ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) เจ็บปวดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวิโก้แชมป์จอดอยู่ลานหน้าทางเข้าคอนโดฯ แต่ผู้เป็นเจ้าของไม่คิดจะลงไป หากแต่หันไปมองแฟ้มอ่อนขนาดบีห้าสีส้มที่ต้องแลกมาด้วยเงินถึงห้าหมื่นบาท
‘คุณชลธิป จิระธนานนท์ เป็นลูกชายคนเดียวของ อติรัตน์และชลธี จิระธนานนท์เป็นลูกคนเดียว ไม่มีคู่แฝด ไม่มีญาติพี่น้องที่หน้าเหมือนกันเลยแม้แต่คนเดียวครับ
เรียนอยู่เมืองไทยจนจบประถมหก แล้วไปเรียนต่อมัธยมกระทั่งจบปริญญาโทที่อังกฤษ ระหว่างเรียนไม่เคยกลับมาเมืองไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว’
เพื่อให้ได้ความจริงหรือคำยืนยันก่อนจะทำอะไรผิดลงไป และคำตอบที่ได้จากสองนักสืบก็ทำให้เจ็บปวดเหลือเกิน
‘อื้มห์! เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ คุณพ่อก็เป็นลูกโทน ผมเลยไม่ค่อยมีญาติพ่อน้องที่ไหน แล้วคุณถามทำไมครับ แล้วตอนหนุ่มๆ อายุสักสิบเจ็บสิบแปดหรือสิบเก้าปี คุณอยู่ที่ไหนคะ เคยไปเที่ยวเกาะหรือทะเลทางใต้บ้างหรือเปล่าคะ’
‘อื้มห์! เท่าที่รู้ไม่นะครับ ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถม มีเบรคก่อนเข้าฮาร์เวิร์ดไปปีหนึ่ง ตอนผมไปเป็นวาเลนเทียปนเที่ยวที่อาฟริกาใต้น่ะครับ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าถามผมทำไมครับ’
และไม่รู้จะดีใจ หรือเสียใจกับคำยืนยันจากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวของเขาในค่ำคั้นนั้นอีกคำรบกันแน่ ด้วยในหัวใจนั้นมีคำตอบอยู่เต็มอก ว่ารักเขามากเพียงไหน และจะต้องทนทุกข์ยังไงเมื่อรู้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ อีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อคิดถึงอีกหัวอกที่เป็นลูกผู้หญิงด้วยกันอย่างดลยา ก็ทำให้ต้องตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนี้ เพราะตัวเองไม่อาจจะทนเป็นคนที่แย่งของรักจากใครได้อีกแล้ว ในเมื่อตระหนักได้ดีว่าการเสียของรักไปนั้นมันเป็นยังไง
มือถือหน้าคอนโซลขึ้นอินโทรมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องรีบกดรับ เพื่อไม่ให้เพลงประจำขับขาลออกมา “เอ๋ยอยู่ตรงลานจอดด้านหน้าแล้ว พี่ใหญ่รีบลงมาเลย แค่นี้นะ”
มือบางรีบตัดสายไป แล้วหักใจรวบแฟ้มกับรูปต่างๆ ที่มีเข้าไปเก็บไว้ในคอนโซล เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นความน่าอับอายของตัวเอง ที่ลงทุนเสียเงินครึ่งแสนเพื่อแลกกับประวัติผู้ชายไม่กี่บรรทัดเท่านั้น
แต่อินโทรก็ดังขึ้น ดวงตาคู่เศร้าที่มีน้ำตาไหลรินออกมา เมื่อเห็นว่าคนโทรหาเป็นใคร และก็คิดถึงคำสัญญาที่ให้เขาไว้เมื่อคืนก่อนขึ้นมาทันที
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน
อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู...ให้รู้ว่าใจ...ไม่เคยรักใคร’
น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาไม่ขาด แต่ก็ไม่อาจจะดึงดันให้ทุกอย่างก้าวเดินต่อไปได้ จึงจำใจต้องตัดสายทิ้ง แล้วปิดมือถือทันที รีบดึงทิชชูจากหน้ารถมาเช็ดน้ำตาออกทันที เมื่อเหลือบเห็นธนากรเดินลงมาอย่างรีบเร่ง
“มารอพี่นานหรือยัง ทำไมไม่โทรขึ้นไปเรียกล่ะ รีบไปเถอะ”
“จ๊ะ”
วริญรำไพรับคำแค่นั้น ก่อนจะออกรถมุ่งไปยังตลาดที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก แล้วก็ช่วยกันลงไปซื้อของตามรายการที่ธนากรได้มาจากมือรำไพ
“ซื้อข้าวเม่าไปฝากยายก่อนดีกว่าพี่ใหญ่”
ธนากรไม่ว่าอะไรนอกจากเดินหิ้วของเต็มมือตามหลังน้อง ที่เดินร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยทิ้งความเจ็บปวดไว้ภายในเท่านั้น พอซื้อเสร็จก็ส่งให้พี่ถือ กว่าจะกลับมาถึงที่จอดรถได้ก็หนักจนแขนแทบจะหลุด
“ความคิดใครนะที่บอกว่าอยากจะกินสุกี้นี่ อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยออกไปหากินตามร้านบ้างหรือไง”
วริญรำไพหันไปยิ้มแกมหมั่นไส้คนข้างๆ ที่บ่นไม่เลิก “ถ้าไม่อยากกินพี่ใหญ่ก็นั่งดูเอ๋ยกับทุกคนกินสิ เงินก็ไม่ได้จ่ายสักบาทมาบ่นอยู่ได้ รีบขึ้นรถเร็วเข้าแม่รออยู่”
ผู้พี่รีบทำตามทันทีเพราะร้อนตับจะแตก พอถึงคอนโดฯ ก็ทำหน้าที่หิ้วทุกถุงเองกับมือ “ถือถุงข้าวเม่าไปให้ยายกับกระเป๋าสะพายของตัวเองก็พอ ไม่ต้องมาช่วยตามมารยาทหรอก น่าเบื่อเด็กขี้เกียจ!”
แม้จะหมั่นไส้คนบ่นอยู่บ้าง แต่อันที่จริงแล้ววริญรำไพออกจะดีใจมากกว่า ที่มีคนมาทำให้ตัวเองไม่ต้องอยู่ห้องคนเดียว และไม่ต้องหอบเขาเรื่องของเจ้าของหัวใจมานอนขบคิด ตามติดด้วยการมีน้ำตาเป็นเพื่อนเท่านั้น
“น่าเบื่อผู้ใหญ่ขี้บ่น!”
เลยเบะปากให้พี่แล้วเดินรี่ขึ้นคอนโดฯ ไป “โอ๊ย! มาสักทีนะสองคนนี้ ยายล่ะหิวจะแย่แล้ว” ยายยวงที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีเอ่ยทันที แต่พอได้ถุงขนมจากมือหลานนอกไส้เข้าไป ก็เงียบกริบลงทันทีเช่นกัน
นั่นทำให้ทุกคนได้มีเวลาตระเตรียมมื้อเย็นที่เรียกได้ว่าอยู่กินพร้อมหน้ากันเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่พากันยกโขยงมาหาวริญรำไพ เพราะจะมีพายุเข้าหลายวัน งดออกเรือ เลยได้เวลามาเที่ยวเมืองกรุงบ้าง
“เจ้าใหญ่นี่กินเยอะสมกับตัวมันจริงๆ”
วสินบ่นน้อยๆ แต่สายตาก็เอ็นดูหลานนอกไว้ไม่อยอก “ว่าแต่ใหญ่ ลุงเองก็กินเยอะ เบียร์ก็หมดจะเป็นลังละ ผมเพิ่งกินไปได้ไม่เท่าไหร่เอง”
ธนากรสวนกลับบ้าง “พูดมากจังเอ็งสองคนนี่น่ะ กินเยอะพอๆ หันนั่นล่ะ แล้วยังจะมาโยนให้กันอยู่ได้ น่ารำคาญ” ยายยวงเลยเอ็ดให้ ทำเอารำไพกับวริญรำไพหันไปยิ้มให้กันด้วยความขำ
ก่อนที่ยายยวงจะยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยไปเรื่อย แต่ยายยวงก็ไม่เผลอหยิบยกเอาเรื่องไอ้หินขึ้นมาพูดให้กระทบกระเทือนใจหลานนอกไส้เลยแม้แต่คำเดียว
กระทั่งเที่ยงคืนถึงได้พากันสลายม๊อบ ธนากรรับหน้าที่เก็บล้างคนเดียวทั้งหมด เมื่อน้องนอกสายเลือดอาสาจะมาช่วย เพราะเห็นว่าพรุ่งนี้น้องก็ต้องไปทำงานแต่เช้า
ความห่วงทำให้เขาต้องรีบแย่งทุกอย่างไปทำเอง แล้วไล่น้องไปอาบน้ำเข้านอนทันที แล้วเขาก็ยิ้มตามหลัง เมื่อน้องยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“ไว้พรุ่งนี้จะซื้อเสื้อสวยๆ มาฝากเป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะ”
น้องหยอดคำหวานๆ พร้อมรอยยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปในห้องจริงๆ สักที หัวใจผู้พี่ที่มีความรักมอบให้น้องมาตลอดอดเต้นแรงขึ้นมาอย่างมีความสุขไม่ได้
ผิดกับอีกหัวใจที่เจ็บแสบไปสุดทรวง เมื่อได้ประจักษุ์แล้วว่าคำของพ่อกับแม่นั้นมีความจริงอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องผู้ชายคนนั้น คนที่เดินตลาดกับเธอ หัวร่อต่อกระซิกกับเธอ
แล้วก็หายขึ้นมาด้านบนกับเธอ และห้องทีเขาจำได้ว่าเป็นห้องเธอ นับตั้งแต่เย็นกระทั่งจะถึงตีหนึ่ง และไม่มีวี่แววว่าผู้ชายคนนั้นจะออกมาจากห้อง
มันทำให้เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากที่เธอจะเป็นไปตามที่พ่อกับแม่เขาบอกไว้ไม่มีผิดเพี้ยน น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาเพราะผู้หญิงเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ก่อนจะเดินไปหาลิฟต์แล้วลงไปชั้นนล่าง ควบรถไปจากตรงนั้นทันที พอถึงบ้านสิ่งแรกที่เขามองหาอย่างไม่เคยคิดว่าจะทำมาก่อน เพราะอยากได้มันจริงๆ นั่นคือ
‘เหล้า’
นี่ถือเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เขาอยากเมาเพื่อให้ลืมผู้หญิง หนึ่งคือตอนย่างเข้าวัยหนุ่ม กับสองคือตอนจะอำลาวัยหนุ่มไปสู่วัยผู้ใหญ่
มือถือถูกมองหลายต่อหลายรอบ สลับกับการกระดกแก้วขึ้นดื่ม เพราะยังอยากให้โอกาสผู้หญิงที่เขาเชื่อว่าเผลอใจรักเข้าอย่างจังแล้ว เพื่อให้คำอธิบาย หรือคำแก้ตัวกับเขาอีกครั้ง
“...”
แต่ทุกอย่างยังคงเงียบเมื่อตัดใจเรียกไปครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี่ และห้าตามมา ก็ยังคงได้คำตอบเดิมคือ
“...”
อดสมเพชตัวเองไม่ได้ ที่บ้าบออยู่คนเดียวด้วยการให้โอกาสผู้หญิงที่อาจจะกำลังนอนกกนอนกอด หรือกำลังนอนกกนอนกอดกับผู้ชายอีกคนอยู่ก็เป็นได้
‘ปั้ก’
‘ปึ้ก’
‘ปึ้ก’
ของในมือปลิวไปหาผนังอย่างไม่ใยดี เมื่อคำตอบสุดท้ายที่ได้คือเงียบอีก แล้วเขาก็ไม่สนใจอะไรหรือใครอีกนอกจากของในขวดเท่านั้น
จึงไม่เห็นว่ามีแม่ยืนดูอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายไม่น้อย เมื่อเห็นอาการเศร้าจะเป็นจะตายของลูก นั่นแปลว่ารูปที่ให้ไปตอนเย็นคงสัมฤทธิ์ผลแล้ว
ไม่อย่างนั้นคงไม่ปามือถือราคาหลายหมื่นทิ้ง หรือคว้าเหล้าขึ้นมาดื่มเป็นแน่ เพราะร้อยวันพันปีลูกไม่เคยดื่ม และไม่เคยโกรธ หรือฉุนเฉียวอย่างนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
‘เพราะนังบ้านนอกนั่นแท้ๆ’
ที่ทำให้ลูกชายคนเดียว และเป็นทายาทมหาเศรษฐีต้องตกอยู่ในสภาพนี้ อติรัตน์บอกกับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่มีวันมอง ‘นังบ้านนอกนั่น’ ในแง่ดีเป็นแน่
มือถือบนหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมาเมื่ออติรัตน์ขึ้นห้องไป แล้วออกไปคุยข้างนอกเมื่อสามีกำลังหลับสบาย รวมทั้งคนที่ตัวเองกำลังโทรไปหาก็หลับเป็นตายอยู่ จึงต้องยืนรอนานกว่าจะมีเสียงตอบรับ
“คุณพรคะ รัตน์มีข่าวดีจะบอกค่ะ แต่ก่อนจะลืมพรุ่งนี้เช้าคุณพรช่วยโทรไปบอกแม่สุภาภรณ์เจ้าของสตูฯ ทีนะคะ ว่ายกเลิกคำสั่งที่ห้ามไม่ให้นังเด็กนั่นไปถ่ายรูปที่โรงแรมได้แล้วล่ะค่ะ คือยังงี้ค่ะ...”
เมื่อคิดจะตีงู อติรัตน์ก็จะตีให้หลังหัก จะไม่เก็บไว้ให้มาแว้งกันตัวเองและคนรอบข้างได้ทีหลังแน่ และเมื่อคิดจะกำจัดเสี้ยนหนามชีวิตของลูกก็จะต้องทำให้ถึงที่สุดด้วย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ