี้มีเพียงแสงจากซันสโตนเท่านั้นที่ส่องเรืองรอง เนเน๊ะครุ่นคิดว่า ควรออกตามหาทุกคนได้แล้ว เช่นนั้น เธอจึงก้าวขาออกหนึ่งก้าว ทว่า ก้าวสองยังไม่ทันขยับสาวน้อยกลับล้มลงและหมดสติไป

 

         ทางด้านชาร์ล

 

"จะค่อนคืนแล้วนะ ขาดอะไรบ้างเนี่ย"วูดตันว่าด้วยอาการเหนื่อยล้า ขณะเดินรั้งท้ายเหลียวหลังระแวงตลอด

 

"บลัดสโตน แบล็คทัวร์มาลีน มูนสโตน เมจิกไซท์ เนธาเนียร์เซไลท์ ซันสโตน แล้วก็ เนเน๊ะ"ชาร์ลตอบมาโดยไม่มองใคร เดินนำหน้าใช้ลาบราโดไลท์ส่องทาง

 

"เหลือเยอะจังวุ้ย"โอ'เกนท์บ่น แล้วตะโกนเรียกชื่อวิคเตอร์

 

"สำคัญคือเนเน๊ะ"เพียล่าสำทับหน้านิ่ง ก่อนหันมองคาลาเนส

 

"ไม่รู้จะเป็นไงบ้างนะ"คาลาเนสพูดก้มหน้า"เป็นห่วงจัง"

 

       กระนั้น วิคเตอร์ยังสะกดรอยตามอย่างห่างๆและเงียบๆ ทว่าเขาอึดอัดมากเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ จึงพยายามหาทางสมทบกับกลุ่มให้โดยไม่ให้มีใครรู้

 

"วิคเตอร์ก็หายไปอีกคน"ชาร์ลหยุดเดิน ปรายตามองทางสามแยกสลับไปมา"เวรล่ะ เอาไงดีพวกเรา"

 

        ปัญหาเกิดขึ้น มันสมองทุกคนเริ่มประมวลหลังหันขวับปรึกษากัน ครู่เดียว ชาร์ลเลือกไปทางขวาเพราะทุกคนลงความเห็นกันแบบนั้น จะว่าไป สายตาทุกคู่คิดตรงกันว่าเขตป่ากูกูเหมือนมีชีวิตจริงๆ ทั้งต้นเซคเรืองแสง ความน่าพิศวงและอันตรายที่ซ่อนอยู่ ต้องระวังกันทุกเฉพาะย่างก้าว

 

        หลังสะกดรอยมานาน ในตอนนี้ วิคเตอร์แอบมองมาไกลและรู้ว่าทุกคนรวมกลุ่มกันแล้ว เขาจึงเปลี่ยนแผนคือ ต้องตามไปสมทบอย่างแนบเนียนที่สุด เพื่อไม่ให้เพียล่ากับคาลาเนสจับได้ว่าตนนั่นเองที่สะกดรอยตาม

        เป็นไปตามแผนและไม่รอช้า วิคเตอร์ออกตัววิ่งทันทีพลางร้องตะโกน

 

"เฮ่.. ทุกคน"เขาวิ่งพร้อมโบกมือ"เจออะไรกันบ้างรึยัง"

 

        เสียงถึงหูทุกคน แต่ร่างวิคเตอร์ยังห่างไกล ชาร์ลและเพียล่าหันวับร้องกลับพลางโบกมือตอบ ทั้งห้ามองหน้ากันก่อนเดินไปหาวิคเตอร์เพื่อย่นระยะทางระหว่างเขา ให้ใกล้กันเร็วขึ้น 

        ทว่า ขณะกำลังใกล้รวมกลุ่มกันได้ พื้นทางเดินเกิดการสั่นสะเทือนราวของหนักหล่นใส่พื้นเป็นจังหวะ ทั้งห้าหยุดนิ่ง เงี่ยหูฟังเพราะเสียงอึกทึกที่เริ่มยินชัดนั่นเองทำให้ทางเดินสะเทือน วิคเตอร์ต้องหยุดชะงักแปลกใจเมื่อทั้งห้าใช้สายตาประหลาดจ้องไปยังด้านหลังเขา วิคเตอร์ลังเลจะหันกลับมองเพราะเสียงนั้นดังมาต่อเนื่อง 

          ช่วงนี้ เพียล่าเลื่อนมือสาวอาวุธออกเตรียม พร้อมกับโอ'เกนท์โพล่งปลายหอกหันไปทางหนุ่มนักรบที่ยืนหยุดนิ่ง ส่วนชาร์ลและคาลาเนสเผยสีหน้าระทึกขวัญ พลางขวักมือรัวยิ่กใส่วิคเตอร์ให้มานี่โดยด่วน แต่วิคเตอร์ก้าวขาไม่ออกด้วยลมหายใจอันเหม็นเน่าสาดกระทบร่าง เขาระลึกได้ว่า คงเป็นอสูรหรือไม่ก็อะไรบางอย่างที่ดุร้ายเช่นสัตว์ป่าขนาดมหึมา 

         ความคิดถูกเฉลย เมื่อวิคเตอร์หันกลับอย่างแช่มช้าแหงนมองมัน..   ศีรษะโงนเงน ดวงตากลมโตเหลือกลานเรืองแสงสีเขียวคู่ใหญ่ ปากเผยอน้ำลายยืดย้อยลงพื้น ร่างอันเหี่ยวแห้ง ชโลมด้วยเมือกในท่าคลานไม่เป็นท่าจากบาดแผลพุพองและเสียงโฮกคำรามสนั่นจากความทรมาน ..นี่เองคือคำตอบที่ได้

 

         จากนั้น คงไม่ต้องบอก วิคเตอร์ทะยานตัวออกวิ่งทันที ทว่า เขาต้องเสียหลักเล็กน้อยแต่พอพยุงตัววิ่งต่อได้ หลังมือใหญ่ของมันกวาดมาเฉี่ยวสะกิด หมายจะจับและตบร่างวิคเตอร์

         พลันนั้น!! มันด่วนวิ่งกรุยทางออกตามล่าหนุ่มนักรบทันที ซึ่งเขาต้องวิ่งหนีสุดชีวิตพลางกระชับอาวุธแน่น แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้

 

"ตึ้งๆๆๆๆๆๆ"เสียงฝีเท้าของมันกระชากแน่นพื้น ไล่ตามแข่งกับวิคเตอร์อย่างบ้าระห่ำ

 

         ทั้งห้ายังหยุดรอวิคเตอร์ และต่างลุ้นระทึกไปตามๆกัน กับความเฉียดฉิวในการหลบมือยักษ์ของหนุ่มนักรบในหลายต่อหลายที เพียล่าเห็นท่าไม่ดี จึงยิงธนูเข้าสกัดหวังให้มันชะลอลง แต่ไร้ผลสิ้นดี มันไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

          กระทั่ง วิคเตอร์ใกล้รวมกับทั้งห้า เพียล่าพลันร้องขึ้น..

 

"วิ่งงงงงงงงง!!"

 

          หลังคณะเดินทาง เกาะกลุ่มกันได้แล้ว ขาดก็แต่เนเน๊ะ ทั้งหกเร่งปรึกษากันพลางวิ่งไปอย่างทรหด วิ่งสู้ฟัดจึงเกิดขึ้น.. อาวุธจากเพียล่าถูกส่งออกเป็นระยะๆ ตามใบหน้าของมันประดับด้วยลูกธนูหลายดอกที่ปักปลายคมศรจมลง แต่ความเร็วของมันยังคงเดิม วูดตันจึงสยายนิ้วเบาๆเรียกเถาวัลย์เข้าสกัด ทว่า ด้วยแรงมหาศาลของมัน เถาวัลย์เป็นฝ่ายถูกดึงขาดกระจุยไม่ต่างอะไรกับเส้นด้าย คาลาเนสเห็นทีคิดขอลองบ้าง..

 

"กำแพงแห่งไพลินจงบังเกิด!!"

 

     ฟริ้ง!!!

ฉับไว แสงผุดขึ้นจากพื้นล่างเบื้องหลังของพวกเขา โผล่ตามมาด้วยกำแพงแสงสูงและกว้างขนาดพอดีกับทางซึ่งพรวดขึ้นฉับ ร่างนั้นใช่้หัวกระแทกเข้าอย่างจัง เกิดเสียง..เพล้ง!! กำแพงแห่งไพลินแตกเป็นเสี่ยงลงพื้นสลายเร็วไว คณะเดินทางเริ่มหวาดหวั่น ทั้งหนทางยากลำบาก ทั้งเหนื่อยล้า ทั้งถูกไล่ล่า ทั้งไม่รู้ว่าจะกำจัดมันได้อย่างไรและยังไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีก อุปสรรคนี้หนักหนานัก 

        ทุกคนต่างมุ่ง วิ่งกันแต่ทางตรง หาได้สนใจทางแยกใดๆ ส่วนร่างนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ..จวนมันใกล้จะถึงตัวพวกเขาแค่เอื้อมแล้ว

 

"ชาร์ล!! เอาไงดี!!"สาวนักรบกดดันตะโกนถาม ขณะจ้ำอ้าว"ขืนวิ่งไปกันอย่างนี้ ได้ตายหมู่แน่"

 

        แสงร่ำไรเจือจาง พอดีกับทางข้างหน้า ซึ่งมีทางสี่แยกรออยู่ไม่ไกล ขวาหรือซ้าย ชาร์ลไม่คิดลังเล หากเลือกตรงไปคือทางลาดลงคล้ายช่องอุโมงค์คับแคบ

 

"ตรงไป!!"ชาร์ลวิ่งนำหน้าพร้อมชี้นิ้วสั่ง โดยไม่เหลียวหลัง"มันตามมาไม่ได้แน่!!"

 

         ฝุ่นแทบท้วม เมื่อทั้งคณะวิ่งเบียดกันเข้ามาได้ทันท้วงที และยังวิ่งเตลิดลึกเข้าไปภายในจนพ้นระยะอันตรายเมื่อคาดจากสายตาของชาร์ล

         ปึ้งงง!!

..มันคือเสียงกระแทกกันระหว่างร่างมหึมากับปากทางลาด ทว่า มือยักษ์ของมันกลับเร่งสอดทะลุบุกล้วงมา และเกือบคว้าตัววิคเตอร์ไปเป็นของทานเล่นเพราะเขาคือคนสุดท้ายที่เข้ามา

        หวิดไป! ทุกคนยังหายใจไม่ทั่วท้องและผวาถึงกับเหงื่อตก ได้หันกลับไปจ้องมองมันที่ผลุบๆโผล่ๆ ดวงตากลมโตนั้นจ้องกลับมิคลายแค้น บางคราวมันยังเอื้อมแขนเข้ามาหวังจะจับใครให้ได้ หลายครั้งมันจั่วได้แต่ลมและบางทีมันต้องเจ็บอีกด้วย เมื่อหอกของโอ'เกนท์ทะลวงมือมันจนเลือดสีนกหยดนองจากหลายแผล เสียงโฮกฮากดังขึ้นหลายรอบ ซึ่งดูแล้วมันเหมือนกับอาการเจ็บบวกอาการทุลนทุลายคล้ายลงแดง ร่างนั้นพลันอาละวาดหนักเมื่อเหยื่อไม่ถึงปาก มันเอาหัวตัวเองโขกกับปากทางช่องอุโมงค์อย่างบ้าคลั่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเลือดสีนกไหลเข้ามายังด้านใน สร้างความน่าสะพรึงให้แก่คณะเดินทางยิ่งนัก 

         เวลาผ่านไป มันเริ่มหยุดนิ่งสงบลง แต่ยังเฝ้าปากทางไว้ด้วยลิ้นแหลมอันกระหาย สอดเข้ามาและชักกลับไวๆ ชาร์ล คาลาเนสและวูดตันเริ่มบุกเข้าไปสำรวจภายใน ทิ้งไว้แต่เพียล่า วิคเตอร์และโอ'เกนท์เฝ้าระวังภัย 

         สถานการณ์ผ่อนคลายลง เมื่อชาร์ลตะโกนกลับมาว่ามีแสงสว่างและทางไปต่อ ทั้งสามที่บริเวณหน้าปากทางได้ยินชัด เริ่มทยอยถอยห่างมันที่ไม่ยอมไปไหนทีล่ะก้าว ทีล่ะคน

 

"เอานี่ไปกินซะไอ้เปรต!!"วิคเตอร์โมโหหนักเปล่งเสียงแน่น พลางเหวี่ยงดาบเมื่อครั้งสบโอกาส ฟันฉับในท่ามุมเงยเข้าข้างลิ้นจนมันถอยห่างไม่เป็นท่า วิคเตอร์ได้ใจจึงแสยะยิ้มหัวเราะเฮ่อะๆก่อนจ้องตากับมันที่จ้องคืนอย่างอาฆาต

 

"ไปกันได้แล้ววิคเตอร์"โอ'เกนท์ร้องมาขณะตามหลังเพียล่า

 

"จะไปเดี๋ยวนี้แหละ"หลังขานกลับ วิคเตอร์ใช้ปลายดาบชี้หน้ามันด้วยสีหน้าขึงขัง"ไม่ต้องห่วง ฉันฆ่าแกแน่!!"

 

         หนุ่มนักรบพูดด้วยเสียงเย็นเยือก แล้วเดินตามโอ'เกนท์ไปทันที แต่ดวงตากลมโตดวงหน้าโชกเลือดยังจ้องเขม็งเกลียว มองตามไปจนลิบตาก่อนขยับปากงึมงำพลางขยับยิ้ม

"ฉันก็จะฆ่าแกเหมือนกัน คิกๆๆ"

 

         เมื่อวางใจเรื่องการถูกไล่ล่า ชาร์ลเป็นคนนำทางด้วยแสงจากลาบราโดไรท์ ทุกคนพูดคุยกันตลอดทางเพื่อทำลายความเงียบ พูดเกี่ยวกับการอาศัยทางลาดนี้เพื่อไปต่อ และยังคุยกันถึงเรื่องตามหาหินกับเนเน๊ะด้วย ส่วนใหญ่แล้ว มีเพียงชาร์ลเท่านั้นที่ให้คำตอบและตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว

        หลังเข้ามาได้ไกล ในส่วนนี้ มันเหมือนกับถ้ำเสียมากกว่าอุโมงค์ผ่านทางที่เจ้านายหัวฟักทองเคยพาลอดผ่านมา มีทั้งซอกซอยทางแยกเยอะแยะ ืทางเดินนั้นชวนลื่นไถลและขวางด้วยหินงอกหินย้อย บริเวณพื้นบางจุดมีหลุมตื้นๆและเปียกแฉะเพราะน้ำขัง แต่มีแสงไม่สว่างเท่าไรส่องด้วยแสงสีฟ้าอมเขียวเรืองๆตามหลืบซอกหิน คล้ายกับการสะท้อนกันมาดั่งกระจกเงา

         พวกเขาเดินลึกเข้าไปอีกชั่วครู่ ใบหูกลับได้ยินเสียงคล้ายน้ำไหล ทุกคนแน่ใจว่ามันเป็นเสียงน้ำ จึงพยายามตามหามัน โดยสำรวจไปพร้อมกันเป็นกลุ่ม เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครหายไปไหนอีก

         บรรยายกาศอึดอัดขึ้น เพราะอากาศเริ่มจากหายหลังลงลึกมาไกล ทุกคนไต่ระดับลงกันไปเรื่อยๆเสียงน้ำไหลอยู่ไม่ไกลเท่าไรแล้ว ในตอนนี้ ชาร์ลคือผู้นำ เขาเร่งก้าวขาให้ทิ้งห่างทุกคนหลายก้าวพอสมควร จนกระทั่งถึง.. ทางลาดเอียงอีกฝั่งไกลๆอันมีแสงสีฟ้าฉายขึ้นมา แสงนั้นเหมือนรบเร้าใจชาร์ลให้เข้าหา มันคือจุดน่าสงสัยเหลือเกินสำหรับความคิดหนุ่มมาดผู้ดี

 

"ฉันเจอทางลงน่ะ"ชาร์ลว่าพร้อมหว่านตาไปยังทุกคน พลางชี้นิ้วไปยังแสงนั่น"คงต้องลงไปข้างล่างดูนะ เสียงน้ำไหลดังขึ้นมาจากในนั้น"

 

"ถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว"โอ'เกนท์เกาคางเอ่ย ก่อนเดินไปชะเง้อดูและหันมาบอกทุกคนด้วยใบหน้าอยากลุยต่อทันที"น่าสนใจแฮะ คงต้องบุกต่อ ไปกันเลยไหม"

 

         ในตอนนี้ ใบหน้าทุกคนแสดงความอิดโรยเห็นได้ชัด ตั้งแต่เช้าเมื่อวานยังไม่มีใครได้พักผ่อน อารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว หงุดหงิด งี่เง่าคงเกิดได้ง่ายหากเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เพียล่าเสนอให้ทุกคนพักกันที่นี่สักประเดี๋ยว พอได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและอารมณ์กันบ้างแม้จะยังอยากค้นหาเนเน๊ะให้เจอไวๆก็ตาม

        แม้กระนั้น ชาร์ลกับโอ'เกนท์กลับไม่อยากพัก พลันพากันลงไปสำรวจก่อนใคร ทำให้เพียล่าและที่เหลือต้องชะเง้อคอตาม ครู่เดียวทั้งสองดันหายวับลงไป สร้างความตกใจให้กับที่เหลือเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นห่วง แต่กล้ามขามันไม่อำนวย แม้จิตใจมันพร่ำร้องว่าอยากไปต่อก็เถอะ ทว่า ที่เหลือเร่งเหยียดขาแขนคลายกล้าเนื้อให้พร้อมลุยตามคำสั่งจิตใจ

        หากเทียบกันแล้ว ทุกคนต่างจากชาร์ลที่มีความทะเยอทะยานเกินอัตราดั่งมันคือแรงพยุงร่างและวิญญาณ รวมทั้งโอ'เกนท์ด้วยเช่นกันที่ตื่นตัวตลอดเวลา

        พักผ่อนไม่ทันไร กล้ามขาดันบอกว่าพร้อมลุยต่อเพราะเวลามันกดดัน ทั้งยังต้องเร่งตามตัวเนเน๊ะให้เจออีก เพียล่าพลันพูดขึ้นอย่างจำใจ

 

"ไปกันเถอะพวกเรา"หลังลุกยืน เพียล่าหันมาบอกทุกคนด้วยใบหน้าจำใจ"ป่านนี้ เนเน๊ะจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้"

 

"บอกตามตรงหากฉันตาย"สาวนักรบส่ายหน้าเอ่ยอย่างจริงจัง ก่อนเดินไปรอทุกคนที่ทางลง"มันเทียบไม่ได้เลย ชีวิตฉันกับชีวิตเนเน๊ะ"

 

        วิคเตอร์ได้ยินชัด ถึงกับไม่อยากเชื่อว่าสาวนักรบจะกล้าสบถอะไรออกมาแบบนั้น เพราะความจริงแล้วเพียล่าก็แค่ อดีต7อัครองครักษ์ของจักพรรดินีลีอาร์แห่งลามิเรส แท้จริงแล้ว เธอคือผู้สูญเสียความฝันซึ่งถูกดับไปด้วยเหตุผลอันซ่อนอยู่ใต้คันศรใหญ่ยักษ์นั่น วิคเตอร์ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมสาวนักรบถึงกล้าวางชีวิตตนเองเป็นเดิมพันกับสาวน้อยธรรมดาบ้านๆคนนั้น หรือมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้กันแน่นะ 

        หลังคิดไปไกล วิคเตอร์พลันเหลือบมองคาลาเนสที่เผยสีหน้าจริงจังด้วยเช่นกัน ใบหน้าของทั้งสองฉายแววมุ่งมั่นอย่างรุนแรง จนตนไม่กล้าเอ่ยขัดได้แต่เปรยสีหน้าอย่างปลงๆ

        วูดตันเอง ก็ขมวดคิ้วเข้มทันที เมื่อได้ยินเพียล่าพูดอะไรแบบนั้น เพราะตนเองย่อมรู้ว่าเนเน๊ะเป็นใคร ไม่ต่างอะไรกับเพียล่าและคาลาเนส ที่รับรู้เช่นกันว่าสาวน้อยคือผู้ที่ถูกเลือก แต่ทั้งสามไม่กล้าเอ่ยต่อกันเพราะเพียงสบตาก็รู้กันแล้ว

         ครั้นแล้ว ที่เหลือพลันลุกตามเมื่อเพียล่าย่างกายเกือบลับลง

 

"นี่คงเป็นบททดสอบระหว่างเราสินะ"วิคเตอร์แค่นยิ้ม หันมาทางคาลาเนสกับวูดตันที่ตามหลังตนมายังทางลาด"ถึงเทมซ่าร์เมื่อไร เดี๋ยวจัดให้ชุดใหญ่ไปเลย ฮ่าๆ"

 

"นายพูดแล้วนะวิคเตอร์"วูดตันยิ้มย่อง เพราะรู้ว่าวิคเตอร์หมายความว่าอะไร"ฉันเปรี้ยวปากมานานล่ะ ฮ่าๆ"

 

        ส่วนคาลาเนสได้แต่ตีหน้างง พลางมองทั้งสองสลับไปมาล่อกแล่ก คิดหนักว่าพวกเขาหมายถึงอะไร ด้วยความที่เป็นเด็ก คาลาเนสต้องถูกหัวเราะเยาะจากวิคเตอร์และวูดตันขณะก้าวขาลงทางลาด แม้เด็กชายจะถามไปแต่ทั้งสองไม่ตอบ บอกเพียงแต่ว่าไว้โตก่อนแล้วค่อยรู้

 

        ชาร์ลและโอ'เกนท์ลงมารออยู่นาน ทั้งสองต้องตกตะลึงอึ้งกึมกี่ เมื่อภาพเบื้องหน้านั้น มันเกินบรรยายเหลือเชื่อ โดยปกติแล้วน้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ทว่า ณ ที่นี่มันไม่ใช่ ทฤษฎีกฏแรงโน้มถ่วงถูกลบล้างทันทีจากหัวชาร์ล

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา