ตราบฟ้าไร้ดาว
5.8
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
27 ตอน
2 วิจารณ์
32.04K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) เสมือนโลกหมุนกลับ ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโตโยต้าวิโก้แชมป์ดำเลี้ยวเข้าสู้พิกัดที่จีพีเอสในมือถือบอกไว้ ชั่วอึดใจก็เห็นป้าย ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’ สูงตระหง่านมองเห็นแต่ไกลเรียบร้อยแล้ว
วริญรำไพกดปิดจีพีเอสทันที ขับไปชั่วครู่ก็ถึงประตูทางเข้า ที่มี รปภ. คอยโบกมือโบกไม้ ให้รถเก๋งเลี้ยวไปหาเส้นทางเล็กๆ มีอุโมงค์ต้นไม้ ส่วนรถบัสหรือรถตู้ก็จะถูกให้ใช้เส้นทางข้างๆ กันและติดกับกำแพงรั้วของโรงแรม แต่ไม่มีอุโมงค์ต้นไม้เท่านั้น เนื่องมีความสูงเป็นปัญหา
รถค่อยๆ แล่นผ่านอุโมงค์ต้นไม้ที่ออกดอกสีชมพูอ่อนๆ ตั้งแต่ทางเข้าไปความยาวที่มองเข็มไมค์คือหนึ่งกิโลกับอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเมตร พอดิบพอดีเมื่อหน้ารถแล่นไปจรดทางเข้าล๊อบบี้
“เอ๋ยๆ เอารถไปจอดที่อาคารตรงโน้นเลย แล้วลงมาเจอกันที่สนามตรงนั้นนะ เด็กๆ รออยู่”
“ค่ะพี่สุ”
วริญรำไพทันได้แค่รับคำเจ้านายสาวที่ลงทุนมาดูหน้างานเอง เมื่อลูกค้าคนสำคัญเป็นเพื่อนของดวงกมลซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านายอีกที
‘ลูกค้ารายนี้เป็นซุปเปอร์วีไอพีของเราเลยล่ะ ต้องดูแลดีๆ แล้วจะได้ลูกค้ามาอีกเพียบ’
จำได้ดีว่าเจ้านายย้ำนักย้ำหนาในวันประชุมก่อนวริญรำไพจะบินไปเยี่ยมบ้านที่กระบี่ วิโก้แชมป์แล่นไปอีกเกือบสองกิโลเมตร+++++++++++++++
ถึงจะเห็นอาคารจอดรถที่ยังว่างตั้งแต่ชั้นล่างไปยังชั้นสิบห้า เพราะยังเช้าอยู่ บวกกับโรงแรมเพิ่งจะเปิดให้บริการลูกค้าเมื่อไม่กี่วันด้วยซ้ำ ตามที่เจ้านายบอกในที่ประชุม
วริญรำไพรีบคว้ากระเป๋ากล้องกับอุปกรณ์ ซึ่งเป็นของส่วนตัวที่เจ้านายเป็นคนแอดว้านซ์ให้ก่อนค่อยผ่อนตามหลัง เพราะราคาเหยียบแสน รวมเลนส์ต่างๆ แล้วก็เหยียบสองแสน
นั่นถือว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับช่างภาพที่เพิ่งเริ่มทำงานจริงๆ จังๆ มาได้แค่สามปีหลังจบปริญญาตรี และเพราะความเป็นตากล้องหญิงที่ฝีมือดี ต้องตาเตะใจสุภาภรณ์ผู้เป็นเจ้านาย และเป็นรุ่นพี่ในคณะเดียวกัน
วริญรำไพจึงถูกจองตัวให้ไปช่วยงานที่สตูดิโอในวันหยุดหรือปิดเทอมตั้งแต่เรียนรุ่นพี่จบออกไปเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนรุ่นน้องก็ขึ้นปีสอง บวกกับรุ่นพี่อยากได้ตากล้องที่เป็นผู้หญิงมาช่วยงานเท่านั้น เพราะอยากให้เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทด้วย
“ไปล๊อบบีหรือเปล่าครับ”
พอลงมาถึงชั้นล่างได้ พนักงานขับรถกอล์ฟก็ร้องถามทันที วริญรำไพเลยรีบก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นกว่าเดิม เป็นคำตอบให้หนุ่มใหญ่ร่างอวบหน้าตาบ่งบอกว่ามาจากทางภาคอีสานไม่มีผิดเพี้ยน
“ขอบคุณค่ะ”
พอลงรถได้ก็เอ่ยขอบคุณแล้วรีบสะพายกล้องไปหาเจ้านายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการชี้นิ้วสั่งนั้นสั่งนี้ลูกน้องอยู่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่และเขียวขจี ดูแล้วให้ความสดชื่นดีเหลือเกิน
+++++++++++++++
“สวัสดีค่ะพี่สุ”
“สวัสดีจ้ะเอ๋ย เป็นไงบ้าง เห็นวิวหรือเปล่า สวยมั้ย ชอบมั้ย พี่เดินดูรอบๆ กับยัยดวงกับคุณย่าแล้วนะ ชอบมาก มีวิวดีๆ ให้ดูเพียบ เอ๋ยลองดูว่าจะใช้มุมไหน พี่จะขึ้นไปดูสองสาวแต่งตัวอยู่บนห้องก่อน”
เป็นสไตลของสุภาภรณ์ที่มักจะพูดเร็ว และไม่ได้ต้องการคำตอบมากมายจากคู่สนทนามากไปกว่าคำว่า
“ค่ะ”
ที่วริญรำไพเอ่ยรับเท่านั้น แล้วก็มองร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงสั้นเสื้อสูทของเจ้านายที่เดินผละไปอย่างเร่งรีบ แต่ยังไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาหาลูกน้องอีก
“อ้อ! คุณย่าบอกว่ามีซุ้มดอกโคมญี่ปุ่นอยู่บนดาดฟ้าตึกโรมิโอนะ ส่วนยอดตึกจูเลียตแกว่าเป็นร้านอาหารแต่พี่ยังไม่ได้ไปดูหรอก เอ๋ยไปดูเลยนะพี่บอกให้คุณย่าแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้แล้ว เอ๋ยห้อยป้ายวิซิทเตอร์แล้วก็เข้าไปได้เลยมีป้ายไว้ให้แล้วถามน้องๆ เอา”
“ค่ะ”
วริญรำไพรับคำเจ้านายสั้นๆ เพราะรู้ว่าเจ้านายไม่มีเวลาจะมาฟังอะไรที่ยืดยาวนัก พอหันไปหาทีมงานที่ต่างก็ยิ้มออกมาไม่แพ้กัน ก่อนจะหันกลับไปหาอุปกรณ์ที่กองรวมกันไว้
+++++++++++++++
แล้วช่วยกันหิ้วคนละสองสามอันตรงไปยังซุ้มกลางสนามหญ้าซึ่งจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์ชั่วคราวก่อนตากล้องสาวจะเลือกโลเคชั่นได้ว่าจะถ่ายตรงไหนก่อนหลัง
“จะตั้งตรงไหนดีล่ะพี่เอ๋ย อินจะได้ขนของไปไว้เลย” อินทิราสาวน้อยที่ต้องคอยดูแลทุกเรื่องให้คนในทีมหันมาถามเป็นเรื่องแรก “พี่ว่ายังไงเราก็ต้องถ่ายที่อุโมงค์ดอกชมพูพันธ์ทิปก่อนนะ”
“เขาเขียนป้ายว่าดอก ตาเบบูญาสักหน่อย ห้ามเรียกชมพูพันธ์ทิป เพราะเจ้าของอยากให้เรียกชื่อแรกมากกว่า และเป็นชื่อเดียวกับชื่อโรงแรมด้วย พี่สุเพิ่งจะบอกเมื่อกี้นี้เอง”
“โอเคๆ งั้นอินไปดูที่เหมาะๆ ตรงอุโมงค์ก่อน พี่จะไปดูวิวที่อื่นแล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วย ถ้าใกล้จะเสร็จโทรบอกพี่นะ”
“ค่ะพี่ แต่คงอีกเป็นชั่วโมงๆ ล่ะอินว่า เห็นช่างโทรมาบอกว่ายังแต่งหน้าให้เจ้าสาวไม่เสร็จเลย”
วริญรำไพเพียงแค่ยิ้มให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ก่อนจะเดินตรงไปหาตึกแฝดที่มีชื่อเก๋ไก๋ ทรงนาฬิกาทรายที่ตั้งตระหงานอยู่ขอบสนาม
‘โรมิโอ กับจูเลียต’
แล้วมีสะพานลอยเชื่อมสองตักไว้ด้วยตรงตรงกลาง แต่วริญรำไพเลือกที่จะตรงไปยังอีกตึกแล้วกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นห้าสิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุดก่อน
++++++++++++++
ไม่มี รปภ. เฝ้าประตูออกไปดาดฟ้าอย่างที่คิดไว้ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว แถมเปิดทิ้งไว้ประหนึ่งรอแขกเข้าไปยังไงยังงั้น วริญรำไพค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าทันที
เพราะเต็มไปด้วยดอกโคมญี่ปุ่นห้อยระย้าลงมาจากโครงเหล็กที่ทำครอบดาดฟ้าอันกว้างใหญ่เอาไว้ทั้งหมด มีเสาเหล็กขนาดไม่ใหญ่มากคอยค้ำโครงเหล็กไว้เป็นระยะๆ ไปตลอดแนว
ความสูงคะเนได้ด้วยสายตานั้นไม่น่าจะเกินสองเมตร คนออกแบบคงกะไว้ให้เดินสะดวกทั้งแขกชายและหญิงเป็นแน่ ซึ่งเป็นระยที่พอเหมาะในความคิดของวริญรำไพ เพราะไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป
กล้องเล็กในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดตราห่านสีขาวถูกดึงออกมากดชัดเตอร์เก็บภาพความประทับใจแรกไว้แทบจะทันที ใบหน้าที่มักจะเศร้าหมองถึงกับยิ้มน้อยๆ ออกมา
เมื่อมีความงามของสีชมพูสลับขาวแซมด้วยสีม่วงเป็นบางจุดห้อยระย้าลงมาตามโครงหลังคา มีสีเขียวของใบปะปนอยู่ประปราย ให้ความสมบูรณ์กับภาพในเฟรมไม่น้อย จนตากล้องสาวต้องกดชัดเตอร์รัวไปหลายภาพ
มานั่งไม้สักตัวยาวที่ตั้งไว้ใต้ซุ้มเป็นระยะๆ สำหรับไว้คอยนั่งแหงนมองความงามของโคมญี่ปุ่นถูกแผ่นหลังเล็กๆ บางๆ ทาบลงไป เพื่อให้ได้เก็บภาพความงามใต้โคมดอกอย่างชัดเจน ทั้งดอกและใบต่างหวิวไหวไปตามแรงลม
+++++++++++++++
ที่พัดโชยมาเป็นระยะๆ กลิ่นก็หอมอบอวล ชวนให้ใบหน้าเศร้าหมองเผลอยิ้มออกมาต้อนรับความงามอย่างไร้ที่ติ และชื่นชมไอเดียของคนที่สร้างซุ้มบุปผานี้ขึ้นมาอยู่ในที
ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปใต้หลังคาโคมญี่ปุ่น สูดกลิ่นหอมๆ ไปด้วย กระทั่งถึงกำแพงกั้นกันพลัดตกลงไปที่ทำไว้สูงเลยระดับเอวขึ้นมาเล็กน้อย สายตาคู่เศร้ามองลงไปหาวิวสีชมพูของอุโมงค์
ถึงได้เห็นว่าสวยงามมากเพียงใด แล้วก็เห็นแนวดอกตาเบบูญาสีเหลืองที่ปลูกขนาบไว้ตามกำแพงโรงแรมจากประตูทางเข้าเรื่อยไปจนจรดเข้ากับอุโมงค์ดอกสีชมพู
ซึ่งมองแต่ไกลและจากประสบการณ์ที่ถ่ายภาพดอกไม้มามากต่อมาก วริญรำไพเดาว่านั่นน่าจะเป็นดอก ‘เหลืองปรีดียาธร’ หรือ ‘ตาเบบูญาสีเหลือง’ เจ้าของสถานที่อยากให้เรียกให้ตรงกับชื่อโรงแรมนั่นเอง
แม้จะชอบวิวบนนี้แต่ก็ต้องรีบลงไป เพราะต้องเดินดูวิวจุดอื่นอีก สองขาก็ก้าวเดิน มือก็มัวแต่ยัดกล้องจิ๋วแต่แจ๋วใส่กระเป๋ากางเกง หน้าก็ก้มลงไปหากล้องเลยไม่ทันได้มองข้างหน้า
“อุ๊ย!!!”
เป็นเหตุให้เดินชนเข้ากับสิ่งขวางกั้นที่มีขนาดใหญ่และสูงกว่าตัวเองมาก จนร่างผอมบางเสียหลักเกือบจะล้ม หากไม่มีสองวงแขนแข็งแรงรีบฉุดดึงเอาไว้ได้ทันท่วงที
++++++++++++++
วริญรำไพเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจ้าของแขนที่กำลังรั้งตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม แล้วก็ตกใจยิ่งกว่าตอนเดินชนกันเมื่อครู่นี้หลายล้านเท่า ชีพจรแทบจะหยุดเต้น ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ในหัวมึนงงสงสัยเหมือนมีฆ้อนใหญ่ๆ มาทุบตรงท้ายทอยยังไงยังงั้น รอบกายเหมือนถูกตรึงด้วยเชือกพันเส้นจนไม่อาจจะพากายเคลื่อยย้ายออกห่างจากอีกร่างที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึง
‘พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!!’
สมองก็คิดได้เพียงแค่ชื่อนี้เท่านั้น เพราะผู้ชายตรงหน้านี้ช่างมีใบหน้าละม้ายคล้ายพี่หินของเอ๋ยที่จากไปไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาคู่เศร้าจ้องมองอีกใบหน้าแทบไม่กระพริบ หัวใจก็เต้น
‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’
เพิ่มระดับแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนสติจะดับวูบลง ร่างทั้งร่างอ่อนยวบ แล้วแน่นิ่งอยู่ในวงแขนของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในอาการตกใจไม่น้อยเช่นกันเมื่อเห็นสาวตรงหน้าเป็นลมลงไป
“คุณ! คุณครับ! คุณ!”
แล้ววงแขนแข็งแรงก็รีบช้อนเอาร่างผอมบางขึ้นอย่างรวดเร็ว และพาไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ชั้นสามของตึกด้วยความห่วงใยคนในวงแขน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นแขกเพราะมีป้ายติดอยู่นั่นเอง
+++++++++++++++
‘เอ๋ยอย่าลืมมารอพี่นะ เอ๋ย! จำไว้นะ! อย่าลืมมารอพี่นะ’
“พี่หิน!!!”
วริญรำไพตกใจกับความฝันว่ามีพี่หินมายืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ แล้วสุดท้ายก็จากไปอีกจนสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นมาทันที เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นตามหน้าผากและไรผมหลายเม็ด
“อ้าว! ฟื้นแล้วเหรอคะ เป็นยังไงบ้างคะ”
เสียงหวานๆ ของพยาบาลที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามาทำให้คนนั่งอยู่บนเตียงต้องหันไปหา ก็ได้พบกับใบหน้าสวยใสพร้อมแว่นสายตายิ้มมาหาพอดี
“ค่ะ เอ๋ญเป็นอะไรไปคะ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วผู้ชายคนนั้น...”
“คนที่พาน้องมาที่นี่เหรอคะ” พยาบาลยิ้มบางๆ ให้ มือก็ยื่นน้ำในแก้วให้ด้วย คนไม่ป่วยรับมาดื่มด้วยความกระหายก่อน ถึงได้ตอบ “ค่ะ”
“อ้อ! คุณชลธิป หรือที่ใครๆ ในโรงแรมเรียกว่าคุณร็อกค่ะ แกพาน้องมาบอกว่าเป็นลมอยู่บน...”
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน’
‘อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน’
วริญรำไพรีบคว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงออกมารับทันที “จ้ะๆ พี่กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้จ้ะ” เมื่องานเร่งเร้ามาเลยต้องรีบลุกขึ้นจากเตียง
“เอ่อ! ขอบคุณนะคะคุณพยาบาล แล้วฝากบอกขอบคุณคุณคนนั้นอีกทีค่ะ แล้วเอ๋ยจะมาขอบคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง แต่ตอนนี้ต้องรีบไปทำงานแล้วค่ะ”
++++++++++++++
“ค่ะๆ”
พยาบาลได้แต่ส่งเสียงงงๆ ตามร่างผอมบางที่รีบตรงไปหาประตูแล้วออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ แล้วก็เดินวนหาลิฟต์อยู่เป็นนาทีกว่าจะเจอ
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
+++++++++++++++
“เรากลับก่อนนะย่า ไว้เลิกงานแล้วจะแวะมาหา สุด้วยนะ จะได้มากินข้าวเย็นด้วยกันจะได้คุยกันนานๆ หน่อย แล้วอย่าลืมพาไปกินบนยอดตึกนะอยากไปมาก ” ดวงกมลคว้ากระเป๋าสะพายแล้วหันไปหาสองเพื่อน
“ได้ๆ เดี๋ยวเราก็จะกลับเหมือนกัน หลังจากดูแลความเรียบร้อยให้คุณย่าก่อน” สุภรภรณ์ยกมือโบกลาเพื่อน แล้วหันไปหาลูกน้องที่กำลังตั้งกล้องกันอย่างเร่งรีบ
“อ้าว! แล้วว่าที่เจ้าบ่าวจะมาเมื่อไหร่คะคุณย่า”
สุภาภรณ์เลยนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้เห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ติดต่อคุยเรื่องการจัดงานแต่งก็มักจะเป็นดลยากับดวงกมล หรือกับแม่ตัว หรือกับแม่ว่าที่สามีไปแทนมากกว่า
“โน่นไงคะนั่งรถกอล์ฟมาแล้ว”
ดลยาปรายหน้าไปทางว่าที่เจ้าบ่าวแสนรูปหล่อที่มาพร้อมช่างแต่งหน้าในชุดทักซิโดสีขาวเข้ากับชุดเจ้าสาว สุภาภรณ์ที่ได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวมาครั้งเดียวรีบทักทายตอนไปลองชุดรีบทักทายด้วยความมีไมตรีทันที
“สวัสดีค่ะคุณร๊อก วันนี้หล่อนะคะ ขนาดมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น สุชักจะอิจฉาคุณย่าแล้วสิคะ”
ว่าที่เจ้าบ่าวยิ้มบางๆ ให้สาวสวยตรงหน้าที่ตัวเองเพิ่งจะเคยเห็นแค่สองครั้งด้วยความฉงนกับการตีสนิทคนเก่งขนาดนี้ เขาเองก็ควรจะมีเพราะทำงานด้านบริการ แต่ติดตรงที่คุยไม่เก่งเอาเสียเลย
วริญรำไพกดปิดจีพีเอสทันที ขับไปชั่วครู่ก็ถึงประตูทางเข้า ที่มี รปภ. คอยโบกมือโบกไม้ ให้รถเก๋งเลี้ยวไปหาเส้นทางเล็กๆ มีอุโมงค์ต้นไม้ ส่วนรถบัสหรือรถตู้ก็จะถูกให้ใช้เส้นทางข้างๆ กันและติดกับกำแพงรั้วของโรงแรม แต่ไม่มีอุโมงค์ต้นไม้เท่านั้น เนื่องมีความสูงเป็นปัญหา
รถค่อยๆ แล่นผ่านอุโมงค์ต้นไม้ที่ออกดอกสีชมพูอ่อนๆ ตั้งแต่ทางเข้าไปความยาวที่มองเข็มไมค์คือหนึ่งกิโลกับอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเมตร พอดิบพอดีเมื่อหน้ารถแล่นไปจรดทางเข้าล๊อบบี้
“เอ๋ยๆ เอารถไปจอดที่อาคารตรงโน้นเลย แล้วลงมาเจอกันที่สนามตรงนั้นนะ เด็กๆ รออยู่”
“ค่ะพี่สุ”
วริญรำไพทันได้แค่รับคำเจ้านายสาวที่ลงทุนมาดูหน้างานเอง เมื่อลูกค้าคนสำคัญเป็นเพื่อนของดวงกมลซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านายอีกที
‘ลูกค้ารายนี้เป็นซุปเปอร์วีไอพีของเราเลยล่ะ ต้องดูแลดีๆ แล้วจะได้ลูกค้ามาอีกเพียบ’
จำได้ดีว่าเจ้านายย้ำนักย้ำหนาในวันประชุมก่อนวริญรำไพจะบินไปเยี่ยมบ้านที่กระบี่ วิโก้แชมป์แล่นไปอีกเกือบสองกิโลเมตร+++++++++++++++
ถึงจะเห็นอาคารจอดรถที่ยังว่างตั้งแต่ชั้นล่างไปยังชั้นสิบห้า เพราะยังเช้าอยู่ บวกกับโรงแรมเพิ่งจะเปิดให้บริการลูกค้าเมื่อไม่กี่วันด้วยซ้ำ ตามที่เจ้านายบอกในที่ประชุม
วริญรำไพรีบคว้ากระเป๋ากล้องกับอุปกรณ์ ซึ่งเป็นของส่วนตัวที่เจ้านายเป็นคนแอดว้านซ์ให้ก่อนค่อยผ่อนตามหลัง เพราะราคาเหยียบแสน รวมเลนส์ต่างๆ แล้วก็เหยียบสองแสน
นั่นถือว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับช่างภาพที่เพิ่งเริ่มทำงานจริงๆ จังๆ มาได้แค่สามปีหลังจบปริญญาตรี และเพราะความเป็นตากล้องหญิงที่ฝีมือดี ต้องตาเตะใจสุภาภรณ์ผู้เป็นเจ้านาย และเป็นรุ่นพี่ในคณะเดียวกัน
วริญรำไพจึงถูกจองตัวให้ไปช่วยงานที่สตูดิโอในวันหยุดหรือปิดเทอมตั้งแต่เรียนรุ่นพี่จบออกไปเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนรุ่นน้องก็ขึ้นปีสอง บวกกับรุ่นพี่อยากได้ตากล้องที่เป็นผู้หญิงมาช่วยงานเท่านั้น เพราะอยากให้เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทด้วย
“ไปล๊อบบีหรือเปล่าครับ”
พอลงมาถึงชั้นล่างได้ พนักงานขับรถกอล์ฟก็ร้องถามทันที วริญรำไพเลยรีบก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นกว่าเดิม เป็นคำตอบให้หนุ่มใหญ่ร่างอวบหน้าตาบ่งบอกว่ามาจากทางภาคอีสานไม่มีผิดเพี้ยน
“ขอบคุณค่ะ”
พอลงรถได้ก็เอ่ยขอบคุณแล้วรีบสะพายกล้องไปหาเจ้านายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการชี้นิ้วสั่งนั้นสั่งนี้ลูกน้องอยู่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่และเขียวขจี ดูแล้วให้ความสดชื่นดีเหลือเกิน
+++++++++++++++
“สวัสดีค่ะพี่สุ”
“สวัสดีจ้ะเอ๋ย เป็นไงบ้าง เห็นวิวหรือเปล่า สวยมั้ย ชอบมั้ย พี่เดินดูรอบๆ กับยัยดวงกับคุณย่าแล้วนะ ชอบมาก มีวิวดีๆ ให้ดูเพียบ เอ๋ยลองดูว่าจะใช้มุมไหน พี่จะขึ้นไปดูสองสาวแต่งตัวอยู่บนห้องก่อน”
เป็นสไตลของสุภาภรณ์ที่มักจะพูดเร็ว และไม่ได้ต้องการคำตอบมากมายจากคู่สนทนามากไปกว่าคำว่า
“ค่ะ”
ที่วริญรำไพเอ่ยรับเท่านั้น แล้วก็มองร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงสั้นเสื้อสูทของเจ้านายที่เดินผละไปอย่างเร่งรีบ แต่ยังไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาหาลูกน้องอีก
“อ้อ! คุณย่าบอกว่ามีซุ้มดอกโคมญี่ปุ่นอยู่บนดาดฟ้าตึกโรมิโอนะ ส่วนยอดตึกจูเลียตแกว่าเป็นร้านอาหารแต่พี่ยังไม่ได้ไปดูหรอก เอ๋ยไปดูเลยนะพี่บอกให้คุณย่าแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้แล้ว เอ๋ยห้อยป้ายวิซิทเตอร์แล้วก็เข้าไปได้เลยมีป้ายไว้ให้แล้วถามน้องๆ เอา”
“ค่ะ”
วริญรำไพรับคำเจ้านายสั้นๆ เพราะรู้ว่าเจ้านายไม่มีเวลาจะมาฟังอะไรที่ยืดยาวนัก พอหันไปหาทีมงานที่ต่างก็ยิ้มออกมาไม่แพ้กัน ก่อนจะหันกลับไปหาอุปกรณ์ที่กองรวมกันไว้
+++++++++++++++
แล้วช่วยกันหิ้วคนละสองสามอันตรงไปยังซุ้มกลางสนามหญ้าซึ่งจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์ชั่วคราวก่อนตากล้องสาวจะเลือกโลเคชั่นได้ว่าจะถ่ายตรงไหนก่อนหลัง
“จะตั้งตรงไหนดีล่ะพี่เอ๋ย อินจะได้ขนของไปไว้เลย” อินทิราสาวน้อยที่ต้องคอยดูแลทุกเรื่องให้คนในทีมหันมาถามเป็นเรื่องแรก “พี่ว่ายังไงเราก็ต้องถ่ายที่อุโมงค์ดอกชมพูพันธ์ทิปก่อนนะ”
“เขาเขียนป้ายว่าดอก ตาเบบูญาสักหน่อย ห้ามเรียกชมพูพันธ์ทิป เพราะเจ้าของอยากให้เรียกชื่อแรกมากกว่า และเป็นชื่อเดียวกับชื่อโรงแรมด้วย พี่สุเพิ่งจะบอกเมื่อกี้นี้เอง”
“โอเคๆ งั้นอินไปดูที่เหมาะๆ ตรงอุโมงค์ก่อน พี่จะไปดูวิวที่อื่นแล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วย ถ้าใกล้จะเสร็จโทรบอกพี่นะ”
“ค่ะพี่ แต่คงอีกเป็นชั่วโมงๆ ล่ะอินว่า เห็นช่างโทรมาบอกว่ายังแต่งหน้าให้เจ้าสาวไม่เสร็จเลย”
วริญรำไพเพียงแค่ยิ้มให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ก่อนจะเดินตรงไปหาตึกแฝดที่มีชื่อเก๋ไก๋ ทรงนาฬิกาทรายที่ตั้งตระหงานอยู่ขอบสนาม
‘โรมิโอ กับจูเลียต’
แล้วมีสะพานลอยเชื่อมสองตักไว้ด้วยตรงตรงกลาง แต่วริญรำไพเลือกที่จะตรงไปยังอีกตึกแล้วกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นห้าสิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุดก่อน
++++++++++++++
ไม่มี รปภ. เฝ้าประตูออกไปดาดฟ้าอย่างที่คิดไว้ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว แถมเปิดทิ้งไว้ประหนึ่งรอแขกเข้าไปยังไงยังงั้น วริญรำไพค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าทันที
เพราะเต็มไปด้วยดอกโคมญี่ปุ่นห้อยระย้าลงมาจากโครงเหล็กที่ทำครอบดาดฟ้าอันกว้างใหญ่เอาไว้ทั้งหมด มีเสาเหล็กขนาดไม่ใหญ่มากคอยค้ำโครงเหล็กไว้เป็นระยะๆ ไปตลอดแนว
ความสูงคะเนได้ด้วยสายตานั้นไม่น่าจะเกินสองเมตร คนออกแบบคงกะไว้ให้เดินสะดวกทั้งแขกชายและหญิงเป็นแน่ ซึ่งเป็นระยที่พอเหมาะในความคิดของวริญรำไพ เพราะไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป
กล้องเล็กในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดตราห่านสีขาวถูกดึงออกมากดชัดเตอร์เก็บภาพความประทับใจแรกไว้แทบจะทันที ใบหน้าที่มักจะเศร้าหมองถึงกับยิ้มน้อยๆ ออกมา
เมื่อมีความงามของสีชมพูสลับขาวแซมด้วยสีม่วงเป็นบางจุดห้อยระย้าลงมาตามโครงหลังคา มีสีเขียวของใบปะปนอยู่ประปราย ให้ความสมบูรณ์กับภาพในเฟรมไม่น้อย จนตากล้องสาวต้องกดชัดเตอร์รัวไปหลายภาพ
มานั่งไม้สักตัวยาวที่ตั้งไว้ใต้ซุ้มเป็นระยะๆ สำหรับไว้คอยนั่งแหงนมองความงามของโคมญี่ปุ่นถูกแผ่นหลังเล็กๆ บางๆ ทาบลงไป เพื่อให้ได้เก็บภาพความงามใต้โคมดอกอย่างชัดเจน ทั้งดอกและใบต่างหวิวไหวไปตามแรงลม
+++++++++++++++
ที่พัดโชยมาเป็นระยะๆ กลิ่นก็หอมอบอวล ชวนให้ใบหน้าเศร้าหมองเผลอยิ้มออกมาต้อนรับความงามอย่างไร้ที่ติ และชื่นชมไอเดียของคนที่สร้างซุ้มบุปผานี้ขึ้นมาอยู่ในที
ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปใต้หลังคาโคมญี่ปุ่น สูดกลิ่นหอมๆ ไปด้วย กระทั่งถึงกำแพงกั้นกันพลัดตกลงไปที่ทำไว้สูงเลยระดับเอวขึ้นมาเล็กน้อย สายตาคู่เศร้ามองลงไปหาวิวสีชมพูของอุโมงค์
ถึงได้เห็นว่าสวยงามมากเพียงใด แล้วก็เห็นแนวดอกตาเบบูญาสีเหลืองที่ปลูกขนาบไว้ตามกำแพงโรงแรมจากประตูทางเข้าเรื่อยไปจนจรดเข้ากับอุโมงค์ดอกสีชมพู
ซึ่งมองแต่ไกลและจากประสบการณ์ที่ถ่ายภาพดอกไม้มามากต่อมาก วริญรำไพเดาว่านั่นน่าจะเป็นดอก ‘เหลืองปรีดียาธร’ หรือ ‘ตาเบบูญาสีเหลือง’ เจ้าของสถานที่อยากให้เรียกให้ตรงกับชื่อโรงแรมนั่นเอง
แม้จะชอบวิวบนนี้แต่ก็ต้องรีบลงไป เพราะต้องเดินดูวิวจุดอื่นอีก สองขาก็ก้าวเดิน มือก็มัวแต่ยัดกล้องจิ๋วแต่แจ๋วใส่กระเป๋ากางเกง หน้าก็ก้มลงไปหากล้องเลยไม่ทันได้มองข้างหน้า
“อุ๊ย!!!”
เป็นเหตุให้เดินชนเข้ากับสิ่งขวางกั้นที่มีขนาดใหญ่และสูงกว่าตัวเองมาก จนร่างผอมบางเสียหลักเกือบจะล้ม หากไม่มีสองวงแขนแข็งแรงรีบฉุดดึงเอาไว้ได้ทันท่วงที
++++++++++++++
วริญรำไพเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจ้าของแขนที่กำลังรั้งตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม แล้วก็ตกใจยิ่งกว่าตอนเดินชนกันเมื่อครู่นี้หลายล้านเท่า ชีพจรแทบจะหยุดเต้น ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ในหัวมึนงงสงสัยเหมือนมีฆ้อนใหญ่ๆ มาทุบตรงท้ายทอยยังไงยังงั้น รอบกายเหมือนถูกตรึงด้วยเชือกพันเส้นจนไม่อาจจะพากายเคลื่อยย้ายออกห่างจากอีกร่างที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึง
‘พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!!’
สมองก็คิดได้เพียงแค่ชื่อนี้เท่านั้น เพราะผู้ชายตรงหน้านี้ช่างมีใบหน้าละม้ายคล้ายพี่หินของเอ๋ยที่จากไปไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาคู่เศร้าจ้องมองอีกใบหน้าแทบไม่กระพริบ หัวใจก็เต้น
‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’
เพิ่มระดับแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนสติจะดับวูบลง ร่างทั้งร่างอ่อนยวบ แล้วแน่นิ่งอยู่ในวงแขนของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในอาการตกใจไม่น้อยเช่นกันเมื่อเห็นสาวตรงหน้าเป็นลมลงไป
“คุณ! คุณครับ! คุณ!”
แล้ววงแขนแข็งแรงก็รีบช้อนเอาร่างผอมบางขึ้นอย่างรวดเร็ว และพาไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ชั้นสามของตึกด้วยความห่วงใยคนในวงแขน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นแขกเพราะมีป้ายติดอยู่นั่นเอง
+++++++++++++++
‘เอ๋ยอย่าลืมมารอพี่นะ เอ๋ย! จำไว้นะ! อย่าลืมมารอพี่นะ’
“พี่หิน!!!”
วริญรำไพตกใจกับความฝันว่ามีพี่หินมายืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ แล้วสุดท้ายก็จากไปอีกจนสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นมาทันที เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นตามหน้าผากและไรผมหลายเม็ด
“อ้าว! ฟื้นแล้วเหรอคะ เป็นยังไงบ้างคะ”
เสียงหวานๆ ของพยาบาลที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามาทำให้คนนั่งอยู่บนเตียงต้องหันไปหา ก็ได้พบกับใบหน้าสวยใสพร้อมแว่นสายตายิ้มมาหาพอดี
“ค่ะ เอ๋ญเป็นอะไรไปคะ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วผู้ชายคนนั้น...”
“คนที่พาน้องมาที่นี่เหรอคะ” พยาบาลยิ้มบางๆ ให้ มือก็ยื่นน้ำในแก้วให้ด้วย คนไม่ป่วยรับมาดื่มด้วยความกระหายก่อน ถึงได้ตอบ “ค่ะ”
“อ้อ! คุณชลธิป หรือที่ใครๆ ในโรงแรมเรียกว่าคุณร็อกค่ะ แกพาน้องมาบอกว่าเป็นลมอยู่บน...”
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน’
‘อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน’
วริญรำไพรีบคว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงออกมารับทันที “จ้ะๆ พี่กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้จ้ะ” เมื่องานเร่งเร้ามาเลยต้องรีบลุกขึ้นจากเตียง
“เอ่อ! ขอบคุณนะคะคุณพยาบาล แล้วฝากบอกขอบคุณคุณคนนั้นอีกทีค่ะ แล้วเอ๋ยจะมาขอบคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง แต่ตอนนี้ต้องรีบไปทำงานแล้วค่ะ”
++++++++++++++
“ค่ะๆ”
พยาบาลได้แต่ส่งเสียงงงๆ ตามร่างผอมบางที่รีบตรงไปหาประตูแล้วออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ แล้วก็เดินวนหาลิฟต์อยู่เป็นนาทีกว่าจะเจอ
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
+++++++++++++++
“เรากลับก่อนนะย่า ไว้เลิกงานแล้วจะแวะมาหา สุด้วยนะ จะได้มากินข้าวเย็นด้วยกันจะได้คุยกันนานๆ หน่อย แล้วอย่าลืมพาไปกินบนยอดตึกนะอยากไปมาก ” ดวงกมลคว้ากระเป๋าสะพายแล้วหันไปหาสองเพื่อน
“ได้ๆ เดี๋ยวเราก็จะกลับเหมือนกัน หลังจากดูแลความเรียบร้อยให้คุณย่าก่อน” สุภรภรณ์ยกมือโบกลาเพื่อน แล้วหันไปหาลูกน้องที่กำลังตั้งกล้องกันอย่างเร่งรีบ
“อ้าว! แล้วว่าที่เจ้าบ่าวจะมาเมื่อไหร่คะคุณย่า”
สุภาภรณ์เลยนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้เห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ติดต่อคุยเรื่องการจัดงานแต่งก็มักจะเป็นดลยากับดวงกมล หรือกับแม่ตัว หรือกับแม่ว่าที่สามีไปแทนมากกว่า
“โน่นไงคะนั่งรถกอล์ฟมาแล้ว”
ดลยาปรายหน้าไปทางว่าที่เจ้าบ่าวแสนรูปหล่อที่มาพร้อมช่างแต่งหน้าในชุดทักซิโดสีขาวเข้ากับชุดเจ้าสาว สุภาภรณ์ที่ได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวมาครั้งเดียวรีบทักทายตอนไปลองชุดรีบทักทายด้วยความมีไมตรีทันที
“สวัสดีค่ะคุณร๊อก วันนี้หล่อนะคะ ขนาดมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น สุชักจะอิจฉาคุณย่าแล้วสิคะ”
ว่าที่เจ้าบ่าวยิ้มบางๆ ให้สาวสวยตรงหน้าที่ตัวเองเพิ่งจะเคยเห็นแค่สองครั้งด้วยความฉงนกับการตีสนิทคนเก่งขนาดนี้ เขาเองก็ควรจะมีเพราะทำงานด้านบริการ แต่ติดตรงที่คุยไม่เก่งเอาเสียเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ