ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ความในใจที่บอกไปผ่านบทเพลง ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวิโก้แชมป์จอดข้างทางพร้อมกับตอกไฟฉุกเฉินอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้เป็นเจ้าของกำลังใคร่ครวญว่าจะเอายังไง จะตอบรับคำเชิญหรือจะปฏิเสธเขาไปดี
‘เอ๋ยต้องสัญญาว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’
เมื่อประโยคนี้ผุดขึ้นมาในความคิด รถที่จอดอยู่ก็เลี้ยวกลับทางเดิมทันที “ทางนี้เลยค่ะคุณเอ๋ย คุณร๊อกรออยู่บนตึกโรมิโอค่ะ”
อนงค์รีบมาดึงแขนสาวสวยทันทีที่รถจอดตรงหน้าล๊อบบี แล้วพาเดินอ้อมตึกจูเลียตไปเข้าอีก “ทานอาหารให้อร่อยนะคะ”
วริญรำไพทำหน้าไม่ถูก เมื่อเลขาฯของเขาส่งยิ้มให้ ด้วยไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น สาวใหญ่คิดยังไงกับความสัมพันของตัวเองกับเจ้านายหนุ่มกันแน่ แต่ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรได้นานนัก
เมื่อลิฟต์พาขึ้นไปถึงยอดบนของตึกอย่างรวดเร็ว พอก้าวออกจากลิฟต์ก็พบกแต่ความเงียบเชียบ “ในที่สุดเจ้ามือของผมก็มาสักที” ไม่กี่อึดใจเขาก็ก้าวเดินออกมาจากเค้าน์เตอร์พร้อมรอยยิ้ม
แล้วผายมือออก “เชิญครับ อาหารพร้อมแล้ว” โต๊ะเล็กๆ มีผ้าปูสีขาวสะอาดตา แจกันเล็กๆ ปักกุหลาบแปดหรือเก้าดอก จัดเก้าอี้ไว้แค่สองที่เท่านั้น
วริญรำไพส่งยิ้มบางๆ แล้วก้าวเดินไปทรุดกายลงนั่งกับเก้าอี้ที่เขาเป็นคนขยับให้อย่างสุภาพบุรุษ พอเขานั่งลง อาหารก็ถูกบริกรหนุ่มสาวยกมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะหลายจานพร้อมกัน
เสร็จแล้วเจ้านายหนุ่มก็พยักหน้าให้ ทั้งหมดจึงรีบตรงไปหาลิฟต์ แล้วทั้งชั้นก็มีเพียงสองคนที่หลงเหลืออยู่ วริญรำไพเงยหน้าจากจานอาหารไปมองเขาแล้วยิ้มบางๆ
“ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวมากก็ตอนเที่ยงคืนนี่เอง งั้นเรากินเลยนะครับ”
แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอีก เมื่อเห็นเขาก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง ส่วนตัวเองนั้นเพียงแค่ตักเข้าปากนิดๆ หน่อยๆ เพราะอิ่มจากในงานแล้ว อีกทั้งปกติก็ไม่ค่อยจะกินมื้อเย็นอยู่แล้ว
“ตึกหมุนด้วยเหรอคะ” กินไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงวริญรำไพเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่นั่งของตัวเองย้ายห่างจากหน้าลิฟต์มาเล็กน้อย
“ผมอยากให้คนปากน้ำ คนบางปูหรือคนแถวๆ นี้ ได้ขึ้นมากินมื้อเที่ยงหรือค่ำบนตึกที่หมุนได้เหมือนในกรุงเทพฯ หรือที่พัทยาบ้าง อาหารผมก็ตั้งราคาไม่แพงนะ แค่หัวละเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเอง”
เขาอธิบาย ขณะที่ตัวเองลุกขึ้นยกจานชามบนโต๊ะไปถือไว้ “เอ่อ! ผมให้พนักงานกลับบ้านหมดแล้ว เพราะเลยเวลาทำงานมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเลยต้องทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี กินแล้วต้องเก็บ”
วริญรำไพเลยลุกขึ้นช่วยเขาบ้าง “คุณอยากเต้นรำกับผมหลังอาหารเย็นที่จะตีหนึ่งแล้วมั้ย”
ชั่วอึดใจนั้นเอง ที่บรรยากาศในยามบ่ายแก่ๆ ใต้ต้นเหรียงที่มีพี่หินอยู่ข้างๆ ก็สะกิดหัวใจอันแหลกสลายขึ้นมาทันที
“ถ้าคุณจะมีมงกุฏดอกไม้ให้ ฉันก็ยินดีค่ะ”
ชลธิปเลิกคิ้วเล็กน้อย “งั้นผมคงจะอดแล้วล่ะ เพราะคงไม่มีพนักงานคนไหนที่จะเนรมิตมงกุฏให้ผมในตอนนี้ได้ เอ...แต่เดี๋ยวนะ” เขายกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้รอ แล้วรีบตรงไปยังเก้าอี้
ดึงผ้าสีทองที่ผูกเป็นโบเอาไว้ตรงพนักพิงออกมา แล้วก้าวเร็วๆ มาหาเจ้าของชุดสีทับทิม
“ขอโทษนะครับ”
เอาผ้าพันรอศีรษะสาวตรงหน้าเพื่อวัดขนาด แล้วรีบขมวดผ้าให้เป็นริ้วๆ จับกุหลาบบนแจกันมาเสียบสลับกับจับริ้ว
“คนไม่ประสางานศิลอย่างผมก็มีปัญญาเท่านี้ล่ะครับ ผมพอจะได้คู่เต้นรำบ้างหรือเปล่าครับ”
เขายิ้มออก เมื่อสวมมุงกุฏผ้าดอกไม้ไปให้เจ้าของใบหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างทึ่งในความมีไหวพริบของเขา แต่เขากลับทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “แต่เราไม่มีดนตรีนี่สิ จะทำยังไง ผมคงเรียกใครมาเปิดเพลงให้ไม่ได้แน่”
“งั้นเราก็ควรจะกลับลงไปดีมั้ยคะ”
วริญรำไพส่งสีหน้าทำท่าว่าสงสารที่เขาต้องผิดหวัง แต่เขากลับยิ้มแป้นออกมาแล้วยกนิ้วเป็นเชิงบอกให้รอตามเคย เพราะไอเดียเพิ่งกระฉูดออกมาอีกอย่างแล้ว
“วันก่อนผมได้ยินเพียงนี้ในงานแต่งลูกค้าตอนเปิดตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผมว่ามันเพราะดีเลยทำเป็นเสียงเรียกเข้า และนี่จะเป็นเพลงเปิดฟลอร์ของเรา”
มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขา ถูกเปิดขึ้นแล้วเอาไปวางที่โต๊ะ พออินโทรเพลงขึ้นมา เขาก็ตรงมาหาสาวน้อยกับมงกุฏผ้าแล้วโค้งตัวเป็นการเชื้อเชิญ
“เพลงอะไรคะฉันไม่เคยได้ยิน” สองขาก้าวไปตามจังหวะช้าๆ สองดวงตาจ้องมองเขาแล้วยิ้มบางๆ ให้
“เพลง ทเวล ออฟ เนเวอร์ครับ แต่คุณนงค์บอกผมว่า มีเพลงไทยที่มีความหมายตรงกันและร้องได้ซึ้งกินในด้วย แล้วแกก็หามาให้ผมฟัง บอกได้คำเดียวว่าถูกใจผมมากจนต้องเอามาเก็บไว้ในมือถือเลย” ส่วนเขาก็ทำแบบเดียวกัน
“เพลงอะไรคะ” วริญรำไพชักอยากรู้ขึ้นมาทันใด
“ไม่บอกครับ เรามาฟังพร้อมกัน”
เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้แล้วจ้องมองดวงตาคู่เศร้าขณะก้าวไปตามจังหวะ และเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา มากไปกว่าซึมซับเอาเสียงบทเพลง
‘เมื่อใดเสือไม่รักป่า เมื่อใดหญ้าไม่รักดิน
เมื่อใดน้ำหยุดไหลริน เมื่อนั้นฉันสิ้นรักเธอ’
ควบคู่กับการประคองมือบาง ร่างผอมไว้แนบอกเพียงเท่านั้น วริญรำไพเองก็กำลังปล่อยหัวใจให้ล่องลอยกลับไปหาสิบสองปีที่แล้ว ที่มีพี่หินจับสองมือไว้
‘เต้นยังไงล่ะพี่หิน’
‘จะยากอะไร เอามือจับกันไว้สองข้าง แล้วก็ค่อยๆ ก้าวขาแบบนี้ๆ เอ๋ยก้าวตามพี่นะ’
‘ทำไมพี่หินเต้นเป็นล่ะ’
‘ก็ไม่รู้สิ พี่อาจจะเคยเต้นล่ะมั้ง เหมือนที่พี่จำพวกคณิต วิทย์ได้ จนสอนเอ๋ยได้ล่ะมั้ง ก้าวขาตามพี่เร็ว ช้าๆ นะ อย่างนั้นๆ’
สองพี่น้องต่างสายเลือดค่อยๆ ก้าว ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ ตามประสาไปด้วยเมื่อสิบสองปีก่อน ส่วนอีกสองร่างในปัจจุบันก็กำลังเคลื่อนกายตามเสียงเพลงไปอย่างเชื่องช้าอยู่บนยอดตึกที่ไม่มีใครเข้ามาข้องเกี่ยวเลย
‘เมื่อใดงูไม่หวงไข่ เมื่อใดนกไม่ละเมอ
เมื่อใดไร้ไก่ขันเก้อ เมื่อนั้นเธอไร้ฉันแน่นอน’
วริญรำไพยิ้มกว้างออกมา เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองเหยียบเท้าพี่หินในบางครั้งที่หัดเต้นด้วยกัน และประจวบ
เหมาะกับชลธิปก้มลงมามองพอดี
เขายิ้มบางๆ ให้ และรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยครั้งเหลือเกินเวลาได้อยู่ใกล้ๆ สาวผิวสีน้ำผึ้งคนนี้ “ผมชอบจังเวลา
เห็นคุณยิ้มแบบนี้มันทำให้คุณสวยน่ามองมากๆ”
วริญรำไพอายจนพูดอะไรไม่ออก “คุณรู้มั้ยเวลาที่คุณยิ้มทีไร มักจะทำให้อะไรต่อมิอะไรรอบตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมมองไม่เห็นอะไรหรือว่าใครอีก นอกจากรอยยิ้มคุณ”
“...”
เจ้าของรอยยิ้มยังคงพูดอะไรไม่ออก นอกจากเคลื่อนกายตามเขาไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น “ขอผมถามอะไรคุณนิดจะได้มั้ยครับเอ๋ย” ชลธิปไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอ่ยออกไปดีไหม
“อะไรคะ”
แต่เมื่ออีกคนเอ่ยมา เขาก็ควรจะกล้าที่จะเดินหน้าต่อ “ผมอยากถามว่า คุณจะวิ่งหนีผมเหมือนคืนที่อยู่บนดาดฟ้ามั้ย ถ้าผมจะ...”
วริญรำไพเงยขึ้นไปมองเมื่อเขาเว้นวรรคคำพูดไว้ สายตาทั้งสองคู่ประสานกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
วิโก้แชมป์จอดข้างทางพร้อมกับตอกไฟฉุกเฉินอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้เป็นเจ้าของกำลังใคร่ครวญว่าจะเอายังไง จะตอบรับคำเชิญหรือจะปฏิเสธเขาไปดี
‘เอ๋ยต้องสัญญาว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’
เมื่อประโยคนี้ผุดขึ้นมาในความคิด รถที่จอดอยู่ก็เลี้ยวกลับทางเดิมทันที “ทางนี้เลยค่ะคุณเอ๋ย คุณร๊อกรออยู่บนตึกโรมิโอค่ะ”
อนงค์รีบมาดึงแขนสาวสวยทันทีที่รถจอดตรงหน้าล๊อบบี แล้วพาเดินอ้อมตึกจูเลียตไปเข้าอีก “ทานอาหารให้อร่อยนะคะ”
วริญรำไพทำหน้าไม่ถูก เมื่อเลขาฯของเขาส่งยิ้มให้ ด้วยไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น สาวใหญ่คิดยังไงกับความสัมพันของตัวเองกับเจ้านายหนุ่มกันแน่ แต่ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรได้นานนัก
เมื่อลิฟต์พาขึ้นไปถึงยอดบนของตึกอย่างรวดเร็ว พอก้าวออกจากลิฟต์ก็พบกแต่ความเงียบเชียบ “ในที่สุดเจ้ามือของผมก็มาสักที” ไม่กี่อึดใจเขาก็ก้าวเดินออกมาจากเค้าน์เตอร์พร้อมรอยยิ้ม
แล้วผายมือออก “เชิญครับ อาหารพร้อมแล้ว” โต๊ะเล็กๆ มีผ้าปูสีขาวสะอาดตา แจกันเล็กๆ ปักกุหลาบแปดหรือเก้าดอก จัดเก้าอี้ไว้แค่สองที่เท่านั้น
วริญรำไพส่งยิ้มบางๆ แล้วก้าวเดินไปทรุดกายลงนั่งกับเก้าอี้ที่เขาเป็นคนขยับให้อย่างสุภาพบุรุษ พอเขานั่งลง อาหารก็ถูกบริกรหนุ่มสาวยกมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะหลายจานพร้อมกัน
เสร็จแล้วเจ้านายหนุ่มก็พยักหน้าให้ ทั้งหมดจึงรีบตรงไปหาลิฟต์ แล้วทั้งชั้นก็มีเพียงสองคนที่หลงเหลืออยู่ วริญรำไพเงยหน้าจากจานอาหารไปมองเขาแล้วยิ้มบางๆ
“ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวมากก็ตอนเที่ยงคืนนี่เอง งั้นเรากินเลยนะครับ”
แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอีก เมื่อเห็นเขาก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง ส่วนตัวเองนั้นเพียงแค่ตักเข้าปากนิดๆ หน่อยๆ เพราะอิ่มจากในงานแล้ว อีกทั้งปกติก็ไม่ค่อยจะกินมื้อเย็นอยู่แล้ว
“ตึกหมุนด้วยเหรอคะ” กินไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงวริญรำไพเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่นั่งของตัวเองย้ายห่างจากหน้าลิฟต์มาเล็กน้อย
“ผมอยากให้คนปากน้ำ คนบางปูหรือคนแถวๆ นี้ ได้ขึ้นมากินมื้อเที่ยงหรือค่ำบนตึกที่หมุนได้เหมือนในกรุงเทพฯ หรือที่พัทยาบ้าง อาหารผมก็ตั้งราคาไม่แพงนะ แค่หัวละเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเอง”
เขาอธิบาย ขณะที่ตัวเองลุกขึ้นยกจานชามบนโต๊ะไปถือไว้ “เอ่อ! ผมให้พนักงานกลับบ้านหมดแล้ว เพราะเลยเวลาทำงานมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเลยต้องทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี กินแล้วต้องเก็บ”
วริญรำไพเลยลุกขึ้นช่วยเขาบ้าง “คุณอยากเต้นรำกับผมหลังอาหารเย็นที่จะตีหนึ่งแล้วมั้ย”
ชั่วอึดใจนั้นเอง ที่บรรยากาศในยามบ่ายแก่ๆ ใต้ต้นเหรียงที่มีพี่หินอยู่ข้างๆ ก็สะกิดหัวใจอันแหลกสลายขึ้นมาทันที
“ถ้าคุณจะมีมงกุฏดอกไม้ให้ ฉันก็ยินดีค่ะ”
ชลธิปเลิกคิ้วเล็กน้อย “งั้นผมคงจะอดแล้วล่ะ เพราะคงไม่มีพนักงานคนไหนที่จะเนรมิตมงกุฏให้ผมในตอนนี้ได้ เอ...แต่เดี๋ยวนะ” เขายกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้รอ แล้วรีบตรงไปยังเก้าอี้
ดึงผ้าสีทองที่ผูกเป็นโบเอาไว้ตรงพนักพิงออกมา แล้วก้าวเร็วๆ มาหาเจ้าของชุดสีทับทิม
“ขอโทษนะครับ”
เอาผ้าพันรอศีรษะสาวตรงหน้าเพื่อวัดขนาด แล้วรีบขมวดผ้าให้เป็นริ้วๆ จับกุหลาบบนแจกันมาเสียบสลับกับจับริ้ว
“คนไม่ประสางานศิลอย่างผมก็มีปัญญาเท่านี้ล่ะครับ ผมพอจะได้คู่เต้นรำบ้างหรือเปล่าครับ”
เขายิ้มออก เมื่อสวมมุงกุฏผ้าดอกไม้ไปให้เจ้าของใบหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างทึ่งในความมีไหวพริบของเขา แต่เขากลับทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “แต่เราไม่มีดนตรีนี่สิ จะทำยังไง ผมคงเรียกใครมาเปิดเพลงให้ไม่ได้แน่”
“งั้นเราก็ควรจะกลับลงไปดีมั้ยคะ”
วริญรำไพส่งสีหน้าทำท่าว่าสงสารที่เขาต้องผิดหวัง แต่เขากลับยิ้มแป้นออกมาแล้วยกนิ้วเป็นเชิงบอกให้รอตามเคย เพราะไอเดียเพิ่งกระฉูดออกมาอีกอย่างแล้ว
“วันก่อนผมได้ยินเพียงนี้ในงานแต่งลูกค้าตอนเปิดตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผมว่ามันเพราะดีเลยทำเป็นเสียงเรียกเข้า และนี่จะเป็นเพลงเปิดฟลอร์ของเรา”
มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขา ถูกเปิดขึ้นแล้วเอาไปวางที่โต๊ะ พออินโทรเพลงขึ้นมา เขาก็ตรงมาหาสาวน้อยกับมงกุฏผ้าแล้วโค้งตัวเป็นการเชื้อเชิญ
“เพลงอะไรคะฉันไม่เคยได้ยิน” สองขาก้าวไปตามจังหวะช้าๆ สองดวงตาจ้องมองเขาแล้วยิ้มบางๆ ให้
“เพลง ทเวล ออฟ เนเวอร์ครับ แต่คุณนงค์บอกผมว่า มีเพลงไทยที่มีความหมายตรงกันและร้องได้ซึ้งกินในด้วย แล้วแกก็หามาให้ผมฟัง บอกได้คำเดียวว่าถูกใจผมมากจนต้องเอามาเก็บไว้ในมือถือเลย” ส่วนเขาก็ทำแบบเดียวกัน
“เพลงอะไรคะ” วริญรำไพชักอยากรู้ขึ้นมาทันใด
“ไม่บอกครับ เรามาฟังพร้อมกัน”
เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้แล้วจ้องมองดวงตาคู่เศร้าขณะก้าวไปตามจังหวะ และเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา มากไปกว่าซึมซับเอาเสียงบทเพลง
‘เมื่อใดเสือไม่รักป่า เมื่อใดหญ้าไม่รักดิน
เมื่อใดน้ำหยุดไหลริน เมื่อนั้นฉันสิ้นรักเธอ’
ควบคู่กับการประคองมือบาง ร่างผอมไว้แนบอกเพียงเท่านั้น วริญรำไพเองก็กำลังปล่อยหัวใจให้ล่องลอยกลับไปหาสิบสองปีที่แล้ว ที่มีพี่หินจับสองมือไว้
‘เต้นยังไงล่ะพี่หิน’
‘จะยากอะไร เอามือจับกันไว้สองข้าง แล้วก็ค่อยๆ ก้าวขาแบบนี้ๆ เอ๋ยก้าวตามพี่นะ’
‘ทำไมพี่หินเต้นเป็นล่ะ’
‘ก็ไม่รู้สิ พี่อาจจะเคยเต้นล่ะมั้ง เหมือนที่พี่จำพวกคณิต วิทย์ได้ จนสอนเอ๋ยได้ล่ะมั้ง ก้าวขาตามพี่เร็ว ช้าๆ นะ อย่างนั้นๆ’
สองพี่น้องต่างสายเลือดค่อยๆ ก้าว ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ ตามประสาไปด้วยเมื่อสิบสองปีก่อน ส่วนอีกสองร่างในปัจจุบันก็กำลังเคลื่อนกายตามเสียงเพลงไปอย่างเชื่องช้าอยู่บนยอดตึกที่ไม่มีใครเข้ามาข้องเกี่ยวเลย
‘เมื่อใดงูไม่หวงไข่ เมื่อใดนกไม่ละเมอ
เมื่อใดไร้ไก่ขันเก้อ เมื่อนั้นเธอไร้ฉันแน่นอน’
วริญรำไพยิ้มกว้างออกมา เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองเหยียบเท้าพี่หินในบางครั้งที่หัดเต้นด้วยกัน และประจวบ
เหมาะกับชลธิปก้มลงมามองพอดี
เขายิ้มบางๆ ให้ และรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยครั้งเหลือเกินเวลาได้อยู่ใกล้ๆ สาวผิวสีน้ำผึ้งคนนี้ “ผมชอบจังเวลา
เห็นคุณยิ้มแบบนี้มันทำให้คุณสวยน่ามองมากๆ”
วริญรำไพอายจนพูดอะไรไม่ออก “คุณรู้มั้ยเวลาที่คุณยิ้มทีไร มักจะทำให้อะไรต่อมิอะไรรอบตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมมองไม่เห็นอะไรหรือว่าใครอีก นอกจากรอยยิ้มคุณ”
“...”
เจ้าของรอยยิ้มยังคงพูดอะไรไม่ออก นอกจากเคลื่อนกายตามเขาไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น “ขอผมถามอะไรคุณนิดจะได้มั้ยครับเอ๋ย” ชลธิปไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอ่ยออกไปดีไหม
“อะไรคะ”
แต่เมื่ออีกคนเอ่ยมา เขาก็ควรจะกล้าที่จะเดินหน้าต่อ “ผมอยากถามว่า คุณจะวิ่งหนีผมเหมือนคืนที่อยู่บนดาดฟ้ามั้ย ถ้าผมจะ...”
วริญรำไพเงยขึ้นไปมองเมื่อเขาเว้นวรรคคำพูดไว้ สายตาทั้งสองคู่ประสานกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
กระทั่งพานพบกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่ดูเหมือนจะรับรู้ว่าเขากำลังจะมอบจุมพุตให้ยังไงยังงั้น เสียงเพลงในมือถือยังคงขับกล่อมไป แต่สองกายหยุดเท้าไว้อยู่กลางฟลอร์
‘ตราบทิวาไร้สุรีย์ ตราบราตรีไร้ศศิธร
ตราบหิมาลัยโยกคลอน ตราบนั้นฉันจะร้างลา
เมื่อใดมดลืมน้ำตาล เมื่อใดบ้านลืมหลังคาเมื่อใดลมไม่พัดพา เมื่อนั้นฉันหยุดรักเธอ’ ขอบคุณศิลปินผู้ล่วงลับอิทธิ พลางกูร เพลงเมื่อใดฉันไร้รัก
สองวงแขนแข็งแรงโอบกอดร่างระหงในชุดสีทับทิมสวยงามเอาไว้ แล้วดูดดื่มความหอมหวานของน้ำผึ้งเดือนห้าที่เขาปรารถนามาช้านาน
นับตั้งแต่ที่ได้อุ้มร่างผอมๆ นี้วางไว้กับเตียงพยาบาลในเช้าวันนั้นแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นเพียงความใคร่ หรือความอยากจับต้องอยากลิ้มลองของสวยงามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทว่าเหมือนเขามีสายใยผูกพันกับคนในอ้อมแขนอยู่ลึกๆ สุดใจ ที่ไม่เคยมีใครค้นพบ แม้แต่เขาเองก็ตามที กระทั่งในค่ำคืนที่ได้มอบจุมพิตแรกให้เจ้าของกายแข็งทื่อในคืนนั้น ซึ่งผิดกับคืนนี้ไปบ้างเล็กน้อย
เพราะร่างเล็กๆ กำลังโอบกอดเขาตอบ และพยายามจะมอบจุมพิตอันไร้เดียงสา ไร้ชั่วโมงบินตอบเขา วริญรำไพรู้สึกเหมือนตัวจะลอยขึ้นกลางอากาศ แม้จะมีวงแขนเขาโอบรั้งไว้สักแค่ไหนก็ตาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ