ตราบฟ้าไร้ดาว
5.8
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
27 ตอน
2 วิจารณ์
32.00K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) ความหวังอันริบหรี่ ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เอ่อ! คุณมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายบ้างหรือเปล่าคะ”
“ไม่ครับผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ภาษาไทยเรียกว่าลูกโทนน่ะครับ”
“ฝาแฝดหรือญาติที่หน้าเหมือนหรือหน้าคล้ายๆ คุณก็ไม่มีเหรอคะ” อีกคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เลยย้ำถามอีก
“อื้มห์!”
เขายืนทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นั่นทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ที่อยู่ข้างๆ เต้นแรงกว่าปกติขณะรอคำตอบ ที่อยากให้เป็นคำว่า ‘ใช่’ จนใจจะขาด
“แต่เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ” แต่คำตอบก็ทำให้ผิดหวังจนได้ แล้วคนข้างๆ ก็อธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มขณะเท้าก้าวเดินต่อ
“คุณปู่ผมก็เป็นลูกโทน คุณพ่อก็เป็นลูกโทน ผมเลยไม่ค่อยมีญาติพ่อน้องที่ไหนมาก แล้วคุณถามทำไมครับ” เพราะใจจดจ่ออยู่กับคำถาม วริญรำไพเลยไม่ได้ตอบ แต่ยิงคำถามต่อ
“แล้วตอนหนุ่มๆ อายุสักสิบเจ็บสิบแปดหรือสิบเก้าปี คุณอยู่ที่ไหนคะ เคยไปเที่ยวเกาะหรือทะเลทางใต้บ้างหรือเปล่าคะ”
“อื้มห์!”
อีกครั้งที่เขาต้องทำท่าทางแบบเมื่อกี้ไม่มีผิดเพี้ยน และคนข้างๆ ก็มีท่าทางไม่ต่างกันเลยสักนิด
“เท่าที่รู้ไม่นะครับ”
และคำตอบที่ได้ ก็ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเดินไปพร้อมเขา ฟังเขาอธิบายอย่างเต็มอกเต็มใจอยู่ดี
“ผมถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถม มีเบรคก่อนเข้าฮาร์เวิร์ดไปปีหนึ่ง ตอนผมไปเป็นวาเลนเทียปนเที่ยวที่อาฟริกาใต้น่ะครับ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าถามผมทำไมครับ”
+++++++++++++++
“แล้วช่วงนั้นคุณเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรง จนจำอะไรไม่ได้บ้างหรือเปล่าคะ”
นอกจากจะไม่ตอบคำที่เขาย้ำถามแล้ว วริญรำไพยังยิงคำถามที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินขึ้นมาอีก ทำเอาเขาหยุดเดินแล้วหันไปมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที
“นอกจากคุณอยากจะรู้ว่าผมมีพี่น้องหรือฝาแฝดที่ผมเองก็อยากมีแล้ว คุณยังอยากจะให้ผมโชคร้ายถึงกับเลือดตกยางออกหรือถึงกับความจำเสื่อมเลยเหรอครับ ทำไมคุณใจร้ายจัง ผมควรจะเดินเล่นกับคุณหรือควรจะรีบหนีกลับห้องพักกันดีนะ”
วริญรำไพยิ้มกว้างออกมาด้วยความขำเมื่อเห็นสีหน้าเขาในแสงสลัว กับน้ำเสียงที่บอกได้ว่าไม่จริงจังกับคำพูดตัวเองนัก “เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากจะรู้เท่านั้น”
“งั้นคำตอบก็คือ ‘โน’ นะครับ”
แล้วเขาก็หยุดเดินแล้วหันมองซ้ายขวาด้วยความสงสัย ก่อนหันไปหาคนข้างๆ เพื่อขอความเห็น
“ว่าแต่เราเดินมาถึงที่ไหนแล้วล่ะ ผมชักจะเหนื่อยแล้ว ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน พอเครื่องแลนดิ้งได้ ผมก็ตรงมานี่ แล้วก็ส่งข้อความหาคุณเลย คุณล่ะกินอะไรหรือยัง”
วริญรำไพหยุดยืนแล้วมองร่างสูงๆ ของเขาหันซ้ายแลขวาหาพิกัด ปากก็บอกยืดยาวชนิดที่ไม่เคยได้ยินเขาพูดยาวเท่านี้นมาก่อน
+++++++++++++++
“เรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นเรากลับดีกว่านะคะ ฉันก็ชักจะเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ และเราก็เดินมาไกลเหมือนกัน”
“โอเคครับ กลับก็กลับ ว่าแต่คุณเดินไหวหรือเปล่าครับ”
“ไหวค่ะ” แต่คนตอบมีอาการหอบน้อยๆ
“แน่ใจนะครับ เพราะถ้าไม่ไหวคุณขี่หลังผมได้นะ ถ้าไม่ถืออะไร ไว้ใกล้ๆ ถึงโรงแรมแล้วคุณค่อยลงก็ได้”
“...”
‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’
อีกครั้งที่เสียงและจังหวะของหัวใจที่บาดเจ็บมาสิบสองปีเต็มๆ เต้นอย่างรุนแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก เมื่อได้ยินประโยคอันแสนจะคุ้นหูของพี่หินในเย็นวันนั้น
“ผมพูดเล่นน่ะครับ”
และเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มกับรอยยิ้มจากเขา เลยเรียกสติสตังให้กลับคืนมา ขาก็ค่อยๆ ก้าวต่อ “งานวันนี้ไปถึงไหนแล้วครับ พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ...”
ขากลับแทบไม่มีเรื่องส่วนตัวปะปนอยู่ในหัวข้อสนทนาเลยนอกจากเรื่องงานเท่านั้น “ก้าวระวังๆ นะครับบันไดเปื้อนทรายเดี๋ยวจะลื่น”
พอใกล้ถึงบันไดชลธิปก็เตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะคู่หมั้นเคยลื่นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่วริญรำไพกลับหันไปยิ้มให้เขาเป็นเชิงไม่เชื่อ เพราะอยู่กับหาดชายมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ก็ไม่อยากทำให้เขาเสียน้ำใจเลย
+++++++++++++++
“ค่ะ” ตอบรับแค่นี้เท่านั้น
“อุ๊ย!!!”
แล้วตามด้วยคำอุทานออกมา เมื่อก้าวขาพลาดจนเสียหลักเกือบจะหงายหลังไปหาชายหาด หากไม่มีแผงอกกว้างกับสองวงแขนแข็งแรงรีบเข้ามารับไว้
“เมื่อกี้ผมเตือนคุณแล้วนะครับ”
ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มมาหาใบหน้ารูปไข่ที่อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบ สองลมหายใจเป่ารดกันไม่มาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วริญรำไพจะรีบตั้งหลักแล้วยืนด้วยตัวเองอย่างมั่นคงได้
“เอ่อ! ฉันขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
แล้วก็รีบวิ่งหนีไปจากวงแขนของเขาอย่างรวดเร็ว และไม่คิดจะหันมามองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยิ้มตามอย่างเป็นสุขใจ แม้จะเสียดายเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอีกสักพักก็ตามที
แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับวันนี้แล้ว ส่วนวันใหม่เขาบอกกับตัวเองว่าจะพยายามหาโอกาสอยู่ใกล้ๆ เธอให้จงได้ เพราะยังอยากได้คำตอบว่าทำไมหัวใจถึงร่ำร้องแต่อยากมีเธออยู่ข้างกายนัก
แต่เพราะงานยุ่ง แถมยังต้องบินไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อประชุมอีก ทำให้โอกาสที่เขาวาดหวังไว้ต้องจบสิ้นลงแทบจะทันที
‘ผมมีงานด่วนต้องบินไปสวิตฯ จะพยายามกลับมาให้ทันวันที่งานคุณเสร็จ’
‘แล้วเจอกันครับ/ร๊อก’
ก็ยังดีที่ระหว่างไปสนามบินเขามีเวลาได้ส่งข้อความไปบอกกล่าวให้เธอเข้าใจ และไม่กี่วินาทีใบหน้าหล่อเหลาก็ได้ยิ้มกว้างออกมากับคำตอบของเธอที่ส่งมาให้เพียงแค่คำว่า
‘ค่ะ’
เท่านั้น อีกครั้งที่เขาอดเปรียบเทียบกับคู่หมั้นไม่ได้ เพราะคงจะต้องมีคำถามยืดยาวตามมาอีกเป็นชุด เช่นไปทำอะไร กับใคร อยู่นานแค่ไหน จะกลับเมื่อไหร่
+++++++++++++++
แม้จะหลีกเลี่ยงการสื่อสารจากคุยเป็นข้อความแล้ว แต่เขาก็ยังต้องเสียเวลานั่งตอบยาวยืดอยู่ดี แม้เบื่อบ้างในบางครั้งเพราะเหนื่อยกับงานจนไม่อยากทำอะไรก็ตามที
‘แค่นั้นเหรอครับ’
แต่กับคนนี้ทำไมเขาไม่รู้สึกเบื่อ หรือเหนื่อยเลย จึงตอบกลับไปทั้งรอยยิ้ม ไม่นานก็ได้ยิ้มกว้างออกมาอีกคนคนขับแปลกใจในอาการเจ้านาย
‘เดินทางปลอดภัยนะคะ’
เมื่อคำตอบที่ได้มันออกจะธรรมดาเหลือเกิน มือที่ใช้แป้นพิมพ์คล่องแคล่วรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
‘ขอบคุณครับ อยากได้ของฝากอะไรหรือเปล่าครับ’
‘ไม่ค่ะขอบคุณค่ะ’
‘ไม่มีอะไรอยากได้เลยเหรอครับ’
‘อืม! ไม่ดีกว่าค่ะ ขออนุญาตทำงานนะคะน้องๆ รออยู่ค่ะ’
เขาอดยิ้มออกมาอีกไม่ได้ เมื่อวาดภาพเจ้าของข้อความที่กำลังอยู่ท่ามกลางกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ สายไฟระโยงระเยง น้องๆ ทีมงานรอบกาย กับการถ่ายทำพรีเซนเทชั่นให้ออกมาดีตามที่เขาต้องการ
‘ครับ แล้วเจอกัน/ร๊อก’
เลยไม่อยากจะกวนเวลาทำงานนัก อีกทั้งตัวเองก็ต้องลงจากรถแล้ว เมื่อไก่อ้อมมาเปิดประตูพร้อมยกกระเป๋าใส่รถเข็นให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบวิ่งไปขับรถออกไปเมื่อถูกเป่านกหวีดไล่กรายๆ
+++++++++++++++
“อ๋อ! ได้ค่ะคุณรัตน์ งั้นใกล้เที่ยงเจอกันนะคะ สวัสดีค่ะ”
ดลพรวางสายแล้วก็หันไปหาลูกๆ กับสามีที่กำลังเดินลงมาบันไดแล้วตรงไปยังโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่สนามหน้าบ้านในยามเช้าที่อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย และทุกคนได้หยุดงานพร้อมหน้ากัน
“ทำไมย่าไม่ตามพ่อร๊อกไปสวิตล่ะลูก”
คำถามของแม่ที่เดินตามมา ทำเอาทุกคนหันมองแทบจะพร้อมกัน “ร๊อกไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะคุณแม่” ดลยาถามเสียงอ่อยกว่าปกตินิดเดียว
“ออกบ้านไปเมื่อตะกี้ เห็นคุณรัตน์ว่างั้นนะอย่าบอกนะว่าลูกไม่รู้”
แต่ก็ยังปิดผู้แม่ไม่ได้อยู่ดี เพราะเรื่องการจับผิดคนนี่ต้องยกนิ้วให้ “ย่าหมายถึงเดินทางกี่โมงน่ะค่ะคุณแม่ ส่วนเรื่องไปน่ะ ร๊อกโทรบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะค่ะ แต่ย่าไปด้วยไม่ได้”
และหวังว่าคำโกหกนี้จะปิดบังแม่ได้ แม้จะอดน้อยอกน้อยใจไม่ได้ที่คู่หมั้นดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญอะไร จะไปไหนจะมาไหนก็ไม่บอกกล่าว
“ติดอะไรนักหนาล่ะเราน่ะ โรงแรมก็ของเราเอง จะไปไหนมาไหนใครจะมาว่าอะไร ทำเป็นปล่อยไปเหอะ ตาร๊อกดอดไปหาสาวอื่นจนไม่ได้แต่งกันแม่จะหัวเราะให้ดู”
“คุณนี่! พูดอะไรไม่เป็นมงคลแต่เช้าเลย กินข้าวดีกว่าจะได้รีบไปวัดกัน”
เลยถูกสามีเตือนน้อยๆ “พี่ย่าจะไปให้ช่างลองแต่หน้าทำผมเมื่อไหร่คะ” ดลชาเห็นแม่หน้าบึ้งน้อยๆ เลยรีบหันไปหาพี่ขณะตักผัดผักใส่ชามข้าวต้ม
+++++++++++++++
“อืม! ก็เสร็จจากไปทำสังฆทานแล้วพี่ก็ว่าจะแยกไปเลยจ้ะ ช่ามีอะไรเหรอ”
“ช่าอยากไปด้วยน่ะสิคะ เพื่อนเจ้าสาวก็อยากสวยเหมือนกันนะ อีกอย่างช่าจะได้ดูๆ ไว้ เผื่องานของตัวเองจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างไง”
“หาแฟนให้มันได้ก่อนเถอะเราน่ะ”
ผู้แม่เลยเหน็บด้วยสายตาเอ็นดูยิ่งให้ “อ้าว! ทำไมจะต้องหาด้วยล่ะคะ อีกหน่อยคุณแม่ก็จะพามาให้ช่ารู้จักถึงบ้านเลย ช่าก็จะคอยเลือกอย่างสบายๆ ไม่ต้องเสียเวลาหาเอง”
คำน้องทำเอาผู้พี่อดคิดถึงการได้คู่ครองของตัวเองไม่ได้จริงๆ เพราะแทบไม่ได้เสียเวลาหา แต่ว่าที่เจ้าบ่าวก็เข้ามาใกล้ตัวเอง โดยการชักจูงของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่ต่างเห็นพ้องต้องกัน
ส่วนตัวเองก็ดันเห็นดีไปด้วย ในเมื่อมีชายหนุ่มรูปงาม นามเพราะ นิสัยดีมีมารยาท เข้ากันได้ดีไปเกือบทุกเรื่อง ฐานะทางบ้านมั่นคงจะชนิดกินไปตลอดชีวิตก็ไม่มีหมด
‘ความรัก’
แต่ดลยาก็รู้ว่าเขาขาดตรงนี้ หรือถ้ามีก็ยังมีให้กับคนที่เขาจะแต่งงานไม่มากพอ ทว่าก็ไม่เคยเห็นเขามีเรื่องสาวไหนมาให้เดือดเนื้อร้อนใจนับตั้งแต่คบหากันมาสองปี
และตัวเองก็ไม่เคยต้องเก็บเรื่องนี้มาขบคิด ในเมื่อเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว จะไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยบอกกล่าวหากตัวเองไม่เป็นคนโทรไปหาแล้วเขาบอกออกมาตามปกติ
++++++++++++
“แล้วที่แม่หาให้พี่เราน่ะ ดีมั้ยล่ะ เพอร์เฟคมั้ยล่ะ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกด้านและเข้ากับพี่เราได้ดีอย่างตาร๊อกน่ะ หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหามุทรอีกนะจะบอกให้”
คำนี้ของแม่โดนใจไม่น้อย “ถ้าช่าอยากไปด้วยก็ได้นะ ดีอีกพี่จะได้มีคนคอยช่วยออกความคิดเห็นไง เราทำบุญที่วัดเสร็จก็แยกคุณพ่อคุณแม่เลยนะ เอารถไปสองคันเลย”
“พ่อให้คนไปส่งก็ได้ลูก จะได้ไปด้วยกัน พ่อกับแม่ไม่รีบไปไหน ส่งลูกเสร็จแล้วจะไปหาอะไรกิน พาแม่เราช้อปปิ้ง พอลูกเสร็จพ่อจะวกไปรับเอง”
เพราะวันหยุดสมาชิกในบ้านมักจะไปไหนมาไหนด้วยรถตู้เพียงคันเดียว กิจกรรมที่ทำนั้นก็มีไม่กี่อย่าง ไม่ไปทำบุญที่วัดก็ไปเลี้ยงอาหารเด็กพิการ หรือคนชราเท่านั้น
พอเสร็จก็จะเที่ยวไปเรื่อยๆ อยากกินอะไรก็แวะกินไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลับเข้าบ้าน เพราะนพดลเป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก ไม่นอกลู่นอกทางกับหญิงไหนให้เมียต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
แม้ฐานะอย่างเขาจะมีเมียน้อยเป็นร้อยก็ยังได้ แต่ความที่เป็นคนอยู่ในศีลในธรรม รักเดียวใจเดียวแม้เมียจะจู้จี้ขี้บ่น ขี้งอน ขี้น้อยใจ แต่ความสวยของเมียก็ไม่เคยทำให้เบื่อเลย
“วันนี้คุณรัตน์จะไปกับเราด้วยนะคะคุณ เห็นว่าคุณทีไปตีกอล์ฟกับลูกค้า เย็นๆ จะกลับ พรสงสารที่แกท่าทางจะเหงาเลยชวนมาด้วยค่ะ”
“ก็ดีนี่คุณ แกจะได้ไปทำบุญกับเราบ้าง”
+++++++++++++
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา อติรัตน์ก็มักจะไปไหนด้วยบ่อยครั้ง ซึ่งนพดลเห็นเป็นเรื่องดีที่จะได้พาไปทำบุญด้วย เพราะเท่าที่สังเกตบ้านนั้นคงไม่ค่อยได้เข้าวัดกันสักเท่าไหร่
“ถ้าย่ากับน้องเสร็จช้าล่ะคะคุณพ่อ จะรอไหวเหรอคะ” ดลยาอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้ามีว่าที่แม่สามีตามไปด้วย เพราะกลัวจะต้องมานั่งรอเสียเวลา
“โอ๊ย! สองสาวนี้น่ะพ่อจัดการไม่ยากหรอก เอาไปปล่อยเข้าห้างเท่านั้น เราสองคนจะต้องมานั่งรอซะอีก”
นพดลยกกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทียิ้มน้อยๆ ที่ได้แหย่เมียให้ชีวิตของเช้าวันใหม่สดใสขึ้นมาอีก “งั้นวันนี้แม่จะช้อปจนพ่อเรากระเป๋าแฟ้บเลย อยากมาว่าดีนัก”
ดลยาหันไปหาน้องแล้วยิ้มออกมาด้วยความขำ ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน พ่อกับแม่ก็มักจะแหย่เย้ากันเป็นสีสันให้บ้านทุกวันไป จนอดสงสัยไม่ได้
ว่าถ้าตัวเองแต่งงานไปแล้ว จะมีชีวิตครอบครัวอิ่มสุขเหมือนบ้านตัวเองบ้างไหม สามีจะขี้เล่นเหมือนพ่อบ้างไหม จะรักเมียสุดหัวใจอย่างพ่อบ้างไหม คำถามนี้ยังคงติดอยู่ในใจเรื่อยมากระทั่งวินาทีนี้
วริญรำไพที่แม้กำลังจะยุ่งงาน แต่ก็มีเวลามาอ่านข้อความสุดท้ายได้อยู่ดี ใบหน้ารูปไข่ยิ้มน้อยๆ ออกมา แม้จะยังไม่มั่นใจหรือไม่อยากมั่นใจว่าเขาเป็นใครกันแน่ระหว่าง
‘ชลธิป จิระธนานนท์ กับพี่หินที่แสนดี’
แต่ตอนนี้ดูเหมือนความทุกข์ในหัวใจพอจะทุเลาเบาบางลงบ้าง แม้เพียงน้อยนิด ในตอนที่อยากจะหลอกตัวเองว่าเขาคือพี่หินเท่านั้นก็ตามที
“พี่เอ๋ยพร้อมแล้วค่ะ”
วริญรำไพต้องรีบยัดมือถือเข้าไปไว้ในกระเป๋าสะพายหนังอย่างดี และเป็นใบเดียวที่ใช้มาตลอดสามปี เพราะนี่เป็นของขวัญของ ‘พี่ใหญ่’ ที่ตั้งใจซื้อให้น้อง
“จ้ะ”
ก่อนจะหันไปยิ้มให้น้องกับทีมงาน แล้วทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้กับงานอย่างเต็มที่เพื่อหมายจะปิดงานให้ทันตามกำหนด
แต่ฝนฟ้าก็ไม่เห็นใจ ตกลงมาอย่างหนักในสายๆ ของวันสุดท้ายที่การถ่ายทำยังเริ่มได้ไม่เท่าไหร่ วริญรำไพเลยต้องหยุดไว้ แล้วพาน้องๆ ทีมงานตัดต่อและเลือกภาพในห้องประชุมแทน
เพื่อรอฝนให้หยุดตก แต่กว่าจะหยุดได้ก็เย็นย่ำแล้ว ทุกคนเลยต้องพักอีกคืนเพื่อรอถ่ายต่อพรุ่งนี้อีกวัน
“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะพี่เอ๋ย”
น้องๆ ที่อิ่มท้องด้วยอาหารอันเลิศรสแล้ว เข้ามาโบกมือลาวริญรำไพกับสุภาภรณ์ที่มาดูงานและกินข้าวด้วยกันก่อนกลับ
“หวังว่าพรุ่งนี้คงจะไม่ตกมาอีกนะ เบื่อจริงๆ ฝนไม่เป็นใจพวกนี้”
วริญรำไพแค่ยิ้มให้เจ้านายทีออกอาการเซ็งนิดๆ ผิดหวังหน่อยๆ เพราะต้องสับคิวงานอีกยกเมื่องานล่าช้าไปเพียงแค่วันเดียว
“ไม่ครับผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ภาษาไทยเรียกว่าลูกโทนน่ะครับ”
“ฝาแฝดหรือญาติที่หน้าเหมือนหรือหน้าคล้ายๆ คุณก็ไม่มีเหรอคะ” อีกคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เลยย้ำถามอีก
“อื้มห์!”
เขายืนทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นั่นทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ที่อยู่ข้างๆ เต้นแรงกว่าปกติขณะรอคำตอบ ที่อยากให้เป็นคำว่า ‘ใช่’ จนใจจะขาด
“แต่เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ” แต่คำตอบก็ทำให้ผิดหวังจนได้ แล้วคนข้างๆ ก็อธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มขณะเท้าก้าวเดินต่อ
“คุณปู่ผมก็เป็นลูกโทน คุณพ่อก็เป็นลูกโทน ผมเลยไม่ค่อยมีญาติพ่อน้องที่ไหนมาก แล้วคุณถามทำไมครับ” เพราะใจจดจ่ออยู่กับคำถาม วริญรำไพเลยไม่ได้ตอบ แต่ยิงคำถามต่อ
“แล้วตอนหนุ่มๆ อายุสักสิบเจ็บสิบแปดหรือสิบเก้าปี คุณอยู่ที่ไหนคะ เคยไปเที่ยวเกาะหรือทะเลทางใต้บ้างหรือเปล่าคะ”
“อื้มห์!”
อีกครั้งที่เขาต้องทำท่าทางแบบเมื่อกี้ไม่มีผิดเพี้ยน และคนข้างๆ ก็มีท่าทางไม่ต่างกันเลยสักนิด
“เท่าที่รู้ไม่นะครับ”
และคำตอบที่ได้ ก็ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเดินไปพร้อมเขา ฟังเขาอธิบายอย่างเต็มอกเต็มใจอยู่ดี
“ผมถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถม มีเบรคก่อนเข้าฮาร์เวิร์ดไปปีหนึ่ง ตอนผมไปเป็นวาเลนเทียปนเที่ยวที่อาฟริกาใต้น่ะครับ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าถามผมทำไมครับ”
+++++++++++++++
“แล้วช่วงนั้นคุณเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรง จนจำอะไรไม่ได้บ้างหรือเปล่าคะ”
นอกจากจะไม่ตอบคำที่เขาย้ำถามแล้ว วริญรำไพยังยิงคำถามที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินขึ้นมาอีก ทำเอาเขาหยุดเดินแล้วหันไปมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที
“นอกจากคุณอยากจะรู้ว่าผมมีพี่น้องหรือฝาแฝดที่ผมเองก็อยากมีแล้ว คุณยังอยากจะให้ผมโชคร้ายถึงกับเลือดตกยางออกหรือถึงกับความจำเสื่อมเลยเหรอครับ ทำไมคุณใจร้ายจัง ผมควรจะเดินเล่นกับคุณหรือควรจะรีบหนีกลับห้องพักกันดีนะ”
วริญรำไพยิ้มกว้างออกมาด้วยความขำเมื่อเห็นสีหน้าเขาในแสงสลัว กับน้ำเสียงที่บอกได้ว่าไม่จริงจังกับคำพูดตัวเองนัก “เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากจะรู้เท่านั้น”
“งั้นคำตอบก็คือ ‘โน’ นะครับ”
แล้วเขาก็หยุดเดินแล้วหันมองซ้ายขวาด้วยความสงสัย ก่อนหันไปหาคนข้างๆ เพื่อขอความเห็น
“ว่าแต่เราเดินมาถึงที่ไหนแล้วล่ะ ผมชักจะเหนื่อยแล้ว ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน พอเครื่องแลนดิ้งได้ ผมก็ตรงมานี่ แล้วก็ส่งข้อความหาคุณเลย คุณล่ะกินอะไรหรือยัง”
วริญรำไพหยุดยืนแล้วมองร่างสูงๆ ของเขาหันซ้ายแลขวาหาพิกัด ปากก็บอกยืดยาวชนิดที่ไม่เคยได้ยินเขาพูดยาวเท่านี้นมาก่อน
+++++++++++++++
“เรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นเรากลับดีกว่านะคะ ฉันก็ชักจะเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ และเราก็เดินมาไกลเหมือนกัน”
“โอเคครับ กลับก็กลับ ว่าแต่คุณเดินไหวหรือเปล่าครับ”
“ไหวค่ะ” แต่คนตอบมีอาการหอบน้อยๆ
“แน่ใจนะครับ เพราะถ้าไม่ไหวคุณขี่หลังผมได้นะ ถ้าไม่ถืออะไร ไว้ใกล้ๆ ถึงโรงแรมแล้วคุณค่อยลงก็ได้”
“...”
‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’
อีกครั้งที่เสียงและจังหวะของหัวใจที่บาดเจ็บมาสิบสองปีเต็มๆ เต้นอย่างรุนแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก เมื่อได้ยินประโยคอันแสนจะคุ้นหูของพี่หินในเย็นวันนั้น
“ผมพูดเล่นน่ะครับ”
และเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มกับรอยยิ้มจากเขา เลยเรียกสติสตังให้กลับคืนมา ขาก็ค่อยๆ ก้าวต่อ “งานวันนี้ไปถึงไหนแล้วครับ พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ...”
ขากลับแทบไม่มีเรื่องส่วนตัวปะปนอยู่ในหัวข้อสนทนาเลยนอกจากเรื่องงานเท่านั้น “ก้าวระวังๆ นะครับบันไดเปื้อนทรายเดี๋ยวจะลื่น”
พอใกล้ถึงบันไดชลธิปก็เตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะคู่หมั้นเคยลื่นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่วริญรำไพกลับหันไปยิ้มให้เขาเป็นเชิงไม่เชื่อ เพราะอยู่กับหาดชายมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ก็ไม่อยากทำให้เขาเสียน้ำใจเลย
+++++++++++++++
“ค่ะ” ตอบรับแค่นี้เท่านั้น
“อุ๊ย!!!”
แล้วตามด้วยคำอุทานออกมา เมื่อก้าวขาพลาดจนเสียหลักเกือบจะหงายหลังไปหาชายหาด หากไม่มีแผงอกกว้างกับสองวงแขนแข็งแรงรีบเข้ามารับไว้
“เมื่อกี้ผมเตือนคุณแล้วนะครับ”
ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มมาหาใบหน้ารูปไข่ที่อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบ สองลมหายใจเป่ารดกันไม่มาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วริญรำไพจะรีบตั้งหลักแล้วยืนด้วยตัวเองอย่างมั่นคงได้
“เอ่อ! ฉันขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
แล้วก็รีบวิ่งหนีไปจากวงแขนของเขาอย่างรวดเร็ว และไม่คิดจะหันมามองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยิ้มตามอย่างเป็นสุขใจ แม้จะเสียดายเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอีกสักพักก็ตามที
แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับวันนี้แล้ว ส่วนวันใหม่เขาบอกกับตัวเองว่าจะพยายามหาโอกาสอยู่ใกล้ๆ เธอให้จงได้ เพราะยังอยากได้คำตอบว่าทำไมหัวใจถึงร่ำร้องแต่อยากมีเธออยู่ข้างกายนัก
แต่เพราะงานยุ่ง แถมยังต้องบินไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อประชุมอีก ทำให้โอกาสที่เขาวาดหวังไว้ต้องจบสิ้นลงแทบจะทันที
‘ผมมีงานด่วนต้องบินไปสวิตฯ จะพยายามกลับมาให้ทันวันที่งานคุณเสร็จ’
‘แล้วเจอกันครับ/ร๊อก’
ก็ยังดีที่ระหว่างไปสนามบินเขามีเวลาได้ส่งข้อความไปบอกกล่าวให้เธอเข้าใจ และไม่กี่วินาทีใบหน้าหล่อเหลาก็ได้ยิ้มกว้างออกมากับคำตอบของเธอที่ส่งมาให้เพียงแค่คำว่า
‘ค่ะ’
เท่านั้น อีกครั้งที่เขาอดเปรียบเทียบกับคู่หมั้นไม่ได้ เพราะคงจะต้องมีคำถามยืดยาวตามมาอีกเป็นชุด เช่นไปทำอะไร กับใคร อยู่นานแค่ไหน จะกลับเมื่อไหร่
+++++++++++++++
แม้จะหลีกเลี่ยงการสื่อสารจากคุยเป็นข้อความแล้ว แต่เขาก็ยังต้องเสียเวลานั่งตอบยาวยืดอยู่ดี แม้เบื่อบ้างในบางครั้งเพราะเหนื่อยกับงานจนไม่อยากทำอะไรก็ตามที
‘แค่นั้นเหรอครับ’
แต่กับคนนี้ทำไมเขาไม่รู้สึกเบื่อ หรือเหนื่อยเลย จึงตอบกลับไปทั้งรอยยิ้ม ไม่นานก็ได้ยิ้มกว้างออกมาอีกคนคนขับแปลกใจในอาการเจ้านาย
‘เดินทางปลอดภัยนะคะ’
เมื่อคำตอบที่ได้มันออกจะธรรมดาเหลือเกิน มือที่ใช้แป้นพิมพ์คล่องแคล่วรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
‘ขอบคุณครับ อยากได้ของฝากอะไรหรือเปล่าครับ’
‘ไม่ค่ะขอบคุณค่ะ’
‘ไม่มีอะไรอยากได้เลยเหรอครับ’
‘อืม! ไม่ดีกว่าค่ะ ขออนุญาตทำงานนะคะน้องๆ รออยู่ค่ะ’
เขาอดยิ้มออกมาอีกไม่ได้ เมื่อวาดภาพเจ้าของข้อความที่กำลังอยู่ท่ามกลางกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ สายไฟระโยงระเยง น้องๆ ทีมงานรอบกาย กับการถ่ายทำพรีเซนเทชั่นให้ออกมาดีตามที่เขาต้องการ
‘ครับ แล้วเจอกัน/ร๊อก’
เลยไม่อยากจะกวนเวลาทำงานนัก อีกทั้งตัวเองก็ต้องลงจากรถแล้ว เมื่อไก่อ้อมมาเปิดประตูพร้อมยกกระเป๋าใส่รถเข็นให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบวิ่งไปขับรถออกไปเมื่อถูกเป่านกหวีดไล่กรายๆ
+++++++++++++++
“อ๋อ! ได้ค่ะคุณรัตน์ งั้นใกล้เที่ยงเจอกันนะคะ สวัสดีค่ะ”
ดลพรวางสายแล้วก็หันไปหาลูกๆ กับสามีที่กำลังเดินลงมาบันไดแล้วตรงไปยังโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่สนามหน้าบ้านในยามเช้าที่อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย และทุกคนได้หยุดงานพร้อมหน้ากัน
“ทำไมย่าไม่ตามพ่อร๊อกไปสวิตล่ะลูก”
คำถามของแม่ที่เดินตามมา ทำเอาทุกคนหันมองแทบจะพร้อมกัน “ร๊อกไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะคุณแม่” ดลยาถามเสียงอ่อยกว่าปกตินิดเดียว
“ออกบ้านไปเมื่อตะกี้ เห็นคุณรัตน์ว่างั้นนะอย่าบอกนะว่าลูกไม่รู้”
แต่ก็ยังปิดผู้แม่ไม่ได้อยู่ดี เพราะเรื่องการจับผิดคนนี่ต้องยกนิ้วให้ “ย่าหมายถึงเดินทางกี่โมงน่ะค่ะคุณแม่ ส่วนเรื่องไปน่ะ ร๊อกโทรบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะค่ะ แต่ย่าไปด้วยไม่ได้”
และหวังว่าคำโกหกนี้จะปิดบังแม่ได้ แม้จะอดน้อยอกน้อยใจไม่ได้ที่คู่หมั้นดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญอะไร จะไปไหนจะมาไหนก็ไม่บอกกล่าว
“ติดอะไรนักหนาล่ะเราน่ะ โรงแรมก็ของเราเอง จะไปไหนมาไหนใครจะมาว่าอะไร ทำเป็นปล่อยไปเหอะ ตาร๊อกดอดไปหาสาวอื่นจนไม่ได้แต่งกันแม่จะหัวเราะให้ดู”
“คุณนี่! พูดอะไรไม่เป็นมงคลแต่เช้าเลย กินข้าวดีกว่าจะได้รีบไปวัดกัน”
เลยถูกสามีเตือนน้อยๆ “พี่ย่าจะไปให้ช่างลองแต่หน้าทำผมเมื่อไหร่คะ” ดลชาเห็นแม่หน้าบึ้งน้อยๆ เลยรีบหันไปหาพี่ขณะตักผัดผักใส่ชามข้าวต้ม
+++++++++++++++
“อืม! ก็เสร็จจากไปทำสังฆทานแล้วพี่ก็ว่าจะแยกไปเลยจ้ะ ช่ามีอะไรเหรอ”
“ช่าอยากไปด้วยน่ะสิคะ เพื่อนเจ้าสาวก็อยากสวยเหมือนกันนะ อีกอย่างช่าจะได้ดูๆ ไว้ เผื่องานของตัวเองจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างไง”
“หาแฟนให้มันได้ก่อนเถอะเราน่ะ”
ผู้แม่เลยเหน็บด้วยสายตาเอ็นดูยิ่งให้ “อ้าว! ทำไมจะต้องหาด้วยล่ะคะ อีกหน่อยคุณแม่ก็จะพามาให้ช่ารู้จักถึงบ้านเลย ช่าก็จะคอยเลือกอย่างสบายๆ ไม่ต้องเสียเวลาหาเอง”
คำน้องทำเอาผู้พี่อดคิดถึงการได้คู่ครองของตัวเองไม่ได้จริงๆ เพราะแทบไม่ได้เสียเวลาหา แต่ว่าที่เจ้าบ่าวก็เข้ามาใกล้ตัวเอง โดยการชักจูงของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่ต่างเห็นพ้องต้องกัน
ส่วนตัวเองก็ดันเห็นดีไปด้วย ในเมื่อมีชายหนุ่มรูปงาม นามเพราะ นิสัยดีมีมารยาท เข้ากันได้ดีไปเกือบทุกเรื่อง ฐานะทางบ้านมั่นคงจะชนิดกินไปตลอดชีวิตก็ไม่มีหมด
‘ความรัก’
แต่ดลยาก็รู้ว่าเขาขาดตรงนี้ หรือถ้ามีก็ยังมีให้กับคนที่เขาจะแต่งงานไม่มากพอ ทว่าก็ไม่เคยเห็นเขามีเรื่องสาวไหนมาให้เดือดเนื้อร้อนใจนับตั้งแต่คบหากันมาสองปี
และตัวเองก็ไม่เคยต้องเก็บเรื่องนี้มาขบคิด ในเมื่อเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว จะไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยบอกกล่าวหากตัวเองไม่เป็นคนโทรไปหาแล้วเขาบอกออกมาตามปกติ
++++++++++++
“แล้วที่แม่หาให้พี่เราน่ะ ดีมั้ยล่ะ เพอร์เฟคมั้ยล่ะ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกด้านและเข้ากับพี่เราได้ดีอย่างตาร๊อกน่ะ หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหามุทรอีกนะจะบอกให้”
คำนี้ของแม่โดนใจไม่น้อย “ถ้าช่าอยากไปด้วยก็ได้นะ ดีอีกพี่จะได้มีคนคอยช่วยออกความคิดเห็นไง เราทำบุญที่วัดเสร็จก็แยกคุณพ่อคุณแม่เลยนะ เอารถไปสองคันเลย”
“พ่อให้คนไปส่งก็ได้ลูก จะได้ไปด้วยกัน พ่อกับแม่ไม่รีบไปไหน ส่งลูกเสร็จแล้วจะไปหาอะไรกิน พาแม่เราช้อปปิ้ง พอลูกเสร็จพ่อจะวกไปรับเอง”
เพราะวันหยุดสมาชิกในบ้านมักจะไปไหนมาไหนด้วยรถตู้เพียงคันเดียว กิจกรรมที่ทำนั้นก็มีไม่กี่อย่าง ไม่ไปทำบุญที่วัดก็ไปเลี้ยงอาหารเด็กพิการ หรือคนชราเท่านั้น
พอเสร็จก็จะเที่ยวไปเรื่อยๆ อยากกินอะไรก็แวะกินไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลับเข้าบ้าน เพราะนพดลเป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก ไม่นอกลู่นอกทางกับหญิงไหนให้เมียต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
แม้ฐานะอย่างเขาจะมีเมียน้อยเป็นร้อยก็ยังได้ แต่ความที่เป็นคนอยู่ในศีลในธรรม รักเดียวใจเดียวแม้เมียจะจู้จี้ขี้บ่น ขี้งอน ขี้น้อยใจ แต่ความสวยของเมียก็ไม่เคยทำให้เบื่อเลย
“วันนี้คุณรัตน์จะไปกับเราด้วยนะคะคุณ เห็นว่าคุณทีไปตีกอล์ฟกับลูกค้า เย็นๆ จะกลับ พรสงสารที่แกท่าทางจะเหงาเลยชวนมาด้วยค่ะ”
“ก็ดีนี่คุณ แกจะได้ไปทำบุญกับเราบ้าง”
+++++++++++++
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา อติรัตน์ก็มักจะไปไหนด้วยบ่อยครั้ง ซึ่งนพดลเห็นเป็นเรื่องดีที่จะได้พาไปทำบุญด้วย เพราะเท่าที่สังเกตบ้านนั้นคงไม่ค่อยได้เข้าวัดกันสักเท่าไหร่
“ถ้าย่ากับน้องเสร็จช้าล่ะคะคุณพ่อ จะรอไหวเหรอคะ” ดลยาอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้ามีว่าที่แม่สามีตามไปด้วย เพราะกลัวจะต้องมานั่งรอเสียเวลา
“โอ๊ย! สองสาวนี้น่ะพ่อจัดการไม่ยากหรอก เอาไปปล่อยเข้าห้างเท่านั้น เราสองคนจะต้องมานั่งรอซะอีก”
นพดลยกกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทียิ้มน้อยๆ ที่ได้แหย่เมียให้ชีวิตของเช้าวันใหม่สดใสขึ้นมาอีก “งั้นวันนี้แม่จะช้อปจนพ่อเรากระเป๋าแฟ้บเลย อยากมาว่าดีนัก”
ดลยาหันไปหาน้องแล้วยิ้มออกมาด้วยความขำ ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน พ่อกับแม่ก็มักจะแหย่เย้ากันเป็นสีสันให้บ้านทุกวันไป จนอดสงสัยไม่ได้
ว่าถ้าตัวเองแต่งงานไปแล้ว จะมีชีวิตครอบครัวอิ่มสุขเหมือนบ้านตัวเองบ้างไหม สามีจะขี้เล่นเหมือนพ่อบ้างไหม จะรักเมียสุดหัวใจอย่างพ่อบ้างไหม คำถามนี้ยังคงติดอยู่ในใจเรื่อยมากระทั่งวินาทีนี้
วริญรำไพที่แม้กำลังจะยุ่งงาน แต่ก็มีเวลามาอ่านข้อความสุดท้ายได้อยู่ดี ใบหน้ารูปไข่ยิ้มน้อยๆ ออกมา แม้จะยังไม่มั่นใจหรือไม่อยากมั่นใจว่าเขาเป็นใครกันแน่ระหว่าง
‘ชลธิป จิระธนานนท์ กับพี่หินที่แสนดี’
แต่ตอนนี้ดูเหมือนความทุกข์ในหัวใจพอจะทุเลาเบาบางลงบ้าง แม้เพียงน้อยนิด ในตอนที่อยากจะหลอกตัวเองว่าเขาคือพี่หินเท่านั้นก็ตามที
“พี่เอ๋ยพร้อมแล้วค่ะ”
วริญรำไพต้องรีบยัดมือถือเข้าไปไว้ในกระเป๋าสะพายหนังอย่างดี และเป็นใบเดียวที่ใช้มาตลอดสามปี เพราะนี่เป็นของขวัญของ ‘พี่ใหญ่’ ที่ตั้งใจซื้อให้น้อง
“จ้ะ”
ก่อนจะหันไปยิ้มให้น้องกับทีมงาน แล้วทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้กับงานอย่างเต็มที่เพื่อหมายจะปิดงานให้ทันตามกำหนด
แต่ฝนฟ้าก็ไม่เห็นใจ ตกลงมาอย่างหนักในสายๆ ของวันสุดท้ายที่การถ่ายทำยังเริ่มได้ไม่เท่าไหร่ วริญรำไพเลยต้องหยุดไว้ แล้วพาน้องๆ ทีมงานตัดต่อและเลือกภาพในห้องประชุมแทน
เพื่อรอฝนให้หยุดตก แต่กว่าจะหยุดได้ก็เย็นย่ำแล้ว ทุกคนเลยต้องพักอีกคืนเพื่อรอถ่ายต่อพรุ่งนี้อีกวัน
“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะพี่เอ๋ย”
น้องๆ ที่อิ่มท้องด้วยอาหารอันเลิศรสแล้ว เข้ามาโบกมือลาวริญรำไพกับสุภาภรณ์ที่มาดูงานและกินข้าวด้วยกันก่อนกลับ
“หวังว่าพรุ่งนี้คงจะไม่ตกมาอีกนะ เบื่อจริงๆ ฝนไม่เป็นใจพวกนี้”
วริญรำไพแค่ยิ้มให้เจ้านายทีออกอาการเซ็งนิดๆ ผิดหวังหน่อยๆ เพราะต้องสับคิวงานอีกยกเมื่องานล่าช้าไปเพียงแค่วันเดียว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ