รักเล่นกล
5.0
เขียนโดย พังพอน
วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.30 น.
3 ตอน
1 วิจารณ์
5,049 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2558 19.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) รักเล่นกล #2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ... ตอนที่ 2...
สายตะวันโด่งแล้ว กระทั่งแสงแดดเจิดจ้าส่องลอดม่านบังแดดสีอ่อนเข้ามา รบกวนบรรยากาศการนอนให้ไม่เป็นสุขอีกต่อไป ร่างบางในชุดนอนลายการ์ตูนจึงค่อยๆ งัวเงียลุกขึ้นพลางใช้สองมือขยี้ดวงตาเบาๆ ขับไล่ความฝ้าฟางให้หายไป ก่อนจะชูสองแขนขึ้นพลางบิดกายซ้ายทีขวาทีขับไล่ความขี้เกียจ
เสียงฮัมเพลงดังผสานกับเสียงสายน้ำที่พวยพุ่งจากฝักบัวลงมากระทบพื้นกระเบื้องสีครีมสลับเขียว มือเรียวยื่นไปปัดกระจกซึ่งไอร้อนจากน้ำอุ่นเกาะจนเป็นฝ้ามัว ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มกว้างให้ตัวเองในกระจก ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับการถูใยขัดไปตามร่างกายเบาๆ อย่างผ่อนคลาย
ใช้เวลาพักใหญ่ การอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สดชื่นจึงเสร็จสิ้น หลังจากนั้นจึงรีบแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นเนื้อบางเบาความยาวเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าไม่มีการแต่งแต้มใดๆ เพียงลูบไล้ครีมบำรุงผิวสำหรับเด็กจนทั่วให้ความชุ่มชื้นเท่านั้น ดวงหน้าขาวใสก็เนียนนุ่ม คิ้วโก่งได้รูปแม้ไม่ได้มีการแต่งเติม ปากจมูกที่รับกันสมส่วนพอดีกับดวงตาสีดำสนิท ขนตางอนงามเป็นธรรมชาติไม่จำเป็นต้องเพื่อเติมอะไร ใบหน้านั้นก็สวยงดงามราวกับนางในวรรณคดีก็ไม่ปาน
สองมือพยายามรวบผมขึ้นไปมัดและขมวดไว้สูงๆ ไม่ให้เกะกะรุงรังบริเวณคอ อากาศร้อน แบบนี้แทบอยากจะโกนผมทิ้งทั้งหมดเลยทีเดียวถ้าทำได้ เพราะเวลาร้อนจัดๆ มักจะก่อให้เกิดความแสบและคันบริเวณที่ปลายเส้นผมทิ่มอยู่เสมอ จัดการกับผมยาวสลวยแบบลวกๆ เสร็จแล้ว ก็ฉวยโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกจากห้อง ลงบันใดตรงไปยังห้องครัว เพื่อทำตามประสงค์ของกระเพาะ ซึ่งเริ่มส่งเสียงประท้วงคนตื่นสายตั้งแต่ยังไม่ทันจะอาบน้ำด้วยซ้ำ
อันนาพักอยู่ที่บ้านเช่าหลังนี้กับธารธาราเพื่อนสาวคนสนิทแค่สองคน นับตั้งแต่ยายของเธอเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เธอรู้จักกับธารธาราตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยกัน รักและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด แม้พอเข้ามหาวิทยาลัยจะแยกย้ายไปเรียนคนละคณะเพราะความชอบที่แตกต่าง แต่ก็ยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันเรื่อยมา
ธารธาราเก่งงานบ้านงานเรือนแทบทุกอย่างรวมทั้งเรื่องอาหารธารธาราก็รสมือดีในแบบที่ว่าใครได้ชิมก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย หน้าที่ทำกับข้าวโดยส่วนใหญ่จึงตกเป็นของธารธาราโดยอัตโนมัติ
เช่นเดียวกันกับวันนี้ที่แม่ครัวใจดีก็ได้เตรียมอาหารสองสามอย่างวางไว้บนโต๊ะไม้เนื้อแข็งสีเข้มรอท่าคนตื่นสายเรียบร้อยแล้ว คนเพิ่งตื่นมองอาหารบนโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่กลางห้องครัวแล้วสูดปากไปกับความน่ากินขณะมือข้างหนึ่งลูบท้องที่กำลังเรียกร้องหาอาหารโครกครากเบาๆ ก่อนจะนำกับข้าวเหล่านั้นเข้าเตาไมโครเวฟ ตั้งอุณหภูมิและเวลาให้ได้ตามที่ต้องการแล้วเดินไปคดข้าวจากหม้อที่อุ่นเตรียมไว้ใส่จานรอ
ไม่นานเสียงเตือนว่าอาหารในเตาอุ่นได้ที่แล้วก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ ดวงตาสดใสเหลือบมองเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอก่อนจะเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย เดินไปกดเปิดเตาไมโครเวฟป้องกันไม่ให้มันส่งเสียงเตือนซ้ำเป็นการรบกวน ก่อนจะกดรับสาย เป็นอีกครั้งที่เรียวคิ้วสวยต้องขมวดมุ่นมากกว่าเก่า ทันทีที่ได้ยินเสียงทักทายจากปลายสาย ซึ่งไม่คุ้นหูเอาเสียเลย
"ไงจ๊ะ น้องรัก...นักเขียนบทละครคนดัง"
นักเขียนบทละครคนดัง...ยิ้มด้วยความสนเท่ห์ ก่อนจะเอ่ยถาม "ใครคะ?"
เสียงหัวเราะคิกคักจากปลายสายดังมา พร้อมๆ กับบทพรรณนายาวเหยียดที่แทบจับใจความไม่ได้ เพราะคนพูดกล่าวรัวเร็วตามสไตล์ของตัวเอง โชคยังดีที่เฉลยในตอนท้ายแบบหมดเปลือกว่าตัวเองเป็นใคร คนฟังจึงพอจับใจความได้ว่า คนปลายสายที่โทรศัพท์มาหาไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นตุลา หรือที่ใครๆ มักจะเรียกว่า 'เจ้โต้ง' รุ่นพี่ที่คณะเมื่อสมัยเรียน เป็นรุ่นพี่ที่มักจะมีบทบาทสำคัญในทุกๆ กิจกรรมไม่ว่าจะของคณะหรือของมหาวิทยาลัย ไม่มีใครในคณะหรืออาจจะในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำที่ไม่รู้จัก
"พี่ได้เบอร์อันน์มาได้ยังไงคะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว สบายดีนะคะพี่" คำถามยังไม่วายแปลกใจ เพราะถึงแม้สมัยเรียน เธอกับตุลาจะสนิทสนมกันมาก แต่ตั้งแต่เรียนจบมาและเขามีหน้าที่การงานเป็นถึงผู้กำกับชื่อดังของวงการละครไทย อันนาก็ไม่เคยได้ติดต่อกับเขาอีกเลย จะรู้ข่าวคราวก็เฉพาะในหน้าหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็นิตยสารซุปซิปดารา บุกกองถ่ายหรืออะไรทำนองนั้นเสียมากกว่า
"ก็แหม...เธอดังซะขนาดนี้ ได้รางวัลเชียวนะจ๊ะ ใครในวงการจะไม่รู้จัก แล้วมันจะไปยากอะไรกะอีแค่หาเบอร์โทรศัพท์ของนักเขียนบทละครดังๆ ซักคน สำหรับผู้กำกับมือทองอย่างพี่...ฮึ?"
แม้จะไม่ได้เห็นหน้าหรือท่าทาง แต่คนฟังก็พอจะนึกภาพกิริยาอาการจีบปากจีบคอของคนพูดออก จากน้ำเสียงที่ดังลอดผ่านโทรศัพท์ เพราะตุลาหรือเจ้โต้ง...ชายร่างใหญ่หัวใจสาวผู้นี้มักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ใครๆ ที่รู้จักก็มักจะจำได้ติดตา
"ได้เบอร์มายังไงไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ธุระที่พี่โทรมาหาเธอต่างหาก" หลังจากถามไถ่สาระทุกข์สุกดิบกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ตุลาจึงเริ่มเข้าเรื่องที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องโทรหารุ่นน้องที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี
ตุลาได้รับการติดต่อจากทางผู้จัดละครค่ายใหญ่ ในฐานะที่เขาเป็นผู้กำกับมือทองได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปีมาหมาดๆ เขาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้กำกับละครฟอร์มยักษ์ที่ทางผู้จัดวางเป้าหมายไว้ว่าอยากให้ละครเรื่องนี้ได้รับรางวัลละครยอดเยี่ยมแห่งปี
คอนเซ็ปของเรื่องต้องเริ่มต้นจากการรวบรวมบรรดาผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในสาขาต่างๆ ให้มารวมกันอยู่ในละครเรื่องนี้ นับตั้งแต่ ผู้กำกับยอดเยี่ยม บทละครยอดเยี่ยม พระเอกยอดเยี่ยม นางเอกยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ไปจนกระทั่งถึง องค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งต้องมาจากการได้รับรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีในงานประกาศผลรางวัลซุปเปอร์สตาร์อวอร์ดในสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งสิ้น
ซึ่งถือเป็นหน้าที่แรกอันสำคัญยิ่งทีเดียวสำหรับผู้กำกับมือทองอย่างตุลาที่จะต้องติดต่อประสานงาน และรวบรวมให้ทุกคนที่ได้รับรางวัล มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของละครในเรื่องนี้ให้จงได้
"ละครเรื่องที่ว่า คือเรื่องอะไรคะ?" อันนาเอ่ยถามอย่างสงสัย
"เอ่ยชื่อเรื่องปุ๊บเธอก็ต้องร้องอ๋อปั๊บเชียวล่ะ บทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังระดับประเทศเชียวนะเรื่องนี้" คนพูดจีบปาก เว้นวรรคสักครู่จึงเอ่ยต่อ "รักเล่นกลไงจ๊ะ รู้จักใช่มั้ย?"
สิ้นประโยคคำถาม คนฟังก็พยักหน้าหงึกหงักเกือบจะทันที ก็จะไม่รู้จักดีได้อย่างไร นักเขียนชื่อดังคนนี้แหละ คือนักเขียนในดวงใจ เป็นต้นแบบที่ทำให้อันนาเลือกที่อยากจะมาทำอาชีพด้านการประพันธ์ และก็นิยายเรื่องนี้อีกด้วย ที่อันนาชื่นชอบเป็นที่สุด อ่านจบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
เธอชอบการดำเนินเรื่องและตัวละครทุกตัวในนิยายเรื่องนี้ เคยคิดอยากที่จะมีโอกาสได้นำนวนิยายเรื่องนี้มาเขียนเป็นบทละครในแบบที่เธอถนัด ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งส้มลูกเบ้อเร่อจะหล่นทับ ทั้งดีใจ...ทั้งไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง อันนายิ้มพลางหยิกแขนตัวเองพลางเพื่อยืนยันว่าทั้งหมดที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง เธอไม่ได้กำลังฝัน
อะไรก็คงไม่น่าภูมิใจเท่า ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคละครฟอร์มยักษ์ที่ผู้จัดหมายมาดจะปั้นให้เป็นละครยอดเยี่ยมแห่งปี หนำซ้ำ...นวนิยายที่ถูกเลือกมาให้เธอดัดแปลงทำเป็นบทละคร ยังเป็นนวนิยายเรื่องที่เธอชอบมากๆ
ถ้าไม่เรียกว่าโชคสองชั้น บุญหล่นทับ ก็คงไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ใจอยากจะตอบตกลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ทว่าแวบหนึ่งที่ความลังเลเกิดขึ้น "อันน์ไม่แน่ใจค่ะพี่ ว่าฝีมืออันน์จะถึงหรือเปล่า กลัวว่าจะไปทำให้บทประพันธ์ดีๆ ละครฟอร์มยักษ์ต้องเละเป็นโจ้ก"
"ต๊าย...." ปลายสายอุทานเกือบจะทันที เสียงสูงปรี๊ดเป็นตึกสิบชั้น "เป็นถึงเจ้าของรางวัล บทละครยอดเยี่ยมแห่งปี กล้าพูดออกมาได้ยังไงยะ ว่ากลัวฝีมือจะไม่ถึง ดูถูกรางวัลเค้านะนี่จะบอกให้"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่" เกือบจะทันทีเช่นกันที่นักเขียนบทละครยอดเยี่ยมเอ่ยปฏิเสธ "อันน์ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกรางวัล เป็นเกียรติกับอันน์มากที่ได้รางวัลนี้ แต่อันน์แค่ไม่มั่นใจตัวเอง เพราะอันน์ยังถือว่าเป็นนักเขียนบทมือใหม่ เขียนมาแค่ไม่กี่เรื่อง บางทีเรื่องที่ทำให้อันน์ได้รับรางวัล อาจจะเป็นเพราะผู้ประพันธ์เค้าประพันธ์เอาไว้ดีแล้วด้วยส่วนหนึ่ง อันเลยไม่มั่นใจค่ะ" หญิงสาวแบ่งรับแบ่งสู้ กลัวจะเป็นตัวถ่วงทำให้กองถ่ายเสียเวลา เสียหาย หรืออาจจะหนักกว่านั้นถ้าหากละครเรื่องนี้ไม่ได้รางวัลละครยอดเยี่ยมแห่งปี กวาดรางวัลทุกสาขา ดังที่ผู้จัดวางเป้าหมายเอาไว้
"ผ่านมานานหลายปี เธอก็ยังเหมือนเดิมเลยนะอันนา" ตุลาเอ่ย น้ำเสียงไม่จริงจังนัก เพราะความที่เคยสนิทสนมกันมาก่อน ตุลาจึงรู้ดี อันนา ธนโชติ ไม่มั่นใจในตัวเองที่สุด ไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาหรือเป็นที่สนใจของคนหมู่มากเป็นที่สุด ก็ยังเป็นที่สงสัยของตุลามาจนถึงทุกวันนี้ แล้วทำไมเธอถึงเลือกที่จะมาเรียนคณะสื่อสารมวลชน ใครๆ ก็รู้ หน้าที่การงาน อาชีพของคนที่เรียนมาทางนี้ สายงานนี้ต้องพบสื่อพบผู้คนมากมาย แม้อันนาจะเลือกไปทางนักเขียนบทละครก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรตุลาก็ยังเชื่อว่า ความมั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่จะมายืนเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในวงการนี้
จะด้วยโชคช่วยหรืออะไรก็ตามแต่ที่พาให้อันนา มาจนถึงจุดๆ นี้ได้ ตุลาเชื่อเหลือเกินว่า สิ่งๆ นั้นต้องทำหน้าที่ของมันอย่างหนักหนาสาหัสทีเดียวเชียวล่ะ
"เอาเป็นว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเองไม่เป็นไร แต่พี่มั่นใจในตัวเธอ...พี่เชื่อมั่นว่าเธอจะต้องทำให้บทประพันธ์เรื่องรักเล่นกล กลายมาเป็นบทละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีได้" ตุลาถอนหายใจเสียงดัง เจตนาให้คนฟังรับรู้ว่าเขาหนักใจไม่น้อยที่ต้องแบกรับเป้าประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เอาไว้บนบ่า "ถือว่าพี่ขอร้อง ช่วยมาร่วมงานกับพี่ในฐานะ หนึ่งในบุคคลยอดเยี่ยม และช่วยกันทำให้ละครเรื่องนี้ กลายเป็นละครยอดเยี่ยมแห่งปีให้ได้...ได้มั้ย?"
แม้ความลังเลจะยังมีอยู่บ้าง แต่เพราะคำรบเร้าซึ่งหนักแน่นเหลือเกินของตุลา รุ่นพี่ที่เคยมีน้ำใจไมตรี และเคยช่วยเหลือเธอในยามเดือดร้อนเมื่อครั้งอดีต เธอจะลองซักครั้ง โยนความไม่มั่นใจลงเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วให้ความร่วมมือกับตุลาแต่โดยดี อย่างน้อยก็ถือว่าได้ตอบแทนที่เขาเคยช่วยเธอมาก็แล้วกัน
อีกอย่างก็เพื่อทำฝันของตัวเองให้สำเร็จ ทำให้นวนิยายที่เธอรัก...มีคนรักทั่วบ้านทั่วเมือง!
ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ก็ถึงกำหนดนัดหมายส่งบทละคร ตามที่อันนาได้รับปากไว้กับตุลา ใจจริงหญิงสาวยังคิดว่าบทละครอาจจะปรับแก้ให้ดีได้กว่านี้ หากเธอมีเวลาอีกสักหน่อย แต่ด้วยเพราะรางวัลที่การันตีฝีมือ ทำให้มีค่ายละครหลายแห่งติดต่อมาให้เธอเขียนบทละครให้ ทำให้งานของเธอมีมากเพิ่มขึ้น เวลาในการทำงานจึงน้อยลง
ส่งผลให้ความละเมียดละไมในการทำงานของเธอมีอุปสรรคบ้าง เมื่อมีเวลาเป็นตัวบีบ ถึงแม้เธอจะทุ่มเทใจให้กับนวนิยายที่เธอรักอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว แต่อันนาก็ยังรู้สึกว่ามีบางฉากบางตอน บางบทที่เธอยังอยากแก้ไขให้มันซาบซึ้งกินใจ ได้อารมณ์มากกว่านี้ แต่เพราะเธอเป็นคนรักษาคำพูด นัดไว้แล้วไม่อยากให้เสียสัจจะ ซึ่งไม่เฉพาะเธอเท่านั้นที่ได้รับผลเสีย แต่มันอาจจะพลอยทำให้คนอื่นเสียงานเสียการไปด้วย อันนาจึงจำเป็นต้องพับเก็บความละเมียดละไมบางส่วนใส่กระเป๋าไว้ แล้วรีบนำต้นฉบับบทละครมาส่งในวันนี้
กำหนดการนัดหมายเป็นวันเดียวกับวันที่มีการบวงสรวงเปิดกล้องละคร จริงๆ บทละครควรเสร็จและส่งก่อนหน้านี้นานแล้ว เพื่อที่นักแสดงแต่ละคนจะได้มีโอกาสนำบทไปพิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าจะรับเล่นละครเรื่องนี้หรือไม่ แต่ด้วยความที่มีข้อกำหนดว่า ทุกคนทุกตำแหน่งในละครเรื่องนี้ถูกวางตัวไว้หมดแล้วว่าต้องเป็นคนที่ได้รับรางวัล ขั้นตอนการคัดสรรนักแสดง รวมทั้งที่มาที่ไปของบทละครจึงค่อนข้างจะแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ค่อนข้างมาก
ฤกษ์ดีสำหรับการบวงสรวงเปิดกล้อง ถ้าไม่เลือกวันนี้ก็ต้องรอไปอีกเป็นเดือนกว่าพราหมณ์ผู้ทำพิธีจะว่าง ซึ่งก็จะไม่ทันตามกำหนดการฉายของละครที่ทางช่องวางแผนเอาไว้ แม้หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างจะฉุกละหุก แตกต่างไปจากการถ่ายทำละครเรื่องอื่นๆ ทั่วๆ ไปอยู่บ้าง แต่ผู้จัดก็ยินดี และรับได้
และถึงแม้ว่าบางคนจะไม่เต็มใจนักที่ถูกขอร้องแกมบังคับให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในละครฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ทว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการถ่ายทำ นับตั้งแต่ค่าตัวนักแสดง ค่าเขียนบท ค่าเสื้อผ้า และนั่นโน่นนี่อีกสารพัดที่พอได้เห็นตัวเลขแล้ว หลายๆ คนก็คงไม่อยากที่จะปฏิเสธงานชิ้นโบว์แดงนี้สักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าผู้จัดทุ่มเต็มที่เพื่อโปรเจคละครฟอร์มยักแห่งปี ที่มีเป้าหมายเป็นรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีที่จะการันตีคุณภาพคับแก้ว
รถคันเล็กวนหาที่จอดอยู่สักพัก เนื่องจากบรรดานักแสดง ทีมงาน รวมไปถึงนักข่าวมาเพื่อร่วมในงานบวงสรวงเปิดกล้องละครเป็นจำนวนมาก
การบวงสรวงเปิดกล้องละครเป็นการถวายเครื่องบวงสรวงสังเวยทั้งบายศรีและบัตรพลี พร้อมเครื่องบูชาต่างๆ เครื่องสักการะเทพแห่งศิลปะการแสดง และเพื่อเป็นการขอขมาต่อสถานที่ที่จะทำการถ่ายทำ ก่อนเริ่มการถ่ายทำละครทุกเรื่องจะต้องมีพิธีบวงสรวงขอพรเพื่อให้ผู้ร่วมพิธีมีแต่ความสุข ความเป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งๆ ขึ้นไป ความร่ำรวยของเหล่าผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และบรรดานักแสดงทั้งหลาย และเพื่อการประสบความสำเร็จ ปราศจากอุปสรรคในการถ่ายทำตลอดจนประสบความสำเร็จและได้รับชื่อเสียงของละครในเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็หมายถึงตัวเลขเรตติ้ง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนไม่แพ้รางวัลการันตีใดๆ เพราะมันจะหมายถึงยอดเงินรายได้ที่จะเกิดขึ้น จากความดัง ความฮอตฮิตของละครเรื่องนั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้จัดละครส่วนใหญ่ต้องการ
เมื่ออันนาเดินทางมาถึงพิธีบวงสรวงก็เสร็จสิ้นพอดี บรรดานักแสดงที่ว่างเว้นจากการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่มาทำข่าว ต่างกำลังเลือกเก็บของเซ่นไหว้ บ้างนำมารับประทาน บ้างนำติดตัวกลับบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล เช่นเดียวกับนักข่าวบางคนที่ก็ยังเผื่อเวลามาเลือกเก็บของเซ่นไหว้มารับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคลเช่นเดียวกัน
จะมีก็แต่นักแสดงหนุ่มสาวเนื้อหอม ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคู่พระนางของเรื่อง ที่คงจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น เพราะต้องยืนฉีกยิ้มให้สื่อมวลชนเก็บภาพคู่ พร้อมๆ ไปกับการให้สัมภาษณ์ถึงละครฟอร์มยักษ์แห่งปี และบทบาทที่ได้รับ
อันนาใช้เวลายืนทำใจอยู่พักใหญ่ทีเดียว ขึ้นชื่อว่าอันนา...กลัวนักข่าวเสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าเธอเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก ก็คงจะเดินฝ่าฝูงสื่อมวลชนเข้าไปได้ไม่ยากนัก แต่ถ้า ณ ตอนนี้ที่เธอมีรางวัลการันตี แถมด้วยความที่ไม่ได้ไปรับรางวัลเอง ทำให้นักข่าวสายบันเทิงส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจและตามเก็บข่าวเธอไปเขียน ต่างก็อยากเจอตัวเธอทั้งนั้น อย่าว่าแต่ให้สัมภาษณ์เลย แค่ให้ถ่ายรูปอันนาก็ยังไม่ปรารถนา ถ้าเข้าไปก็คงโดนยิงคำถามมากมาย ตั้งแต่เรื่องละคร ลามเลยมาถึงเรื่องที่เธอส่งบทช้า ดังแล้วเล่นตัวท่าเยอะ และอีกต่างๆ นานาที่แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
ดวงตาคู่สวยเหลือบซ้ายแลขวา พลางทำตัวให้เล็กที่สุดขณะยืนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ กับลานบวงสรวง ซึ่งผู้คนกำลังพลุกพล่านอลม่านกันไปหมด คนเยอะจนตาลาย แต่เพ่งแล้วก็ไม่เห็นวี่แววของตุลาคนที่เธอต้องการจะมาพบ ทำไมวันนี้อะไรๆ ก็ไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ธารธาราเพื่อนรักก็ดันมาติดงานถ่ายแบบมาเป็นเพื่อนไม่ได้ ถ้ามาก็ยังจะพอไหว้วานให้เอาบทไปส่งแทนให้ได้ ส่วนเธอเองก็คงจะขอรอที่รถ
ลมหายใจกลุ่มใหญ่ถูกระบายออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็มิอาจนับได้ เนื่องจากมันมากมายเหลือเกิน ขณะที่ก็ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์หลัก พลันสายตาก็หันไปเห็นเรื่องระแคะระคายความรู้สึกให้อยากเปลี่ยนไปตัดสินใจใหม่ ปฏิเสธการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในละครเรื่องนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
คู่พระนางที่ยืนให้ช่างภาพเก็บภาพอยู่ลิบๆ หลังหมู่นักข่าวโน่น คือคนที่เธอไม่อยากร่วมงานด้วย ลืมไปเสียสนิทตอนที่ตุลาบอกว่าละครเรื่องนี้ได้รวบรวมเอาผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมทุกสาขามาไว้ด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็น จิณตพัฒ ชญานนท์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่ไม่รู้ทำไมอีกเหมือนกัน เธอถึงได้รู้สึกไม่ชอบหน้าไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย
ต่อให้ใครจะบอกว่าเค้าเล่นละครเก่งยังไง หล่อแค่ไหน แต่ในสายตาอันนาแล้ว เขาก็แค่ผู้ชายขี้เก็ก หน้าปลาจวดคนหนึ่งก็เท่านั้น!
คิดไปคิดมาก็ถอนใจอีก ถึงอย่างไร หน้าที่เธอก็ใกล้จะจบแล้ว แค่ส่งบทให้ตุลาแล้วถ้าทุกอย่างโอเค นั่นก็จบหน้าที่ของเธอ ใช่ว่าจะต้องได้อยู่เห็นหน้าเขาทุกวันเสียเมื่อไหร่ คิดได้ดังนั้น ค่อยโล่งอก หันกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่จะมาทำในวันนี้ ตั้งหน้าตั้งตามองหาตุลาต่อไป
และแล้วก็สำเร็จ เธอเห็นตุลาอยู่ไกลๆ กำลังยืนพูดคุยอยู่กับคนที่น่าจะเป็นพราหมณ์ผู้ทำพิธีอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งไกลจากกองทัพนักข่าวพอสมควร อันนายิ้มอย่างโล่งอก
ตอนนี้หน้าที่ของเธอก็มีแค่..ต้องค่อยๆ เลี่ยงหลบ เดินไปอย่างเงียบที่สุด เฉยที่สุด ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของใคร ต้องไม่มีพิรุธ ซึ่งถ้าจริงๆ ก็คงจะไม่มีใครรู้จักเธอหรอก เพราะวันรับรางวัลเธอก็ไมได้ไปเอง เพราะฉะนั้นเธอต้องตั้งสติให้มั่นและไม่กระโตกกระตาก ไม่ตีตนไปก่อนไข้ เดินไปให้ถึงตุลาโดยเร็วที่สุด ส่งบท...รอเขาตรวจสอบความเรียบร้อย...เสร็จแล้วก็กลับ...ถือว่าจบ สองท้าวเรียวก้าวเร็วเท่าความคิด เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
สองท้าวก้าวเร็วจี๋ ถึงจุดที่ตุลายืนอยู่รวดเร็ว ซึ่งฝ่ายนั้นก็จบการสนทนากับพรามหณ์ซึ่งเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่พอดี ตุลาหันมาเห็นอันนาซึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามาหา ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากหรือแจ้งเจตนาอะไร ก็ถูกชายร่างใหญ่จีบปากจีบคอทักทาย พร้อมๆ กับดึงแขนกึ่งลากตรงไปยังทิศทางที่นักข่าวยืนเก็บภาพบรรดานักแสดงกันอยู่
รู้...ทำไมจะไม่รู้ว่าอันนาเกลียดสถานการณ์เช่นนี้ แต่ตุลาก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาดื้อๆ พร้อมๆ ไปกับการอยากทำให้อันนากล้าที่จะออกมายืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเปิดเผย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง งดงามทั้งหน้าตาผิวพรรณรูปร่าง แม้จะตัวเล็กไปสักนิดสำหรับมาตรฐานนางเอกละครทั่วไป แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสมัยนี้รองเท้ามันเสริมความสูงกันได้
ตุลาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอันนาจึงขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว เธอสามารถเล่นละครรับบทเป็นนางเอกได้สบายๆ ทีเดียวเชียวล่ะในความคิดเขา
"ขอทางหน่อยจ้า..." ผู้กำกับร่างใหญ่เสียงเจื้อยแจ้ว ส่งผลให้ทุกคนทุกฝ่ายหันหน้ามามองเจ้าของเสียง รวมทั้งคนที่กำลังถูกลากมาเป็นตาเดียว "เอ้า...สำนักพิมพ์ไหนยังไม่ได้รูปข่าวมาทางนี้เลยจ้า นักแสดงและทีมงานพร้อมแล้วสำหรับการถ่ายรูปหมู่"
บรรดาช่างภาพสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญให้มาเป็นเกียรติทำข่าวในวันนี้ ต่างเตรียมความพร้อมกล้องถ่ายภาพของตัวเอง ลดความสนใจคู่พระนางที่ยืนให้เก็บรูปมานานแล้วทันที เมื่อตุลาพาใครบางคนเข้ามาขัดจังหวะ ดึงความสนใจของนักข่าวไป จิณณพัฒหันมองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท เขาจำได้...ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ขับรถมารับนางแบบสาวที่ขึ้นรับรางวัลแทนนักเขียนบทละครยอดเยี่ยมในคืนนั้นนั่นเอง
แม้คืนนั้นเขาจะยืนอยู่ไกลพอสมควร แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยที่เขากลับจำเธอได้ติดตา คงเป็นเพราะความชอบเรียกร้องความสนใจของผู้หญิงคนนี้กระมัง จิณณพัฒนึกค่อนแคะในใจ
"พวกมือใหม่เพิ่งดัง ก็มักจะเป็นแบบนี้ว่ามั้ยคะจิณณ์...เรียกร้องความสนใจ หวังเกาะกระแสสื่อสร้างชื่อ" เรียวปากสีแดงสดบิดเบ้ขณะพร่ำบ่นเบาๆ พอให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายได้ยิน
ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดหรือทำอะไรต่อ ก็ถูกตุลาดึงให้ทีมงานทุกคนรวมทั้งผู้จัดเข้าไปร่วมกันถ่ายรูปโดยพร้อมเพรียง ตุลายังคงทำหน้าที่จัดแจงนั่นนี่ได้สมกับที่เป็นผู้กำกับ เขาจัดวางตำแหน่งยืนในการถ่ายรูปให้ทุกคนปิดท้ายด้วยการผลักร่างของอันนาให้ไปยืนประกบอยู่ข้างๆ พระเอกของเรื่องคนละฝั่งกับชลฉัตรแทนที่ตำแหน่งของนางรองของเรื่องซึ่งติดภารกิจมาร่วมพิธีไม่ได้
จะด้วยเจตนาหรืออะไรก็ไม่อาจจะเดาได้ ทำให้อันนารู้สึกว่าตุลากำลังพยายามเบียดให้เธอได้เข้าไปยืนชิดจิณณพัฒจนแทบจะกลายเป็นซบอกเขา ซึ่งฝ่ายนั้นก็คงรู้สึกเช่นกัน หญิงสาวเดาจากสายตาที่แลลงมาสบเธอวูบหนึ่ง ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแววรังเกียจและดูแคลน อันนาเกลียดสายตาแบบนี้ยิ่งนัก มันยิ่งทำให้เธอหมั่นไส้เขามากขึ้น เมื่อเขาหันไปโอบกอดกับชลฉัตรนางเอกคู่ขวัญที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารซุปซิบดาราทั่วไป ว่าทั้งสองเป็นคู่จิ้นที่กำลังมาแรงที่สุด เหมาะสมกันที่สุด และก็คงจะลงเอยกันนอกจอตามแรงเชียร์ของบรรดาแฟนคลับอีกด้วย
ไม่ว่าเขาจะแค่ทำตามบทบาท เพื่อให้นักข่าวได้เก็บภาพ หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่อันนาก็ยังรู้สึกหมั่นไส้ ดูเหมือนเขาเสแสร้งแกล้งทำ แกล้งแสดงอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าคมเกลี้ยงเกลาแลดูสำอาง ผิวหน้าเนียนละเอียดราวสตรีเพศไม่มีหนวดมีเคราสักเส้น ผมสีดำขลับมันวับถูกจัดทรงไว้ให้รับกับใบหน้าเสมอ จนเหมือนกับว่าในตัวเขาไม่มีอะไรที่เป็นธรรมชาติเลย ยิ่งทำให้อันนารู้สึกอึดอัดที่ต้องยืนอยู่ตรงนี้นานๆ
เสียกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับพระเอกนางเอกคนดัง ดังแว่วมาเป็นระรอกตามอิริยาบถที่เปลี่ยนไปของคู่พระนาง อันนาปรายหางตามองแล้วแบะปาก กะอีแค่ยืนถ่ายรูปกอดกันก็กรี๊ด...
หญิงสาวแทบจะกระโดดอย่างดีใจ ทันทีที่การถ่ายรูปสิ้นสุดลง เธอรีบชิงจังหวะเปลี่ยนมาคุมบังเหียนด้วยการดึงมือตุลาห่างออกมาจากกองทับนักข่าวทันที ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์เรื่องบทละครที่ส่งช้าที่นักข่าวบางคนพยายามจะขอสัมภาษณ์อย่างนุ่มนวลด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัวเพื่อไปส่งบทละครให้ตุลาตรวจสอบให้เสร็จสิ้น หน้าที่ของเธอจะได้จบและออกไปจากสถานที่ที่น่าอึดอัดนี่ได้ซักที
ตุลารับบทละครมาเปิดอ่านดูคร่าวๆ เน้นไปที่จุดที่สำคัญๆ ของเรื่อง ฉากไคล์แมกซ์ และฉากจบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบสั้นๆ ว่าโอเค แล้วเดินไปพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม เมื่อนึกถึงยอดเรตติ้งที่กำลังจะพุ่งขึ้นๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มลงจอของละครเรื่องนี้
ในตอนแรกอันนาตั้งใจจะบอกว่า ขอปรับบางตอนที่เธอเห็นว่าอยากจะปรับอีกสักเล็กน้อย และจะมาส่งเพิ่มเติมให้ แต่พอเห็นแล้วว่าในกองถ่ายนี้มีบุคคลไม่ถึงประสงค์ เธอจึงเลือกที่จะหาทางที่ทำให้ตนเองไม่ต้องมาที่กองถ่ายละครเรื่องนี้อีก น่าจะดีกว่า
จิณณพัฒตกลงรับเป็นพระเอกในละครเรื่องรักเล่นกล เพราะติณผู้จัดการส่วนตัวของเขาขอร้อง ความโด่งดังไม่ใช่สิ่งที่จะใช้มาล่อจิณณพัฒได้ เพราะสำหรับเขาสิ่งเหล่านี้มีมากเพียงพอแล้ว การันตีได้ด้วยรางวัลพระเอกยอดเยี่ยมสามปีซ้อน พร้อมด้วยรางวัลยอดนิยมอีกมากมาย อีกอย่างพระเอกซุปเปอร์สตาร์ จิณณพัฒ ชญานนท์ไม่เคยมีประวัติเล่นละครเรื่องไหนแล้วไม่ดัง
ตัวเลขรายได้ค่าตัวนักแสดงก็ไม่มีผลกับเขาเช่นกัน เพราะฐานะทางบ้านร่ำรวยอยู่แล้ว จิณณพัฒเป็นบุตรชายคนเล็กของเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีเครือข่ายอยู่แทบทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่เพียงเพราะเขาต้องการที่จะแสดงให้พ่อบังเกิดเกล้าได้เห็นว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติของพ่อแม้แต่บาทเดียว และไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใคร เขาจึงเลือกมาทำอาชีพนี้ แม้จะไม่ชอบการต้องปั้นหน้าแสดงบทบาทต่างๆ เลยก็ตาม
และที่สำคัญไปกว่านั้นอาชีพนี้เป็นอาชีพที่พ่อของเขาไม่ชอบ จิณณพัฒจึงเลือกที่จะทำ แม้จะต้องขัดความรู้สึกตัวเองก็ตาม ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา รูปร่างที่สูงเกินมาตรฐานชายไทยอยู่หลายเซ็นติเมตร ทำให้จิณณพัฒถือเป็นผู้ชายที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ประกอบกับพรสวรรค์ด้านการแสดงของเขา ส่งให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในสายอาชีพนี้ได้ไม่ยาก หรือจะเป็นเพราะพรหมลิขิต แม้ไม่ได้อยากเลือกและไม่ได้ชอบ แต่กลับทำออกมาได้ดีจนน่าแปลกใจ
ตุลาติดต่อให้จิณณพัฒมารับบทพระเอกในเรื่องนี้ผ่านทางติณ ผู้จัดการส่วนตัวของจิณณพัฒซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาของเขา ติณได้ทุนของโรงพยาบาลในเครือชญานนท์กรุ๊ปไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวที่เรียนจบมาพร้อมกับจิณณพัฒ
พอเรียนจบกลับมาจิณณพัฒจึงขอร้องให้มาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ ด้วยข้อเสนอเป็นเปอร์เซ็นต์รายได้ที่สูงมากกว่าผู้จัดการนักแสดงทั่วไปอื่นๆ ได้รับ มีข้อแม้แค่ว่าต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของจิณณพัฒแค่คนเดียว โดยไม่ให้มีเด็กในสังกัดเพิ่ม โดยจิณณพัฒให้ข้อเสนอว่า ถ้ารายได้จากเปอร์เซ็นที่ได้ไม่เพียงพอ เขายินดียกรายได้ที่ได้จากการเล่นละคร ออกอีเวนท์ ถ่ายโฆษณาทั้งหมดที่ได้ให้กับติณ ซึ่งติณก็ไม่ต้องการที่จะรับมันไปทั้งหมดเพราะเพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นของรายได้ที่จิณณพัฒให้เขานั้น มันก็มากมายเหลือเกินแล้ว
ตุลาไม่เคยเอ่ยปากขอร้องหรือเรียกร้องอะไร นับตั้งแต่วันที่พ่อของเขาทั้งสองคนทิ้งแม่ของตุลามาใช้ชีวิตร่วมกับแม่ของเขา ติณไม่เคยเห็นตุลาและแม่มาเรียกร้องสิทธิอะไรเลยทั้งๆ ที่เขาทั้งสองสามารถทำได้ เพราะพ่อของเขาเป็นฝ่ายนอกใจและทอดทิ้งลูกเมียที่พ่อแม่บังคับให้แต่งงานด้วย เพื่อมาอยู่กับเมียเก็บและลูกนอกทะเบียนสมรสอย่างเขา
เพราะนี่เป็นการขอครั้งแรกในชีวิตของพี่ชาย ติณจึงจะยอมขอครั้งแรกในชีวิตกับเพื่อนสนิทซักครั้งหนึ่งเหมือนกัน ถือว่าเป็นการชดใช้แทนพ่อ
คนอื่นอาจจะมองว่าจิณณพัฒรับงานนี้ เพราะค่าตัว 8 หลักซึ่งแพงลิบลิ่ว แต่มีเพียงเขาและติณเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่จิณณพัฒตกลงรับที่จะเล่นละครเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาร้องขอให้ช่วย ติณไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง และตั้งแต่รู้จักกันมา ติณก็ยังไม่เคยขอร้องให้เขาช่วยเหลือหรือทำอะไรให้เลย นี่จึงถือเป็นการขอร้องครั้งแรกจิณณพัฒจึงไม่อยากปฏิเสธติณ
เสียงกรี๊ดที่ดังมาจากชั้นล่างของบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ทำให้อันนาซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่างในห้องนอน ถึงกลับต้องรีบวางปากกาและวิ่งออกมาจากห้อง ตรงดิ่งลงบันไดเพื่อไปหาที่มาของเสียง
"เป็นอะไรรึป่าว แก?" คนเพิ่งลงมาถึงละล่ำละลักถาม
คนถูกถามไม่ตอบ มือซ้ายถือโทรศัพท์ไว้แน่น พลางกำมือขวาและดึงขึ้นลงข้างลำตัว พร้อมๆ กับยกเข่าและร้อง "เยสๆๆๆ "ไม่หยุด
คนที่ตกใจอยู่แล้ว ทำคิ้วผูกโบว์แปลกใจเพิ่มขึ้นอีก "จะบอกชั้นได้รึยัง ว่าแกเป็นอะไร"
"ดีใจอ่ะแก..." คนพูดตอบสั้นๆ ยิ้มหน้าบาน แทบจะเห็นฟันทุกซี่ในปาก แล้วเดินไปหยิบนิตยสารที่รูปหน้าปกเป็นรูปหมู่พิธีบวงสรวงเปิดกล้องละครเรื่องรักเล่นกลส่งให้อันนา
"อะไรของแก ในหนังสือนี่มีอะไรน่ายินดี?" คนพูดเกาท้ายทอยแกรกๆ มองรูปตัวเองที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับร่วมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้นแล้วเบ้ปาก
"แกทำไมไม่บอกชั้น ว่าจะไปเจอจิณณ์ ชั้นจะได้โดนงานถ่ายแบบไปด้วย" คนพูดทำตาลอย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"ไอ้บ้าเอ้ย นึกว่าเรื่องอะไร" คนพูดส่ายหน้า บ่นอีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ "กะอีแค่ไปเจอนายหน้าปลาจวดนั่น ไม่คุ้มกับการทิ้งค่าตัวหลายหมื่นหรอก ชั้นบอกแกกี่ทีแกก็ไม่เชื่อว่าอีตานี่มันสร้างภาพ ถ้าแกได้ไปเห็นตอนเค้าตระกองกอดกันกับแม่นางเอกไฮโซนั่นนะ" คนพูดทำท่าขนลุกประกอบการบรรยาย "คงจะอ้วกแตก"
"แกก็ว่าเค้าเกินไป จิณณ์เค้าก็แค่ทำตามหน้าที่ ก็เค้าเป็นพระนางคู่กัน มันก็ต้องมีบ้างแหละ"
"ยังจะไปเข้าข้างอีก คนหยิ่งๆ แบบนั้น น่าปลื้มตรงไหน"
อันนายังทำท่าจะบ่นต่อ แต่ถูกธารธารายกมือห้ามไว้เสียก่อน "ช่างเหอะ ถ้าเราจะคุยกันเรื่องนี้อีกสามวันก็คงจะยังไม่จบ เอาเป็นว่าเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องที่ชั้นดีใจจะดีกว่า"
"เอ้า!" คนเป็นงงเกาหัวแกรกอีกรอบ "ไม่ใช่เรื่องนี้เหรอที่ดีใจ ชั้นนึกว่า..."
"อื้อ..." ธารธาราส่ายหน้าดิก ยิ้มเจ้าเล่ห์ "ให้ทายดีกว่า...ติ๊กต๊อกๆ "
"โอ้ยๆ เสียเวลาทำงาน ไม่ทงไม่ทายอะไรทั้งนั้น ไม่บอกจะไปทำงานต่อแล้ว เค้าโทรมาเร่งแล้วเนี่ย"
"โธ่ๆ คุณนักเขียนบทเนื้อหอมขา กรุณาอยากรู้หน่อยก็ไม่ได้" ธารธาราทำหน้าง้ำ แต่ไม่นานก็กลับมาฉีกยิ้ม "เค้าติดต่อมา ให้ชั้นไปเล่นละครเรื่องนี้ เพราะนางแบบที่ชื่อซาร่าประสบอุบัติเหตุ เลยถอนตัวไป เค้าบอกว่าชั้นรูปร่างบุคลิกคล้ายกับซาร่า จึงติดต่อมาจะให้ไปเล่นแทนน่ะแก"
"แต่แกไม่เคยเล่นละคร แกจะเล่นได้เหรอ" คนสงสัยเอ่ยถาม
"ได้สิแก...เดี๋ยวจิณณ์ก็เทรนให้ชั้นเอง" คนพูดวาดภาพอนาคตอย่างมีความหวัง
"ฝันไปเถอะย่ะ มีแต่ถ้าแกเล่นไม่ได้ ทำให้เค้าต้องเทคหลายรอบ อีตาปลาจวดนั่น จะด่าแกเละเทะน่ะสิ"
ธารธารายังเคลิ้มต่อ ไม่มีทีท่าว่าจะคล้อยตามที่อันนาพูดสักนิด เห็นแววว่าพูดต่อก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี อันนาจึงได้แต่อวยพรให้เพื่อนโชคดี แล้วเดินกลับขึ้นบ้านไปทำงานของตัวเองต่อ
....................................................................................
มาลงตอนที่ 2 ให้อ่านกันแบบทันใจ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ให้กำลังใจนะคะ ด้วยรักมากมาย...จากใจศรินทร์
สายตะวันโด่งแล้ว กระทั่งแสงแดดเจิดจ้าส่องลอดม่านบังแดดสีอ่อนเข้ามา รบกวนบรรยากาศการนอนให้ไม่เป็นสุขอีกต่อไป ร่างบางในชุดนอนลายการ์ตูนจึงค่อยๆ งัวเงียลุกขึ้นพลางใช้สองมือขยี้ดวงตาเบาๆ ขับไล่ความฝ้าฟางให้หายไป ก่อนจะชูสองแขนขึ้นพลางบิดกายซ้ายทีขวาทีขับไล่ความขี้เกียจ
เสียงฮัมเพลงดังผสานกับเสียงสายน้ำที่พวยพุ่งจากฝักบัวลงมากระทบพื้นกระเบื้องสีครีมสลับเขียว มือเรียวยื่นไปปัดกระจกซึ่งไอร้อนจากน้ำอุ่นเกาะจนเป็นฝ้ามัว ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มกว้างให้ตัวเองในกระจก ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับการถูใยขัดไปตามร่างกายเบาๆ อย่างผ่อนคลาย
ใช้เวลาพักใหญ่ การอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สดชื่นจึงเสร็จสิ้น หลังจากนั้นจึงรีบแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นเนื้อบางเบาความยาวเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าไม่มีการแต่งแต้มใดๆ เพียงลูบไล้ครีมบำรุงผิวสำหรับเด็กจนทั่วให้ความชุ่มชื้นเท่านั้น ดวงหน้าขาวใสก็เนียนนุ่ม คิ้วโก่งได้รูปแม้ไม่ได้มีการแต่งเติม ปากจมูกที่รับกันสมส่วนพอดีกับดวงตาสีดำสนิท ขนตางอนงามเป็นธรรมชาติไม่จำเป็นต้องเพื่อเติมอะไร ใบหน้านั้นก็สวยงดงามราวกับนางในวรรณคดีก็ไม่ปาน
สองมือพยายามรวบผมขึ้นไปมัดและขมวดไว้สูงๆ ไม่ให้เกะกะรุงรังบริเวณคอ อากาศร้อน แบบนี้แทบอยากจะโกนผมทิ้งทั้งหมดเลยทีเดียวถ้าทำได้ เพราะเวลาร้อนจัดๆ มักจะก่อให้เกิดความแสบและคันบริเวณที่ปลายเส้นผมทิ่มอยู่เสมอ จัดการกับผมยาวสลวยแบบลวกๆ เสร็จแล้ว ก็ฉวยโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกจากห้อง ลงบันใดตรงไปยังห้องครัว เพื่อทำตามประสงค์ของกระเพาะ ซึ่งเริ่มส่งเสียงประท้วงคนตื่นสายตั้งแต่ยังไม่ทันจะอาบน้ำด้วยซ้ำ
อันนาพักอยู่ที่บ้านเช่าหลังนี้กับธารธาราเพื่อนสาวคนสนิทแค่สองคน นับตั้งแต่ยายของเธอเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เธอรู้จักกับธารธาราตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมด้วยกัน รักและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด แม้พอเข้ามหาวิทยาลัยจะแยกย้ายไปเรียนคนละคณะเพราะความชอบที่แตกต่าง แต่ก็ยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันเรื่อยมา
ธารธาราเก่งงานบ้านงานเรือนแทบทุกอย่างรวมทั้งเรื่องอาหารธารธาราก็รสมือดีในแบบที่ว่าใครได้ชิมก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย หน้าที่ทำกับข้าวโดยส่วนใหญ่จึงตกเป็นของธารธาราโดยอัตโนมัติ
เช่นเดียวกันกับวันนี้ที่แม่ครัวใจดีก็ได้เตรียมอาหารสองสามอย่างวางไว้บนโต๊ะไม้เนื้อแข็งสีเข้มรอท่าคนตื่นสายเรียบร้อยแล้ว คนเพิ่งตื่นมองอาหารบนโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่กลางห้องครัวแล้วสูดปากไปกับความน่ากินขณะมือข้างหนึ่งลูบท้องที่กำลังเรียกร้องหาอาหารโครกครากเบาๆ ก่อนจะนำกับข้าวเหล่านั้นเข้าเตาไมโครเวฟ ตั้งอุณหภูมิและเวลาให้ได้ตามที่ต้องการแล้วเดินไปคดข้าวจากหม้อที่อุ่นเตรียมไว้ใส่จานรอ
ไม่นานเสียงเตือนว่าอาหารในเตาอุ่นได้ที่แล้วก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ ดวงตาสดใสเหลือบมองเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอก่อนจะเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย เดินไปกดเปิดเตาไมโครเวฟป้องกันไม่ให้มันส่งเสียงเตือนซ้ำเป็นการรบกวน ก่อนจะกดรับสาย เป็นอีกครั้งที่เรียวคิ้วสวยต้องขมวดมุ่นมากกว่าเก่า ทันทีที่ได้ยินเสียงทักทายจากปลายสาย ซึ่งไม่คุ้นหูเอาเสียเลย
"ไงจ๊ะ น้องรัก...นักเขียนบทละครคนดัง"
นักเขียนบทละครคนดัง...ยิ้มด้วยความสนเท่ห์ ก่อนจะเอ่ยถาม "ใครคะ?"
เสียงหัวเราะคิกคักจากปลายสายดังมา พร้อมๆ กับบทพรรณนายาวเหยียดที่แทบจับใจความไม่ได้ เพราะคนพูดกล่าวรัวเร็วตามสไตล์ของตัวเอง โชคยังดีที่เฉลยในตอนท้ายแบบหมดเปลือกว่าตัวเองเป็นใคร คนฟังจึงพอจับใจความได้ว่า คนปลายสายที่โทรศัพท์มาหาไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นตุลา หรือที่ใครๆ มักจะเรียกว่า 'เจ้โต้ง' รุ่นพี่ที่คณะเมื่อสมัยเรียน เป็นรุ่นพี่ที่มักจะมีบทบาทสำคัญในทุกๆ กิจกรรมไม่ว่าจะของคณะหรือของมหาวิทยาลัย ไม่มีใครในคณะหรืออาจจะในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำที่ไม่รู้จัก
"พี่ได้เบอร์อันน์มาได้ยังไงคะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว สบายดีนะคะพี่" คำถามยังไม่วายแปลกใจ เพราะถึงแม้สมัยเรียน เธอกับตุลาจะสนิทสนมกันมาก แต่ตั้งแต่เรียนจบมาและเขามีหน้าที่การงานเป็นถึงผู้กำกับชื่อดังของวงการละครไทย อันนาก็ไม่เคยได้ติดต่อกับเขาอีกเลย จะรู้ข่าวคราวก็เฉพาะในหน้าหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็นิตยสารซุปซิปดารา บุกกองถ่ายหรืออะไรทำนองนั้นเสียมากกว่า
"ก็แหม...เธอดังซะขนาดนี้ ได้รางวัลเชียวนะจ๊ะ ใครในวงการจะไม่รู้จัก แล้วมันจะไปยากอะไรกะอีแค่หาเบอร์โทรศัพท์ของนักเขียนบทละครดังๆ ซักคน สำหรับผู้กำกับมือทองอย่างพี่...ฮึ?"
แม้จะไม่ได้เห็นหน้าหรือท่าทาง แต่คนฟังก็พอจะนึกภาพกิริยาอาการจีบปากจีบคอของคนพูดออก จากน้ำเสียงที่ดังลอดผ่านโทรศัพท์ เพราะตุลาหรือเจ้โต้ง...ชายร่างใหญ่หัวใจสาวผู้นี้มักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ใครๆ ที่รู้จักก็มักจะจำได้ติดตา
"ได้เบอร์มายังไงไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ธุระที่พี่โทรมาหาเธอต่างหาก" หลังจากถามไถ่สาระทุกข์สุกดิบกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ตุลาจึงเริ่มเข้าเรื่องที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องโทรหารุ่นน้องที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี
ตุลาได้รับการติดต่อจากทางผู้จัดละครค่ายใหญ่ ในฐานะที่เขาเป็นผู้กำกับมือทองได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปีมาหมาดๆ เขาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้กำกับละครฟอร์มยักษ์ที่ทางผู้จัดวางเป้าหมายไว้ว่าอยากให้ละครเรื่องนี้ได้รับรางวัลละครยอดเยี่ยมแห่งปี
คอนเซ็ปของเรื่องต้องเริ่มต้นจากการรวบรวมบรรดาผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในสาขาต่างๆ ให้มารวมกันอยู่ในละครเรื่องนี้ นับตั้งแต่ ผู้กำกับยอดเยี่ยม บทละครยอดเยี่ยม พระเอกยอดเยี่ยม นางเอกยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ไปจนกระทั่งถึง องค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งต้องมาจากการได้รับรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีในงานประกาศผลรางวัลซุปเปอร์สตาร์อวอร์ดในสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งสิ้น
ซึ่งถือเป็นหน้าที่แรกอันสำคัญยิ่งทีเดียวสำหรับผู้กำกับมือทองอย่างตุลาที่จะต้องติดต่อประสานงาน และรวบรวมให้ทุกคนที่ได้รับรางวัล มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของละครในเรื่องนี้ให้จงได้
"ละครเรื่องที่ว่า คือเรื่องอะไรคะ?" อันนาเอ่ยถามอย่างสงสัย
"เอ่ยชื่อเรื่องปุ๊บเธอก็ต้องร้องอ๋อปั๊บเชียวล่ะ บทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังระดับประเทศเชียวนะเรื่องนี้" คนพูดจีบปาก เว้นวรรคสักครู่จึงเอ่ยต่อ "รักเล่นกลไงจ๊ะ รู้จักใช่มั้ย?"
สิ้นประโยคคำถาม คนฟังก็พยักหน้าหงึกหงักเกือบจะทันที ก็จะไม่รู้จักดีได้อย่างไร นักเขียนชื่อดังคนนี้แหละ คือนักเขียนในดวงใจ เป็นต้นแบบที่ทำให้อันนาเลือกที่อยากจะมาทำอาชีพด้านการประพันธ์ และก็นิยายเรื่องนี้อีกด้วย ที่อันนาชื่นชอบเป็นที่สุด อ่านจบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
เธอชอบการดำเนินเรื่องและตัวละครทุกตัวในนิยายเรื่องนี้ เคยคิดอยากที่จะมีโอกาสได้นำนวนิยายเรื่องนี้มาเขียนเป็นบทละครในแบบที่เธอถนัด ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งส้มลูกเบ้อเร่อจะหล่นทับ ทั้งดีใจ...ทั้งไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง อันนายิ้มพลางหยิกแขนตัวเองพลางเพื่อยืนยันว่าทั้งหมดที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง เธอไม่ได้กำลังฝัน
อะไรก็คงไม่น่าภูมิใจเท่า ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคละครฟอร์มยักษ์ที่ผู้จัดหมายมาดจะปั้นให้เป็นละครยอดเยี่ยมแห่งปี หนำซ้ำ...นวนิยายที่ถูกเลือกมาให้เธอดัดแปลงทำเป็นบทละคร ยังเป็นนวนิยายเรื่องที่เธอชอบมากๆ
ถ้าไม่เรียกว่าโชคสองชั้น บุญหล่นทับ ก็คงไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ใจอยากจะตอบตกลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ทว่าแวบหนึ่งที่ความลังเลเกิดขึ้น "อันน์ไม่แน่ใจค่ะพี่ ว่าฝีมืออันน์จะถึงหรือเปล่า กลัวว่าจะไปทำให้บทประพันธ์ดีๆ ละครฟอร์มยักษ์ต้องเละเป็นโจ้ก"
"ต๊าย...." ปลายสายอุทานเกือบจะทันที เสียงสูงปรี๊ดเป็นตึกสิบชั้น "เป็นถึงเจ้าของรางวัล บทละครยอดเยี่ยมแห่งปี กล้าพูดออกมาได้ยังไงยะ ว่ากลัวฝีมือจะไม่ถึง ดูถูกรางวัลเค้านะนี่จะบอกให้"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่" เกือบจะทันทีเช่นกันที่นักเขียนบทละครยอดเยี่ยมเอ่ยปฏิเสธ "อันน์ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกรางวัล เป็นเกียรติกับอันน์มากที่ได้รางวัลนี้ แต่อันน์แค่ไม่มั่นใจตัวเอง เพราะอันน์ยังถือว่าเป็นนักเขียนบทมือใหม่ เขียนมาแค่ไม่กี่เรื่อง บางทีเรื่องที่ทำให้อันน์ได้รับรางวัล อาจจะเป็นเพราะผู้ประพันธ์เค้าประพันธ์เอาไว้ดีแล้วด้วยส่วนหนึ่ง อันเลยไม่มั่นใจค่ะ" หญิงสาวแบ่งรับแบ่งสู้ กลัวจะเป็นตัวถ่วงทำให้กองถ่ายเสียเวลา เสียหาย หรืออาจจะหนักกว่านั้นถ้าหากละครเรื่องนี้ไม่ได้รางวัลละครยอดเยี่ยมแห่งปี กวาดรางวัลทุกสาขา ดังที่ผู้จัดวางเป้าหมายเอาไว้
"ผ่านมานานหลายปี เธอก็ยังเหมือนเดิมเลยนะอันนา" ตุลาเอ่ย น้ำเสียงไม่จริงจังนัก เพราะความที่เคยสนิทสนมกันมาก่อน ตุลาจึงรู้ดี อันนา ธนโชติ ไม่มั่นใจในตัวเองที่สุด ไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาหรือเป็นที่สนใจของคนหมู่มากเป็นที่สุด ก็ยังเป็นที่สงสัยของตุลามาจนถึงทุกวันนี้ แล้วทำไมเธอถึงเลือกที่จะมาเรียนคณะสื่อสารมวลชน ใครๆ ก็รู้ หน้าที่การงาน อาชีพของคนที่เรียนมาทางนี้ สายงานนี้ต้องพบสื่อพบผู้คนมากมาย แม้อันนาจะเลือกไปทางนักเขียนบทละครก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรตุลาก็ยังเชื่อว่า ความมั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่จะมายืนเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในวงการนี้
จะด้วยโชคช่วยหรืออะไรก็ตามแต่ที่พาให้อันนา มาจนถึงจุดๆ นี้ได้ ตุลาเชื่อเหลือเกินว่า สิ่งๆ นั้นต้องทำหน้าที่ของมันอย่างหนักหนาสาหัสทีเดียวเชียวล่ะ
"เอาเป็นว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเองไม่เป็นไร แต่พี่มั่นใจในตัวเธอ...พี่เชื่อมั่นว่าเธอจะต้องทำให้บทประพันธ์เรื่องรักเล่นกล กลายมาเป็นบทละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีได้" ตุลาถอนหายใจเสียงดัง เจตนาให้คนฟังรับรู้ว่าเขาหนักใจไม่น้อยที่ต้องแบกรับเป้าประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เอาไว้บนบ่า "ถือว่าพี่ขอร้อง ช่วยมาร่วมงานกับพี่ในฐานะ หนึ่งในบุคคลยอดเยี่ยม และช่วยกันทำให้ละครเรื่องนี้ กลายเป็นละครยอดเยี่ยมแห่งปีให้ได้...ได้มั้ย?"
แม้ความลังเลจะยังมีอยู่บ้าง แต่เพราะคำรบเร้าซึ่งหนักแน่นเหลือเกินของตุลา รุ่นพี่ที่เคยมีน้ำใจไมตรี และเคยช่วยเหลือเธอในยามเดือดร้อนเมื่อครั้งอดีต เธอจะลองซักครั้ง โยนความไม่มั่นใจลงเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วให้ความร่วมมือกับตุลาแต่โดยดี อย่างน้อยก็ถือว่าได้ตอบแทนที่เขาเคยช่วยเธอมาก็แล้วกัน
อีกอย่างก็เพื่อทำฝันของตัวเองให้สำเร็จ ทำให้นวนิยายที่เธอรัก...มีคนรักทั่วบ้านทั่วเมือง!
ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ก็ถึงกำหนดนัดหมายส่งบทละคร ตามที่อันนาได้รับปากไว้กับตุลา ใจจริงหญิงสาวยังคิดว่าบทละครอาจจะปรับแก้ให้ดีได้กว่านี้ หากเธอมีเวลาอีกสักหน่อย แต่ด้วยเพราะรางวัลที่การันตีฝีมือ ทำให้มีค่ายละครหลายแห่งติดต่อมาให้เธอเขียนบทละครให้ ทำให้งานของเธอมีมากเพิ่มขึ้น เวลาในการทำงานจึงน้อยลง
ส่งผลให้ความละเมียดละไมในการทำงานของเธอมีอุปสรรคบ้าง เมื่อมีเวลาเป็นตัวบีบ ถึงแม้เธอจะทุ่มเทใจให้กับนวนิยายที่เธอรักอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว แต่อันนาก็ยังรู้สึกว่ามีบางฉากบางตอน บางบทที่เธอยังอยากแก้ไขให้มันซาบซึ้งกินใจ ได้อารมณ์มากกว่านี้ แต่เพราะเธอเป็นคนรักษาคำพูด นัดไว้แล้วไม่อยากให้เสียสัจจะ ซึ่งไม่เฉพาะเธอเท่านั้นที่ได้รับผลเสีย แต่มันอาจจะพลอยทำให้คนอื่นเสียงานเสียการไปด้วย อันนาจึงจำเป็นต้องพับเก็บความละเมียดละไมบางส่วนใส่กระเป๋าไว้ แล้วรีบนำต้นฉบับบทละครมาส่งในวันนี้
กำหนดการนัดหมายเป็นวันเดียวกับวันที่มีการบวงสรวงเปิดกล้องละคร จริงๆ บทละครควรเสร็จและส่งก่อนหน้านี้นานแล้ว เพื่อที่นักแสดงแต่ละคนจะได้มีโอกาสนำบทไปพิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าจะรับเล่นละครเรื่องนี้หรือไม่ แต่ด้วยความที่มีข้อกำหนดว่า ทุกคนทุกตำแหน่งในละครเรื่องนี้ถูกวางตัวไว้หมดแล้วว่าต้องเป็นคนที่ได้รับรางวัล ขั้นตอนการคัดสรรนักแสดง รวมทั้งที่มาที่ไปของบทละครจึงค่อนข้างจะแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ค่อนข้างมาก
ฤกษ์ดีสำหรับการบวงสรวงเปิดกล้อง ถ้าไม่เลือกวันนี้ก็ต้องรอไปอีกเป็นเดือนกว่าพราหมณ์ผู้ทำพิธีจะว่าง ซึ่งก็จะไม่ทันตามกำหนดการฉายของละครที่ทางช่องวางแผนเอาไว้ แม้หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างจะฉุกละหุก แตกต่างไปจากการถ่ายทำละครเรื่องอื่นๆ ทั่วๆ ไปอยู่บ้าง แต่ผู้จัดก็ยินดี และรับได้
และถึงแม้ว่าบางคนจะไม่เต็มใจนักที่ถูกขอร้องแกมบังคับให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในละครฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ทว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการถ่ายทำ นับตั้งแต่ค่าตัวนักแสดง ค่าเขียนบท ค่าเสื้อผ้า และนั่นโน่นนี่อีกสารพัดที่พอได้เห็นตัวเลขแล้ว หลายๆ คนก็คงไม่อยากที่จะปฏิเสธงานชิ้นโบว์แดงนี้สักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าผู้จัดทุ่มเต็มที่เพื่อโปรเจคละครฟอร์มยักแห่งปี ที่มีเป้าหมายเป็นรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปีที่จะการันตีคุณภาพคับแก้ว
รถคันเล็กวนหาที่จอดอยู่สักพัก เนื่องจากบรรดานักแสดง ทีมงาน รวมไปถึงนักข่าวมาเพื่อร่วมในงานบวงสรวงเปิดกล้องละครเป็นจำนวนมาก
การบวงสรวงเปิดกล้องละครเป็นการถวายเครื่องบวงสรวงสังเวยทั้งบายศรีและบัตรพลี พร้อมเครื่องบูชาต่างๆ เครื่องสักการะเทพแห่งศิลปะการแสดง และเพื่อเป็นการขอขมาต่อสถานที่ที่จะทำการถ่ายทำ ก่อนเริ่มการถ่ายทำละครทุกเรื่องจะต้องมีพิธีบวงสรวงขอพรเพื่อให้ผู้ร่วมพิธีมีแต่ความสุข ความเป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งๆ ขึ้นไป ความร่ำรวยของเหล่าผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และบรรดานักแสดงทั้งหลาย และเพื่อการประสบความสำเร็จ ปราศจากอุปสรรคในการถ่ายทำตลอดจนประสบความสำเร็จและได้รับชื่อเสียงของละครในเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็หมายถึงตัวเลขเรตติ้ง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนไม่แพ้รางวัลการันตีใดๆ เพราะมันจะหมายถึงยอดเงินรายได้ที่จะเกิดขึ้น จากความดัง ความฮอตฮิตของละครเรื่องนั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้จัดละครส่วนใหญ่ต้องการ
เมื่ออันนาเดินทางมาถึงพิธีบวงสรวงก็เสร็จสิ้นพอดี บรรดานักแสดงที่ว่างเว้นจากการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่มาทำข่าว ต่างกำลังเลือกเก็บของเซ่นไหว้ บ้างนำมารับประทาน บ้างนำติดตัวกลับบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล เช่นเดียวกับนักข่าวบางคนที่ก็ยังเผื่อเวลามาเลือกเก็บของเซ่นไหว้มารับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคลเช่นเดียวกัน
จะมีก็แต่นักแสดงหนุ่มสาวเนื้อหอม ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคู่พระนางของเรื่อง ที่คงจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น เพราะต้องยืนฉีกยิ้มให้สื่อมวลชนเก็บภาพคู่ พร้อมๆ ไปกับการให้สัมภาษณ์ถึงละครฟอร์มยักษ์แห่งปี และบทบาทที่ได้รับ
อันนาใช้เวลายืนทำใจอยู่พักใหญ่ทีเดียว ขึ้นชื่อว่าอันนา...กลัวนักข่าวเสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าเธอเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก ก็คงจะเดินฝ่าฝูงสื่อมวลชนเข้าไปได้ไม่ยากนัก แต่ถ้า ณ ตอนนี้ที่เธอมีรางวัลการันตี แถมด้วยความที่ไม่ได้ไปรับรางวัลเอง ทำให้นักข่าวสายบันเทิงส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจและตามเก็บข่าวเธอไปเขียน ต่างก็อยากเจอตัวเธอทั้งนั้น อย่าว่าแต่ให้สัมภาษณ์เลย แค่ให้ถ่ายรูปอันนาก็ยังไม่ปรารถนา ถ้าเข้าไปก็คงโดนยิงคำถามมากมาย ตั้งแต่เรื่องละคร ลามเลยมาถึงเรื่องที่เธอส่งบทช้า ดังแล้วเล่นตัวท่าเยอะ และอีกต่างๆ นานาที่แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
ดวงตาคู่สวยเหลือบซ้ายแลขวา พลางทำตัวให้เล็กที่สุดขณะยืนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ กับลานบวงสรวง ซึ่งผู้คนกำลังพลุกพล่านอลม่านกันไปหมด คนเยอะจนตาลาย แต่เพ่งแล้วก็ไม่เห็นวี่แววของตุลาคนที่เธอต้องการจะมาพบ ทำไมวันนี้อะไรๆ ก็ไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ธารธาราเพื่อนรักก็ดันมาติดงานถ่ายแบบมาเป็นเพื่อนไม่ได้ ถ้ามาก็ยังจะพอไหว้วานให้เอาบทไปส่งแทนให้ได้ ส่วนเธอเองก็คงจะขอรอที่รถ
ลมหายใจกลุ่มใหญ่ถูกระบายออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็มิอาจนับได้ เนื่องจากมันมากมายเหลือเกิน ขณะที่ก็ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์หลัก พลันสายตาก็หันไปเห็นเรื่องระแคะระคายความรู้สึกให้อยากเปลี่ยนไปตัดสินใจใหม่ ปฏิเสธการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในละครเรื่องนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
คู่พระนางที่ยืนให้ช่างภาพเก็บภาพอยู่ลิบๆ หลังหมู่นักข่าวโน่น คือคนที่เธอไม่อยากร่วมงานด้วย ลืมไปเสียสนิทตอนที่ตุลาบอกว่าละครเรื่องนี้ได้รวบรวมเอาผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมทุกสาขามาไว้ด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็น จิณตพัฒ ชญานนท์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่ไม่รู้ทำไมอีกเหมือนกัน เธอถึงได้รู้สึกไม่ชอบหน้าไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย
ต่อให้ใครจะบอกว่าเค้าเล่นละครเก่งยังไง หล่อแค่ไหน แต่ในสายตาอันนาแล้ว เขาก็แค่ผู้ชายขี้เก็ก หน้าปลาจวดคนหนึ่งก็เท่านั้น!
คิดไปคิดมาก็ถอนใจอีก ถึงอย่างไร หน้าที่เธอก็ใกล้จะจบแล้ว แค่ส่งบทให้ตุลาแล้วถ้าทุกอย่างโอเค นั่นก็จบหน้าที่ของเธอ ใช่ว่าจะต้องได้อยู่เห็นหน้าเขาทุกวันเสียเมื่อไหร่ คิดได้ดังนั้น ค่อยโล่งอก หันกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่จะมาทำในวันนี้ ตั้งหน้าตั้งตามองหาตุลาต่อไป
และแล้วก็สำเร็จ เธอเห็นตุลาอยู่ไกลๆ กำลังยืนพูดคุยอยู่กับคนที่น่าจะเป็นพราหมณ์ผู้ทำพิธีอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งไกลจากกองทัพนักข่าวพอสมควร อันนายิ้มอย่างโล่งอก
ตอนนี้หน้าที่ของเธอก็มีแค่..ต้องค่อยๆ เลี่ยงหลบ เดินไปอย่างเงียบที่สุด เฉยที่สุด ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของใคร ต้องไม่มีพิรุธ ซึ่งถ้าจริงๆ ก็คงจะไม่มีใครรู้จักเธอหรอก เพราะวันรับรางวัลเธอก็ไมได้ไปเอง เพราะฉะนั้นเธอต้องตั้งสติให้มั่นและไม่กระโตกกระตาก ไม่ตีตนไปก่อนไข้ เดินไปให้ถึงตุลาโดยเร็วที่สุด ส่งบท...รอเขาตรวจสอบความเรียบร้อย...เสร็จแล้วก็กลับ...ถือว่าจบ สองท้าวเรียวก้าวเร็วเท่าความคิด เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
สองท้าวก้าวเร็วจี๋ ถึงจุดที่ตุลายืนอยู่รวดเร็ว ซึ่งฝ่ายนั้นก็จบการสนทนากับพรามหณ์ซึ่งเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่พอดี ตุลาหันมาเห็นอันนาซึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามาหา ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากหรือแจ้งเจตนาอะไร ก็ถูกชายร่างใหญ่จีบปากจีบคอทักทาย พร้อมๆ กับดึงแขนกึ่งลากตรงไปยังทิศทางที่นักข่าวยืนเก็บภาพบรรดานักแสดงกันอยู่
รู้...ทำไมจะไม่รู้ว่าอันนาเกลียดสถานการณ์เช่นนี้ แต่ตุลาก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาดื้อๆ พร้อมๆ ไปกับการอยากทำให้อันนากล้าที่จะออกมายืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเปิดเผย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง งดงามทั้งหน้าตาผิวพรรณรูปร่าง แม้จะตัวเล็กไปสักนิดสำหรับมาตรฐานนางเอกละครทั่วไป แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสมัยนี้รองเท้ามันเสริมความสูงกันได้
ตุลาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอันนาจึงขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว เธอสามารถเล่นละครรับบทเป็นนางเอกได้สบายๆ ทีเดียวเชียวล่ะในความคิดเขา
"ขอทางหน่อยจ้า..." ผู้กำกับร่างใหญ่เสียงเจื้อยแจ้ว ส่งผลให้ทุกคนทุกฝ่ายหันหน้ามามองเจ้าของเสียง รวมทั้งคนที่กำลังถูกลากมาเป็นตาเดียว "เอ้า...สำนักพิมพ์ไหนยังไม่ได้รูปข่าวมาทางนี้เลยจ้า นักแสดงและทีมงานพร้อมแล้วสำหรับการถ่ายรูปหมู่"
บรรดาช่างภาพสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญให้มาเป็นเกียรติทำข่าวในวันนี้ ต่างเตรียมความพร้อมกล้องถ่ายภาพของตัวเอง ลดความสนใจคู่พระนางที่ยืนให้เก็บรูปมานานแล้วทันที เมื่อตุลาพาใครบางคนเข้ามาขัดจังหวะ ดึงความสนใจของนักข่าวไป จิณณพัฒหันมองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท เขาจำได้...ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ขับรถมารับนางแบบสาวที่ขึ้นรับรางวัลแทนนักเขียนบทละครยอดเยี่ยมในคืนนั้นนั่นเอง
แม้คืนนั้นเขาจะยืนอยู่ไกลพอสมควร แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยที่เขากลับจำเธอได้ติดตา คงเป็นเพราะความชอบเรียกร้องความสนใจของผู้หญิงคนนี้กระมัง จิณณพัฒนึกค่อนแคะในใจ
"พวกมือใหม่เพิ่งดัง ก็มักจะเป็นแบบนี้ว่ามั้ยคะจิณณ์...เรียกร้องความสนใจ หวังเกาะกระแสสื่อสร้างชื่อ" เรียวปากสีแดงสดบิดเบ้ขณะพร่ำบ่นเบาๆ พอให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายได้ยิน
ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดหรือทำอะไรต่อ ก็ถูกตุลาดึงให้ทีมงานทุกคนรวมทั้งผู้จัดเข้าไปร่วมกันถ่ายรูปโดยพร้อมเพรียง ตุลายังคงทำหน้าที่จัดแจงนั่นนี่ได้สมกับที่เป็นผู้กำกับ เขาจัดวางตำแหน่งยืนในการถ่ายรูปให้ทุกคนปิดท้ายด้วยการผลักร่างของอันนาให้ไปยืนประกบอยู่ข้างๆ พระเอกของเรื่องคนละฝั่งกับชลฉัตรแทนที่ตำแหน่งของนางรองของเรื่องซึ่งติดภารกิจมาร่วมพิธีไม่ได้
จะด้วยเจตนาหรืออะไรก็ไม่อาจจะเดาได้ ทำให้อันนารู้สึกว่าตุลากำลังพยายามเบียดให้เธอได้เข้าไปยืนชิดจิณณพัฒจนแทบจะกลายเป็นซบอกเขา ซึ่งฝ่ายนั้นก็คงรู้สึกเช่นกัน หญิงสาวเดาจากสายตาที่แลลงมาสบเธอวูบหนึ่ง ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแววรังเกียจและดูแคลน อันนาเกลียดสายตาแบบนี้ยิ่งนัก มันยิ่งทำให้เธอหมั่นไส้เขามากขึ้น เมื่อเขาหันไปโอบกอดกับชลฉัตรนางเอกคู่ขวัญที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารซุปซิบดาราทั่วไป ว่าทั้งสองเป็นคู่จิ้นที่กำลังมาแรงที่สุด เหมาะสมกันที่สุด และก็คงจะลงเอยกันนอกจอตามแรงเชียร์ของบรรดาแฟนคลับอีกด้วย
ไม่ว่าเขาจะแค่ทำตามบทบาท เพื่อให้นักข่าวได้เก็บภาพ หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่อันนาก็ยังรู้สึกหมั่นไส้ ดูเหมือนเขาเสแสร้งแกล้งทำ แกล้งแสดงอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าคมเกลี้ยงเกลาแลดูสำอาง ผิวหน้าเนียนละเอียดราวสตรีเพศไม่มีหนวดมีเคราสักเส้น ผมสีดำขลับมันวับถูกจัดทรงไว้ให้รับกับใบหน้าเสมอ จนเหมือนกับว่าในตัวเขาไม่มีอะไรที่เป็นธรรมชาติเลย ยิ่งทำให้อันนารู้สึกอึดอัดที่ต้องยืนอยู่ตรงนี้นานๆ
เสียกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับพระเอกนางเอกคนดัง ดังแว่วมาเป็นระรอกตามอิริยาบถที่เปลี่ยนไปของคู่พระนาง อันนาปรายหางตามองแล้วแบะปาก กะอีแค่ยืนถ่ายรูปกอดกันก็กรี๊ด...
หญิงสาวแทบจะกระโดดอย่างดีใจ ทันทีที่การถ่ายรูปสิ้นสุดลง เธอรีบชิงจังหวะเปลี่ยนมาคุมบังเหียนด้วยการดึงมือตุลาห่างออกมาจากกองทับนักข่าวทันที ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์เรื่องบทละครที่ส่งช้าที่นักข่าวบางคนพยายามจะขอสัมภาษณ์อย่างนุ่มนวลด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัวเพื่อไปส่งบทละครให้ตุลาตรวจสอบให้เสร็จสิ้น หน้าที่ของเธอจะได้จบและออกไปจากสถานที่ที่น่าอึดอัดนี่ได้ซักที
ตุลารับบทละครมาเปิดอ่านดูคร่าวๆ เน้นไปที่จุดที่สำคัญๆ ของเรื่อง ฉากไคล์แมกซ์ และฉากจบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบสั้นๆ ว่าโอเค แล้วเดินไปพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม เมื่อนึกถึงยอดเรตติ้งที่กำลังจะพุ่งขึ้นๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มลงจอของละครเรื่องนี้
ในตอนแรกอันนาตั้งใจจะบอกว่า ขอปรับบางตอนที่เธอเห็นว่าอยากจะปรับอีกสักเล็กน้อย และจะมาส่งเพิ่มเติมให้ แต่พอเห็นแล้วว่าในกองถ่ายนี้มีบุคคลไม่ถึงประสงค์ เธอจึงเลือกที่จะหาทางที่ทำให้ตนเองไม่ต้องมาที่กองถ่ายละครเรื่องนี้อีก น่าจะดีกว่า
จิณณพัฒตกลงรับเป็นพระเอกในละครเรื่องรักเล่นกล เพราะติณผู้จัดการส่วนตัวของเขาขอร้อง ความโด่งดังไม่ใช่สิ่งที่จะใช้มาล่อจิณณพัฒได้ เพราะสำหรับเขาสิ่งเหล่านี้มีมากเพียงพอแล้ว การันตีได้ด้วยรางวัลพระเอกยอดเยี่ยมสามปีซ้อน พร้อมด้วยรางวัลยอดนิยมอีกมากมาย อีกอย่างพระเอกซุปเปอร์สตาร์ จิณณพัฒ ชญานนท์ไม่เคยมีประวัติเล่นละครเรื่องไหนแล้วไม่ดัง
ตัวเลขรายได้ค่าตัวนักแสดงก็ไม่มีผลกับเขาเช่นกัน เพราะฐานะทางบ้านร่ำรวยอยู่แล้ว จิณณพัฒเป็นบุตรชายคนเล็กของเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีเครือข่ายอยู่แทบทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่เพียงเพราะเขาต้องการที่จะแสดงให้พ่อบังเกิดเกล้าได้เห็นว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติของพ่อแม้แต่บาทเดียว และไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใคร เขาจึงเลือกมาทำอาชีพนี้ แม้จะไม่ชอบการต้องปั้นหน้าแสดงบทบาทต่างๆ เลยก็ตาม
และที่สำคัญไปกว่านั้นอาชีพนี้เป็นอาชีพที่พ่อของเขาไม่ชอบ จิณณพัฒจึงเลือกที่จะทำ แม้จะต้องขัดความรู้สึกตัวเองก็ตาม ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา รูปร่างที่สูงเกินมาตรฐานชายไทยอยู่หลายเซ็นติเมตร ทำให้จิณณพัฒถือเป็นผู้ชายที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ประกอบกับพรสวรรค์ด้านการแสดงของเขา ส่งให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในสายอาชีพนี้ได้ไม่ยาก หรือจะเป็นเพราะพรหมลิขิต แม้ไม่ได้อยากเลือกและไม่ได้ชอบ แต่กลับทำออกมาได้ดีจนน่าแปลกใจ
ตุลาติดต่อให้จิณณพัฒมารับบทพระเอกในเรื่องนี้ผ่านทางติณ ผู้จัดการส่วนตัวของจิณณพัฒซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาของเขา ติณได้ทุนของโรงพยาบาลในเครือชญานนท์กรุ๊ปไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวที่เรียนจบมาพร้อมกับจิณณพัฒ
พอเรียนจบกลับมาจิณณพัฒจึงขอร้องให้มาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ ด้วยข้อเสนอเป็นเปอร์เซ็นต์รายได้ที่สูงมากกว่าผู้จัดการนักแสดงทั่วไปอื่นๆ ได้รับ มีข้อแม้แค่ว่าต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของจิณณพัฒแค่คนเดียว โดยไม่ให้มีเด็กในสังกัดเพิ่ม โดยจิณณพัฒให้ข้อเสนอว่า ถ้ารายได้จากเปอร์เซ็นที่ได้ไม่เพียงพอ เขายินดียกรายได้ที่ได้จากการเล่นละคร ออกอีเวนท์ ถ่ายโฆษณาทั้งหมดที่ได้ให้กับติณ ซึ่งติณก็ไม่ต้องการที่จะรับมันไปทั้งหมดเพราะเพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นของรายได้ที่จิณณพัฒให้เขานั้น มันก็มากมายเหลือเกินแล้ว
ตุลาไม่เคยเอ่ยปากขอร้องหรือเรียกร้องอะไร นับตั้งแต่วันที่พ่อของเขาทั้งสองคนทิ้งแม่ของตุลามาใช้ชีวิตร่วมกับแม่ของเขา ติณไม่เคยเห็นตุลาและแม่มาเรียกร้องสิทธิอะไรเลยทั้งๆ ที่เขาทั้งสองสามารถทำได้ เพราะพ่อของเขาเป็นฝ่ายนอกใจและทอดทิ้งลูกเมียที่พ่อแม่บังคับให้แต่งงานด้วย เพื่อมาอยู่กับเมียเก็บและลูกนอกทะเบียนสมรสอย่างเขา
เพราะนี่เป็นการขอครั้งแรกในชีวิตของพี่ชาย ติณจึงจะยอมขอครั้งแรกในชีวิตกับเพื่อนสนิทซักครั้งหนึ่งเหมือนกัน ถือว่าเป็นการชดใช้แทนพ่อ
คนอื่นอาจจะมองว่าจิณณพัฒรับงานนี้ เพราะค่าตัว 8 หลักซึ่งแพงลิบลิ่ว แต่มีเพียงเขาและติณเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่จิณณพัฒตกลงรับที่จะเล่นละครเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาร้องขอให้ช่วย ติณไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง และตั้งแต่รู้จักกันมา ติณก็ยังไม่เคยขอร้องให้เขาช่วยเหลือหรือทำอะไรให้เลย นี่จึงถือเป็นการขอร้องครั้งแรกจิณณพัฒจึงไม่อยากปฏิเสธติณ
เสียงกรี๊ดที่ดังมาจากชั้นล่างของบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ทำให้อันนาซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่างในห้องนอน ถึงกลับต้องรีบวางปากกาและวิ่งออกมาจากห้อง ตรงดิ่งลงบันไดเพื่อไปหาที่มาของเสียง
"เป็นอะไรรึป่าว แก?" คนเพิ่งลงมาถึงละล่ำละลักถาม
คนถูกถามไม่ตอบ มือซ้ายถือโทรศัพท์ไว้แน่น พลางกำมือขวาและดึงขึ้นลงข้างลำตัว พร้อมๆ กับยกเข่าและร้อง "เยสๆๆๆ "ไม่หยุด
คนที่ตกใจอยู่แล้ว ทำคิ้วผูกโบว์แปลกใจเพิ่มขึ้นอีก "จะบอกชั้นได้รึยัง ว่าแกเป็นอะไร"
"ดีใจอ่ะแก..." คนพูดตอบสั้นๆ ยิ้มหน้าบาน แทบจะเห็นฟันทุกซี่ในปาก แล้วเดินไปหยิบนิตยสารที่รูปหน้าปกเป็นรูปหมู่พิธีบวงสรวงเปิดกล้องละครเรื่องรักเล่นกลส่งให้อันนา
"อะไรของแก ในหนังสือนี่มีอะไรน่ายินดี?" คนพูดเกาท้ายทอยแกรกๆ มองรูปตัวเองที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับร่วมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้นแล้วเบ้ปาก
"แกทำไมไม่บอกชั้น ว่าจะไปเจอจิณณ์ ชั้นจะได้โดนงานถ่ายแบบไปด้วย" คนพูดทำตาลอย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"ไอ้บ้าเอ้ย นึกว่าเรื่องอะไร" คนพูดส่ายหน้า บ่นอีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ "กะอีแค่ไปเจอนายหน้าปลาจวดนั่น ไม่คุ้มกับการทิ้งค่าตัวหลายหมื่นหรอก ชั้นบอกแกกี่ทีแกก็ไม่เชื่อว่าอีตานี่มันสร้างภาพ ถ้าแกได้ไปเห็นตอนเค้าตระกองกอดกันกับแม่นางเอกไฮโซนั่นนะ" คนพูดทำท่าขนลุกประกอบการบรรยาย "คงจะอ้วกแตก"
"แกก็ว่าเค้าเกินไป จิณณ์เค้าก็แค่ทำตามหน้าที่ ก็เค้าเป็นพระนางคู่กัน มันก็ต้องมีบ้างแหละ"
"ยังจะไปเข้าข้างอีก คนหยิ่งๆ แบบนั้น น่าปลื้มตรงไหน"
อันนายังทำท่าจะบ่นต่อ แต่ถูกธารธารายกมือห้ามไว้เสียก่อน "ช่างเหอะ ถ้าเราจะคุยกันเรื่องนี้อีกสามวันก็คงจะยังไม่จบ เอาเป็นว่าเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องที่ชั้นดีใจจะดีกว่า"
"เอ้า!" คนเป็นงงเกาหัวแกรกอีกรอบ "ไม่ใช่เรื่องนี้เหรอที่ดีใจ ชั้นนึกว่า..."
"อื้อ..." ธารธาราส่ายหน้าดิก ยิ้มเจ้าเล่ห์ "ให้ทายดีกว่า...ติ๊กต๊อกๆ "
"โอ้ยๆ เสียเวลาทำงาน ไม่ทงไม่ทายอะไรทั้งนั้น ไม่บอกจะไปทำงานต่อแล้ว เค้าโทรมาเร่งแล้วเนี่ย"
"โธ่ๆ คุณนักเขียนบทเนื้อหอมขา กรุณาอยากรู้หน่อยก็ไม่ได้" ธารธาราทำหน้าง้ำ แต่ไม่นานก็กลับมาฉีกยิ้ม "เค้าติดต่อมา ให้ชั้นไปเล่นละครเรื่องนี้ เพราะนางแบบที่ชื่อซาร่าประสบอุบัติเหตุ เลยถอนตัวไป เค้าบอกว่าชั้นรูปร่างบุคลิกคล้ายกับซาร่า จึงติดต่อมาจะให้ไปเล่นแทนน่ะแก"
"แต่แกไม่เคยเล่นละคร แกจะเล่นได้เหรอ" คนสงสัยเอ่ยถาม
"ได้สิแก...เดี๋ยวจิณณ์ก็เทรนให้ชั้นเอง" คนพูดวาดภาพอนาคตอย่างมีความหวัง
"ฝันไปเถอะย่ะ มีแต่ถ้าแกเล่นไม่ได้ ทำให้เค้าต้องเทคหลายรอบ อีตาปลาจวดนั่น จะด่าแกเละเทะน่ะสิ"
ธารธารายังเคลิ้มต่อ ไม่มีทีท่าว่าจะคล้อยตามที่อันนาพูดสักนิด เห็นแววว่าพูดต่อก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี อันนาจึงได้แต่อวยพรให้เพื่อนโชคดี แล้วเดินกลับขึ้นบ้านไปทำงานของตัวเองต่อ
....................................................................................
มาลงตอนที่ 2 ให้อ่านกันแบบทันใจ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ให้กำลังใจนะคะ ด้วยรักมากมาย...จากใจศรินทร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ