รักเล่นกล
เขียนโดย พังพอน
วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.30 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2558 19.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) รักเล่นกล #1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ... ตอนที่ 1 ...
“ผู้ที่ได้รับรางวัล นักเขียนบทละครยอดเยี่ยมได้แก่...”
เสียงดนตรีระทึกใจดังกระหึ่ม ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้ที่มาร่วมในงานประกาศผลรางวัลซุปเปอร์สตาร์อวอร์ดในค่ำคืนนี้ นักเขียนบทละครหลายคนที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล นั่งแทบไม่ติด จิตใจจดจ่ออยู่แต่กับรายชื่อที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากของพิธีกรหนุ่มร่างใหญ่บนเวที บางคนถึงกับต้องพยายามสงบสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงด้วยการหลับตาทำสมาธิ
เจ้าของร่างสูงใหญ่บนเวที กวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาเล็กหยี ก่อนจะเอ่ยต่อ “ขอแสดงความยินดีกับ คุณอันนา ธนโชติ เจ้าของนามปากกา กันติชา ผู้ได้รับรางวัลนักเขียนบทละครยอดเยี่ยมในปีนี้ครับ”
เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้นเกรียวกราว หลายคนเริ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาผู้ที่จะก้าวออกมารับรางวัล ซึ่งเป็นนักเขียนบทหน้าใหม่ เพิ่งถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลในปีนี้เป็นปีแรก
บางคนเริ่มขยับปากซุบซิบถึงที่มาที่ไปของการได้มาซึ่งรางวัลนี้ ขณะที่ช่างภาพสื่อมวลชนต่างพากันขยับกล้องเพื่อปรับมุมปรับเลนส์ ให้พร้อมสำหรับการเก็บภาพผู้ที่กำลังจะก้าวออกมารับรางวัล
ทว่านานแล้ว...แต่ก็ยังไร้วี่แววของผู้ที่ใครต่อใครต่างจับตามอง หลายคนเริ่มหันซ้ายหันขวา เพื่อกวาดสายตามองหาใครสักคนที่อาจจะกำลังขยับกายขึ้นไปบนเวทีเพื่อแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของรางวัลนี้
ไม่เว้นแม้แต่จิณณพัฒ ชญานนท์ ชายหนุ่มรูปหล่อเจ้าของรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมสองปีซ้อน ซึ่งมารอฟังผลการประกาศรางวัลในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเป็นปีที่สาม ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความสนใจใคร่รู้ว่า ทำไมถึงไม่มีใครออกมารับรางวัลนี้เสียที
ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลามีแววสนเท่ห์ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะนัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบๆ บริเวณเพื่อแลหาผู้ที่กำลังเป็นจุดสนใจของใครต่อใครในเวลานี้
“เบื่อจริงๆ พวกมือใหม่ชอบเรียกร้องความสนใจ...ว่ามั้ยคะจิณณ์” เจ้าของใบหน้างดงามที่ถูกแต่งแต้มไว้อย่างครบเครื่องหันมาขอความเห็นจากคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เรียวปากสวยซึ่งเคลือบด้วยสีแดงสดบิดเบ้ไปมา ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม “เชอรี่ว่าคงพิกลพิการ หรือไม่...หน้าตาก็คงอัปลักษณ์จนดูไม่ได้ เลยไม่กล้าขึ้นมารับรางวัล”
ชลฉัตร รัตนไพศาล ไฮโซสาวแสนสวย หนึ่งในผู้ที่ถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยมในปีนี้สันนิษฐาน พลางหัวเราะเยาะบุคคลที่ตนเองกำลังกล่าวถึงอย่างขบขันก่อนจะหันไปแย้มรอยยิ้มหยาดเยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง ซึ่งก็คงจะเห็นด้วยกับเธอไม่น้อย เพราะฝ่ายนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักทันทีที่หญิงสาวพูดจบ
เสียงพิธีกรบนเวทีดังขึ้นอีกครั้ง สะกดเสียงพึมพำที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ให้เงียบลง เพื่อประกาศซ้ำข้อความประโยคเดิม
ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังคงไม่มีใครขยับเขยื้อน เสียงพึมพำที่เงียบลงเมื่อสักครู่จึงดังขึ้นมาอีก ระรอก พิธีกรบนเวทีกวาดสายตาไปทั่วบริเวณอีกครั้ง กำลังตัดสินใจจะทำหน้าที่ของตนเองอีกเป็นหนที่สาม
แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับปาก หญิงสาวร่างระหงในชุดราตรีสีเขียวอ่อนยาวเลยเข่าลงไปเล็กน้อย ก็กระหืดกระหอบมาจากด้านหลังสุด เบียดร่างผอมเพรียวของตัวเองผ่านสื่อมวลชนและแขกเหรื่อมากมายที่ยืนออกันอยู่ เพื่อก้าวขึ้นบนเวทีเสียก่อน
เจ้าตัวคงจะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเสียมารยาทไม่ใช่น้อยที่เป็นสาเหตุให้ใครๆ ต้องเสียเวลารอคอยตั้งหลายนาที ริมฝีปากได้รูปซึ่งถูกเคลือบด้วยสีชมพูอ่อนจึงคลี่ยิ้ม พร้อมกับหว่านภาษากายที่หมายความแทนคำขอโทษนั้นไปทั่วบริเวณ
ชลฉัตรพ่นลมหายใจแล้วเบ้ปาก พลางดึงเรียวแขนขาวเนียนขึ้นกอดกระชับตรงหน้าอก“นึกว่าใครที่ไหน”
จิณณพัฒหันขวับ ขมวดคิ้วเข้มด้วยความสงสัย “คุณรู้จักเค้าด้วยเหรอ”
“เคยเดินแบบด้วยกันครั้งหนึ่งค่ะ แต่ไม่ยักรู้...ว่าแม่นี่จะหาลำไพ่พิเศษด้วยการเป็นนักเขียนบทละครด้วย” คนพูดยักไหล่ แสยะรอยยิ้มดูหมิ่นดูแคลนขณะพยายามคาดคะเนต่ออย่างสนุกปาก “สงสัย...ลำพังอาชีพนางแบบหางแถวคงจะไม่พอยาไส้”
แสงแฟลตสว่างพรึบพรับ เมื่อเจ้าของร่างระหงบนเวทีเริ่มต้นกล่าวขอบคุณแม้หญิงสาวจะมารับรางวัลช้า แต่รอยยิ้มพิมพ์ใจที่ถูกหว่านไปทั่วบริเวณตลอดเวลาที่ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำขอบคุณอย่างจริงใจก็น่ามอง จนสามารถเรียกเสียงปรบมือจากใครต่อใครให้ดังขึ้นได้อีกครั้ง
หญิงสาวกวาดสายตาหวานไปทั่วบริเวณห้องจัดงานกว้างใหญ่นั้น แล้วฉีกรอยยิ้มให้กว้างขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับชี้แจงเสียอ่อย “รางวัลนี้ไม่ใช่ของธารหรอกนะคะ”
คำบอกเล่าของหญิงสาวทำให้หลายต่อหลายคนหันหน้าเข้าหากัน เสียงพึมพำดังขึ้นอีกครั้ง เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ไปตามที่ตัวเองคิด
ร่างระหงที่ยืนอยู่บนเวทีเพียงลำพังยังคงใช้รอยยิ้มของตัวเองเป็นใบเบิกทาง ก่อนจะอธิบายทุกข้อสงสัยของทุกๆ คนต่อ “และคำขอบคุณเมื่อสักครู่ก็ไม่ใช่ของธาร แต่เป็นคำขอบคุณที่เจ้าของรางวัลนี้เค้าฝากมาค่ะ”
พูดจบ หญิงสาวก็ชูกระดาษจดคำขอบคุณใบเล็กๆ ในมือขึ้นให้ทุกคนได้มองเห็น เพื่อเป็นการยืนยัน
หลายคนถึงกลับอมยิ้ม กับความน่ารักของเจ้าของรางวัล ที่แม้จะมารับด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยังฝากคำขอบคุณจากใจมาถึงทุกคน ผ่านตัวแทนที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เสียงปรบมือชื่นชมและให้กำลังใจจึงดังขึ้นอีกครั้ง
“หน้าตาก็งั้นๆ ชอบเรียกร้องความสนใจ” ชลฉัตรบ่นอย่างหัวเสียเป็นรอบที่สาม หญิงสาวรู้สึกรำคาญเหลือเกินกับการที่ใครต่อใครต่างแสดงท่าทีว่าชื่นชมการกระทำของเจ้าของรางวัลรวมทั้งหญิงสาวที่ยืนเฉิดฉายอยู่บนเวที
ซึ่งจิณณพัฒก็เริ่มจะเห็นคล้อยตามเพื่อนสาวคนสนิทแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบเรียกร้องความสนใจ ไม่สิ...คนที่ให้เธอมารับรางวัลแทนต่างหาก ที่เรียกร้องความสนใจจนน่าเกลียด รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปากหนา
บางที...คนๆ นั้นอาจจะหน้าตาน่าเกลียดจนดูไม่ได้กระมัง จึงไม่กล้ามารับรางวัลด้วยตัวเอง!
เกือบเที่ยงคืนพิธีประกาศผลจึงเสร็จสิ้น หลังจากขึ้นไปร่วมถ่ายรูปหมู่ในฐานะผู้ได้รับรางวัลในปีนี้เสร็จเรียบร้อย จิณณพัฒก็รีบเลี่ยงออกมาจากงานมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นักข่าวจะมากักตัวเขาไว้เพื่อสัมภาษณ์ และถามคำถามอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายกับเขา ประหนึ่งนักโทษกำลังถูกสอบสวนก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มไม่ค่อยชอบการถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวสักเท่าไหร่นัก งานเลี้ยงที่มีคนมากมายขนาดนี้เขาก็เกลียดที่สุด แต่ด้วยหน้าที่การงานในสายอาชีพที่เขาทำ การจะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ช่างลำบากยากเย็นนัก...
เช่นเดียวกันกับวันนี้ ซึ่งจิณณพัฒรู้ดีว่า ถ้าหากเขาเปิดโอกาสให้นักข่าวได้สัมภาษณ์แล้วล่ะก็ คงไม่ได้กลับบ้านง่ายๆ เป็นแน่ ความเบื่อหน่ายประกอบกับความเหนื่อยล้าที่ผจญมาทั้งวัน ทำให้ชายหนุ่มรีบร้อนที่จะไปให้พ้นจากบริเวณนั้น กระทั่งไม่ทันได้สังเกตเห็นใครบางคนที่รีบร้อนมาจากอีกด้านหนึ่งของห้องโถง จึงชนเข้าอย่างจัง จนทำให้ร่างบางของอีกฝ่ายเซถลากลับไปด้านหลัง
โชคดีที่วงแขนแข็งแรงของเขาเอื้อมออกไปคว้าร่างของเธอไว้ได้ทัน ความตกใจทำให้เขาพยายามดึงร่างที่จวนเจียนจะล้มนั้นเข้ามาแนบอก ใบหน้าคมคงอยู่ห่างจากนวลแก้มขาวเนียนไม่ถึงคืบ
อีกฝ่ายตกใจจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขา ทว่าจิณณพัฒไม่คิดเช่นนั้น เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่มักพยายามพาตัวเองมาพัวพันกับเขา โดยหวังจะใช้ข่าวคาวที่เกี่ยวข้องกับเขาเป็นบันไดพาตัวเองไต่เต้าขึ้นไปยืนบนจุดที่สูงๆ ในวงการด้วยกันทั้งนั้น และผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน
“เดินยังไงไม่ดูตาม้าตาเรือ” ร่างสูงเอ่ยเสียงขรึมขณะขยับตัวเองห่างจากสถานการณ์ล่อแหลมต่อการตกเป็นข่าว พลางเหลือบหางตามองซ้ายขวาเพื่อสำรวจให้แน่ใจ ว่าสิ่งที่เขากังวลไม่ได้เกิดขึ้น
น่าแปลก...ทั้งๆ ที่หญิงสาวกำลังถูกเขาต่อว่า ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มแฉ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกรู้สากับวาจาและกริยาอันไร้สิ้นซึ่งการให้เกียรติเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ไม่ใช่มองไม่เห็นแววตาตำหนิติเตียนคู่นั้นหรอก ...ทว่าความชื่นชมที่หญิงสาวมีต่อเขาต่างหาก ที่ทำหน้าที่สั่งการให้สัญชาตญาณการรับรู้ในร่างกายของเธอเสื่อมสมรรถภาพไปชั่วขณะ
จะว่าหูหนวกตาบอดก็คงไม่มากเกินไปนักหรอก เพราะแทนที่เธอจะโกรธเคืองหรือน้อยใจ หญิงสาวกลับรู้สึกดีและประทับใจเป็นที่สุด เพราะถ้าหากไม่มีเขาช่วยเอาไว้ ป่านนี้เธอก็คงล้มลงไปกองไม่เป็นท่าอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษค่ะ” คนพูดก้มหน้างุด เขินอายอย่างที่สุด สัมผัสนุ่มนวลรวมทั้งกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ซึ่งยังติดอยู่ที่ปลายจมูกคือต้นเหตุสำคัญ ที่ทำให้หัวใจเจ้ากรรมของเธอเต้นเร็วบ้างช้าบ้าง ไม่ปกติอยู่แบบนี้ แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ยังพยายามบังคับน้ำเสียงที่กำลังเล็ดลอดออกมาไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต “ดิฉันผิดเองค่ะที่รีบร้อนจนไม่ทันได้ระวัง”
ร่างสูงปลายตามองสุภาพสตรีร่างระหง พลางล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “คราวหน้าก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”
อีกฝ่ายได้แต่ยิ้ม ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนสักนิดที่ถูกเขาต่อว่าทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร ดวงหน้าสวยยังแลดูปลาบปลื้มใจไม่สร่าง การที่เธอได้มายืนอยู่ใกล้กับเขาแค่เอื้อมมือแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ
เพื่อไขว่คว้าโอกาสที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าเอาไว้ หญิงสาวต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการที่จะหาเหตุผลหรือข้ออ้างอะไรสักอย่างที่จะสามารถช่วยทำให้เธอได้อยู่ตรงนี้นานยิ่งขึ้น
ชั่งใจอยู่สักพักจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้า ตั้งใจจะเอ่ยขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอเอาไว้เมื่อสักครู่ ทว่าเพียงแค่ขยับปาก ยังไม่ทันได้เปล่งถ้อยคำที่อยู่ในความคิดออกมาด้วยซ้ำเสียงแหลมใสของใครบางคนดังขึ้นขัดจังหวะ
“ธาร...ทางนี้”
ผู้ถูกเรียกค่อยๆ หันไปตามที่มาของเสียง ถ้อยคำมากมายที่คิดไว้ในหัววิ่งหนีหายในฉับพลัน ใบหน้านวลเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเสียดาย เวลาดีๆ ที่กำลังจะหมดไป หญิงสาวพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะสานต่อความตั้งใจด้วยการพยายามจะพูดต่อให้จบ
ทว่า...ความพยายามของเธอก็สะดุดอยู่เพียงแค่ในลำคอ เมื่อเจ้าของน้ำเสียงคนเดิมตะโกนเร่งมาอีกครั้ง
“ธาร...เร็วๆ”
ท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนคอย กับเสียงเรียกคะยั้นคะยอที่ดังมาถี่ยิบ ทำให้หญิงสาวจำใจต้องเก็บปากเก็บคำ ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าฝากรอยยิ้มที่คิดว่าคงจะประทับใจที่สุดเอาไว้ให้เขา แล้วรีบวิ่งไปยังรถคันเล็กสีขาวที่จอดอยู่ห่างออกไปหลายเมตร ซึ่งกำลังถูกรถคันหลังบีบแตรไล่เสียงดังสนั่น
สายตาคมเหลือบแลไปยังคนที่ออกมายืนตะโกนโหวกเหวกเรียกเพื่อน และเพิ่งจะผลุบหายเข้าไปในรถ ขณะที่ใบหน้าคมส่ายไปมา “ผู้หญิงอะไร วุ่นวายชะมัด...”
“น่าเสียดาย...กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทีเดียว แกไม่น่าเร่งฉันเลยนะ” คนเพิ่งก้าวขึ้นมาบนรถบ่นอุบ
ร่างบางที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย รีบพารถคันเล็กของตัวเองวิ่งห่างออกไปจากบริเวณนั้น มุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักอย่างรวดเร็ว พอผ่านจุดวิกฤตมาได้แล้วจึงหันมามองหน้าเพื่อน พลางชี้แจง “แกไม่เห็นหรือไง ว่าไอ้รถคันหลังนั่นจะกินหัวฉันอยู่แล้ว”
“ไอ้เห็นน่ะเห็น แต่แหม! นานๆ จะมีโอกาสได้คุยกับจิณณพัฒ ชญานนท์ พระเอกเบอร์หนึ่งของเมืองไทยสักที” สีหน้าคนพูดรวมทั้งน้ำเสียงบ่งชัดว่าเจ้าตัวเป็นปลื้มสุดๆ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาเมื่อสักครู่
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ขณะที่ริมฝีปากบางบิดบู้บี้ “นายหน้าปลาจวดนั่นน่ะเหรอ...พระเอกเบอร์หนึ่งของเมืองไทย”
คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงัก “ทั้งหล่อ ทั้งรวย...แถมนิสัยก็ดี ถ้าปลาจวดเพอร์เฟคขนาดนี้ ฉันยอม...มีแฟนเป็นปลาจวด”
“แกรู้ได้ไงว่าเค้านิสัยดี หยิ่งก็หยิ่ง...แถมยังขี้เก็กอีกต่างหาก ผู้หญิงคนไหนได้ไปเป็นพ่อของลูก คงโชคร้ายที่สุดในโลก” คนพูดเบ้ปากอย่างรับไม่ได้ ไม่รู้เพราะอะไรจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เอาเสียเลย ถึงขนาดเคยลั่นวาจาเอาไว้ ว่าถ้าหากในโลกใบนี้เหลือผู้ชายคนนี้เพียงคนเดียว เธอจะยอมขึ้นคานโดยไม่เสียใจแม้แต่น้อย
“หยุด...” คนพูดยกมือเรียวขึ้นปรามเพื่อน พร้อมทั้งพยายามสูดลมหายใจเพื่อระงับอารมณ์ซึ่งเริ่มจะเดือดปุดๆ เมื่อได้ยินอะไรที่มันขัดหู “เรื่องการเมือง เรื่องศาสนา เรื่องเงิน...รวมทั้งเรื่องคุณจิณณ์ของฉัน คือสี่เรื่องต้องห้ามที่เราสองคนจะไม่คุยกัน โอเค๊?”
คนฟังได้แต่ส่ายหน้า“แล้วแกเอาพี่โย่งไปทิ้งไว้ไหนเสียล่ะ”
ประโยคคำถามสั้นๆ เปลี่ยนบรรยากาศในรถเกือบจะทันที คนถูกถามทอดสายตาละห้อยมองท้องถนนเบื้องหน้า ก่อนจะยกมือมากุมที่หน้าอกข้างซ้าย เอ่ยปากเสียงหนักแน่น “พี่โย่งไม่เคยไปไหนแต่อยู่ในใจฉันเสมอ ...เหมือนดวงดาว ที่แม้ว่าเราจะมองไม่เห็น แต่ก็ยังรับรู้เสมอว่ามีอยู่”
แม้จะไม่ได้หันมามองหน้า เพราะต้องให้ความสนใจกับการจราจรที่คับขันเบื้องหน้า แต่คนฟังก็พอจะจับความรู้สึกได้ ว่าคนพูดไม่เคยลบเลือน ‘พี่โย่ง’ พี่ชายแสนดีไปจากใจได้เลย แม้เขาจะจากไปนานแล้วก็ตาม
ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณชั่วขณะ สัญญาณไฟที่อยู่ด้านหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงพอดี คนที่ทำหน้าที่ขับจึงวางมือจากพวงมาลัยเมื่อรถจอดสนิท แล้วหันมาชวนเปลี่ยนเรื่องเพื่อขับไล่บรรยากาศอึมครึม ด้วยการแบสองมือ พร้อมกับเอ่ยปากทวง “ไหนล่ะ...รางวัลฉัน”
อีกฝ่ายจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังถือรางวัลที่เพิ่งไปรับมาเอาไว้ในมือมั่น “คนอาไร้...ได้รางวัลทั้งที รางวัลแรกในชีวิตด้วย แทนที่จะตื่นเต้นดีใจ อยากไปรับเอง กลับแกล้งทำเป็นติดธุระ แล้วให้เพื่อนไปรับแทนเสียอย่างนั้น” ใบหน้างามส่ายไปมาขณะยื่นสิ่งที่ถืออยู่ในมือให้เพื่อนสาว
เจ้าของรางวัลหน้าเหวอ ฆ่าเธอให้ตายเสียจะยังดีกว่า การต้องขึ้นไปยืนพูดบนเวทีต่อหน้าคนนับร้อย สถานการณ์ที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาฝูงชนแบบนั้น
“ก็แหม คนมันไม่ชอบนี่นา...ไม่ชอบตกเป็นข่าว ไม่ชอบนักข่าว ไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาใคร”
คนฟังย่นคิ้วงุนงง “ให้ตายเถอะ...อาการที่ว่ามาทั้งหมดนี่ ไม่น่าจะใช่สรรพคุณของคนที่จะมาทำงานเกี่ยวข้องกับคนในวงการบันเทิงเลยนะ”
“โธ่! คุณธารธาราขา...อย่าบ่นนักเลย ถือว่าสงสารลูกนกลูกกาตาดำๆ เถอะนะคะ เดี๋ยววันนี้ดิฉันตอบแทนด้วยการเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน คุณธารธาราอยากทานอะไรบอกมาได้เลยค่ะ” คนไม่มีทางเลือกจึงรีบทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ตีกระเป๋ากางเกงการันตี “รับรองว่า...ไม่มีอั้น!”
คนได้ฟังทำตาโต มีหรือ...ผู้หญิงคนไหนในโลกนี้จะปฏิเสธของฟรีได้ลงคอ “พูดแบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ว่าแต่...ไม่อั้นแน่นะคะ คุณอันนา”
“คอนเฟิร์ม!”
คนพูดบอกเสียงหนักแน่น หนำซ้ำยังทำท่าทำทางเลียนแบบเจ้าของฉายาคอนเฟิร์มอีกด้วย เรียกเสียงหัวเราะคิกคักให้ดังขึ้นมาได้
................................................................................................................................
ด้วยรักมากมาย...จากใจศรินทร์^ ^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ