Blood vagabond เลือดหัวขโมย

6.3

เขียนโดย ป่าสีดำ

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.08 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,727 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558 23.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ช่วงชีวิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

    ตอนเด็กๆ ฉันเคยสงสัยว่าพวกปู่ย่าตายายของเราทำอาชีพอะไรเขาเป็นคนที่อยู่ในหน้าประหวัตสาตร์หรือไม่ เป็นคนสำคัญของประเทศหรือปล่าเหตุใดจึงไม่มีใครพูดถึงพวกเขาแล้วเราเกิดมาเพื่ออะไร เหตุใดจึงต้องมีกฏของการเวลา เรื่องพวกนี้ ฉันคิดจนป่วดหัววึ่งมันก้มีบางครั้งที่คำถามนั้นค้นเจอคำตอบ  และสิ่งที่หน้าเศร้าที่สุดสำหรับฉันก็คือการใช้ชีวิตเปรียบเช่นสัตว์ที่ออกล่าหากินแล้วก็นอน มันเหมือนกับสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่ใช่เสื้อผ้า 
   
   บางครั้งชีวิตของเราก็ไม่สามารถเลือกได้ว่า อยากจะเป็นยังไงในชาติหรือทำอะไรได้เมื่อมาอยู่ ณ ช่วงเวลายากลำบาก สำหรับชีวิตวันรุ่นธรรมดาที่เรียนมหาลัยฉันต้องจากเพื่อนและรั่วมหลัยเปลียนเป็นพนังงานโรงงานปลากระป๋องสีแดงซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์หลักของมะเขือเทศ
ฉันอยู่ที่นี้ได้3เดือนหลังจากที่เอกสารธนาคารยึดบ้านและที่ดินของครบครัวไป เมื่อก่อนพวกเราอยู่เป็นครบครัวใหญ่ แต่ด้วยความโลภที่พายายามเอาเงินไปทำงานต่างประเทศทำธุระกิจต่างๆจนไม่หลืออะไรให้กับรุ่นหลานอย่างฉัน นั้นฉันเองก็ไม้ได้กังวลอะไรหรือเกรียดใครใรครบครัวมันเป็นเรื่องดีสำหรับฉันที่เห็นหน้าที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาเป็นสัตว์เลือดเย็นไม่เคยจะเห็นใจใครหากไม่มีผลประโบชน์
  
     เสียงเครื่องจักรในโรงงานดังก้องมันทำให้พนักงานต่างมีภาวะเครียด ฉันเองก็เช่นกันขาที่ยืนมาหลายชั่วโมงและมือที่ไม่ได้หยุดทักตาที่ต้องจำจ้องยัดปลาในกระป๋องมันเป็นแบบนี้ทุกวัน เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทุกคนกุต่างคิดถึงที่นอน อาหารร้อนๆแน่นอนไม่ใช่ปลากระป๋องแน่ พวกเขามักจะพูดถึงเรื่องลูกและสามีพวกเขาต่างวาดฝันว่าลูกๆของพวกเขาต้องแตกต่างจากพวกเราเมื่อจบจากรั่วมหาลัย นั้นเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะเทือนใจที่สุด ฉันกลับเข้ามาในห้องเช่าเล็กๆ แม่ที่พึงยกของออกมาว่างขายเตรียมตัวเปิดหน้าร้านมีสีหน้าหงุดหงิดนั้นคงมีอย่างเดียวในตอนนี้คือพ่อของฉันที่เมาโวยวายพังข้าวของโทษคนรอบข้างและโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตหวยและยากจน นี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ฉันรู้สึกสะเทือนจนอยากจะอ้วกออกมาหากข้างในท้องนั้นมีอาหารอยู่

    เอกสารจดหมายสีขาวที่ถูกแกะกองอยู่บนโต๊ะหน้าร้านมันเป็นเอกสารที่แม่แกะออกมาแล้วขย่ำปาทิ้ง ฉันไม่ต้องพูดอะไรมากก็เดาอารมณ์ของควในบ้านได้ ฉันถอนหายใจเบาๆก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านเมื่ออาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนแม้จะเป็นเวลา แปดโมงเช้าที่เหล่าผู้คนต่างเริ่มต้นชีวิตของเช้าวันใหม่ แต่ฉันต้องนอนหลับเพื่อใช้แรงในคืนต่อไป วินาทีที่ฉันหลับตาฉันฝัน
    มีปีศาทตัวแห้งๆหนังของมันไหม้เกรียมไม่มีใบหน้าที่ชัดเจนฉันรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็คุ้นเคย พวกเขาอยู่ในที่มีดๆบ้างตัวถูกขังในลูกกรงแต่ปจ้าตัวนี้มันอยู่ตรงหน้าฉัน หัวใจฉันเต้นรั่วมันชี้ไปที่จานอาหารสีสนิมในนั้นมีน้ำสีส้มๆและเนื้อสับอยู่ ฉันจับช้อนตักมันขึ้นมาก่อนจะมอหน้าเจ้าปีศาทตัวเกรียมนั้นมันพยักหน้า ฉันยื้นช้อนนั้นให้มัน ทันทีที่ฉันทำแบบนั้นมันเดินเข้ามาหาสองเท้าและมันก็อ้าปากวิ่งเข้ามา ฉันหลบมันวิ่งไปที่บันไดลิงและพายายามปีนขึ้นแต่เจ้าปีศาทพวกนั้นจับขาและพายายามลาก พวกมันออกจากที่ขังได้อย่างไร หรือนี้เป็นกับดัก ฉันถีบพวกมันและสั้นบันไดเชือกปีนจนขึ้นมาสุดปากหลุม
    "สา สาระ สาลูกตื่นก่อน" ภาพของหญิงวัย40ปลายๆใบหน้าเหี่ยวย่นพระทำงานหนัก ในมือถือกระซอนตักน้ำเงี้ยวในมือ ผ้ากันเปื้อสีฟ้าที่สกรียนคำว่า ฟ้าไทย มีคราบเปื้อนสีแดงๆอยู่
"มีอะไร" ฉันถามเสียงอ่อน และมองดูนาฬิกา ฉันนอนไปเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น
"ป้าโทรมาบอกให้ไปบ้านใหญ่หน่อย ยายจะเสียแล้ว" แม่พูดก่อนจะเดินออกไป นี้เป็นบรรยากาศที่ฉันทำใจไว้ว่าสักวันจะต้องเจอ คือความรู้สึกที่ต้องไปเจอหน้าญาติๆที่เคยอาศัยอยุ่หลังคาเดียวกันแต่ตอนนี้พวกเขามองแันด้วยความรังเกรียดบ้างก็พูดจาถากถางจิตใจ แต่ที่ฉันสมเพศพวกเขาคือ พวกเขาเหมือนอีแร้งก่อนที่ยายจะจากไป มรดก อย่างสุดท้าย ยายจะยกให้ใคร
 
  ฉันจำใจลุกขั้นแต่งตัวด้วยชุดธรรมดาที่ไม่ค่อยได้ใช้นัก เสื้อผ้าที่ฉันใส่จนเบื่อตอนนี้ มันกลับดูเปลกใหม่ ฉันยืนรอแม่และพ่อที่หน้าบ้านก่อนทุกคนขะขึ้นรถไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

     หากคุณเห็นญาติๆร่ำไหห้ก่อนที่คุณจะตายนั้นหมายถึงว่าคุณสำคัญต่อเขา พ่อที่อยู่ข้างนอก แต่เหล่าญาติทางแม่และหลานๆก็อยุ่ในห้องไอซียู ยายที่แก่จนเซลล์ร่างก่ายไม่สามารถพลัดได้กำลังจะตายในไม่ช้า ฉันเคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งว่า พรของมนุยษ์ที่พระเจ้ามอบให้คือมนุยษ์สามารถลอกคราบใหม่ได้โดยไม่ต้องตาย แต่เจ้างูเจ้สเหล่ได้ขโมษพรนั้นไปเสีย หน้าเสียด้ายที่มนุยษ์ไม่ได้พรนั้น หรือมันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้

   คุณป้าพี่สาวที่แก่ที่สุดของบ้านเดินเขาไปกอดร่างผู้เป็นแม่ร้องไห้เหมือนคนเป็นบ้ายายค่อยๆถอดแหวนทองคำหยกสีดำจากนิ้วนางยื้นให้ป้าก็มีท่าทางมีสติดมากขึ้น ก่อนจะจ้องมองที่แหวนวงนั้นและค่อยๆถ่อยออกไปมุมห้องที่ลูกคนเล็กสาววัย16ยืนอยู่เธอไม่ได้มีอารมณ์ร่วมใดๆกับแหวนนั้น ร่างที่นอนอยู่กวักมือเรียกลุงที่ดูเป็นหนุ่มฉลาดไฟแรงแต่นั้นแหละเขาเป็นคนล้างพลานทรัพย์สินในบ้านจนไม่มีที่ซุกหัวนอนยายชี้ไปที่โต๊ะข้างตัวน้าชายเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักมีกล่องมีน้ำเงินเก่าๆในนั้นมีเสร้ยคอที่ยายใส่ตัดตัวประจำและตุ้มหูท้องคำทรงกลม มันดูเหมือนไม่มีคุณค่าเท่าไรแต่สำหรับตอนนี้ที่เข้าตราจนมันอาจช่วยให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้น
"อ่าวแม่ ทำไมไอ้กาย มันได้มากกว่าหนูค่ะ หนูเป็นพี่มันนะ เอาตุ้มหูมานี้นะไอ้กาย" ป้าจิตที่จิตสมชื่อ เธอเป็นพี่ที่ไม่ยอมให้น้องคนใหนได้ดีกว่าแม้แต่เรื่องลูกเธอกระเสือกกระสนดิ้นร่นส่งเสียลูกชายคนโตไปเมืองนอกซึ่งมันก็ไม่ได้โดดเด่ดอะไร
"พี่จิต..พอก่อน" แม่ของฉันที่มองพวกพี่ๆที่ได้ของที่เป็นสมบัติติดตัวของแม่ตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่แม่ฉันเคยชินคือไม่มีอะไรให้ลูกคนสุดท้องสำหรับแม่แล้วมันคงเป็นแผลขนาดใหญ่ที่รักษาไม่หายได้แต่เมินเฉยไปและทำหน้าที่ลูกที่ดี
"ทำไมยัยใจ ยังไงแก่ก็ไม่ได้อะไรตามเคยทำไมไม่ขอตุ้มหูจากพี่ชายเก่ละห่ะ" ป้าจิตยังคงไม่เลิกง่ายๆ ร่างที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆหลั่งน้ำตาแห่งความเศร้าที่เห็ยภาพความผิดพลาดจากกาอนเลี้ยงดูผิด
  อนิจาลูกสาวคนแรกที่แสนสาวฉลาดข้าก้ไม่เคยให้มันขาดเหลืออะไรอยากได้อะไรข้าก็หาให้
  ลูกชายคนเดียวของข้าเองก็กล้าหาญเป็นผู้นำ ข้ารักเองสุดใจ
  ลูกสาวคนสุดท้องแม้ข้าไม่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แต่ข้าก้ให้เองเท่าที่ข้ามีเหลือจากพวกเขา

จิต กาย ใจ เป็นสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยกันแต่เหตุใจ มันจึงหลอมร่วมรักไคร่กันไม่ได้
"พี่จิตเรื่องนี้เราค่อยไปคุยกันที่อื่นตอนนี้ดูแม่ก่อน" กายลูกชายนคนเดียวของบ้านตีหน้าเครียดเมื่อเห็นน้ำตาคนเป็นแม่
"พวกเองออกไปก่อน ข้าอยากคุยกับใจมัน" ทุกคนต่างนิ่งสงบและค่อยๆพากันเดินออกไปทีละคน"สาระ อยู่ก่อน" ฉันหันไปมองเจ้าของคำสั่งที่อยู่บนเตียงเธอตบมือที่เตียงนอนข้างๆขาวมือที่ว่างอยู่ ฉันเดินไปนั้งข้างๆยายกลิ่นสางคนแก่ที่สักวันหนึ่งฉันก็ต้องเป็นแบบนั้นกลอยติดเข้าจมูกฉันไม่ค่อยชอบกลิ่นนี้แต่มันทำให้อบอุ่นอย่างประหลาดใจ
"ใจ.. แม่ไม่มีอะไรให้ลูก " ยายพูดขึ้นมองหน้าลูกสาวคนสุดท้องน้ำตาเอ่อ แม่ก็เช่นกัน
"หนูรู้แม่ หนูแค่มาบอกลา" แม่ที่เหมือนจะทำใจกับวินาทีของความหวังว่าแม่จะมอบอะไรเป็นของต่างหน้าแต่ก็ไม่มีให้เธอชื้นใจ
"หนุไม่เคยได้อะไรเหมือนพวกพี่" แม่สะอื้นไห้"หนูเกรียดแม่ที่เป็นแบบนี้ แต่หนูก็รักแม่" คนเป็นลูกก้มกอดแม่สะอื้นยายเองก็เหมือนใจจะขาดเช่นกัน "ใจออกไปข้างนอกแล้วนะ ให้สาอยู่กับยายนะ " แม่เดินออกจากห้องไปเหลือนเพียงแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนสองคน คนหนึ่งไกล้ตายเพราะร่างกายหมดสภาพและอีกคนหนึ่งเหมือนตายทั้งเป็นที่ชีวิตพังในวัยที่สดใส
"สา โกรธยายไมที่ อย่าว่ายายไม่รักแม่เองนะ" ยายเริ่ม พูด
"พอเถอะยาย เดียวก็ตายหรอก รอพวกแม่มาก่อนค่อยตาย" ฉันสวนทันทีเมื่อยายมีลมหายใจอ่อนลง
"เองนี้ปากหมาเสียจริง" ยายเห่วใสก่อนจะหัวเหราะ หึ เบาๆ "หึ เหมือนตาเองไม่ผิดสมัยสาวๆตายเองมันชอบแซวข้าว่าเม้ดสำลี แต่ก็ได้ข้าเนี้แหละเป็นเมีย"
    เรื่องราววันวานของช่วงชีวิตที่ยายมีกับตาไหลเวียนเข้ามาในห้อว ภาพความทรงจำเล็กๆน้อย
"เองจำชื่อตาได้ไม..ชื่อว่า สา เชื่อเหมือเองเลย" ฉันพยักหน้าน้อยๆ นี้เป็นครั้งแรกที่ยายเล่าเรื่องของตาให้พังช่วงชีวิตที่แสนวิเศษที่มันกำไลังจะหายไปพร้อมกับลมหายใจของคนๆหนึ่งชั่วนิรัน
"สมัยที่แต่งงานใหม่ๆ พ่อของตาสาก็เอาสินสอดทองหมั่นมาให้ข้าตอนนั้นทวนเองเป็นนายทหารระดับสูงสินสอดเลยไม่น้อยหน้าใครในหมู่บ้านเท่าไร ดูอย่างแหวนและสร้อยสิ"ยายทำท่านิ่งคิดสักครู่คงลืมไปว่าเอาให้ลูกของตัวไปแล้ว "แต่ที่ข้าไม่ชอบใจที่สุดก็ไอ้โต๊ะไม้ทรงเตี้ยใช้งานใช้การอะไรไม่ได้ตาสานั้นก็บ้าจี้เอามาใช้เขียนงานเอกสารในห้องนอน หึ ไม่ถึงเดือนมันก้เอาไปเก้บในห้องเก็บของรวมกับค้อนไม้ในนั้น"
 ฉันนั้งพังเรื่องของยายจนยายหลับไปสักพักหัวใจของยายก็หยุดทำงาน มันเป็นช่วงที่ฉันมีความเศร้าที่เห็นได้เห็นคนหลับจากไปโดยไม่มีวันฟื้นพร้อมกับขุมทรัพย์ความทรงจำมหาสาร อบ่างน้อยๆความทรงจำนั้นก็มีอยู่ไม่ที่เรื่องที่เข้ามาอยู่ในหัวของฉัน

   งานพิธีศพได้จัดขึ้นจนเสร็จตามประเพณีไทยไว้ศพสามคืนและวันนี้เป็นวันเผ่าหลังจากนั้น พวกญาติๆต่างมารวมตัวในบ้าน เพื่ออำลาบ้านหลังเก่าที่ขายทอดในตลาตตามใบศาล ฉันเดินไปที่ห้องเก็บของที่ตอนนี้เหลือแต่กล่องเศษผ้าเก่าๆ เศษไม้ในลังไม้ที่มีแมลงหน้าเกรียดแถะจนผุนั้นเองฉันเห็นโต๊ะไม้ทรงเตี้ยที่กล้องนั้นทับอยู่ ฉันเดินไปเคลื่อนเอากล้องออก มองดูโต๊ะที่มีฝุ่นเกาะจับหน้ามีใยแมลงมุมและตัวปลวก ยังแทะ
ฉันลากมันมันออกจากหห้องไปห้องน้ำล้างมันทั้งขันและสายฉีด และรอให้มันแห้ง
"สา พวกน้าขอคุยด้วยหน่อย" น้ากายที่เดินมาพร้อมกับภรรยาที่อ่อนกว่า10กว่าปี น้ากายมองที่โต๊ะไม้เก่าๆก่อนจะทำหน้ายี้ๆ "จะเอาไปด้วยหรอ" ลุงถาม
"ไม่ได้หรอ" ฉันถาม ลุงก็มีสีหน้าใจอ่อนก็จะเท้าเอว "เอาสิยังไงบ้านนี้ก็ต้องทุบทิ้งสักวัน อยากได้อะไรก็เอาไปเถอะ" ฉันได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ
   อย่างน้อยๆ โต๊ะนี้ก็เป็นเศษเฉียวความทรงจำช่วงหนึ่งในชีวิตของคนที่เรารัก

  เหล่าญาติๆต่างร่วมวงทานหารหารพร้อมหน้าวันสุดท้ายพูดคุยกันและตบท้ายด้วยการทะเหราะตามเคย เรามาถึงที่บ้านฉันลากโต๊ะเข้าไปในห้องนอนนั้งดูมันด้วยความสุข มันอิ่มใจ จิตนาการวันที่มันถูกยกมาในบ้านร่วมกัยสินสอดทองหมั่นไม่น้อยหน้าใคร ทำไมทวดสาถึงเอามาให้กันนะ...
  ฉันลูบตามผิวโต๊ะก่อนจะเคาะมันเป็นจังหวะดนตรีวันนี้เป็นวันที่มีความสุข เสียงโครมครามข้างนองตามด้สยเสียงโว้ยวายของพ่อ ไม่ออกไปดูก็รู้ว่าพ่อเมาเข้าบ้านอีกแล้ว ..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา