ตราบฟ้าไร้ดาว
5.8
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
27 ตอน
2 วิจารณ์
32.02K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) ตามหาคำตอบของหัวใจ ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ผมต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้บริหารคนอื่นๆ ด้วยครับ งั้นถ้าเสร็จเร็วผมจะโทรไปบอกก็แล้วกันนะครับ แต่ผมยังไม่รับปากนะครับ ครับๆ ไว้คุยกันอีกทีครับ”
แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายขอตัดบท เมื่อเวลาที่มีเหลือน้อยลงเต็มที “คุยกันแต่เช้าเชียวนะลูกชายแม่ แบบนี้น่าจะรีบแต่งกันเร็วๆ จะได้ไม่ต้องโทรคุยให้เมื่อย แล้วแม่ก็อยากได้หลานเร็วๆ ด้วย”
ผู้แม่รีบแซวทันทีเมื่อลูกวางสาย แต่ก็ได้แค่รอยยิ้มจากลูกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนจะก้มลงไปหาหนังสือพิมพ์ระหว่างรอให้เด็กรับใช้ยกชามข้าวต้มมาไว้ตรงหน้าให้
“คุณพรเองก็อยากให้แต่งไวๆ มาตั้งแต่หมั้นใหม่ๆ แล้ว”
ชลธิปไม่ได้ว่าอะไร “เหรอครับ” นอกจากคำนี้ แล้วพับหนังสือพิมพ์ไว้ หันไปหามื้อเช้าทันที ด้วยรู้ดีว่าอีกหน่อยแม่จะพูดอะไรออกมาอีก
“ความจริงแม่ว่าไม่ต้องถือร่งถือกฤษ์มากเกินไปก็ได้ เอากฤษ์สะดวกของเราดีกว่า คู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันหรอก ต่อให้พระบอกว่าไม่มีกฤษ์ดีๆ ช่วงนี้ เราก็เลื่อนเข้ามาได้”
เป็นไปอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด “ผมเลทแล้วครับคุณแม่ ไว้เจอกันดึกๆ หรือพรุ่งนี้เช้านะครับ” ลูกเลยรีบตัดบท เมื่อข้ามต้มช้อนสุดท้ายกลืนลงคือแล้ว “เจอกันที่ออฟฟิศครับคุณพ่อ”
+++++++++++++++
ก็ลาพ่อตามมารยาทเหมือนทุกเช้าได้ คว้าหนังสือพิมพ์เดินออกจากห้องอาหาร โดยมีเด็กรับใช้หิ้วกระเป๋ากับสูทตามไปส่งถึงรถที่มี นายไก่ หนุ่มอีสานวัยสี่สิบห้าเป็นคนสตาร์ทเครื่องรอแล้ว
เพราะเขาไม่ชอบขับรถเอง เมื่อการจราจรเมืองไทยทำให้เสียเวลากับการเดินทางมากเกินไป จึงเลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการนั่งอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ และทีวีที่มีในรถแทน
“ไก่ไปหาคุณทิพย์ข้างบนนะ ผมมีงานให้ทำ”
พอถึงหน้าบริษัททัวร์ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ก็สั่งคนรถแล้วรีบก้าวออกไปทันที เพราะต้องเตรียมตัวเข้าประชุมที่ผู้พ่อจะต้องเป็นคนคอยจับข้อผิดพลาดเสมอๆ แม้ลูกจะทำงานมาด้วยตั้งสามปีแล้วก็ตามที
เที่ยงสี่สิบเมอร์เซเดส-เบนซ์เอสยูวี เอ็ม-คลาส เลี้ยวเข้าไปในอุโมงค์ตาเบบูญ่าอย่างเชื่องช้า เมื่อไก่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มชอบที่จะแหงนมองวิวสีชมพูอันสวยงามผ่านหลังคากระจกในทุกครั้งที่เข้าออก
อาหารเที่ยงที่เหลือเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีจัดเตรียมมาให้ในห้องอาหารจัสมินทันที เมื่อเจ้านายหนุ่มก้าวเข้าไปอย่างรีบเร่ง กระนั้นใบหน้าอันหล่อเหลาก็ยังพอมีเวลาได้หันไปมองวิวตรงชายหาด
จึงได้เห็นร่างผอมๆ บางๆ สูงๆ กับผมดำขลับยาวสลวยที่ถูกเปียไว้แล้วดึงมาพาดไว้กับไหล่ระหง ขณะกำลังเดินวกไปวนมา เล็งหน้าเล็งหลังอยู่ ถ้าให้เดาก็คงจะกำลังมองหามุมกล้องสวยๆ แปลกๆ แหวกแนวกว่าตากล้องสตูอื่นๆ เพื่อเก็บไว้เป็นจุดขายสำคัญนั่นเอง
+++++++++++++++
มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เลยต้องรีบล้วงออกมากดรับ “ครับคุณนงค์ ผมเสร็จพอดี อีกเดี๋ยวจะขึ้นไป เตรียมเอกสารรอในห้องประชุมได้เลย” แม้ปากจะพูด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่กับวิวชายหาด
แล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้เขาเมินหนีหน้าที่ประชุม แล้วรีบก้าวไปหาลิฟต์กดลงชั้นล่าง แล้วเดินตรงไปยังชายหาดขาวสะอาดตาแทน
“หามุมกล้องอยู่เหรอครับ”
และนี่เกือบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ที่เขาตรงเข้าหาผู้หญิง แทนที่จะยืนนิ่งๆ แล้วเป็นฝ่ายถูกเข้าหาเองเหมือนที่เคยเป็นมา แม้แต่ว่าที่เจ้าสาวเขาก็ไม่ได้เข้าหา หากพ่อแม่เป็นคนชักพามากกว่า
“อ๋อ! ค่ะ”
วริญรำไพตกใจไม่น้อยที่เห็นเขามายืนกอดอกอยู่ไม่ห่าง และแม้จะมีแว่นกันแดดบทบังดวงตาและใบหน้าเอาไว้ แต่มองยังไงๆ ก็ยังคงเหมือนพี่หินอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี
ต่อให้เขาสูงใหญ่กว่ามาก ผิวขาวกว่ามาก แต่งตัวดีกว่ามาก แต่ก็ไม่อาจจะลบภาพพี่หินที่สะท้อนอยู่ในตัวเขาได้เลย และถ้าพี่หินอายุยืนถึงสามสิบเอ็ดปีเท่าเขา ตัวก็คงจะสูงใหญ่ไม่ต่างกันมากนัก
“บันไดผมมีอีกเยอะนะครับ ถ้าคุณอยากจะยืม”
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มน้อยๆ ออกมาหลังส่งประโยคล้อเลียนคนตรงหน้าแล้ว เลยได้รอยยิ้มบางๆ ตอบกลับบ้าง
+++++++++++++++
“ขอบคุณค่ะ ไว้คราวหลังฉันอาจจะอยากยืมก็ได้ค่ะ”
“ยินดีเสมอๆ ครับ ผมแถมคนจับบันไดให้สี่คนด้วย เพราะกลังคุณจะตกมาแข้งขาหักก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
เพราะวริญรำไพไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี หนึ่งเขาคือเป็นถึงเจ้าของโรงแรม และเป็นลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี แถมมีคู่หมั้นหมายเป็นตัวเป็นตนด้วยแล้ว การจะคุยเล่นด้วยคงจะไม่เหมาะ อีกทั้งก็เกรงกลัวความไม่เหมาะสมด้วย
“ทานข้าวหรือยังครับ”
ชลธิปไม่รู้ทำไมถึงถามคำถามนี้ ทั้งที่นี่ก็บ่ายโมงแล้ว และเขาควรจะเข้าห้องประชุมแล้ว แต่ก็ยังอยากยืนอยู่ตรงนี้อยู่นั่นเอง
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”
“อ๋อ! ผมเพิ่งทานไปเมื่อกี้นี่เองครับ”
“เอ่อ! ฉันต้องขอบคุณคุณนะคะ” เพราะตั้งใจไว้แล้ว เลยตัดสินใจเอ่ย
“เรื่องอะไรครับ” แต่เขากลับงง
“เอ่อ! เรื่องที่ดาดฟ้าน่ะค่ะ และก็ขอโทษด้วยที่ขึ้นไปที่ส่วนบุคคลของคุณ”
“อ๋อ! เรื่องนั้นน่ะเอง ด้วยความยินดีครับ อันที่จริงบนนั้นผมก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครขึ้นไปดูซะทั้งหมดหรอกนะครับ แต่คนส่วนใหญ่จะไม่กล้าไปเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดผม แต่ถ้าคุณอยากจะขึ้นไปถ่ายรูปก็ได้ตามสบายนะครับ จะบอกผมก่อนหรือบอกพนักงานก่อนก็ได้ครับ”
+++++++++++++++
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่วันนั้นทำไมคุณถึงตกใจจนเป็นลมไปล่ะครับตอนเห็นหน้าผม ทำเอาผมเองก็ตกใจไปด้วย ไม่รู้ว่าตัวเอง...”
มือถือในกระเป๋าดังขึ้น ไม่ต้องเอามาดูก็รู้ว่าเลขาโทรมาตามแน่ แต่เขาก็ยกขึ้นมาดู แล้วส่งยิ้มกับคนตรงหน้าแทนการรับสาย “เอ่อ! ผมคงต้องไปประชุมแล้ว ไว้คุยกันใหม่นะครับ”
“ค่ะ ฉันก็ต้องทำงานแล้วเหมือนกันค่ะ”
“ครับไว้เจอกันครับ”
สองร่างต่างหันหลังให้กัน เพื่อหันหน้าเข้าหางานของตัวเอง แม้ต่างจะเสียดายกับเวลาอันน้อยนิดที่ได้เจอหน้าและพูดคุยกัน แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนเผยให้อีกฝ่ายรู้นอกจากเดินห่างกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เท่านั้น
ทว่าผู้บริหารหนุ่มกลับแอบยืนอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วมองลงไปยังชายหาดอีกครั้งระหว่างเบรคประชุม และอดหวาดหวั่นไม่ได้ เมื่อเห็นร่างผอมๆ กำลังปีนขึ้นบันไดอันเดิมที่เคยเห็นครั้งก่อน พร้อมแบกกล้องอันหนักอึ้ง บวกกับเลนส์ที่ทั้งยาวและใหญ่ไปด้วยเพื่อให้ได้มุมตามต้องการเพียงเท่านั้น
“คุณร๊อกค่ะ ทุกคนกลับมาแล้วค่ะ”
ชลธิปจำต้องผละจากวิวข้างนอก แล้วเดินเข้าห้องประชุมบนชั้นสามที่เป็นส่วนของออฟฟิศทั้งหมด ทุกแผนกถูกจัดไว้ให้อยู่รวมกันหมด ยกเว้นห้องทำงานเขาเท่านั้นที่จะอยู่ชั้นบนสุด ติดกับดาดฟ้า
++++++++++++++++
สี่โมงเย็นเขาถึงได้ออกจากห้องประชุม ด้วยสีหน้าและท่าทีเหนื่อยไม่น้อย ระหว่างรอลิฟต์ขึ้นไปออฟฟิศ เขาไม่วายเดินไปหาหน้าต่างแล้วมองลงไปหาวิวเดิมที่ได้เห็นก่อนหน้านั้น
แต่ตอนนี้นอกจากนกนางนวล กับแขกไม่กี่คนที่กำลังเดินชมชายหาดอยู่แล้วนั้น ก็ไม่มีวิวไหนดึงใจให้เขายืนอยู่ต่อได้อีกเลย จึงรีบขึ้นลิฟต์ไปด้วยอาการเซ็งนิดๆ อย่างไม่มีสาเหตุทันที
เพราะอยากจะเคลียร์งานเอกสารที่ค้างไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ที่ต้องเสียเวลากับการถ่ายพรีเวดดิ้งไปหลายวัน แต่เท้ากับไม่ได้ก้าวเดินเข้าห้องทำงาน เพราะใจสั่งให้ตรงไปหาบันไดแล้วก้าวเดินขึ้นไปชื่นชมวิวสวยๆ ที่เป็นมุมโปรดของเขาแทน
นั่นถือเป็นการตัดสินใจที่ดีเลวนัก เมื่อขึ้นมาแล้วได้เห็น เรียวขางามได้รูปที่ซ่อนอยู่ในกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดสีขาวที่ยาวลงไปถึงขอบกางเกงเล็กน้อย
เวลายกแขนไปประคองกล้อง เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งตรงเอวคอดวับๆ แวมๆ แม้เจ้าของไม่ได้ตั้งใจให้ตัวเองอยู่ในภาพที่เซ็กซี่ แต่ชลธิปก็ยากจะหาคำอื่นมาบรรยายได้ เพราะดูทีไรก็เซ็กซี่ทุกทีไป
ผมยาวเกินมาตรฐานสาวทั้งโลกที่เขาเคยได้สัมผัสในเช้าวันนั้น ก็นุ่มราวแพรไหม หอมกลิ่นดอกอะไรสักอย่างที่เขาคิดไม่ออก รู้แต่ว่าเป็นดอกไม้ไทยๆ
วริญรำไพที่กำลังซูมเลนส์ไปหาโคมญี่ปุ่นอันสวยงามอยู่นั้นค่อยๆ หันไปทางประตู เมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองขึ้นมา จนได้เห็นใบหน้าหล่อเหลากับหุ่นสูงเกือบเท่าประตู
++++++++++++++++
“เอ่อ! ขอโทษค่ะที่แอบขึ้นมาที่หวงห้ามโดยไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน คือฉันจะรีบถ่ายดอกไม้แล้วก็จะรีบลงไปทันทีค่ะ”
แม้จะตกใจที่ได้เห็นเขา และแม้จะดีใจด้วยที่ได้เห็นเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา นอกจากคำพวกนี้ เพราะรู้มาว่าจะขึ้นมาดาดฟ้าได้ต้องได้รับอนุญาตเท่านั้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วว่าไม่ได้ห่วงมากมายขนาดนั้น เชิญคุณถ่ายภาพได้ตามสบาย และถ้าจะกรุณาก็ช่วยให้เครดิต ตาเบบูญาของผมเวลาเอาไปลงเฟสหรือเอาไปเผยแพร่ที่ไหนหน่อยก็แล้วกันครับ”
ชลธิปก้าวเดินไปหาอย่างเชื่องช้า เพราะไม่อยากขัดจังหวะตากล้องสาวผู้หลงใหลในความงามของดอกไม้ไม่แพ้เขาเลย
“แน่นอนค่ะ” วริญรำไพหันไปรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ผมเห็นคุณชอบถ่ายรูปนั้นภาพนี้ไว้ตลอดเวลาว่างจากงาน ทำไมต้องถ่ายไว้เยอะแยะอย่างนั้นด้วยล่ะครับ ภาพดอกไม้หรือภาพอะไรมันก็น่าจะเหมือนๆ กันไปหมด” นั่นคือข้อสงสัยแรกที่มีให้สาวตรงหน้า
“ฉันอยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม่ คน สัตว์ สิ่งของเอาไว้ให้ได้มากที่สุดค่ะ เวลาสิ่งของเหล่านี้ไม่อยู่กับเรา หรือไม่คงสภาพเดิมให้เราเห็นแล้ว จะได้เอาออกมาดูเพื่อเตือนความทรงจำไงคะ”
แม้อยากจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจมานาน แต่วริญรำไพก็เลือกที่จะตอบเขาก่อน เพราะอ่านจากสายตาหรือว่าท่าทีแล้วบ่งบอกว่าเขาอยากรู้จริงๆ มากกว่าจะถามไปอย่างนั้น
++++++++++++++++
“คุณพูดเหมือนพลาดอะไรหรือลืมถ่ายภาพอะไรไว้อย่างงั้นล่ะครับ” ชลธิปก้าวตามร่างผอมบางไปยังกำแพงที่กำลังมองลงไปหาวิวสวนสวยๆ อยู่อย่างเชื่องช้า
“ค่ะ! ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ฉันเคยสูญเสียของที่มีค่าและเป็นของสำคัญที่สุดในชีวิตไป โดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพเก็บไว้เลยแม้แต่ใบเดียว ทุกครั้งที่ฉันคิดถึง ฉันก็ได้แต่หลับตาแล้วคิดถึงภาพที่มีในความทรงจำเท่านั้นค่ะ”
“ฉันอยากจะเก็บภาพทุกอย่างไว้เพื่อกันไม่ให้ลืม ฉันเก็บมาตลอดสิบสองปี อยากเก็บอะไรก็เก็บไว้ทุกอย่าง แต่ฉันไม่มีรูปแม้แต่ใบเดียว ฉันเสียใจ เสียใจมาก ฉันดายมากๆ ค่ะ”
เสียงแผ่วเบาที่ตอบออกไปนั้นสั้นเครือเต็มที แม้วริญรำไพจะพยายามสะกดจิตใจเอาไว้สักแค่ไหนก็ตามที
“เสียใจด้วยนะครับ แต่ทุกวันนี้การเก็บภาพก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยนี่ครับ ในเมื่อมือถือก็มีคุณไม่น่าจะพลาดขนาดนั้นเลย แล้วตามไปถ่ายไว้ไม่ได้เหรอครับ หรือว่าของของคุณสูญหายไป หรือชำรุดทรุดโทรมไปจนซ่อมแซมไม่ได้แล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยออกไป และไม่เข้าใจว่าทำไมปัญหาแบบนี้ถึงได้เกินขึ้นกับสาวตรงหน้า ในเมื่อมียุคไอทีที่ทันสมัยจะตายไป
++++++++++++++++
“เมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ คนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพก็มีโอกาสไม่เหมือนกัน และที่สำคัญคนจนกับคนรวยก็มีอะไรไม่เหมือนกันด้วย สมัยฉันยังเด็กนอกจากเรือหาปลามือสองที่พ่อซื้อมา ตู้เย็นเก่าๆ กับทีวีเก่าๆ แล้ว เราก็ไม่มีอะไรที่ไฮเทคเหมือนทุกวันนี้เลยค่ะ”
เพราะชาวเกาะอย่างพ่อกับแม่ หาสี่วันไว้กินสามวันจะมีปัญญาหามือถือใช้ได้ยังไง หรือถ้าได้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อไปหาใคร ในเมื่อญาติพี่น้องก็ไม่มีสักคน
และที่สำคัญ ไม่มีใครคาดคิดว่าพี่หิน จะจากไปรวดเร็วอย่างนั้น และด้วยวิธีนั้นเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งวินาทีนี้ ตัวเองยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ ว่าพี่หินจากไปสู่ภพชาติใหม่แล้วจริงๆ
ยิ่งมีเขามายืนอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งบอกกับใจตัวเองว่า เขาคือพี่หินคนนั้น พี่หินที่แสนดีของเอ๋ย พี่หินที่ให้คำสัญญาว่าจะกลับมาหาเอ๋ย มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านั้น
“ผมเข้าใจครับ ผม...”
ชลธิปล้วงมือลงกระเป๋าเมื่อโทรศัพท์ขึ้น พอรู้ว่าใครโทรมาเขาก็ก้มหน้าน้อยๆ ให้วริญรำไพก่อนจะขอตัวเดินห่างออกไปเพื่อรับสาย
“ว่าไงครับย่า อ๋อ! ผมเพิ่งเสร็จจากประชุมครับ กำลังจะขึ้นมาเคลียร์งานบนออฟฟิศก่อน เสร็จแล้วถึงจะกลับบ้านครับ ครับ...”
แม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีที่ยืนฟังคนคุยโทรศัพท์ และแม้จะห่วงงานที่ป่านนี้น้องๆ อาจจะเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่วริญรำไพก็ยังไม่อยากไปไหนตอนนี้ เพราะยังมีคำถามค้างคาใจรอถามเขาอยู่
จึงเลี่ยงไปเดินดูดอกไม้รอบกายอยู่ห่างเขาออกไปไกลคนละฟากดาดฟ้า กดชัดเตอร์กับโคมญี่ปุ่นไว้ตามที่ตั้งใจขึ้นมาตอนแรก และถ้าไม่มีเขาอยู่ป่านนี้คงได้ลงไปหางานแล้ว
++++++++++++++++
“ขอโทษนะครับ เมื่อกี้เราคุยถึงตรงไหนแล้วนะครับ...”
ยังไม่ทันได้พูดจบ อินโทรเศร้าๆ ในกระเป๋ากางเกงของสาวตรงหน้าก็ดังขึ้น แต่คนเป็นเจ้าของยังไม่อยากกดรับ เพราะอยากจะถามคำถามสำคัญก่อน
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู...ให้รู้ว่าใจ ไม่เคยรักใคร....แม้เธอจะไม่ใยดี’
แต่เมื่อมันดังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ขอโทษนะคะ” เลยจำต้องรับอย่างไม่เต็มใจเอาเสียเลย “จ๊ะอิน พี่กำลังจะไปเดี๋ยวนี้จ้ะ แค่นี้นะ”
“ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ครับ ถ้ามีโอกาส ผมก็ต้องรีบไปเคลียร์งานเหมือนกัน”
ชลธิปเป็นฝ่ายทำให้คนตรงหน้าหายอึดอัดที่จะต้องบอกว่าถึงเวลาไปแล้ว “ค่ะ ขอตัวนะคะ” วริญรำไพยิ้มน้อยๆ ให้เพียงนิดเดียว ก่อนจะค้อมตัวลงแล้วเดินเลี่ยงเขาตรงไปหาประตู
เจ้าของโรงแรมหนุ่มได้แต่มองตามแผ่นหลังอันบอบบางอย่างเสียดาย ที่โอกาสอันน้อยนิดที่จะได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกันต้องจบสิ้นลงเร็วกว่าที่คิด เขาก็ได้แต่หวังว่าวันพรุ่งหรือมะรืนจะมีโอกาสแบบนี้อีก
แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายขอตัดบท เมื่อเวลาที่มีเหลือน้อยลงเต็มที “คุยกันแต่เช้าเชียวนะลูกชายแม่ แบบนี้น่าจะรีบแต่งกันเร็วๆ จะได้ไม่ต้องโทรคุยให้เมื่อย แล้วแม่ก็อยากได้หลานเร็วๆ ด้วย”
ผู้แม่รีบแซวทันทีเมื่อลูกวางสาย แต่ก็ได้แค่รอยยิ้มจากลูกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนจะก้มลงไปหาหนังสือพิมพ์ระหว่างรอให้เด็กรับใช้ยกชามข้าวต้มมาไว้ตรงหน้าให้
“คุณพรเองก็อยากให้แต่งไวๆ มาตั้งแต่หมั้นใหม่ๆ แล้ว”
ชลธิปไม่ได้ว่าอะไร “เหรอครับ” นอกจากคำนี้ แล้วพับหนังสือพิมพ์ไว้ หันไปหามื้อเช้าทันที ด้วยรู้ดีว่าอีกหน่อยแม่จะพูดอะไรออกมาอีก
“ความจริงแม่ว่าไม่ต้องถือร่งถือกฤษ์มากเกินไปก็ได้ เอากฤษ์สะดวกของเราดีกว่า คู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันหรอก ต่อให้พระบอกว่าไม่มีกฤษ์ดีๆ ช่วงนี้ เราก็เลื่อนเข้ามาได้”
เป็นไปอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด “ผมเลทแล้วครับคุณแม่ ไว้เจอกันดึกๆ หรือพรุ่งนี้เช้านะครับ” ลูกเลยรีบตัดบท เมื่อข้ามต้มช้อนสุดท้ายกลืนลงคือแล้ว “เจอกันที่ออฟฟิศครับคุณพ่อ”
+++++++++++++++
ก็ลาพ่อตามมารยาทเหมือนทุกเช้าได้ คว้าหนังสือพิมพ์เดินออกจากห้องอาหาร โดยมีเด็กรับใช้หิ้วกระเป๋ากับสูทตามไปส่งถึงรถที่มี นายไก่ หนุ่มอีสานวัยสี่สิบห้าเป็นคนสตาร์ทเครื่องรอแล้ว
เพราะเขาไม่ชอบขับรถเอง เมื่อการจราจรเมืองไทยทำให้เสียเวลากับการเดินทางมากเกินไป จึงเลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการนั่งอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ และทีวีที่มีในรถแทน
“ไก่ไปหาคุณทิพย์ข้างบนนะ ผมมีงานให้ทำ”
พอถึงหน้าบริษัททัวร์ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ก็สั่งคนรถแล้วรีบก้าวออกไปทันที เพราะต้องเตรียมตัวเข้าประชุมที่ผู้พ่อจะต้องเป็นคนคอยจับข้อผิดพลาดเสมอๆ แม้ลูกจะทำงานมาด้วยตั้งสามปีแล้วก็ตามที
เที่ยงสี่สิบเมอร์เซเดส-เบนซ์เอสยูวี เอ็ม-คลาส เลี้ยวเข้าไปในอุโมงค์ตาเบบูญ่าอย่างเชื่องช้า เมื่อไก่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มชอบที่จะแหงนมองวิวสีชมพูอันสวยงามผ่านหลังคากระจกในทุกครั้งที่เข้าออก
อาหารเที่ยงที่เหลือเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีจัดเตรียมมาให้ในห้องอาหารจัสมินทันที เมื่อเจ้านายหนุ่มก้าวเข้าไปอย่างรีบเร่ง กระนั้นใบหน้าอันหล่อเหลาก็ยังพอมีเวลาได้หันไปมองวิวตรงชายหาด
จึงได้เห็นร่างผอมๆ บางๆ สูงๆ กับผมดำขลับยาวสลวยที่ถูกเปียไว้แล้วดึงมาพาดไว้กับไหล่ระหง ขณะกำลังเดินวกไปวนมา เล็งหน้าเล็งหลังอยู่ ถ้าให้เดาก็คงจะกำลังมองหามุมกล้องสวยๆ แปลกๆ แหวกแนวกว่าตากล้องสตูอื่นๆ เพื่อเก็บไว้เป็นจุดขายสำคัญนั่นเอง
+++++++++++++++
มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เลยต้องรีบล้วงออกมากดรับ “ครับคุณนงค์ ผมเสร็จพอดี อีกเดี๋ยวจะขึ้นไป เตรียมเอกสารรอในห้องประชุมได้เลย” แม้ปากจะพูด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่กับวิวชายหาด
แล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้เขาเมินหนีหน้าที่ประชุม แล้วรีบก้าวไปหาลิฟต์กดลงชั้นล่าง แล้วเดินตรงไปยังชายหาดขาวสะอาดตาแทน
“หามุมกล้องอยู่เหรอครับ”
และนี่เกือบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ที่เขาตรงเข้าหาผู้หญิง แทนที่จะยืนนิ่งๆ แล้วเป็นฝ่ายถูกเข้าหาเองเหมือนที่เคยเป็นมา แม้แต่ว่าที่เจ้าสาวเขาก็ไม่ได้เข้าหา หากพ่อแม่เป็นคนชักพามากกว่า
“อ๋อ! ค่ะ”
วริญรำไพตกใจไม่น้อยที่เห็นเขามายืนกอดอกอยู่ไม่ห่าง และแม้จะมีแว่นกันแดดบทบังดวงตาและใบหน้าเอาไว้ แต่มองยังไงๆ ก็ยังคงเหมือนพี่หินอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี
ต่อให้เขาสูงใหญ่กว่ามาก ผิวขาวกว่ามาก แต่งตัวดีกว่ามาก แต่ก็ไม่อาจจะลบภาพพี่หินที่สะท้อนอยู่ในตัวเขาได้เลย และถ้าพี่หินอายุยืนถึงสามสิบเอ็ดปีเท่าเขา ตัวก็คงจะสูงใหญ่ไม่ต่างกันมากนัก
“บันไดผมมีอีกเยอะนะครับ ถ้าคุณอยากจะยืม”
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มน้อยๆ ออกมาหลังส่งประโยคล้อเลียนคนตรงหน้าแล้ว เลยได้รอยยิ้มบางๆ ตอบกลับบ้าง
+++++++++++++++
“ขอบคุณค่ะ ไว้คราวหลังฉันอาจจะอยากยืมก็ได้ค่ะ”
“ยินดีเสมอๆ ครับ ผมแถมคนจับบันไดให้สี่คนด้วย เพราะกลังคุณจะตกมาแข้งขาหักก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
เพราะวริญรำไพไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี หนึ่งเขาคือเป็นถึงเจ้าของโรงแรม และเป็นลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี แถมมีคู่หมั้นหมายเป็นตัวเป็นตนด้วยแล้ว การจะคุยเล่นด้วยคงจะไม่เหมาะ อีกทั้งก็เกรงกลัวความไม่เหมาะสมด้วย
“ทานข้าวหรือยังครับ”
ชลธิปไม่รู้ทำไมถึงถามคำถามนี้ ทั้งที่นี่ก็บ่ายโมงแล้ว และเขาควรจะเข้าห้องประชุมแล้ว แต่ก็ยังอยากยืนอยู่ตรงนี้อยู่นั่นเอง
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”
“อ๋อ! ผมเพิ่งทานไปเมื่อกี้นี่เองครับ”
“เอ่อ! ฉันต้องขอบคุณคุณนะคะ” เพราะตั้งใจไว้แล้ว เลยตัดสินใจเอ่ย
“เรื่องอะไรครับ” แต่เขากลับงง
“เอ่อ! เรื่องที่ดาดฟ้าน่ะค่ะ และก็ขอโทษด้วยที่ขึ้นไปที่ส่วนบุคคลของคุณ”
“อ๋อ! เรื่องนั้นน่ะเอง ด้วยความยินดีครับ อันที่จริงบนนั้นผมก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครขึ้นไปดูซะทั้งหมดหรอกนะครับ แต่คนส่วนใหญ่จะไม่กล้าไปเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดผม แต่ถ้าคุณอยากจะขึ้นไปถ่ายรูปก็ได้ตามสบายนะครับ จะบอกผมก่อนหรือบอกพนักงานก่อนก็ได้ครับ”
+++++++++++++++
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่วันนั้นทำไมคุณถึงตกใจจนเป็นลมไปล่ะครับตอนเห็นหน้าผม ทำเอาผมเองก็ตกใจไปด้วย ไม่รู้ว่าตัวเอง...”
มือถือในกระเป๋าดังขึ้น ไม่ต้องเอามาดูก็รู้ว่าเลขาโทรมาตามแน่ แต่เขาก็ยกขึ้นมาดู แล้วส่งยิ้มกับคนตรงหน้าแทนการรับสาย “เอ่อ! ผมคงต้องไปประชุมแล้ว ไว้คุยกันใหม่นะครับ”
“ค่ะ ฉันก็ต้องทำงานแล้วเหมือนกันค่ะ”
“ครับไว้เจอกันครับ”
สองร่างต่างหันหลังให้กัน เพื่อหันหน้าเข้าหางานของตัวเอง แม้ต่างจะเสียดายกับเวลาอันน้อยนิดที่ได้เจอหน้าและพูดคุยกัน แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนเผยให้อีกฝ่ายรู้นอกจากเดินห่างกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เท่านั้น
ทว่าผู้บริหารหนุ่มกลับแอบยืนอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วมองลงไปยังชายหาดอีกครั้งระหว่างเบรคประชุม และอดหวาดหวั่นไม่ได้ เมื่อเห็นร่างผอมๆ กำลังปีนขึ้นบันไดอันเดิมที่เคยเห็นครั้งก่อน พร้อมแบกกล้องอันหนักอึ้ง บวกกับเลนส์ที่ทั้งยาวและใหญ่ไปด้วยเพื่อให้ได้มุมตามต้องการเพียงเท่านั้น
“คุณร๊อกค่ะ ทุกคนกลับมาแล้วค่ะ”
ชลธิปจำต้องผละจากวิวข้างนอก แล้วเดินเข้าห้องประชุมบนชั้นสามที่เป็นส่วนของออฟฟิศทั้งหมด ทุกแผนกถูกจัดไว้ให้อยู่รวมกันหมด ยกเว้นห้องทำงานเขาเท่านั้นที่จะอยู่ชั้นบนสุด ติดกับดาดฟ้า
++++++++++++++++
สี่โมงเย็นเขาถึงได้ออกจากห้องประชุม ด้วยสีหน้าและท่าทีเหนื่อยไม่น้อย ระหว่างรอลิฟต์ขึ้นไปออฟฟิศ เขาไม่วายเดินไปหาหน้าต่างแล้วมองลงไปหาวิวเดิมที่ได้เห็นก่อนหน้านั้น
แต่ตอนนี้นอกจากนกนางนวล กับแขกไม่กี่คนที่กำลังเดินชมชายหาดอยู่แล้วนั้น ก็ไม่มีวิวไหนดึงใจให้เขายืนอยู่ต่อได้อีกเลย จึงรีบขึ้นลิฟต์ไปด้วยอาการเซ็งนิดๆ อย่างไม่มีสาเหตุทันที
เพราะอยากจะเคลียร์งานเอกสารที่ค้างไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ที่ต้องเสียเวลากับการถ่ายพรีเวดดิ้งไปหลายวัน แต่เท้ากับไม่ได้ก้าวเดินเข้าห้องทำงาน เพราะใจสั่งให้ตรงไปหาบันไดแล้วก้าวเดินขึ้นไปชื่นชมวิวสวยๆ ที่เป็นมุมโปรดของเขาแทน
นั่นถือเป็นการตัดสินใจที่ดีเลวนัก เมื่อขึ้นมาแล้วได้เห็น เรียวขางามได้รูปที่ซ่อนอยู่ในกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดสีขาวที่ยาวลงไปถึงขอบกางเกงเล็กน้อย
เวลายกแขนไปประคองกล้อง เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งตรงเอวคอดวับๆ แวมๆ แม้เจ้าของไม่ได้ตั้งใจให้ตัวเองอยู่ในภาพที่เซ็กซี่ แต่ชลธิปก็ยากจะหาคำอื่นมาบรรยายได้ เพราะดูทีไรก็เซ็กซี่ทุกทีไป
ผมยาวเกินมาตรฐานสาวทั้งโลกที่เขาเคยได้สัมผัสในเช้าวันนั้น ก็นุ่มราวแพรไหม หอมกลิ่นดอกอะไรสักอย่างที่เขาคิดไม่ออก รู้แต่ว่าเป็นดอกไม้ไทยๆ
วริญรำไพที่กำลังซูมเลนส์ไปหาโคมญี่ปุ่นอันสวยงามอยู่นั้นค่อยๆ หันไปทางประตู เมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองขึ้นมา จนได้เห็นใบหน้าหล่อเหลากับหุ่นสูงเกือบเท่าประตู
++++++++++++++++
“เอ่อ! ขอโทษค่ะที่แอบขึ้นมาที่หวงห้ามโดยไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน คือฉันจะรีบถ่ายดอกไม้แล้วก็จะรีบลงไปทันทีค่ะ”
แม้จะตกใจที่ได้เห็นเขา และแม้จะดีใจด้วยที่ได้เห็นเขา แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา นอกจากคำพวกนี้ เพราะรู้มาว่าจะขึ้นมาดาดฟ้าได้ต้องได้รับอนุญาตเท่านั้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วว่าไม่ได้ห่วงมากมายขนาดนั้น เชิญคุณถ่ายภาพได้ตามสบาย และถ้าจะกรุณาก็ช่วยให้เครดิต ตาเบบูญาของผมเวลาเอาไปลงเฟสหรือเอาไปเผยแพร่ที่ไหนหน่อยก็แล้วกันครับ”
ชลธิปก้าวเดินไปหาอย่างเชื่องช้า เพราะไม่อยากขัดจังหวะตากล้องสาวผู้หลงใหลในความงามของดอกไม้ไม่แพ้เขาเลย
“แน่นอนค่ะ” วริญรำไพหันไปรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ผมเห็นคุณชอบถ่ายรูปนั้นภาพนี้ไว้ตลอดเวลาว่างจากงาน ทำไมต้องถ่ายไว้เยอะแยะอย่างนั้นด้วยล่ะครับ ภาพดอกไม้หรือภาพอะไรมันก็น่าจะเหมือนๆ กันไปหมด” นั่นคือข้อสงสัยแรกที่มีให้สาวตรงหน้า
“ฉันอยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม่ คน สัตว์ สิ่งของเอาไว้ให้ได้มากที่สุดค่ะ เวลาสิ่งของเหล่านี้ไม่อยู่กับเรา หรือไม่คงสภาพเดิมให้เราเห็นแล้ว จะได้เอาออกมาดูเพื่อเตือนความทรงจำไงคะ”
แม้อยากจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจมานาน แต่วริญรำไพก็เลือกที่จะตอบเขาก่อน เพราะอ่านจากสายตาหรือว่าท่าทีแล้วบ่งบอกว่าเขาอยากรู้จริงๆ มากกว่าจะถามไปอย่างนั้น
++++++++++++++++
“คุณพูดเหมือนพลาดอะไรหรือลืมถ่ายภาพอะไรไว้อย่างงั้นล่ะครับ” ชลธิปก้าวตามร่างผอมบางไปยังกำแพงที่กำลังมองลงไปหาวิวสวนสวยๆ อยู่อย่างเชื่องช้า
“ค่ะ! ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ฉันเคยสูญเสียของที่มีค่าและเป็นของสำคัญที่สุดในชีวิตไป โดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพเก็บไว้เลยแม้แต่ใบเดียว ทุกครั้งที่ฉันคิดถึง ฉันก็ได้แต่หลับตาแล้วคิดถึงภาพที่มีในความทรงจำเท่านั้นค่ะ”
“ฉันอยากจะเก็บภาพทุกอย่างไว้เพื่อกันไม่ให้ลืม ฉันเก็บมาตลอดสิบสองปี อยากเก็บอะไรก็เก็บไว้ทุกอย่าง แต่ฉันไม่มีรูปแม้แต่ใบเดียว ฉันเสียใจ เสียใจมาก ฉันดายมากๆ ค่ะ”
เสียงแผ่วเบาที่ตอบออกไปนั้นสั้นเครือเต็มที แม้วริญรำไพจะพยายามสะกดจิตใจเอาไว้สักแค่ไหนก็ตามที
“เสียใจด้วยนะครับ แต่ทุกวันนี้การเก็บภาพก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยนี่ครับ ในเมื่อมือถือก็มีคุณไม่น่าจะพลาดขนาดนั้นเลย แล้วตามไปถ่ายไว้ไม่ได้เหรอครับ หรือว่าของของคุณสูญหายไป หรือชำรุดทรุดโทรมไปจนซ่อมแซมไม่ได้แล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยออกไป และไม่เข้าใจว่าทำไมปัญหาแบบนี้ถึงได้เกินขึ้นกับสาวตรงหน้า ในเมื่อมียุคไอทีที่ทันสมัยจะตายไป
++++++++++++++++
“เมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ คนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพก็มีโอกาสไม่เหมือนกัน และที่สำคัญคนจนกับคนรวยก็มีอะไรไม่เหมือนกันด้วย สมัยฉันยังเด็กนอกจากเรือหาปลามือสองที่พ่อซื้อมา ตู้เย็นเก่าๆ กับทีวีเก่าๆ แล้ว เราก็ไม่มีอะไรที่ไฮเทคเหมือนทุกวันนี้เลยค่ะ”
เพราะชาวเกาะอย่างพ่อกับแม่ หาสี่วันไว้กินสามวันจะมีปัญญาหามือถือใช้ได้ยังไง หรือถ้าได้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อไปหาใคร ในเมื่อญาติพี่น้องก็ไม่มีสักคน
และที่สำคัญ ไม่มีใครคาดคิดว่าพี่หิน จะจากไปรวดเร็วอย่างนั้น และด้วยวิธีนั้นเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งวินาทีนี้ ตัวเองยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ ว่าพี่หินจากไปสู่ภพชาติใหม่แล้วจริงๆ
ยิ่งมีเขามายืนอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งบอกกับใจตัวเองว่า เขาคือพี่หินคนนั้น พี่หินที่แสนดีของเอ๋ย พี่หินที่ให้คำสัญญาว่าจะกลับมาหาเอ๋ย มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านั้น
“ผมเข้าใจครับ ผม...”
ชลธิปล้วงมือลงกระเป๋าเมื่อโทรศัพท์ขึ้น พอรู้ว่าใครโทรมาเขาก็ก้มหน้าน้อยๆ ให้วริญรำไพก่อนจะขอตัวเดินห่างออกไปเพื่อรับสาย
“ว่าไงครับย่า อ๋อ! ผมเพิ่งเสร็จจากประชุมครับ กำลังจะขึ้นมาเคลียร์งานบนออฟฟิศก่อน เสร็จแล้วถึงจะกลับบ้านครับ ครับ...”
แม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีที่ยืนฟังคนคุยโทรศัพท์ และแม้จะห่วงงานที่ป่านนี้น้องๆ อาจจะเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่วริญรำไพก็ยังไม่อยากไปไหนตอนนี้ เพราะยังมีคำถามค้างคาใจรอถามเขาอยู่
จึงเลี่ยงไปเดินดูดอกไม้รอบกายอยู่ห่างเขาออกไปไกลคนละฟากดาดฟ้า กดชัดเตอร์กับโคมญี่ปุ่นไว้ตามที่ตั้งใจขึ้นมาตอนแรก และถ้าไม่มีเขาอยู่ป่านนี้คงได้ลงไปหางานแล้ว
++++++++++++++++
“ขอโทษนะครับ เมื่อกี้เราคุยถึงตรงไหนแล้วนะครับ...”
ยังไม่ทันได้พูดจบ อินโทรเศร้าๆ ในกระเป๋ากางเกงของสาวตรงหน้าก็ดังขึ้น แต่คนเป็นเจ้าของยังไม่อยากกดรับ เพราะอยากจะถามคำถามสำคัญก่อน
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู...ให้รู้ว่าใจ ไม่เคยรักใคร....แม้เธอจะไม่ใยดี’
แต่เมื่อมันดังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ขอโทษนะคะ” เลยจำต้องรับอย่างไม่เต็มใจเอาเสียเลย “จ๊ะอิน พี่กำลังจะไปเดี๋ยวนี้จ้ะ แค่นี้นะ”
“ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ครับ ถ้ามีโอกาส ผมก็ต้องรีบไปเคลียร์งานเหมือนกัน”
ชลธิปเป็นฝ่ายทำให้คนตรงหน้าหายอึดอัดที่จะต้องบอกว่าถึงเวลาไปแล้ว “ค่ะ ขอตัวนะคะ” วริญรำไพยิ้มน้อยๆ ให้เพียงนิดเดียว ก่อนจะค้อมตัวลงแล้วเดินเลี่ยงเขาตรงไปหาประตู
เจ้าของโรงแรมหนุ่มได้แต่มองตามแผ่นหลังอันบอบบางอย่างเสียดาย ที่โอกาสอันน้อยนิดที่จะได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกันต้องจบสิ้นลงเร็วกว่าที่คิด เขาก็ได้แต่หวังว่าวันพรุ่งหรือมะรืนจะมีโอกาสแบบนี้อีก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ