ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ชีวิตที่เหมือนฝันร้าย ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
===========
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
สี่ชีวิตที่ยืนอยู่บนผืนน้ำตรงหัวเรือต่างปล่อยให้น้ำตาแห่งความสงสารสาวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในเก๋งเรือไปตามๆ กัน
วสินอดเสียใจไม่ได้กับความเห็นแก่ตัวของเขาเอง ที่ไม่ยอมบอกสองหนุ่มนิรนามที่มาตามหาเด็กหนุ่มหน้าตาดี และคงจะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งไม่น้อย ถ้าเพียงแต่เขาเอ่ยปากบอกออกไปในวันนั้น
‘ไอ้หิน’
ก็คงไม่ได้อยู่กับเขา ไม่ได้ใกล้ชิดกับลูกเขา และคงไม่ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับอย่างนี้ และคงไม่ต้องทำให้ลูกสาวคนเดียวของเขาต้องร้องไห้คร่ำครวญเพราะความเสียใจแบบนี้
==========
รำไพอดเสียใจไม่ได้ที่คอยเป็นห่วงลูกและคอยกีดกันลูกกับหินตลอดเวลา ถ้าเลือกได้อีกครั้ง รำไพก็อยากให้หินกลับมา แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกเลย
แต่จะยอมให้ลูกและหินได้ใกล้ชิดกัน แม้จะมีความรักเกิดขึ้นมาจนถึงขั้นทั้งสองต้องตกร่องป่องชิ้นกันก่อนเวลาที่เหมาะสม รำไพก็จะไม่เกี่ยงงอนอีกแล้ว ในเมื่อลูกสาวบ้านอื่นก็เป็นแบบนี้หลายต่อหลายคน
ยายยวงอดเสียใจไม่ได้ที่ ‘ไอ้หิน’ หลานที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีโอกาสได้มาเห็นของขวัญวันเกิดที่ยายยวงได้ช่วยเอ๋ยทำไว้ให้เลย และเสื้อตัวใหม่ที่ยายยวงฝากรำไพไปซื้อไว้ให้ หินก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาใส่อีกแล้ว
แต่อย่างน้อยๆ ยายยวงก็ยังอุ่นใจที่หินจะได้เอาไปใช้ในภพหน้า เพราะยายยวงได้ใส่เสื้อตัวนั้นลงไปในโลงศพ ที่ไร้ร่างของหินไปเรียบร้อยแล้ว
ธนากรที่แทบไม่เคยเสียน้ำตาเลยตลอดชีวิต นอกจากวันที่พ่อกับแม่จากไปเท่านั้น แต่วันนี้เขาต้องเสียน้ำตาอีกเพราะสงสารน้องสาวต่างสายเลือด ที่เขารู้ดีว่าเผลอรักน้องมาไม่น้อยกว่าสามปีแล้ว
แม้เขาจะไม่ได้ชื่นชอบ ‘ไอ้หิน’ สักเท่าไหร่ และหมั่นไส้หรือไม่ชอบใจที่ไอ้หินมาแย่งน้องสาวที่เขาหลงรักไปจากอก แต่เขาก็ไม่เคยคิด ไม่เคยฝัน และไม่เคยอยากให้คู่ต่อสู้อย่าง
‘ไอ้หิน’
==========
จากไปด้วยวิธีนี้ และถ้าเลือกได้ เขาอยากให้หินยังไม่ตาย แล้วกลับมาหาน้องที่เขาหลงรัก ถ้า’ไอ้หิน’ กับน้องรักกัน เขาก็พร้อมที่จะเสียสละให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน ได้มีความสุขด้วยกัน
เพราะเขาไม่ปรารถนาที่จะเห็นน้องที่เขารัก ต้องเสียใจแบบนี้ ร้องไห้ฟูมฟายแบบนี้ และไม่รู้ว่าความเสียอกเสียใจของน้องจะเลือนหายไปเมื่อใด
ด้วยรู้ดีว่าน้องเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหว ถ้าฝังใจอยู่กับอะไรหรือใครแล้ว ก็ยากที่น้องจะถอดถอนใจให้กลับคืนมาได้โดยง่าย ธนากรก็ได้แต่หวังว่า เวลานั้นจะมาถึงในเร็ววัน
ทว่าสิบสองปีล่วงเลยผ่านไปแล้ว ธนากรก็ยังไม่เคยสมหวังแม้แต่ครั้งเดียว เพราะทุกครั้งที่ได้เห็นน้องสาวที่แสนจะน่ารัก เขาก็มักจะเห็นความเศร้าโศก เสียอกเสียใจตามติดน้องไปด้วยทุกหนทุกแห่ง
แววตาที่เคยสดใสเมื่อก่อน ถูกการจากไปของ ‘ไอ้หิน’ เข้ามาบดบังไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นหมองหม่นไม่เคยว่างเว้น
รอยยิ้มที่น้องเคยมีบ่อยครั้งเมื่อก่อน ถูกการจากไปของ ‘ไอ้หิน’ เข้ามาแย่งชิงเอาไปจากน้องจนแทบจะหมดสิ้น หรือก็มีน้อยครั้งเต็มทีที่เขาจะได้เห็น
“เอ๋ย! เสร็จหรือยังลูก จะได้ลงมากินข้าวกินปลาก่อนกลับ กว่าจะถึงเดี๋ยวจะหิวนะลูก”
รำไพและคนอื่นๆ ในบ้านเองก็เห็นไม่แตกต่างจากธนากรนัก แม้จะสงสารลูก แม้จะเคยปลอบอกปลอบใจแม้จะเคยขอให้ลูกลืมเลือนเรื่องการจากไปของ ‘เจ้าหิน’ แต่ลูกก็ไม่เคยทำตามคำขอของแม่ได้เลยสักครั้ง
==========
โดยเฉพาะเวลาที่ลูกกลับมาเยี่ยมบ้าน ที่ลูกจากไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง กระทั่งเรียนจบ กระทั่งมีงานทำ และกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยมพ่อแม่ยายแล้วพี่ใหญ่ในบางครั้ง
รำไพก็ไม่เคยเห็นแววตาอันสดใส ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของลูกเหมือนเมื่อก่อนเลยสักครั้งเดียว วสินกับยายยวงเองเฝ้าแต่บอกรำไพว่าอย่าไปสนใจหรือห่วงลูกมากเกินไป เพราะจะทำให้ลูกต้องเป็นกังวลไปเปล่าๆ
“เอ๋ย! แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก รีบมากินข้าวก่อนดีกว่า เดี๋ยวแม่จะไปเก็บเสื้อผ้าให้เอง”
“เสร็จแล้วจ้ะแม่”
วริญรำไพพาร่างกายผอมบาง สูงโปร่ง ที่มีกางเกงยีนส์ฟอกสีซีด กับเสื้อยืดตราห่านพร้อมรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ก้าวลงมาตามบันไดเล็กๆ ปากก็ตอบแม่ไปขณะเท้าก้าวลงกระทั่งถึงพื้น
“งั้นมากินข้าวเร็วๆ เข้าลูก พี่ใหญ่จะได้ไปส่งเดี๋ยวไม่ทันขึ้นเครื่องนะ”
รำไพหันไปทางวงข้าวที่จัดเตรียมมาวางไว้บนแคร่ให้คนในบ้านแล้ว แม้จะยังไม่มีใครมานอกจากยายยวงก็ตามที
“เดี๋ยวเอ๋ยมากินนะจ๊ะแม่”
===========
แล้วร่างผอมบาง กับผมที่ดำขลับนุ่มสลวยและยาวลงไปจนถึงขอบกางเกงก็บ่ายหน้าไปทางชายหาดโดยไม่สนใจสายตาอันเว้าวอนของแม่ที่มองตาม ด้วยรู้ว่าลูกจะเดินไปไหนโดยไม่ต้องถามด้วยซ้ำ
และสายตาอันหมองเศร้าไม่สร่างซาของลูก ก็มองไปยังซากต้นเหรียงที่หักโค่นลงจากพายุโหมกระหนำในค่ำคืนนั้น สภาพของมันคงเหลือแต่ต้นอันใหญ่โต ล้มอยู่ยังไงก็ยังอยู่ในสภาพนั้น
แม้ผู้พ่อจะอยากเก็บมาทำฟืนสักแค่ไหน แต่วริญรำไพก็ขอร้องไว้ เพราะอยากเก็บมันไว้เป็นอนุสรณ์ เพราะใต้ต้นเหรียงนี้ เป็นที่ที่พี่หินบอกรักน้องคนนี้ครั้งแรก และสัญญาว่าจะทำความฝันร่วมกัน
หยดใสๆ ไหลรินออกมาจากสองดวงตาคู่เศร้าอีกวาระ หลังจากที่มันหยดมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว นับตั้งแต่วริญรำไพมาถึงบ้านเมื่อห้าวันก่อน
ผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าถูกยกขึ้นมาซับออก แล้วหันหน้าหนีไปหาท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล สองเท้าก้าวไปตามชายหาดอันขาวสะอาดตาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เรือลำใหม่และใหญ่กว่าเดิมของพ่อจอดอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่เปียกชื้นจ้องมองไปยังเก๋งเรือ และปรารถนาจะให้มีพี่หินยืนอยู่ในนั้น โอบกอดน้องคนนี้แล้วฟังคำบอกรักจากนั้นคนนี้อยู่ทุกทิวาราตรี
หัวเรือที่ตกแต่งสวยงาม ดวงตาที่เปียกชื้นจ้องมองเป็นเป้าต่อมา และปรารถนาจะให้มีพี่หินยืนตรงนั้น โบกมือให้น้องคนนี้เวลากลับจากออกไปหาปลา แล้วกลับมาพร้อมของฝากมากมาย
==========
แต่ความหวังและการรอคอยอันยาวนานของน้องคนนี้ไม่เคยเป็นจริงขึ้นมาได้เลย เพราะไม่มีพี่หินที่แสนดีของน้องอีกต่อไปแล้ว
แม้จะไม่เชื่อว่าพี่หินจากไปแล้ว แม้จะบอกตัวเองว่าพี่หินยังอยู่ แม้จะเฝ้ารอการกลับมาของพี่หินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่มีใครพบร่างอันไร้วิญญาณของพี่หินเลย
แต่วริญรำไพก็รู้ดีว่าจะไม่มีพี่หินมาให้น้องคนนี้ได้เห็นอีกแล้ว หากแต่เลือกที่จะบอกตัวเองว่า พี่หินยังไม่ไปไหนไกล พี่หินยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ น้องคนนี้เรื่อยมา
และพี่หินจะต้องมาหาน้องคนนี้ในสักวัน ไม่ว่าจะวันไหน จะนานเท่าใด น้องคนนี้ก็จะขอรอคอย จะขอรักขอมอบหัวใจดวงนี้ให้พี่หินคนเดียวเท่านั้น ตราบจนที่น้องคนนี้จะสิ้นลมหายใจ
ผ้าเช็ดหน้าถูกใช้งานแทบจะตลอดเวลานับตั้งแต่ก้าวลงมาชายหาด วริญรำไพเบือนหน้าหนีจากเรือลำใหญ่ ก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เบื้องหน้าคือที่ที่สาวน้อยเมื่อสิบสามปีก่อนได้พบกับหนุ่มนิรนามนอนอยู่ซอกหินอยู่อย่างสงบ
ทุกครั้งที่เดินมาถึงจุดนี้ วริญรำไพเฝ้าวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทั้งมวลที่มี ขอให้พี่มีหินคนนั้น นอนอยู่ตรงจุดนั้นเหมือนเดิมเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่คำขอจะสัมฤทธิ์ผลขึ้นมา
ดวงตาคู่เศร้าที่ปนเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา จ้องมองไปยังซอกหินที่เคยพบพี่หินอยู่เนิ่นนาน แววตาพล่าเลือนไปด้วยหยาดหยดใสๆ ที่ไหลรินออกมา ก่อนจะถูกผ้าเช็ดหน้าซับออกไป
==========
แล้วร่างบอบบางก็กลับหลังหัน เดินจากมาอย่างเชื่องช้า และพยายามหักห้ามน้ำตาให้หยุดไหลก่อนไปถึงบ้านที่เดาได้ว่ามีทุกคนรอคอยอยู่แล้ว และเธอก็ทำได้เหมือนทุกครั้ง
“มากินข้าวเร็วๆ ลูก แม่เราจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้แล้วนะ จะได้รีบไปเดี๋ยวไม่ทันเครื่อง”
วสินที่นั่งอยู่บนแคร่หันมาเรียกลูกเสียงนุ่มนวล “จ๊ะพ่อ” ลูกก็รับคำอย่างนุ่มนวล แล้วเดินไปนั่งข้างยายกับพี่ใหญ่ รับจานข้าวมาถือไว้แม้จะไม่อยากกินเลยก็ตามที
“ไว้อีกเดือนหรือสองค่อยเจอกันนะเอ๋ย พี่จะพายายกับทุกคนไปเที่ยววันพระแก้ว ไปเที่ยวเมืองกรุงให้พรุนไปเลย อย่าลืมเคลียร์งานแล้วไปเที่ยวด้วยกันนะ”
ธนากรส่งยิ้มให้น้องสาวนัยตาคู่เศร้า เมื่อถึงเวลาที่น้องต้องไปเตรียมขึ้นเครื่องแล้ว น้องก็มองพี่แล้วยิ้มบางๆ ให้ แม้จะเป็นยิ้มที่ออกมาจากใจ แต่นัยตาน้องก็ยังเศร้าไม่คลายในความคิดของพี่
“จ้ะพี่ใหญ่”
“อยากกินอะไรโทรมาบอก พี่จะหาไปให้ทุกอย่าง แล้วอย่าทำงานมากจนลืมพักผ่อนนะ”
“จ้ะ เอ๋ยไปนะ”
วริญรำไพยกมือไว้พี่ แม้จะไม่ใช่พี่แท้ๆ และแม้เมื่อก่อนจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ด้วยความที่ธนากรก็เกิดก่อนถึงหกปี บวกกับแม่จะคอยบอกคอยสอน ทำให้น้องคนนี้ให้ความเคารพพี่มากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
==========
และพี่ก็ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับน้องอีกเลย นับตั้งแต่ ‘ไอ้หิน’ ที่แสนดีและเป็นที่รักของคนในบ้านจากไป เพราะธนากรไม่อยากให้น้องเสียใจหรือร้องไห้เพราะตัวเองอีก
มิหนำซ้ำ เขายังสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะทำทุกอย่างให้น้องมีความสุขถ้ามีโอกาส แม้ตัวเองจะเป็นทุกข์เวลาที่เดินดูแผ่นหลังน้องจากไปเรียนหรือไปทำงานมาหลายครั้งหลายคราว แต่เขาก็จะทน
วริญรำไพหันกลับมาหาพี่ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จึงโบกมือลาก่อนจะเข้าประตูผู้โดยสารขาออกไปจริงๆ เกือบสี่ชั่วโมงแท็กซี่ก็แล่นมาจอดตรงหน้าคอนโดฯ ที่เช่าอยู่เรียบร้อยแล้ว
ห้องที่มีของใช้ไม่มากถูกมือบางเปิดประตูเข้าไป ข้าวของในกระเป๋าส่วนใหญ่เป็นของกินที่แม่เตรียมมาให้ถูกรื้อออกไปใส่ในตู้เย็น ตามด้วยเสื้อผ้าที่ซักรีดด้วยมือแม่เรียบร้อยแล้วใส่ไว้ในตู้
เจ้าของห้องรีบไปอาบน้ำแล้วก้าวขึ้นไปนั่งเอาหลังพิงหัวเตียงอย่างคนอ่อนแรง เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง ที่แม้จะนั่งเครื่องแต่ก็ใช้เวลาในการรอไม่น้อย
กระนั้นความเหนื่อยอ่อนก็ไม่ได้ทำให้วริญรำไพหลับลงได้เลย ดวงตาคู่เศร้าหมองกลับจ้องมองไปยัง ภาพวาดบนฝาผนัง ที่มาจากความทรงจำไม่เคยจืดจางแล้วถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบจนได้เป็นภาพเหมือนของพี่หินมาใส่กรอบเก็บไว้
แต่กว่าจะวาดภาพได้ วริญรำไพก็ต้องเรียนให้หนักจนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ สาขาเทคโนโยยีภาพพิมพ์และภาพถ่ายแทนการเรียนรัฐศาสตร์อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
เพียงเพราะอยากวาดรูปเป็น เพื่อจะได้วาดรูปพี่หินที่มีอยู่ในใจตลอดมาก เพียงเพราะอยากถ่ายภาพเป็น ถ่ายภาพให้สวยๆ เก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้น
ใบหน้าสวยเศร้า หันไปหามือถือที่บางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง กำลังสั่นน้อยๆ สามสี่ครั้ง ก่อนจะมีอินโทรเพลงเศร้าๆ ที่ผู้เป็นเจ้าของโปรดปราน
==========
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน’
‘อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน’
มือบางรีบเลื่อนไปคว้ามากดรับแล้วกรอกเสียงเรียบนุ่มไปหาคนคุ้นเคยทันที “ค่ะพี่สุ”
‘ถึงบ้านแล้วใช่ไหมเอ๋ย’
“ค่ะ”
‘ดีมาก มีอะไรมาฝากพี่บ้างอย่าลืมหอบมานะพรุ่งนี้’
“ค่ะ พี่สุมีอะไรกับเอ๋ยหรือเปล่าคะ”
‘ไม่มีหรอกจ๊ะ แค่อยากจะเช็กว่าเอ๋ยกลับมาหรือยังเท่านั้น พรุ่งนี้เราเจอกันที่หน้างานเลยนะ เดี๋ยวพี่ส่งไลน์โลเคชั่นไปให้ รับรองว่าเอ๋ยจะต้องชอบแน่ๆ สมกับคำที่ยัยดวงโม้ไว้เลย รับรองว่าเอ๋ยต้องวางกล้องไม่ลงเลยล่ะ นี่พี่ก็กำลังจะขอเจรจาเช่าไว้เป็นโลเคชั่นใหม่ของเราอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าของจะว่ายังไง’
“ค่ะ”
‘โอเค งั้นพี่ไม่กวนงั้นแล้ว พักผ่อนให้เต็มที่แล้วพรุ่งนี้เจอกันจ้ะ’
“ค่ะพี่สุ หวัดดีค่ะ”
วางสายจากเจ้านายได้ วริญรำไพก็โทรไปหาแม่ เพื่อรายงานว่ากลับถึงบ้านปลอดภัยเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนจะล้มตัวลงนอนเอาแรงไว้สู้กับวันใหม่ กับงานที่วุ่นวาย โดยไม่สนใจกับมื้อเย็นตามที่แม่และทุกคนในบ้านกำชับไว้เลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ