The Last Night
9.2
เขียนโดย pyclub70
วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.
40 ตอน
16 วิจารณ์
36.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) 010-บทสุดท้ายดวงประทีปแห่งพระแม่เอวา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ10-บทสุดท้ายดวงประทีปแห่งพระแม่เอวา
"เย่... ย่ะฮู่"
"ชนะแล้ว.. ชนะแล้ว.. "เสียงจากทหารฝ่ายเมืองป้อมหลายนาย ยังคงโห่ร้องตะโกนอย่างดีใจออกมาเป็นระยะเพราะภาคภูมิที่รักษาสถิติไร้พ่ายไว้ได้
ผบ.เดวิสเห็นดังนั้น ไม่รอช้ารีบส่งข้อความผ่านทางก้อนเมฆแปรอักษรบอกข่าวแก่ทางเมืองหลวง หลังพิชิตศัตรูได้โดยไม่ต้องพึ่งกำลังเสริม
ส่วนทางด้านเมืองหลวงเอง หลายฝ่ายกำลังลุ้นกันอย่างกดดันว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ลมพัดผ่านไปสามระลอกข้อความจากผบ.เดวิสก็เดินทางมาถึง เนื้อหาใจความระบุไว้สั้นๆว่า"ทางเราได้รับชัยชนะแล้ว"
ความกดดันถูกคลายออกไป หลายฝ่ายของราชสำนัก หลายชนเผ่า หลายอาณาจักร หลายหัวเมืองและประชาชนชาวครูฟทั่วทั้งจักรวรรดิ ต่างโห่ร้องและปรบมือกันอย่างกึกก้องหลังเมืองป้อมปราการเซลสิอุสส่งข่าวดี ภูเขาถูกยกออกจากอกในจิตใจ แต่ละคนต่างคลายความกังวล หลายๆแห่งเริ่มเฉลิมฉลองจัดงานเลี้ยงเพื่อสดุดีแด่ชัยชนะ เหล่าบรรดาสาวก ณ มหาวิหารพระแม่เอวาก็ต่างยินดีโห่ร้องและปรบมือจนเสียงกระหึ่มไม่แพ้ที่ใดๆ บทสวดสรรเสริญได้เริ่มขึ้นอีกครั้งและจบลงด้วยบทสวดถวายพระพรเพื่อเป็นกล่าวขอบคุณในความรักที่พระนางมีต่อทุกคน
ส่วนกำลังเสริมที่มุ่งไปเมืองป้อมได้วกกลับทันทีหลังได้รับข้อความจากเมืองหลวง
"เฮ่อ.. ยังออกแรงไม่เต็มที่เลยนะก็มาด่วนตายกันไปหมดซะก่อน"คาสึยะในท่าบิดขี้เกียจพร่ามออกมาลอยๆ ท่ามกลางวงเพื่อนที่เดินมารวมกันหลังกองทัพอัศวินตายสิ้นทุกนาย
"นายออกแรงตอนไหนยะ!! ฉันเห็นนายเอาแต่ยืนผิวปาก!!"เอมิโกะในท่ายืนกอดอกใช้สายตาคาดคั้นคาสึยะด้วยเสียงตวาด
"ไรนะ.. นี่เธอแอบมองฉันด้วยความเป็นห่วงด้วยหรอยัยเป็ดสีเขียว แต่ก็ขอบใจนะ"คาสึยะพูดพลางยิ้มพลางด้วยท่ายียวนกวนประสาท สิ้นเสียงคาสึยะเสียงหัวเราะของเพื่อนๆก็ดังลั่นขึ้น จนทำให้เอมิโกะถึงกับเขย่งเท้าและกำหมัดยืดลงพื้นก่อนแหกปากเล็กเรียวออกมาไปทางคาสึยะว่า..
"ฉันบังเอิญไปเห็นหรอกย่ะ!!!"
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนๆ หรือแม้แต่คาสึยะหยุดขำได้เลยแม้น้อยท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น
ทางด้านผู้อพยพหลายต่อหลายคนเริ่มกลับบ้านกลับช่องของตัวเอง โดยมีทหารตรวจการณ์คอยคุมและรักษาความเรียบร้อย ส่วนบรรดาผู้อธิฐานทั้ง7ที่อยู่บนหอคอยวอเตร่า ยังคงทำหน้าที่ต่อไปเพื่อส่องแสงเป็นประกายให้ความสว่างจากแสงของผิวบาเรียภายใต้ท้องฟ้าสีหม่นอันอับแสง
ขณะที่เหล่าแนวหน้าเริ่มทยอยกันกลับเข้าสู่เมือง บรรยากาศเริ่มมืดลงจนคล้ายราตรีไร้จันทร์ ความเหน็บหนาวเริ่มทวีขึ้นจนลมหายใจจับกลุ่มเป็นไอ ขบวนเมฆหนาทึบหยุดนิ่งไม่ไหวติงและบางสิ่งในความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
ประชาชนได้ก่อไฟเพื่อให้แสงสว่างและให้ความอบอุ่น ตามบ้านเรือนร้านช่องตึกอาคารน้อยใหญ่ ถูกประดับไปด้วยคบไฟและเตาผิงที่ระอุจากเคหสถานให้ไออุ่นจนควันฟืนทะลุออกจากป่องลอยโขมง ด้านบนกำแพงทหารตรวจการณ์บากบั่นเฝ้าระวังภัยกันอย่างต่อเนื่อง คบไฟอันแล้วอันเล่าจุดต่อๆกัน นำไปปักตามจุดต่างๆจนเรืองรองสว่างไสวไปรอบเมือง
ชาวเมืองทุกคนในเมืองป้อมนี้ต่างรู้กันดีว่านี่คือ"ลางมรณะ" ของ "คืนแห่งความมืด" แต่ที่น่าแปลก ทำไมมันถึงได้เกิดขึ้น ในช่วงที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้วและทั้งๆที่ยังปราบอัศวินแห่งด้านมืดจนหมดสิ้น ไม่มีใครกล้าถามใคร ทุกคนต่างนิ่งเงียบก้มหน้าผิงไฟฟังเสียงฟืนปะทุ ผ้าห่มหลายผืนถูกนำมาห่อกาย ความกังวลเกิดขึ้นจนมือไม้ไม่อยู่สุข ความหวาดผวาอีกระลอกบีบเหงื่อให้ไหลแตกเม็ดออกมา มีเพียงภาพพระแม่เอวาเท่านั้นที่ทุกคนจับจ้องไป ด้วยสายตาวิงวอนขอให้สิ่งชั่วร้ายผ่านพ้นไป
"ซุ่ม!!"
เสียงของหนักบางสิ่งพุ่งตรงเข้าหาผิวของบาเรียวอเตร่าอย่างเงียบๆ แต่รุนแรงจนผิวบาเรียแตกกระจายเป็นมวลน้ำพุ่งขึ้นไปรอบๆ ก่อนเกิดการกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่นไปทั่วผิวบาเรีย สิ่งที่พุ่งมานั้นไม่สามารถผ่านผิวบาเรียได้คล้ายกับมันจมลงไปในก้นมหาสมุทร
ภาพในความมืดเริ่มฉายตนหลังย่างกรายเข้าใกล้บาเรีย กองทัพเงาปีศาจที่มีแต่มวลควันสีทมิฬชโลมไปทั่วร่างสูงล่ำกับขวานยักษ์ในมือใหญ่ พวกมันรายล้อมไปทั่วทุกทิศของบาเรียทรงโดม กำแพงเมืองป้อมที่ดูสูงต้องเตี้ยลงถนัดเมื่อเทียบกับพวกมัน ที่สามารถใช้สายตาล่อลวงมนุษย์ให้เห็นภาพหลอนภายในดวงตาของมันที่โผล่พ้นยอดกำแพงขึ้นมาหลายวา
ม่านแห่งจุดจบกำลังจะถูกตลบขึ้นในอีกไม่ช้า
อึกอึก.. อึกอึก..
ความเงียบเชียบจนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ ลมหายใจฟุดฟิดแรง ไออุ่นจากเตาผิงเร่งให้เหงื่อไหลพรู หลายครอบครัวโอบกอดกันแน่น เหล่าทหารจับอาวุธด้วยมือสั่นระริกกับภาพเบื้องหน้าที่ไร้ตัวตนไร้คำอธิบาย
..ควันปากจากความเหน็บหนาวของใครบางคนเผยออกมาพร้อมกับคำพูดสะเทือนขวัญ
"เราจะไปฆ่ามัน"
และควันจากช่องปากของใครอีกคนก็ตอบรับคำพูดนั้น
"ไม่ไหวหรอกครับ แค่อสูรกระทิงแบร์ริกตัวเดียวยังฆ่ากันอย่างหืดจับ แล้วนี่.. "(เสียงนี้เว้นวรรคก่อนว่าต่อหลังกลืนน้ำลาย) "ต่อให้เป็นพวกคาสึยะก็เถอะมีแต่ตายกับตายนะครับ"
"ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง?"
"พวกมันอยู่ล้อมเมืองเต็มไปหมด ทัศวิสัยก็ถูกบดบัง ไม่ทราบจำนวนแน่ชัดของพวกมัน แล้วที่สำคัญไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาพระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้น แล้วอยู่ๆ... ก็หายไป ทิ้งไว้แต่ความมืด ท่านเองก็ทราบไม่ใช่หรือครับว่านี่คืออะไรรวมทั้งพวกกองทัพอัศวินกับอสูรกระทิงแบร์ริกนั่นด้วย!!"
"คืนแห่งความมืด? แล้วเราต้องทำยังไงถึงจะกำจัดมันได้"
"ไม่มีทางครับ!! พวกเราทำได้แค่ก่อไฟให้คลายหนาวกับภาวนาให้ผ่านพ้นไป"
"มนุษย์ทำได้แค่นั้นเองรึ..?"
"..............." ภายใต้แสงลางๆจากคบไฟที่ส่องกระทบ เผยให้เห็นใบหน้าของผบ.ซิกม่าและผบ.เดวิสสนทนากันอย่างเป็นส่วนตัวบนกำแพง
'หรือว่าที่นี่จะมีผู้ที่ถูกเลือก ต้องมีแน่ๆ ใครกันนะ ที่พวกปีศาจมันกำลังไล่ล่า'ผบ.ซิกม่าคิดสงสัยอยู่ในใจและคาดการณ์ว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น
"เฮ่ยๆๆ ตาแก่!!"เสียงอันไร้กาละเทศะดังขึ้นจากด้านล่าง เข้ากระทบหูผบ.ซิกม่าที่อยู่บนกำแพงใกล้เคียงกับซุ้มประตูด้านตะวันออกที่เหลือแต่ซาก ร่างตาแก่คนนั้นหันขวับกลับมามองไปยังต้นเสียง ซึ่งเป็นใครไม่ได้นอกจากคาสึยะ
ตาแก่คนนั้นหรือผบ.ซิกม่านั่นเอง เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ทีนทีหลังมองตาคาสึยะ ว่าหมอนั่นอาจเป็นผู้ที่ถูกเลือกพร้อมกับพิจารณาความน่าจะเป็น จนทำให้ผบ.ซิกม่าเหม่อลอยกับใบหน้าคาสึยะอยู่ครู่หนึ่ง
"เฮ่ยๆๆ ตาแก่"
"หันมาแล้วก็พูดอะไรบ้างสิ"คาสึยะตะโกนเรียกสติตาแก่คนนั้น หลังสมองประมวลผลเรียบร้อยผบ.ซิกม่าก็ตะโกนกลับ
"ว่าไง ไอ้เด็กอมมือ!!"
"ทางเราพร้อมลุยทางนั้นว่าไง"หลังกลุ่มคาสึยะประชุมกันแล้ว ไอ้เด็กอมมือในสายตาของผบ.ซิกม่าก็ยิงคำถามบ้าบิ่นใส่ตาแก่ทันที
"ทางนี้พร้อม!"ผบ.ซิกม่าตอบกลับอย่างไม่ลังเล
"แต่ว่า.."รองค์ที่ยืนฟังอยู่ด้วยและกำลังจะคัดค้านกลับมีเสียงข้างๆแทรกขึ้นมาก่อน
"ฉันลุยคนเดียว"เสียงแทรกนี้ เป็นของผบ.ซิกม่าพูดเบาๆพลางตบไหล่รองค์พร้อมสายตาฉายแววมุทะลุไปทางเงาปีศาจ
เงาปีศาจร่างยักษ์ไม่มีผลต่อความห่ามของกลุ่มคาสึยะ ทั้งห้าเผชิญหน้ากับมันอย่างประชิด ในตอนนี้ มีเพียงแค่ผิวบาเรียกั้นไว้เท่านั้น ตาต่อตาฟันต่อฟัน ดวงตาแต่ละคู่ของกลุ่มคาสึยะเปล่งประกายความกล้าหาญเปี่ยมด้วยพลัง พวกเขาไม่ลังเลที่จะลุยโดยไม่พึ่งทหาร
ก้าวแรกของธาราเทพโผล่พ้นบาเรียออกมารวมทั้งคนอื่นๆที่ก้าวตาม ขวาเล่มยักษ์ถูกจามลงไปกลางกลุ่มอย่างเร็ว ทุกคนต้องกระโดดหลบกันกระเจิงและโจมตีกลับโดยธาราเทพ คาสึยะและเจ้าอสูรจิมพลังของทั้ง3ประสานกันจนเงาปีศาจร่างนั้นขาดเป็นหลายชิ้น แต่.. ไม่นานเท่าใด ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็กลับมาประติดประต่อกันได้เหมือนเดิม การโจมตีแบบนั้นไร้ผลอย่างสิ้นเชิงกับมันที่เป็นเพียงแค่เงา มีแต่รูปร่างไร้กายเนื้อไร้จิตวิญญาณ ซึ่งสิ่งนี้เอง สร้างความแปลกใจให้กับทั้ง3เป็นอย่างมาก
เอมิโกะกับมินตราเริ่มใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายถนัดของตน แสงจากวงกลม7ชั้นจารด้วยอักขระโบราณสีมรกตกินรัศมีหลายวา เหนือร่างเงาปีศาจและวงกลมถี่9ชั้นรายล้อมด้วยอักขระโบราณสีมรกต เรืองแสงขึ้นจากพื้นดินที่เหล่าเงาปีศาจเหยียบย่ำอยู่เป็นวงกว้างหลายวา พร้อมกันนั้นทั้งพายุและสายฟ้าได้เกิดกระหน่ำคู่กัน เกิดเป็นพายุสายฟ้าอันหฤโหดหมุนพัดพาร่างเงาปีศาจสลายละลายหายไปเป็นจำนวนมากอยู่เบื้องหน้ากลุ่มคาสึยะ ซึ่งหลบเข้ามาในบาเรีย มนตราเริ่มคลายลงใบหน้าทั้ง2มองดูความสำเร็จของตนอย่างลุ้นระทึก
"พวกมันหายไป"เสียงเอื่อยจากเอมิโกะดังขึ้นด้วยสีหน้าไม่ยินดีเท่าไรพลางจ้องมองไปกับมินตราที่ไม่ยอมพูดจาใดๆ
เมื่อเห็นดังนั้น ผบ.ซิกม่าจึงขยับร่างลงมาสมทบกับกลุ่มคาสึยะ โดยไม่ออกคำสั่งใดๆกับผู้ใต้บังคับบัญชาแม้แต่คนเดียว แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีใครตามมาติดๆด้วยผบ.เรอิส ผบ.ซายะ ผบ.เชอร์ชิล ผบ.อับโซรอน ผบ.แฟมิเลีย ผบ.ฟาเวลและคนสุดท้ายผบ.เลอวิส คงไว้แต่ผบ.เดวิสกับผบ.บาร์คีพที่ต้องรักษาสถานการณ์ในเมืองป้อม
ศึกยก2เริ่มขึ้นฉับพลัน โดยมีผบ.ซิกม่าเป็นแกนนำฝ่ายเมืองป้อมและธาราเทพเป็นแกนนำกลุ่มคาสึยะ เข้าฟาดฟันเงาปีศาจร่างยักษ์ ยิ่งสู้ยิ่งไกลออกไปจากบาเรียราวถูกดึงดูด โดยกว่าจะรู้สึกตัวก็สายไป
ในตอนนี้ พวกเขาต้องสู้อยู่ในความมืดอย่างกู่ไม่กลับ ฟาดฟันศัตรูไปเท่าไรมันก็เหมือนยิ่งทวีคูณขึ้น ความกล้าจากการกลัวความอัปยศของผบ.ฝ่ายเมืองป้อมเริ่มส่งผลต่อพวกเขา ความเหนื่อยล้าที่สะสมจนเม็ดเหงื่อแทบกลายเป็นหยดเลือด ความลำบากในการจู่โจมศัตรูร่างสูงใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่าและฆ่าไม่ตาย ความรู้สึกท้อและสิ้นหวังจับตัวก่อกลุ่มขึ้นภายในหัวใจของพวกเขา แม้จะยังไม่มีใครพลาดพลั้ง ถูกมันสับแต่ก็ไม่มีใครประกันได้ว่าจะไม่มี ชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ท่ามกลางหุบเหวอันมีปากนรกคอยจ้องเขมือบ
กลุ่มคาสึยะใช่ว่าจะยิ้มย่องกันอย่างหน้าตาชื่นบาน แม้เพิ่งมีบทฮีโร่ไปหมาดๆ แต่บทนี้ของพวกเขามันช่างสาหัสเหลือเกิน เวลาผ่านไปค่อนชั่วโมงยังไม่มีวี่แววว่าเป็นฝ่ายกำชัย
ธาราเทพ คาสึยะและเจ้าอสูรจิม การโจมตีของทั้ง3ไม่เกิดผลอันใดเลยเพียงหยุดมันไว้ได้แค่ชั่วครู่ ที่เกิดผลเห็นจะมีก็แต่เอมิโกะกับมินตราเท่านั้นซึ่งเหมือนจะรู้จุดอ่อนของมันแล้ว ทั้ง2กระหน่ำใช้มนตราแห่งไฟอย่างต่อเนื่อง เงาปีศาจถูกเผาไปสู่สุขคติหลายตนจนนับไม่ไหว แต่นั่นก็เพียงแค่ส่วนน้อย
แสงไฟวูบวาบจากมนตราส่องให้ประจักษ์เห็นกองทัพเงาปีศาจร่างยักษ์เกินคาดคะเน พลังเวทย์ของทั้ง2อ่อนล้าลงทุกทีกับร่างกายที่เหนื่อยล้าจากความน่าจะเป็น ยิ่งสู้ยิ่งสิ้นหวัง ทั้งอากาศหนาวเย็น เคลื่อนไหวได้ลำบาก หนำซ้ำยังต้องต่อสู้กันในความมืดมิด
"อ๊ะ!!"เสียงอุทานเปร่งออก เนื่องด้วยความเจ็บปวดจากผบ.หญิงคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางสรภูมิมืด
"มีใครเป็นไรไหม"ผบ.แฟมิเลียหว่านเสียงไปรอบๆ หวังได้รับการขานกลับ
"ฉันเองซายะ ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยน่ะ"ซายะกัดฟันตอบกลับ พลางเอามือกุมแผลที่บริเวณต้นแขน แม้จะมองไม่เห็น แต่ซายะรู้สึกได้ว่าแผลนั้นทั้งยาวทั้งลึกพอที่จะคร่าตนได้ หนำซ้ำเลือดยังไหลไม่หยุดอีกด้วย
"ซายะ เธออยู่ไหน!!"เชอร์ชิลอยู่แถวนั้นร้องตะโกนเรียกอย่างตั้งใจ หวังจะไปช่วยเพื่อน
"เชอร์...
...ชิล!!!"ซายะเปล่งเสียงสุดลำคอร้องออกไปก่อนล้มลงและเงียบไป เสียงนี้ทำให้เชอร์ชิลออกตัววิ่งไปหาต้นเสียงอย่างลำบาก ไหนจะต้องคอยหลบคมขวานจากพวกมัน ไหนจะต้องวิ่งแบบเดาสุ่ม ในตอนนี้ สีหน้าของซายะเริ่มถอดสีและมีอาการง่วงซึมแทรกขึ้น
"แข็งใจไว้ก่อนนะซายะ"สำหรับคำว่าเพื่อนแล้วเชอร์ชิลไม่มีวันทิ้งซายะแน่ จึงตะโกนออกไป เมื่อเลือดขึ้นหน้าเธอด่วนรีบวิ่งบุกเหวี่ยงดาบปัดศัตรูออกจากเส้นทาง
จนกระทั่ง ฝ่ามาถึงร่างของซายะได้ในที่สุด ซายะนอนตะแครงจมกองเลือดและยังเอามือกุมแผลไว้แน่นกับสติขาดๆหายๆ แต่ทว่า.. รวมๆแล้วหลังจากที่ซายะเปร่งอุทานออกมาเชอร์ชิลนั้นช้าไปหลายก้าว
จนทำให้.. ได้ยินอะไรบางอย่างที่เยือกเย็น
"คราวหลังหัดใช้สัญชาตญาณซะบ้างนะ บางครั้งถ้าตามองไม่เห็น ก็ต้องใช้ความรู้สึก" เรอิสบ่นปนเสี้ยมสอนให้เชอร์ชิลที่ยืนอ้ำอึ้งและยังอ่อนหัดกว่าตนหลายเท่าได้ฟัง การปฐมพยาบาลบาดแผลให้กับซายะนั้น เรอิสจัดการไปเรียบร้อยแล้วหลังซายะตะโกนเรียกเชอร์ชิล แต่เนื่องด้วยบาดแผลที่ลึกเกินกว่าการปฐมพยาบาลจะเอาอยู่ เลือดของซายะยังไหลออกมาตลอดจนเป็นเหตุทำให้เธอหมดสติไป
"เชอร์ชิลเธอแบกซายะ ส่วนฉันจะวิ่งเปิดทาง"ผบ.กองบินสูงสุดออกคำสั่งกับผบ.กองบินประจัญบาน ด้วยเสียงคำสั่งเยือกเย็น เชอร์ชิลไม่คัดค้านอะไรรีบแบกร่างซายะขึ้นพาดบ่าทันที
"พร้อมมั้ย?"ใบหน้าไร้อารมณ์หันกลับมาเล็กน้อยใช้หางตามองเชอร์ชิลแบกร่างเพื่อน
"พร้อมค่ะ!!"สิ้นเสียงอันหนักแน่นของเชอร์ชิล เรอิสวิ่งออกนำทันทีโดยมีเชอร์ชิลตามมาติดๆ การวิ่งแบกร่างเพื่อนยังคงดำเนินไปเรื่อย
ช่วงนี้เอง เชอร์ชิลฉุกคิดเกิดคำถามขึ้นมาในใจทำไมตนจึงวิ่งไปอย่างไร้อุปสรรคทั้งๆที่เรอิสทิ้งห่างไปไม่กี่ก้าว ในบางคำถามไม่จำเป็นต้องตอบด้วยคำพูด เรอิสใช้การกระทำแสดงคำตอบนั้น นั่นคือเงาปีศาจร่างไหนถือขวานเล่มยักษ์เกะกะเธอ เธอจึงปัดมันไปด้วยดาบ ส่วนร่างของมันเรอิสก็วิ่งฝ่าทะลุไปอย่างง่ายดาย
"เพราะร่างของพวกมันเป็นเงานี่เอง"เชอร์ชิลได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องถาม
แสงจากบาเรียวอเตร่าเริ่มส่องเล็ดรอดจากความหนาทึบของเหล่ากองทัพเงาปีศาจ สะท้อนมายังม่านตาของเรอิสหลังวิ่งมาจนเจียนถึงเมืองป้อม
ในตอนนี้ หางตาของเรอิสสะดุดกับใครบางคนเข้าจนต้องเหลียวมองเต็มตา เขาคือชายร่างสูงกำยำกำลังกวัดแกว่งดาบดวลขวานรับมือเงาปีศาจหลายตน
"เหม็นขี้หน้าซะจริงๆเมื่อไรจะตายนะ"คำเหยียดจากความอึดอัดของเรอิสดังขึ้น แว่วไปถึงหูของเชอร์ชิลจนต้องเหลียวตามไปมอง
"เอ๊ะ!! ตรงนั้นผบ.ซิกม่านี่นา"เชอร์ชิลระลึกได้เพียงแค่เห็นร่างนั้นไวๆ
ปากประตูด้านตะวันออกคุณหมอซายูริอ่านเกมส์ขาด ได้มาดักรอผู้บาดเจ็บพร้อมทีมแพทย์ภาคสนาม เพื่อเตรียมทำการรักษา
เมื่อเรอิสฝ่ามาถึงปากประตู เปสนามถูกนำมาลำเลียงร่างของซายะเข้าห้องผ่าตัดสนามอย่างเร่งด่วน ส่วนเชอร์ชิลที่ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วหลังจากซายะถึงมือหมอเธอเร่งวิ่งกลับไปช่วยคนอื่นๆรบ
แต่เรอิสนั้นกลับนิ่งเฉยเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ ดูได้จากการที่เธอเอาใบดาบตบเบาๆกับข้างขาเป็นจังหวะอย่างใจเย็นพลางเพ่งมองไปทางเงาปีศาจทางด้านขวา เหล่าทหารที่อยู่บริเวณนั้น ต่างไม่มีข้อขัดข้องหรือกล้านินทากับการกระทำนั้นเพราะรู้ดีว่านิสัยเรอิสเป็นเช่นไร
จังหวะสุดท้าย ที่ใบดาบตบกับข้างขาเรอิส เธอลากดาบด้วย2มือออกตัววิ่งอย่างเร็ว ทะลุบาเรียฝ่าความมืดฝ่าเงาปีศาจไปยังร่างที่ทำให้เธอเหม็นขี้หน้าจนแทบอาเจียน
"เคล้ง!!"
คมดาบของเรอิสถูกเหวี่ยงจากล่างขึ้นบนเน้นฟันสีข้าง ทว่าร่างนั้นกลับรับรู้การโจมตีนี้ได้แต่เนิ่นๆ จึงถ่างขาย่อตัวลงเล็กน้อยกำด้ามดาบหันปลายชี้ลงพื้น เพื่อหยุดการโจมตีเพียงแค่มือเดียว
คมดาบหันเข้าหากัน สายตาทั้ง2ปะกันจนเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ต่างฝ่ายต่างยังคงกำด้ามดาบแน่นดันกันจนสุดพลัง โดยยังไม่มีใครคิดถอนดาบของตนออกเนื่องจากศักดิ์ศรีมันค้ำคอ
"ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เหมือนเดิมนั่นแหละน่า สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้นะ ฮึ่ย!!" แม้จะมีคำเตือนออกมาจากร่างนั้นซึ่งก็คือผบ.ซิกม่า แต่ทว่าทั้ง2ยังไม่ยอมละสายตาไปไหน
"พูดมากน่ะ"เรอิสตอบกลับอย่างเยือกเย็น
"จะว่าไปเธอก็เก่งขึ้นเยอะเลยนะ"ผบ.ซิกม่ากระตุกยิ้มกล่าวชมผบ.ในสังกัดของตน โดยไม่สนใจต่อเงาปีศาจ
"..........."เรอิสเงียบแต่ดูจริงจังมากขึ้น หวังชนะให้ได้กับผู้ที่ทำให้เธอต้องสะอิดสะเอียน
ศักดิ์ศรีอันแรงกล้าและความอยากเอาชนะ ไม่มีทีท่าว่าจะถอนดาบออกจากกัน เมื่อสถานการณ์เริ่มพลิกผันเสียงของใครบางคนดังขึ้นในสมรภูมิมืด จนในที่สุดผบ.ซิกม่าจึงผละออกจากเรอิสเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ
"พวกเราถอย!!!"เสียงของธาราเทพดังขึ้นหลังการสู้รบไม่เกิดผลอันใด
เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มคาสึยะเริ่มทยอยกลับเข้าสู่บาเรีย เว้นแต่มินตราออกไปไกลกว่าเพื่อนหลังพลัดหลงกับเอมิโกะ
แม้จะเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอธิฐาน ซึ่งมีพลังป้องกันสูงกว่าพลังโจมตีนั้น แต่กำลังกายของมินตราไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวทั่วไป เธอบอบบางและมักจะไม่ส่งเสียงหากเกิดความหวาดกลัว ซึ่งเป็นนิสัยที่เพื่อนๆเป็นห่วงที่สุด
"ตามหามินตราก่อน!!!"ธาราเทพกลับคำสั่งทันทีหลังไม่เห็นมินตรากลับมาพร้อมเอมิโกะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กลุ่มคาสึยะเข้าแนวรบอีกครั้ง
จากรุ่งอรุณจนถึงตอนนี้ ผ่านไปค่อน4ชั่วโมง ผู้อธิฐานมหาคริสตัลวอเตร่าคนหนึ่งทรุดลงไปกับพื้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีก6คนที่เหลือไม่มีใครกล้าขยับกายไปช่วยร่างนั้น เพราะรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
จากผู้อธิฐานทั้ง7ตอนนี้เหลือ6 แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อบาเรียวอเตร่า บางบริเวณของผิวบาเรียเริ่มขาดๆหายๆไม่ประติดประต่อ เกิดเป็นช่องว่างรอยใหญ่จนเงาปีศาจตนหนึ่งขว้างขวานพุ่งผ่านรอยนั้น ไปกระแทกหอคอยวอเตร่า จนสั่นสะเทือนเกิดเป็นหายนะ ผู้อธิฐานทั้ง6โซซัดโซเซยืนไม่เป็นท่าหลุดจากพิธีกรรมส่งผลให้บาเรียวอเตร่าหายไป
..ความตายได้ยื่นมือเข้าหาผู้เคราะห์ร้าย
เงาปีศาจร่างยักษ์หลั่งไหลย่างกรายเข้ามาในเมืองป้อม พวกมันทำลายทุกสิ่งด้วยขวานยักษ์ เพียงแค่ฉับเดียวตึกทั้งตึกก็ทลายลงมา ประชาชนต่างหนีตาย หาที่ซ่อนเร้นเอาตัวรอดและไม่ปริปากร้อง
แต่สิ่งที่ดูแปลกไป นั่นคือพวกมันเหมือนมองหาใครหรืออะไรก็มิอาจทราบได้ พวกมันขวักไขว่วนเวียนควานหาสิ่งนั้นกันอย่างบ้าคลั่ง
ในตอนนี้ เหล่าทหารบางส่วนที่ขี้ขลาดต่างต้องหาที่ซ่อนสละทิ้งหน้าที่ ไร้ความละอายจากความกลัวตายอย่างน่าสังเวช กองทัพปีศาจจากด้านนอกเริ่มเบียดเสียดกันเข้ามาอย่างเนืองแน่น โดยเมินเหล่าผบ.และกลุ่มคาสึยะที่รับมืออยู่ด้านนอกกำแพงไปอย่างไม่น่าเชื่อ!!
หลังจากตั้งหลักได้ ผู้อธิฐานทั้ง6เริ่มความพยายามกันใหม่ บาเรียวอเตร่าเข้าปกคลุมอีกครั้ง ลดการหลั่งไหลของกองทัพปีศาจที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บาเรียป้องกันแค่รอบนอก แต่ทว่าภายในเมืองป้อมนั้น แออัดไปด้วยเงาปีศาจ บ้านช่องหลายหลังตึกอาคารหลายแห่งถูกเปิดออกเป็นช่องโหว่จากขวานยักษ์ ผู้เคราะห์ร้ายหลายรายต้องถูกสับดับดิ้นอนาถ กลายเป็นเศษชิ้นเนื้อก่ายกองอย่างน่าสลด ยากเกินกว่าจะหยุดพวกมันได้ด้วยวิธีใดๆ
ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนี่เองเหนือยอดปลายแหลมหอคอยวอเตร่าสูงขึ้นไปบนชั้นมวลเมฆสีทมิฬ แสงไฟจากม่านฟ้าแล่บสว่างวับ ก่อนตามมาด้วยสายฟ้าฟาดทรงรากไม้ฟาดระหว่างเมฆสีทมิฬเกิดแสงวืบวาบทั่วนภา
ช่วงเวลานี้ ไม่มีใครสนใจหรือสังเกตุสภาพแวดล้อมที่แปรปวนนี่แล้ว ต่างคนต่างหนีตายกันจ้าละหวั่น ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นทั่วทั้งเมืองป้อมปราการเซลสิอุส ประชาชนได้แต่รอความตายเฉกเช่นหมูในอวย อันถูกยัดเยียดชะตากรรมน่าสังเวชนี้จากพวกมัน
วินาทีเป็นวินาทีตายตัดสินกันจากจุดนี้
เหล่าผบ.ทุกคนต่างกรูกันเข้าล้อมหอคอยวอเตร่า พร้อมทั้งทหารอีกนับพันนายพร้อมพลีชีพอย่างรู้งาน เมื่อเข้าตาจนแน่นอนว่าหลายๆคนต้องสู้อย่างหมาจนตรอก
จากการปกป้องคอหอยวอเตร่า เหล่าทหารฝ่ายเมืองป้อมเริ่มร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จนนับนายได้เพื่อจะซื้อเวลาตามหาทางรอดให้กับประชาชนตาดำๆ
กลุ่มคาสึยะทั้งหมด มัวแต่ตามหามินตราจนไม่มีเวลาเหลียวแลชาวเมือง แล้วประชาชนนั้นเล่าจะทำอะไรได้ ที่ทำได้คงมีแต่ภาวนาสวดวิงวอนต่อพระแม่เอวาจากน้ำตาอันแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง
"บทสุดท้ายใกล้มาถึง"
แสงสว่างจากคบไฟในเมืองป้อมมอดสนิทลงด้วยเงาปีศาจที่กลืนกิน เหลือแต่แสงประกายจากบาเรียวอเตร่ายังคงทนท้าทายความมืด
ใจกลางเมืองป้อมเหนือยอดสุดของหอคอยวอเตร่ามวลเมฆตรงนั้นดูเบาบางลง จนเห็นเป็นแสงเรืองๆคล้ายดั่งดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมา ด้วยความร้อนแรงมวลเมฆถูกเผาสลายไป แสงแรกฉายลงมายังยอดหอคอยวอเตร่าและแสงแรกนั้นพลันขยายวงกว้างไปอีกเรื่ิอยๆ ตามลำดับเวลาในการเผามวลเมฆสีทมิฬ
เงาปีศาจเบื้องล่างต้องพลันสลายกลายเป็นละอองไป เพียงแค่ต้องแสงอัศจรรย์นี้ ความหนาวเหน็บเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น ความมืดเหนือฟากฟ้าพลันสว่างจ้า เนื่องด้วยแสงอัศจรรย์แผ่ขยายออกไปไกลเผาผลาญม่านหมอกและหมู่เมฆสีครื้มจนสลายไปสิ้น กลายเป็นท้องฟ้าสีแจ่มใส
มวลมนุษย์ในเมืองป้องต่างได้แหงนหน้าขึ้นมองดูบริเวณเหนือยอดแหลมของหอคอยวอเตร่า หลังสัมผัสกับแสงอัศจรรย์อันอบอุ่นให้ชีวิต
และแล้วสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าปาฏิหารย์ก็อุบัติอยู่เบื้องบนนั่นเอง ลูกไฟขนาดมโหฬารใหญ่กว่าเมืองป้อมปราการเซลสิอุส รายล้อมระอุไปด้วยเปลวเพลิงเปรียบได้ดั่งดวงอาทิตย์จำลอง ซึ่งอวดแสงแข่งกับดวงอาทิตย์ดวงจริงที่ยังขึ้นไม่เที่ยง
สิ่งนี้เอง ใครหลายคนเชื่อว่านี่คือ.. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำนานดวงไฟแห่งธีโอน่ามหาศาสนจักร หรือก็คือ"ดวงประทีปแห่งพระแม่เอวา" ที่เคยใช้ส่องโลกเมื่อกว่า4000ปีมาแล้ว นานนับทศวรรษจากเหตุดวงอาทิตย์อับแสงครั้งยามปัจฉิมกาล
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ