สี่อสูรแห่งพาราเกียร์

8.8

เขียนโดย naoza

วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.05 น.

  2 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,475 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558 22.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) กระจกอสูรและทีฟา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                หากเอ่ยนาม พาราเกียร์ เหล่าบรรดามนุษย์ผู้แสวงหาความสบาย ความศรีวิไล และมั่งคั่งคงจะสามารถอธิบายได้ว่านามนี้หมายถึงสิ่งใด อาจจะเรียกกันว่าพาราเกียร์คือเมืองแห่งสวรรค์ ฝูงชนมากมายต่างพยายามเพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองพาราเกียร์ เหล่าฝูงชนที่ต่างยังมีความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง มัวเมาในกิเลสตัณหาไม่จบสิ้น ฝูงชนที่ยังโง่งมอีกนานเพียงเพราะสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า มิอาจรู้เลยว่าภายใต้ความสุขในเมืองนี้ เบื้องหลังเต็มไปด้วยเลือดและชีวิตมากมายที่ต้องสังเวยเพราะคำสัญญากับอสูรทั้งสี่ ณ พาราเกียร์แห่งนี้

                สายฝนโปรยปรายจากท้องฟ้าที่มืดครึ้ม แต่มิได้ทำให้เหล่าผู้คนมากมายที่มารวมตัวกันอย่างหนาแน่นพากันหลบฝนเข้าที่พักหรืออย่างไร สายตานับพันคู่ยังคงจ้องมองไปยังแท่นหินบูชาอันยิ่งใหญ่ที่มีบันไดเรียงรายยาวสูงอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อรอเวลาสำคัญของพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีต่อไปนี้

                “ทีฟาลูกแม่” เสียงร่ำไห้ไกลๆจากแท่นหินบูชารำพึงชื่อลูกสาวของเธอด้วยความอาลัยยิ่งนัก นางมารีอากับราเจล มีอา ผู้เป็นสามีประคองกอดกันพากันแอบอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่มองไปยังลูกสาวคนสำคัญของพวกเขาไปยังแท่นหินบูชานั่น “ไปเถอะ” ราเจลชวนภรรยาและดึงมือเธอหลบหายไปอีกด้านหนึ่ง

                ทีฟา มีอา คือเด็กสาวที่ถูกเลือกให้เป็นเหยื่อบูชายัญในรอบปีของเมืองพาราเกียร์อันมั่งคั่ง เมืองที่สังเวยชีวิตเด็กสาวหลายต่อหลายชีวิตมามากกว่าร้อยปีเพื่อการดำรงอยู่และชื่อเสียงโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้โชคร้าย และครอบครัวที่ไม่มีสิทธิ์แม้จะคัดค้านกับพิธีกรรมอันแสนโหดร้ายนี้

                เด็กสาวผู้โชคร้ายมองไปยังด้านล่างที่มีคนนับพันมารอดูการเสียสละเพื่อบ้านเมืองของเธอด้วยนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่ฉายแววหวาดหวั่นระคนสับสน ผมสีดำสนิทของเธอที่ถูกคาดประดับด้วยดอกคาเนชั่นสีขาวบริสุทธิ์นั้นลู่ยาวตามสายฝน เสื้อผ้าพื้นเมืองชุดสวยกระโปรงยาวแนบกับลำตัวเพราะเปียกปอนเผยให้เห็นร่างกายที่กำลังโตเป็นสาว หากแต่โต๊ะบูชาที่เต็มไปด้วยอาหาร และดอกไม้นานาชนิดบดบังร่างบาง ทำให้มีเพียงดวงหน้าแฉล้มของคนกำลังคุกเข่าภาวนาอยู่ด้านหลังปรากฏอยู่เท่านั้น ทีฟาขยับตัวเบือนสายตามองไปยังยอดสุดของแท่นบูชาที่อยู่ด้านหลังเธอ บนนั้นมีกระจกรูปวงรีตั้งพื้นเด่นตระหง่านอยู่

                กระจกนั้นล้อมกรอบด้วยทองคำที่สลักลวดลายเป็นภาษาโบราณของพาราเกียร์อย่างสวยงาม แลดูมีมนต์ขลังทำให้ดูน่าหวาดหวั่นในคราวเดียวกัน

ทำไมต้องเป็นฉัน? ฉันทำอะไรผิด? หนียังไงดี? ฉันไม่อยากตาย!

ทีฟารู้สึกไม่ยุติธรรมที่เธอต้องมาตายจากพ่อแม่ไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เธอยังใช้ชีวิตไม่คุ้ม เธอยังไม่ได้รู้จักโลกภายนอกมากกว่าที่เคยรู้จัก และเธอยังไม่เคยมีความรักดั่งเช่นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันหลายๆคน นัยน์ตาที่เคยหวาดหวั่นบัดนี้กลับฉายแววบางอย่างที่ทำให้ มิราเอล นักบวชหัวโล้นเลี่ยนซึ่งเป็นผู้ดำเนินการมองเด็กสาวด้วยความประหลาดใจนัก

                “ทำใจได้แล้วหรือ ทีฟา มีอา?” เสียงแหบแห้งถาม

                ทีฟาหันมามองเจ้าของเสียงแล้วนิ่งไม่เอ่ยคำใด

                “เจ้าควรภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีนี้”นักบวชบอกกับเธอแล้วยิ้มให้

                ภูมิใจงั้นเหรอ? ก็เพราะแกไม่ได้จะตายเหมือนฉันไงไอ้โล้น

                ทีฟาสบถด่าคนที่พยายามให้เธอรู้สึกดีในใจอย่างเคืองแค้น

                จากนั้นเมื่อมิราเอลยกคทาประจำตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงสวดมนต์คาถาบางอย่างดังขึ้น เหล่าผู้คนที่มาร่วมพิธีต่างประสานมือร่วมบริบทกันเซ็งแซ่ ชวนเลือดในกายสาววิ่งพล่านและขนตามแขนจรดขึ้นไปยังศีรษะลุกชันเกินควบคุม

                ในขณะที่ทีฟากำลังพรั่นพรึงกับเสียงสวดอันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จู่ๆก็มีมือใหญ่มาจับที่ไหล่บางของเธอ พาให้สะดุ้งโหยง เจ้าของมือนั่นส่งสัญญาให้เธอเงียบ ทีฟารู้สึกมีความหวังขึ้นเมื่อเห็นร่างของพี่ชายกำลังย่อตัวให้ต่ำกว่าโต๊ะบูชา นัยน์ตาสีเดียวกันกับเธอมองมาอย่างมุ่งมั่นทำให้เด็กสาวอุ่นใจเป็นทวีคูณ

                “พี่ลีโอ”

                “ชู่ว...มาทางนี้ทีฟา”

                “พี่ขึ้นมาได้ไง?” ทีฟาถามอย่างประหลาดใจ เพราะพี่ชายไม่น่าจะรอดพ้นสายตานับพันคู่ขึ้นมาถึงที่นี่ได้

                “เรื่องนั่นไว้ก่อน”ลีโอว่า “มากับพี่” ชายหนุ่มคว้าข้อมือน้องสาว อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังหลับตาตั้งใจสวดคาถาพาทีฟาหนีลงจากแท่นหินบูชา

                ลีโอพาทีฟาลัดเลาะป่ายปีนอ้อมมาทางด้านหลัง ซึ่งมีพ่อกับแม่รออยู่แล้ว

                “พ่อ แม่” ทีฟาโผเข้ากอดมารีอาผู้เป็นแม่ ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น

                “รีบไปเถอะ” ราเจลเร่ง แล้วเดินนำครอบครัวไปยังป่าภูเขาด้านหลัง โดยมีลีโอคอยกันหลังแม่และน้องสาวอีกที

                เสียงฮือฮาดังลั่นเข้ามายังในป่าที่ครอบครัวมีอากำลังหาทางหลบหนีแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำลงมามากขึ้น เส้นทางที่ลื่นชันทำให้มารีอาผู้ไม่ชำนาญนักเดินทางลำบากคอยจะล้มจนทำให้ทุกคนช้าไปด้วย ส่วนทีฟาแม้จะเป็นผู้หญิงแต่เธอก็ฝึกหัดเข้าป่าและล่าสัตว์ตามพ่อและพี่ของเธอเสมอ แม้จะโดนผู้เป็นแม่ว่ากล่าวเสมอว่าเป็นหญิงไม่ควรทโมนมากนัก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นประโยชน์ยิ่งในการรักษาชีวิตของเธอ

                “โอ๊ย” เสียงร้องดังขึ้นตามด้วยร่างของมารีอาล้มลงไถลไปกับพื้นดิน ลีโอคว้าตัวแม่ไว้ได้แต่ก็ทำให้จังหวะในการหลบหนีชะงัก

                “นั่น! พวกมันอยู่นั่น!!” เสียงตะโกนของผู้ชายดังขึ้น พวกทีฟาหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามีทหารกลุ่มใหญ่ตามพวกเธอมา

                “มันหาเราเจอได้ไง?”

                ทีฟาอุทานด้วยความตกใจ แต่ราเจลที่ตั้งสติได้ฉุดแขนลูกสาวให้วิ่งหนีเลาะไปยังต้นไม้ที่เริ่มหนาแน่นขึ้น ตามด้วยลีโอที่ให้แม่กอดคอเขาและประคองกันวิ่งหนีให้พ้น

                การหนีที่แสนจะลำบากเริ่มเข้าขั้นเลวร้ายเมื่อทหารนายหนึ่งใช้ธนูยิงมาที่ครอบครัวมีอา และลูกธนูนั้นปักเข้ากลางหลังของมารีอาผู้เป็นแม่

                “แม่!” ลีโอตะโกนเรียกมารีอาด้วยความตกใจ เมื่อร่างของแม่ทรุดลงทันที ราเจลและทีฟาหันกลับมองด้วยหัวใจที่หล่นวูบ

                “มันโดนธนูพิษแล้ว หนีไม่พ้นแล้ว” เสียงหนึ่งในทหารตะโกนก้อง

                มารีอาพยายามใช้กำลังที่ยังพอมีเหลืออยู่ผลักลูกชายให้พาน้องหนีไป

                “แม่”

                “ลีโอ อย่าให้การกระทำของพวกเราสูญเปล่า” มารีอาบอกกับลีโอที่กำลังร้องไห้ ราเจลวิ่งมากอดภรรยาที่กำลังจะหมดลมหายใจ “ช่วยลูกด้วยนะคะ” มารีอาเอ่ยครั้งสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ

                ราเจลกอดภรรยาแน่นกว่าเดิมก่อนจะวางเธอลงอย่างนุ่มนวล แล้วลุกขึ้นชักดาบที่ติดไว้ข้างเอว เผชิญหน้ากับเหล่าทหารที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ

                “ลีโอ พาน้องไป” ราเจลเอ่ยด้วยเสียงเด็ดเดี่ยว

                “แต่พ่อ...”ลีโอยังคงร้องไห้ ไม่ต่างกับทีฟาที่ร้องไห้โฮซบอกผู้เป็นแม่

                “ไม่ได้ยินที่แม่เขาพูดรึไง ไปซะ!” เสียงตวาดทำให้ลีโอได้สติ ฉุดทีฟาให้ลุกขึ้นอย่างแรงและออกวิ่ง เด็กสาวพยายามสะบัดแขนไม่ยอมไป แต่ลีโอก็บังคับกำลังเธออย่างที่สุด

                “พี่จะปล่อยพ่อไว้ไม่ได้นะ” ทีฟาตะโกนใส่พี่ชายแล้วทุบแขนที่จับเธอไว้แรงๆหลายต่อหลายครั้ง หันกลับไปมองพ่อตัวเองที่พยายามสู้กับทหารอย่างไม่หวั่นเกรง แต่ราเจลก็เสียท่าให้กับทหารหลายนายจนร่างกำยำที่ทีฟาไม่เคยคิดว่าพ่อจะแพ้ใครได้ล้มลง เหล่าทหารเหยียบย่ำอย่างไม่แยแส

                ร่างบางแทบทรุดเมื่อเห็นวาระสุดท้ายของพ่อกับแม่จบลงอย่างไร้ค่า พวกนั้นทำกับครอบครัวเธอราวกับเป็นเศษขยะ เพียงเพราะต้องการเธอไปทำพิธีบ้าบอนั่นเท่านั้น ลีโอบีบแขนน้องสาวแน่นด้วยความเสียใจไม่แพ้กัน แต่เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถช่วยทีฟาได้ตามเจตนาที่พ่อแม่ตั้งไว้

                เหล่าทหารเข้ามาใกล้เต็มทน แต่ไม่กล้าที่จะยิงธนูอีกครั้งเพราะกลัวว่าจะทำให้ทีฟาได้รับบาดเจ็บ “ไม่มีเวลาแล้ว จับมัน” เสียงของทหารดังไล่มาเรื่อย

                แม้จะพยายามหนีเท่าไร สุดท้ายแล้วลีโอก็ไม่สามารถพาทีฟาหนีจากทหารที่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการรบมาอย่างดีได้ เขาและทีฟาถูกจับกุมตัวไปยังแท่นหินบูชาอีกครั้ง โดยทหารจับเขาแยกจากน้องสาว จับเขามัดมือมัดเท้าไว้กับเสาไม้ด้านล่างที่สามารถมองเห็นพิธีได้ชัดเจน

                ทีฟาถูกกระชากขึ่นไปตามขั้นบันไดที่เย็นเฉียบเพราะสายฝน ร่างบางเดินไปยังจุดสูงสุดของแท่นหินบูชาที่มีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่ ทีฟามองสภาพตัวเองในกระจกผมเผ้าของเธอรุงรังดอกคาเนชั่นที่เคยประดับสวยมีเลือดเปื้อนติดอยู่ เสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยดินโคลนเต็มไปทั่วร่าง       

                “อะไรคือความปรารถนาของเจ้าครั้งสุดท้าย?” มิราเอลเอ่ยถามเด็กสาว ในมือทั้ง 2 ข้างของเขามีหมอนสีขาวบนนั้นมีกริชเพชรด้ามทำด้วยมุกขาวอัญมณีหลากสีเรียงเป็นเม็ดอย่างสวยงาม

                “ปล่อยฉันกับพี่ชายซะ ไอ้พวกอำมหิต”

                ทีฟาตะโกนก้องเรียกเสียงฮือฮาและด่าทออื้ออึงเซ็งแซ่ ชาวบ้านหันไปขว้างหินขว้างดินใส่ลีโอที่ถูกมัดไว้อย่างเคียดแค้น

                “หยุด! หยุดนะ!” เด็กสาวตะโกนห้ามจนเสียงแหบแห้ง “พอได้แล้ว อย่าทำให้พี่ลีโอเลย ฉันยอมทุกอย่างแล้ว ปล่อยพี่ไปเถอะ”เธอหันมาอ้อนวอนมิราเอล

                นักบวชวัยกลางคนยิ้มรับแต่นัยน์ตาสีเทานั้นไม่ได้ยิ้มด้วย ยกมืออูมๆขั้นเหนือศีรษะส่งสัญญาณห้าม ทหารตะโกนบอกชาวบ้าน การขว้างปาจึงหยุดลง

                “ทีฟา มีอา เพราะเหตุใดจึงเป็นอย่างนี้ ตัวเจ้าเองรู้ดี หากเจ้าไม่หนีไม่ดื้อรั้น ครอบครัวเจ้าคงจะไม่ได้พบกับจุดจบเช่นนี้” มิราเอลวางหมอนสีขาวไว้ที่โต๊ะข้างๆกระจกผายมือเป็นเชิงให้เธอหยิบขึ้นมา “เพราะความเห็นแก่ตัวของเจ้าแท้ๆ ความจริงแล้วเจ้าก็เห็นว่าครอบครัวผู้เสียสละอยู่กันสบายแค่ไหน”

                “การเสียสละเพื่อทุกคน ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะ” ทีฟากัดฟันเอ่ย แล้วมองไปยังกรีชเพชร “ความปรารถนาของฉันครั้งสุดท้ายคือการปล่อยพี่ชายของฉัน ให้เขามีชีวิตอยู่ไม่โดนทำร้ายหรือฆ่าทีหลัง”

                “แน่นอนสาวน้อย เราจะทำตามที่เจ้าขอ” มิราเอลรับปาก

                “งั้นปล่อยก่อนสิ” ทีฟาต่อรอง แล้วหยิบกริชขึ้นมา หงายข้อมือขึ้นแล้วจรดกรีชลงไปเลือดสีสดซึมออกมาตามบาดแผล

                นักบวชหันไปบอกกับทหารนายหนึ่ง จากนั้นคำสั่งก็ถูกส่งไปยังลีโอ เขาได้รับการปลดปล่อยแต่ไม่ยอมไปไหน ทีฟามองหน้าพี่ชายนิ่ง ถึงแม้จะไกลกันแต่สายตาและความหมายก็สามารถส่งถึงกันด้วยสายใยของความเป็นพี่น้อง ลีโอกัดฟันแน่นแล้วสะบัดหน้าหมุนร่างสูงของตนหนีไปจากตรงนั้น ทีฟายิ้มอย่างพอใจ แล้วหันมาที่กระจกต่อ

                “เอาเลือดของเจ้าทาไปที่กรอบกระจกก่อน” มิราเอลสั่ง ทีฟาจะทำตามแต่เธอกลับชะงัก

                “แค่ทาแค่นี้ต้องฆ่ากันด้วยเหรอ?”

                “เจ้ามีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าถามมากนัก” นักบวชหัวโล้นเริ่มหงุดหงิด ทีฟาหรี่ตามองอย่างยั่วอารมณ์

                “ก็อยากรู้นี่ ไหนๆก็จะตายแล้วบอกให้รู้ก่อนไม่ได้รึยังไง?”

                มิราเอลถอนหายใจแล้วยอมบอก “เลือดที่ทาที่กรอบกระจกคือการปลุกให้สี่อสูรรับรู้ จากนั้นเจ้าต้องเชือดคอตัวเองแล้วพวกทหารก็จะรองเลือดเจ้าจดหมดตัวเพื่อทาไปยังกระจกให้เต็มไม่มีพื้นที่ว่าง แล้วสี่อสูรก็จะได้รับเครื่องสังเวยอย่างสมบูรณ์”

                “หมายความว่าในกระจกนี้มีสี่อสูร?”

                “ใช่”

                “เป็นถึงสี่อสูรทำไหมถึงโดนขังอยู่ในนี้?” ทีฟามองมิราเอลที่พยายามข่มอารมณ์ “แล้วฝนตกอย่างนี้แล้วจะทาได้ทั่วหรอ?” สาวน้อยยังคงตั้งทำถามแม้จะรู้สึกเสียวๆที่คอตัวเอง นึกไม่ออกว่าตัวเองจะกล้าเชือดคออย่างที่ได้รับคำสั่งหรือเปล่า

                “ไม่มีเวลาแล้ว เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว ทีฟา มีอา” มิราเอลดุทั้งเสียงและสายตา

                เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วกดปลายกริชให้ลึกขึ้นลากผ่านข้อมือ เลือดสาวไหลออกตามทางปากแผล จากนั้นทีฟาใช้มือข้างที่ถือกริชลูบเลือดตัวเองทาไปยังกรอบกระจก แล้วพบว่าเลือดกำลังซึมหายไปไม่ทิ้งรอยไว้

                “เป็นไปได้ไง?” ทีฟาอุทานอย่างลืมเจ็บ เมื่อทารอบกรอบแล้วที่กระจกก็มีแสงสีขาวจ้าสะท้อนอกมา จนเธอต้องยกหลังมือมาบังแสงที่ตาไว้

                “เชือดคอตัวเองซะ” มิราเอลสั่ง “ก่อนที่แสงจะหายไป”

                ใครจะทำได้

                ทีฟาแย้งในใจ และไม่ยอมทำตามที่มิราเอลสั่งเสียที จนแสงเริ่มค่อยๆหรี่ลง มิราเอลตกใจรีบสั่งทหารให้จับตัวทีฟาเพื่อจะลงมือเชือดคอของเธอเอง สาวน้อยขัดขืนจนตัวเองเซไปยังกระจก

                “ระวังอย่าให้กระจกแตก” นักบวชร้องลั่น เหล่าทหารพากันจับเธอย่างเก้ๆกังๆ เพราะกลัวทีฟาล้มไปทำกระจกแตกจริงๆ

                สมองของเด็กสาวสั่งการโดยทันใดเมื่อรู้ว่ากระจกนั่นมีสี่อสูรอยู่ หากเธอทำลายมัน พวกอสูรอาจจะออกมาแล้วพากันตายไปทั้งเมือง นั่นแหละคือสิ่งที่เธอเองต้องการ

                ร่างบางล้มลงใส่กระจกอย่างแรงจนเป็นรอยร้าว มือเล็กที่กำกริชเพชรไว้เงื้อสุดแขนจ้วงแทงลงไปที่กระจกแล้วกรีดยาวหลายต่อหลายครั้ง จนเนื้อกระจกเริ่มกะเทาะออก ทีฟาใช้มือแกะออกโดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร

                “ทำบ้าอะไรของเจ้า”มิราเอลตวาดลั่น ส่วนทหารไม่กล้าเข้าใกล้ทีฟาได้แต่มองเธออย่างกลัวๆเมื่อมือนั้นชุ่มด้วยเลือด

                เหตุการณ์ตึงเครียดจนไม่สามารถทำอะไรได้อีก จู่ๆก็มีลมปะทะเข้ากับร่างบางเข้าอย่างจัง เสียงหัวเราะดังลั่นก้องไปทั่ว นกที่หลบฝนต่างพากันกระพือปีกหนีออกอย่างไม่คิดชีวิต ปฐพีสั่นไหวและบังเกิดแสงสว่างรอบตัวทีฟาสร้างความตกใจให้กับทุกคนโดยเฉพาะคนต้นเรื่อง

                แสงนั้นห่อหุ้มร่างของเด็กสาว ก่อนจะพุ่งทยานสู่ท้องฟ้าพาร่างบางหายวับไปในบัดดล

                ทีฟารู้สึกว่าตัวเองถูกกระชากอย่างแรง สติเริ่มลางเลือนเพราะเสียเลือดมากภาวนาขอให้พี่ชายหนีไปได้ก่อนที่ทหารจะตามเจอ

                “ลีโอ...” แล้วสติของเธอก็ดับวูบไป

 

                “แล้วจะทำเช่นไรกันล่ะพวกเรา?”

                “เจ้าเป็นคนพานางมาเอง ก็หาวิธีเอาล่ะกัน”

                “อย่างน้อยก็ต้องรักษานางก่อน”

                “อย่ามาสั่งข้าด้วยลมปากเปล่าของเจ้านะ”

                “งั้นปล่อยให้ตายไปสิ ยุ่งยากจริง”

                “ถ้าปล่อยให้ตายได้ล่ะนะ”

                “หมายความอย่างไร?”

                “ยุ่งยากชะมัดเลย อุตส่าห์นึกว่าได้เป็นอิสระแล้วแท้ๆ”

                ร่างของทีฟาที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดถูกวางนอนไว้บนมอสใหญ่สีเทากลางป่าใหญ่ โดยมีใครอีกสี่คนกำลังสนทนาเรื่องเธออยู่ใกล้ๆ

               

 

 

               

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา