ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) แผนเพื่อให้ได้ใกล้ชิด ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ร๊อก! พรุ่งนี้บ่ายๆ ช่วยไปประชุมที่ออฟฟิศมัลดีฟส์แทนพ่อทีนะ พ่อลืมว่าจะต้องบินไปสวิตวันมะรืน”
แต่โอกาสที่เขาคาดหวังไว้ก็หลุดลอยไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อพ่อเอ่ยขึ้นในโต๊ะอาหารที่มีแฟนสาวนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย
“ครับคุณพ่อ”
เขาไม่มีทางปฏิเสธพ่อได้ และไม่เคยคิดจะทำแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่จำความได้ “หนูย่าก็บินไปกับร๊อกด้วยสิจ๊ะ จะได้เที่ยวไปในตัวก่อนแต่งงานไง” อติรัตน์รีบเสนอด้วยสายตามีความหมายอะไรบางอย่าง
“ย่าไปไม่ได้ค่ะคุณป้า ต้องเตรียมวางแผนการตลาดทั้งอาทิตย์เลยค่ะ เพราะคุณพ่ออยากโอนโรมแรมที่เจริญนครให้ย่ารับผิดชอบคนเดียวหลังแต่งงานค่ะ แล้วก็ต้องเทรนงานด้านบริหารให้ช่าด้วยค่ะ เพราะคุณพ่อบอกว่าจะยกโรมแรมที่รามอินทราให้ตอนน้องแต่งงานเหมือนกันค่ะ”
แต่ดลยาก็บอกกับตัวเองว่า ถ้าคนข้างๆ เอ่ยปากชวนสักคำ ตัวเองก็จะรีบรับปากแล้วหอบงานไปทำถึงมัลดีฟส์เลยก็ว่าได้
“อ้าวเหรอจ๊ะ! เสียดายจัง นานทีตาร๊อกจะได้ว่าง” ทว่าเขากลับเงียบ ปล่อยให้แม่เป็นคนพูดฝ่ายเดียว
“ว่างที่ไหนครับคุณแม่ ผมไปทำงานแล้วก็ต้องรีบกลับมาดูงานทางนี้ด้วย ไม่มีเวลาได้เที่ยวหรอกครับ จะรีบบินไปแล้วรีบบินกลับทันทีที่งานทางโน้นเสร็จครับ”
ครั้นได้พูดออกมา ก็ตรงและไม่มีช่องว่างเหลือไว้ให้ก้าวเดินเอาเสียเลย “นั่นสิคุณ ลูกไปทำงานนะ ออฟฟิศที่โน่นมีปัญหาหลายอย่าง ลูกไม่มีเวลาได้เที่ยวหรอก ไว้แต่งงานกันแล้วค่อยไปฮันนีมูนก็ได้นี่”
เสียงทุ้มนุ่มและทรงอำนาจของชลธีสยบทุกคนได้เสมอๆ และดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ลูกจะชอบใจในเสียงสนับสนุนพ่อนัก
++++++++++++++++
‘หนูย่าเป็นคนที่เหมาะสมกับร๊อกที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้านรูปร่างหน้าตา การศึกษา ชาติตระกูล ฐานะทางการเงิน หรือแม้แต่ฐานะทางสังคม พ่อเห็นด้วยกับแม่ในข้อนี้ ถ้าร๊อกไม่รับไปพิจารณาพ่อว่าร๊อกจะเสียผู้หญิงดีๆ ไปและจะไม่มีทางหาใหม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ หรือดีเท่านั้นด้วย’
รวมทั้งประโยคนี้เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนของพ่อด้วย ที่ทำให้เขาต้องจำใจตัดสินใจหมั้นกับผู้หญิงที่ใครๆ รวมทั้งเขาเห็นว่าเหมาะสมกับเขามากที่สุด และเขากับดลยาก็เข้ากันได้มากที่สุด และไม่คิดว่าจะหาใครที่แสนดี สง่างามทั้งในและนอกแบบนี้ได้อีกแล้ว
กระทั่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อน บนดาดฟ้านั่น ใต้ซุ้มที่เขารักและโปรดปรานนั่น ใบหน้ารูปไข่สวยใส ผิวสีน้ำผึ้งในท่าทีตื่นตระหนกตกใจในครั้งแรกที่เธอเงยขึ้นมองเขา แล้วกายอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา
นับตั้งแต่จำความได้กระทั่งถึงวินาทีนี้ เขากล้ายืนยันกับตัวเองได้เลย ว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน ที่จะเตะตาเตะใจเขาได้ในนาทีแรกที่เห็น แม้กระทั่งดลยาที่สวยแทบไม่มีที่ติก็ตาม
เขาอยากจะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจที่เต้นแรงและเร็วเวลาอยู่ใกล้ๆ เธอ และทันทีที่กลับจากมัลดิฟส์เขาจะตรงดิ่งไปโรงแรมทันที เพราะอาจจะได้เจอเธอที่นั่น
“วันนี้หรืออาทิตย์นี้ หรืออาทิตย์หน้าไม่มีตารางถ่ายพรีเวดดิ้งจากสตูของคุณสุเลยค่ะ จะมีอีกทีก็อาทิตย์ต่อไปค่ะ จะให้นงค์โทรไปถามหรือเปล่าคะว่าถ่ายกันที่ไหน”
แต่คำตอบของเลขาวัยสี่สิบก็ทำลายความหวังเขาทันทีที่กลับถึงเมืองไทยแล้วบึ่งรถไปโรงแรมอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่เป็นไรครับ ผมของีบสักชั่วโมงแล้วจะลงมาประชุมนะครับ”
+++++++++++++++
แล้วเขาก็ตรงไปหาลิฟต์กดขึ้นไปยังออฟฟิศ ที่มีห้องนอนห้องฟิตเนส ห้องสปา หรือแม้แต่สระว่ายน้ำไว้สำหรับเขาหรือคนใกล้ชิดที่อยากจะมาใช้เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครนอกจากเขา
“เรื่องบริษัทถ่ายทำพรีเซ้นเทชั่นกับโบชัวร์ไม่ต้องหาที่ไหนแล้วนะ ผมมีเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าฝีมือชั้นหนึ่ง”
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่เขาละเมิดกฏตัวเองในการตัดสินใจเลือกใครหรืออะไรให้กับกิจการ ที่ปกติจะต้องถามไถ่ผู้บริหารก่อนเป็นเรื่องแรก แล้วโหวตกันจนได้เสียงข้างมากก่อน
และมีเพียงเหตุผลเดียวที่เขาทำแบบนี้ นั่นก็เพราะ อยากได้เวลา อยากได้โอกาส ในการศึกษาเรียนรู้สาวผมสวยนัยตาคู้เศร้าคนนั้น เพื่อกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดกับตัวเองไปตลอดชีวิต
เหมือนกับความผิดพลาดที่เขายอมให้พ่อแม่บงการชีวิตของเขามานับตั้งแต่จำความได้อีก ถึงแม้จะมีเรื่องดีๆ มากมายเข้ามาหา แต่เรื่องไม่ดีก็มีให้เห็นอยู่บ้าง อาจจะรวมถึงเรื่องการเลือกเมียให้เขาด้วยก็เป็นได้
“ติดต่อคุณสุให้ผมทีนะคุณนงค์ จะให้เข้ามาพบผมหรือโทรมาก็ได้ผมมีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”
ออกจากห้องประชุมได้เขาก็สั่งเลขาทันที “เอ่อ! คุณสุไหนคะ สุที่บริษัททัวร์ หรือสุที่ร้านอาหาร หรือสุที่สตู” เลขาที่เดินตามงงไม่น้อย
“สุนั่นล่ะครับ บอกผมจะคุยเรื่องงานพรีเซ้นเทชั่นหน่อย นัดให้เข้ามาหาดีกว่า ด่วนๆ นะ วันนี้หรือพรุ่งนี้ได้ยิ่งดี”
++++++++++++++++
“โห! ขนาดบริษัทพี่ยศเข้าไปพรีเซ้นท์ยังไม่ผ่าน แล้วทำไมจู่ๆ มาเลือกบริษัทเราล่ะคะพี่สุ แถมให้ห้องพักฟรีตลอดการถ่ายทำด้วย คุณร๊อกนี่ใจดีใจกว้างจังเลยนะคะ”
ปันจิรา หนึ่งในช่างภาพหญิงฝีมือดีที่สุภาภรณ์มีไว้ในบริษัทอดสงสัยไม่ได้ เมื่อเข้าประชุมแล้วได้ข่าวดี และเงินก้อนโตจากเจ้านาย
“แถมหล่อสุดๆ ด้วยพี่หนิง”
อินทิราอดสมทบไม่ได้ ทำเอาทุกคนในห้องประชุมพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่สุภาภรณ์ที่ไม่ค่อยจะถูกใจชายไหนง่ายๆ ยังต้องยอมรับเลย
“อย่างนี้เขาเรียกหล่อขั้นเทพ”
“พี่ไม่จีบให้แกเป็นพระเอกในพรีเซ้นท์ด้วยล่ะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหา” หนิงเหย้านิดๆ “โอ๊ย! ใครจะกล้า แกขรึมจะตายเวลาคุยงานด้วย”
“ได้แค่นี้ก็พอแล้วล่ะพี่หนิง” อินทิราเลยแหย่กลับบ้าน
“ใช่ๆ และคงต้องขอบคุณคุณย่ามากกว่าที่ผลักดันให้คุณร๊อกเลือกเรา และต้องขอบคุณเอ๋ย กับทุกคนที่ทำงานชิ้นแรกให้ออกมาดี จนถูกใจคุณร๊อก ถึงได้ให้งานเราแบบไม่ต้องแข็งใครอีก”
“ชักอยากเห็นตัวจริงแล้วสิพี่สุ โปรเจคนี้ให้หนิงไปทำนะ อยากอยู่ใกล้คนหล่อๆ รวยๆ ทำให้ชีวิตมีสีสัน” ปันจิรารีบอาสาทันที “เสียใจยะยังหนิง” ดันถูกเจ้านายเบรคกระทันหัน
“อ้าว! ทำไมล่ะคะพี่สุ”
+++++++++++++++
“อ้าว! ก็ในเมื่อเขาพอใจงานชิ้นแรกของเอ๋ย จนติดใจให้งานชิ้นที่สองมาแบบง่ายๆ แล้วคิดว่าแกจะเอาคนอื่นไปที่ไม่ใช่เอ๋ยของเราหรือเปล่าล่ะ”
“โธ่! เอ๋ยน่ะไม่เห็นอยากจะไปทำที่นั่นเลย ครั้งก่อนก็ขอถอนตัวกับพี่สุไม่ใช่เหรอ จริงมั้ยเอ๋ย”
วริญรำไพได้แต่ยิ้มบางๆ ให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น “แถมไม่เห็นจะสะทกสะท้านในความหล่อของคุณร๊อกเลยพี่เอ๋ยน่ะ สมชื่อเจ้าหญิงน้ำแข็งที่พี่หนิงตั้งให้แล้วล่ะ”
อินทิราอดแซวไม่ได้ “พอๆ ได้แล้ว มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า มาดูกันว่าเราจะทำอะไรไปเสนอแกได้บ้าง”
วริญรำไพไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าที่ได้งานมานี้เป็นเพราะเขาปรารถนาจะให้ได้ใกล้ชิดกันอีก ด้วยเหตุผลที่เจ้านายเอ่ยมาเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะหนักแน่นมากกว่า
การจะหลอกตัวเองว่า เจ้าของโรงแรมหนุ่มหล่อ พ่อแม่รวย และมีคู่หมั้นที่สวยราวกับนางฟ้าอย่างเขา จะแหกคอกลดตัวลงมามองตากล้องธรรมดาๆ เป็นคนเดินดินกินข้าวแกงได้
แต่ก็ดีใจที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง และครั้งนี้วริญรำไพจะต้องถามเขาออกไปให้ได้ ในเรื่องที่ค้างคาใจมานับตั้งแต่เจอเขาครั้งแรก
“ทุกคนเช็คอินได้เลยนะคะ ส่วนคุณเอ๋ยพี่เช็คไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ จะเอาของขึ้นไปเก็บก่อนหรือจะทำงานก่อนเที่ยงๆ หรือเย็นๆ ค่อยขึ้นไปก็ได้ อาหารเช้าจัดไว้ให้ทีมงานโดยเฉพาะที่เทอเรสด้านนอกนะคะ เชิญตามสบาย ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้เลย”
อนงค์ที่มารอต้อนรับตามคำสั่งเจ้านายรีบส่งคีย์การ์ดให้วริญรำไพเพียงคนเดียว ที่เหลือต่างก็ทยอยกันเช็คอินและต้องใช้ทั้งหมดถึงห้าห้อง
“เอ๋ยไม่มีของใช้อะไรมากมาย รอตอนเย็นๆ ค่อยขึ้นทีเดียวค่ะพี่นงค์ ขอไปดูน้องๆ ทีมงานก่อนนะคะ”
“คุณร๊อกไม่อยู่เหรอคะพี่นงค์”
วริญรำไพชลอฝีเท้าเมื่อได้ยินอินทิราเอ่ยถาม “อ้อ! ไม่อยู่หรอกค่ะ คุณร๊อกประชุมอยู่มัลดีฟส์ ไม่แน่ใจว่าจะกลับเย็นนี้หรือพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ได้แจ้งไว้”
ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงได้ห่อเหี่ยวกับคำตอบที่ได้ยินนัก แต่วริญรำไพก็ก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพื่อหางานของตัวเองได้ และลืมเลือนเรื่องของเขาไปได้เมื่อมีงานเข้ามาทำให้สมองไม่มีที่ว่างพอ
เรี่ยวแรงก็หดหายไปด้วยเมื่อเริ่มงานตั้งแต่เช้ายันสองทุ่ม ถึงได้สั่งน้องๆ ให้หยุดแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน ซึ่งแต่ละคนก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก
พอเข้าห้องได้ต่างก็สั่งอาหารขึ้นไปกินบนห้องแล้วต่างคนต่างนอนไปตามๆ กัน กำลังจะก้าวขึ้นเตียงอยู่แล้วหากไม่มี ข้อความส่งเข้ามาในมือถือก่อน
‘เราคุยกันถึงไหนแล้วนะครับ ผมอยากฟังต่อ
ถ้าไม่เหนื่อยเกินไป ตอนนี้ผมอยู่ชายหาดครับ
แล้วเจอกัน/ร๊อก’
‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’
เสียงและจังหวะของหัวใจที่บาดเจ็บมาสิบสองปีเต็มๆ เต้นอย่างรุนแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก เมื่อไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้รับข้อความจากเขา และไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่า จะตอบรับหรือปฏิเสธออกไปดี
+++++++++++++++
จนต้องทรุดกายนั่งลงกับเตียง แล้วครุ่นคิดอย่างหนัก กับทางเลือกที่จะต้องทำ เพราะตั้งแต่ไร้พี่หิน ก็ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะต้องแอบไปพูดคุยกับผู้ชายที่มีเจ้าของเลยด้วยซ้ำ
‘ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่เอ๋ยต้องสัญญากับพี่นะ ว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
แล้วในหูก็เหมือนได้ยินเสียงพี่หินกระซิบสั่งอยู่ไม่ห่างเลย และด้วยความที่ต้องทนอยู่กับความเจ็บช้ำมาแสนนาน กับการสูญเสียและพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้ความในใจให้พี่หินได้รับรู้
เสื้อผ้าในตู้จึงถูกมือบางคว้าขึ้นมาใส่ แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง โดยไม่คิดถึงอะไร หรือคิดถึงใครอีกต่อไปแล้ว เพราะอยากได้ความจริงที่รอคอยมาเกือบเดือนแล้ว
เจ้าของร่างผอมสูงที่อยู่ในชุดกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุม เผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีดำและแผงอกอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ส่งยิ้มบางๆ ให้อีกร่างที่กำลังก้าวเดินลงมาตามบันไดหินที่ทอดสู่ชายหาดจำลอง
ที่ทำเอาเขาหมดไปหลายล้าน เพียงเพื่ออยากจะให้แขกได้สัมผัสทะเลที่ใกล้กรุงเทพที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง และเขาก็ชอบไม่น้อยที่ได้มาเดินเล่นอยู่บ่อยครั้ง
รวมกับครั้งนี้ด้วยที่คาดว่าตัวเองคงจะชอบมากกว่าใครไหนๆ เป็นแน่ “คุณจะเหนื่อยมั้ยครับ ถ้าเราจะเดินคุยกันเรื่อยๆ ไปทางโน้น”
เขาชี้มือไปทางชายหาดที่มีไฟจากสถานประกอบการอื่นส่องสลัวๆ ลงมา “ถ้าไม่ไกลมากก็พอได้ค่ะ” วริญรำไพก้าวเดินช้าๆ ไปพร้อมกับเขาขณะตอบ
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดแล้วถอดรองเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาถือไว้แทน แล้วหันมาอธิบายให้คนข้างๆ ได้รู้เมื่อเห็นทำท่าสงสัยอย่างโจ่งแจ้ง
“ผมชอบเดินแบบนี้มากกว่า สบายเท้าดี”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
แล้วเท้าบางก็สลัดผ้าใบคู่เก่งมาถือไว้ไม่แพ้กัน ทำเอาเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหันมายิ้มอย่างชอบใจไม่น้อย เพราะถ้าเป็นคู่หมั้นของเขาจะไม่ทำแบบนั้นแน่
‘เดี๋ยวมีใครทำเศษแก้วเศษกรวดตกไว้พลอยได้บาดเท้าเอาสิคะ ก็หาดของร๊อกไม่ได้ถูกน้ำทะเลซัดเข้าออกเหมือนหาดพัทยาหรือหัวหินนะคะ ร๊อกต้องระวังไว้หน่อยค่ะ เจ็บมาแล้วทำงานไม่ได้จะเสียเปล่าๆ’
และเขาก็มักจะไม่อยากขัดด้วยการสวมรองเท้ากลับตามเดิม “ครั้งก่อนคุณบอกว่าชอบถ่ายภาพไว้ดูเพื่อเตือนความทรงจำใช่มั้ยครับ”
“ไม่เชิงค่ะ เอาไว้ดูเวลาคิดถึง เวลาอยากเห็นมากกว่าค่ะ”
“อ๋อ! แล้วถ้าผมจะถามอะไรคุณอีกนิดจะได้มั้ยครับ” สองเท้าก้าวเป็นจังหวะไปพร้อมกันอย่างเชื่องช้า
“ค่ะ” และรักษาระยะห่างกันและกันไว้พอสมควร
“ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนไว้ผมยาวมากๆ เท่าคุณเลย มันมีความหมายอะไรซ่อนอยู่เหมือนที่คุณชอบถ่ายรูปหรือเปล่าครับ”
วริญรำไพหันไปหาเขาทันที และพอดีกับที่เขาก็กำลังหันมา เลยรีบเลี่ยงที่จะไม่สบตาเขา ด้วยการมองไปข้างหน้า ก้าวเดินไปข้างหน้า แล้วตัดสินใจเอ่ยในเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเปิดปากบอกใครในชีวิตก็ว่าได้
“ฉันเคยสัญญากับคนคนหนึ่งไว้ค่ะ ว่าจะรอให้เขากลับมาก่อนแล้วเราจะไปตัดผมพร้อมกัน”
“อย่าบอกนะ ว่าเขาไม่กลับมาแล้วคุณก็รอจนผมยาวขนาดนี้”
คนถามหันไปหาพร้อมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็มีรอยยิ้มบางๆ เจือไว้ พลอยทำให้อีกคนยิ้มน้อยๆ ออกมาเช่นกัน
“ถ้ารอตั้งแต่ตอนที่เขาให้รอ ก็คงจะยาวลากพื้นแล้วล่ะค่ะ”
“งั้นคุณผิดคำสัญญาเหรอครับ ผมคุณถึงได้เหลือเท่านี้” ชลธิปเลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากคนข้างๆ ได้อีกครั้งขณะก้าวไปอย่างเชื่องช้า
“ไม่ได้ผิดคำสัญญาหรอกค่ะ แต่จำเป็นต้องตัดเพราะครูสั่ง ฉันเพิ่งหยุดตัดเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเองค่ะ แต่ก็ให้แม่เล็มๆ ปลายให้ปีละครั้งเวลากลับไปเยี่ยมบ้านน่ะค่ะ”
“อ้อ! แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ” คนข้างๆ ทำสีหน้าอยากรู้ไม่น้อยเมื่อหันมาหา
“เกาะเล็กๆ ในกระบี่ค่ะ” คนตอบพยายามจับสีหน้าและท่าทางว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไงกับคำนั้นบ้าง
“ผมอยากไปเที่ยวบ้าง ตั้งแต่เรียนจบกลับมาก็งานล้นมือ ยังเที่ยวเมืองไทยไม่ครบทุกจังหวัดเลยครับ สงสัยจะต้องหาเวลาไปจริงๆ จังๆ บ้างสักวัน”
วริญรำไพอดผิดหวังน้อยๆ ไม่ได้เมื่อสีหน้าของเขาไร้ข้อกังขาใดๆ ในชื่อจังหวัดที่ตัวเองเอ่ยออกไป “เอ่อ! ขอฉันถามอะไรคุณบ้างจะได้มั้ยคะ”
เลยตัดสินใจทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก “ได้สิครับ ก็ผมถามเรื่องคุณไปตั้งหลายอย่าง ถ้าไม่ยอมผมก็ไม่แมนเลยใช่มั้ยครับ”
ชลธิปอดสงสัยตัวเองไม่ได้ ว่ากลายเป็นคนพูดเก่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยเอ่ยอะไรกับใครง่ายๆ หรือจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าตอบหรือถามด้วยซ้ำ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ