ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) สงสัยในเสี้ยนหนาม ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแม้จะไม่รู้ แม้ไม่แน่ใจว่าชายตรงหน้าจะเป็นพี่หินหรือคนหน้าเหมือนเท่านั้น แต่หัวใจเจ้ากรรมมันช่างเป็นสุขเกินจะเปรียบกับอะไรได้ เมื่อได้แนบกายไปกับอกอุ่นของเขาอยู่ตอนนี้
และปรารถนาเหลือเกินที่จะให้มีปาฏิหาริย์ทำให้เขา กับพี่หินผู้จากไปเป็นคนคนเดียวกัน แต่จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย กับคำตอบอย่างชัดเจนที่เคยบอกไว้ในค่ำคืนนั้น
‘อื้มห์! เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ คุณพ่อก็เป็นลูกโทน ผมเลยไม่ค่อยมีญาติพ่อน้องที่ไหน แล้วคุณถามทำไมครับ แล้วตอนหนุ่มๆ อายุสักสิบเจ็บสิบแปดหรือสิบเก้าปี คุณอยู่ที่ไหนคะ เคยไปเที่ยวเกาะหรือทะเลทางใต้บ้างหรือเปล่าคะ’
‘อื้มห์! เท่าที่รู้ไม่นะครับ ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถม มีเบรคก่อนเข้าฮาร์เวิร์ดไปปีหนึ่ง ตอนผมไปเป็นวาเลนเทียปนเที่ยวที่อาฟริกาใต้น่ะครับ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าถามผมทำไมครับ’
หัวใจดวงน้อยๆ ย้ำเตือนมายังเจ้าของว่า ถ้าเขาไม่ใช่หรือไม่น่าจะใช่พี่หิน วริญรำไพคนนี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำตัวเป็นมือที่สาม ทำให้เขากับคู่หมั้นต้องแตกแยก
เพราะรู้ดีว่าการสูญเสียของรักไปมันทุกข์ทรมานยังไง!
เมื่อหัวใจสั่งการออกมา สองมือบางที่กอดเขาไว้ จึงค่อยๆ ดันอกเขาออก เพื่อห้ามปราม และก็โชคดีที่เขาไม่ได้ดื้อรั้นเพื่อไปต่อ แต่หยุดนิ่งทุกการเคลื่อนไหวเอาไว้ แม้จะเป็นสุขและเสียดายแทบตายก็ตามที
“ดึกแล้วค่ะ ฉันคงต้องกลับบ้าน”
วริญรำไพเอ่ยเสียงแผ่วเบาและไม่ยอมสบตาเขาเลย นั่นทำให้เขารู้ดีว่าสาวตรงหน้ากำลังเอียงอาย “ตกลงครับ งั้นให้ผมไปส่งนะ”
แต่ดวงหน้ารูปไข่กับผิวสีน้ำผึ้งก็ต้องเงยขึ้นมองเขาอีกวาระ “ฉันเอารถมาค่ะ แล้วนี่ก็ดึกแล้วคุณก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน” ก่อนจะปฏิเสธออกไป แต่เขาหรือจะยินยอมได้
“นั่นยิ่งเป็นเหตุผลที่ผมไม่ควรจะปล่อยให้คุณขับรถกลับบ้านคนเดียว ตามมาครับ”
แล้วมือบางก็ถูกเขาจูงไปที่โต๊ะ เพื่อคว้าโทรศัพท์แล้วกดสั่งงานเพียงไม่กี่ประโยค ขณะอยู่ในลิฟต์ พอออกจากตัวตึก วิโก้แชมป์สีเทาก็มีจอดรอเรียบร้อยแล้ว
ชลธิปรับกุญแจจากไก่แล้วรีบเดินไปเปิดประตูให้เจ้าของรถในตำแหน่งผู้โดยสาร ส่วนเขาอ้อมกลับไปนั่งในตำแหน่งคนขับหน้าตาเฉย
“บ้านคุณไปทางไหนครับ”
และหันไปถามคนข้างๆ หน้าตาเฉย ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น วริญรำไพยิ้มบางๆ ออกมาในความไม่ยอมแพ้ของเขา แต่สุดท้ายก็บอกจุดหมายปลายทางให้เขาอยู่ดี
ปกติจะรู้สึกว่าคอนโดฯกับโรงแรมของเขาไกลกันไปสักนิดเวลามาทำงาน แต่ค่ำคืนนี้กลับรู้สึกเหมือนว่ามาถึงเร็วเหลือเกิน
“ให้ผมขึ้นไปส่งที่หน้าห้องนะครับ”
ชลธิปหันไปเอ่ยเมื่อออกจากรถได้เรียบร้อยแล้ว แต่คนข้างๆ กลับมีสีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถึงกับยิ้มร่าออกมา
“ผมส่งแค่หน้าประตูห้องเท่านั้นครับ เพราะดึกแล้วไม่อยากปล่อยให้คุณเดินไปคนเดียว ผมเป็นห่วง”
เลยรีบอธิบาย นั่นถึงทำให้เจ้าของห้องก้าวเดินตรงไปหาลิฟต์ และเมื่อถึงหน้าห้องก็หันมายิ้มให้เขา กำลังจะกล่าวขอบคุณ แต่ก็ถูกเขารวบมือบางไว้ แล้วเอากุญแจรถใส่ให้
“กู๊ดไนท์ครับ แล้วพบกันใหม่” แล้วเขาก็รีบเดินจากไป
วริญรำไพยืนยิ้มตามด้วยความโล่งใจ แต่เขาก็หันกลับมาทำภาษามือเป็นเชิงบอกให้เข้าไปในห้องได้แล้ว มือบางถึงได้ควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าแล้วเปิดเข้าไป
“อะไรนะ อยู่เกาะในจังหวัดกระบี่เหรอจ๊ะหนูย่า”
“ค่ะคุณป้า ถ้าย่าจำไม่ผิดนะคะ ว่าแต่คุณป้าถามทำไมเหรอคะ หรือว่าติดใจฝีมือการถ่ายรูปของคุณเอ๋ยเหมือนย่าเข้าแล้ว”
ดลยาส่งยิ้มบางๆ ให้ว่าที่แม่สามี ขณะเดียวกันก็หันไปหาแม่กับน้อง ที่นั่งจิบชายามบ่ายในวันหยุดอยู่ในซุ้มกระจกกลางบึงน้ำที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ รอบกายเต็มไปด้วยบัวกระด้ง
ตรงสนามหญ้าก็มีไม้ดอกนานาชนิดปลูกไว้ทั่วบริเวณสลับกับหญ้าญี่ปุ่นสีเขียวสดใด และกินอาณาบริเวณกว้างขวางถึงห้าไร่ ห่างออกไปเป็นคฤหาสน์ทรงโรมันหลังงามราคาสามร้อยล้านบาท
“แล้วคุณรัตน์จะอยากรู้เรื่องของแม่คนนั้นไปทำไมกันคะ”
ดลพรอดสงสัยไม่ได้ และอยากรู้ว่าอติรัตน์คิดเหมือนที่ตัวเองคิด หรือเห็นเหมือนที่ตัวเองเห็นในงานวันเปิดโรงแรมบ้างไหม
เพราะมักจะเห็นชลธิปมักแอบมองไปยังแม่สาวผมยาวเว่อร์บ่อยครั้งกว่าที่ควรเป็น แม้จะเป็นการมองแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่อีกฝ่ายก็คอยมองไปหาเขาบ่อยครั้งเช่นกัน
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะคุณพร พอดีรัตน์เห็นว่าแม่มักจะได้อยู่ใกล้ๆ ตาร๊อกบ่อยๆ รัตน์ไปโรงแรมทีไรก็จะเห็นทุกทีเลยอยากถามหนูย่า แล้วก็อยากจะเตือนไว้ให้คอยดูสองคนนี้หน่อยก็ดี อย่าปล่อยมากไป ต่อให้ตาร๊อกเป็นลูกของรัตน์ แต่รัตน์ก็ยังไม่ไว้ใจนะคะ ไฟกับน้ำมันถ้าให้อยู่ใกล้กันแล้วโอกาสจะลุกพรึบใส่กันมีเยอะจะตายไป”
“คุณรัตน์คิดมากไปหรือเปล่าคะ” แม้ดลพรจะคิดและเห็นด้วยกับอติรัตน์ แต่ก็ไว้เชิงก่อน
“นั่นสิคะคุณแม่ ที่คุณเอ๋ยได้ไปโรงแรมบ่อยๆ ก็เพราะไปทำงานค่ะ เพราะคุณสุทำสัญญาใช้โลเคชั่นไว้กับร๊อกแล้วค่ะ” ดลยาไม่คิดเหมือนทั้งสองคน เลยอธิบายให้เข้าใจ
“ป้ารู้จ้ะ แต่ป้าก็ไม่อยากให้หนูย่าปล่อยปะละเลยตาร๊อกมากเกินไป อย่ามัวแต่ทำงานจนลืมไปหา หรือไปชวนตาร๊อกไปกินข้าวด้วยกัน หรือเดินเที่ยวด้วยกันบ้าง อีกเดือนกว่าๆ ก็จะแต่งงานกันแล้ว”
ดลยาอยากจะถามกลับว่าที่แม่สามีเอามากๆ ว่า ทำไมจะต้องให้ตัวเองเป็นฝ่ายไปหา แทนที่เขาซึ่งเป็นฝ่ายชายควรจะมาหาเอง แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยคำนี้ออกมา ในเมื่อมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะฉุดเขาให้ห่างงานอันแสนจะยุ่งวุ่นวายทุกวี่วันได้
“พี่ย่าน่ะเหรอคะจะว่างคุณป้า เห็นวันๆ เอาแต่ยุ่งงาน”
ดลชาเลยรีบดักทางพี่ เพราะนับตั้งแต่ตัวเองเรียนจบแล้วเข้าไปช่วยงานพี่ได้ไม่กี่เดือน ก็เห็นพี่ยุ่งกับงานตลอดเวลา บางครั้งตัวเองยังต้องเข้าไปประชุมเรื่องจัดงานแต่งกับสุภาภรณ์แทนพี่ด้วยซ้ำ
“คุณรัตน์ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ อีกหน่อยสองคนนี้ก็ได้ไปไหนด้วยกันบ่อยๆ แน่ เพราะต้องเอาการ์ดไปไล่แจกให้ผู้ใหญ่ของเราไงคะ” ดลพรเลยรีบเสนอ นั่นทำให้อติรัตน์เบาใจได้บ้าง และรีบลากลับเพราะนัดกับสามีไว้ที่ออฟฟิศ
“แม่ว่าย่าฟังคำเตือนของป้ารัตน์ไว้หน่อยก็ดีนะจ๊ะ” คล้อยหลังแขกไป ดลพรเลยรีบเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเมื่อครู่มาก แต่ดลยากลับยิ้มออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
‘เอ๋ยไม่มีแฟน และไม่เคยมองผู้ชายคนไหนหรอกค่ะ ต่อให้มีคนหล่อ รวย มาจีบสุก็ไม่เห็นว่าเอ๋ยจะสนใจใคร นอกจากทำงานแล้วก็กลับบ้านเท่านั้น จนสุกับน้องๆ คิดว่าเอ๋ยจะเป็นพวกตีฉิ่งด้วยซ้ำ
แต่ยัยหนิงที่เป็นเพื่อนเรียนที่จุฬาฯ ด้วยกันยืนยันว่าไม่ใช่ สุก็ว่าไม่นะ แต่ถามทีไรเอ๋ยก็ไม่เคยบอกว่าทำไมไม่สนใจหรือไม่ให้ใครมาจีบเลย นอกจากยิ้มเท่านั้น หนิงเลยตั้งฉายาให้เอ๋ยว่าเป็นเจ้าหญิงเย็นชาเจ้าหญิงน้ำแข็งไปเลยน่ะค่ะ’
เพราะได้คำยินคำบอกเล่าจากปากสุภาภรณ์เองมากับหู ตอนที่ได้เห็นช่างภาพผมสวยครั้งแรก “แต่วันนั้นช่าก็เห็นพี่ร๊อกแอบมองสาวผมสวยของพี่ย่าเหมือนกันนะ คนอะไรไม่รู้ผมไว้ผมยาวมาก”
น้องสาวก็พลอยเป็นไปกับแม่ด้วยในความคิดดลยา
“ว่างเหรอเราน่ะ แล้วที่พี่ให้ติดต่อไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากับบ้านพักคนชราเพื่อเลี้ยงอาหารล่ะ เรียบร้อยหรือยัง นัดวันได้หรือยัง อาหารจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
พี่เลยถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องด้วยการเอางานขึ้นมาอ้าง
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ว่าจะถามพี่ย่าอยู่เหมือนกันว่าจะว่างไปดูเสื้อผ้ากับขนมที่จะซื้อไปฝากเด็กๆ เมื่อไหร่ คุณพ่อบอกว่าจะให้อุปกรณ์กีฬาเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน แล้วก็จะให้ทุนเพิ่มอีกสิบคนด้วยล่ะค่ะ แล้วคุณแม่จะให้อะไรคะ”
เพราะทุกปีไม่ว่าจะวันเกิดใคร ครอบครัวของดลยาก็มักจะทำบุญด้วยการเลี้ยงอาหารให้กับผู้ด้อยโอกาสตามที่ต่างๆ ไม่ว่างเว้น ด้วยนพดลพ่อเป็นคนใจบุญ ตัวเองกับน้องเลยซึมซับได้จากผู้พ่อ
“โอ๊ย! ทั้งพ่อเราแล้วก็เราสองคนไปบริจาคคนพวกนั้นก็เหลือจะรับแล้วล่ะ แม่เก็บเงินไว้ไปนวดหน้าดึงหน้าดีกว่า ทำบุญมากๆ เดี๋ยวได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นมาก็เหงาตายกันพอดี เพราะไม่ค่อยมีใครได้ขึ้นไปบนนั้นนัก”
ผิดกับดลพรที่ออกจะตระหนี่ มองการให้ไว้เปรียบเทียบกับสิ่งที่จะได้เป็นอันดับแรก แม้กระทั่งการจะคบคนก็ต้องมองผลที่จะได้ตามมาจากการคบค้าสมาคมด้วย และถ้าใครด้อยกว่าตัวเองก็จะไม่อยู่ในสายของดลพรด้วยซ้ำ
ข้อเสียนี้ทำให้ดลพรไม่น่าจะได้สามีดีๆ อย่างนพดลนัก ถ้าสมัยสาวๆ ไม่มีความเป็นคนสวยจนไร้ที่ติกับฐานะทางบ้านที่อยู่ในแวดวงผู้มีอันจะกินมาช่วยฉุดดึงไว้ หรือแม้แต่ตอนนี้ในวัยห้าสิบห้าดลพรก็ยังสวยไม่สร่างอยู่นั่นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ