ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน
-
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.17 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
12.99K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 12.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน ตอนที่ 7 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลาผ่านไปนับสัปดาห์แล้วที่ได้รู้ว่าไอ้โจรบ้ากามกับเจ้านายตัวเอง เจ้าของคฤหาสน์แสนสวยที่อาศัยซุกหัวนอนนี้คือคนคนเดียวกัน! ตั้งแต่วันที่เขาบุกเข้ามาเจรจาถึงข้างเตียงนั้นก็ยังไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย มันทำให้รู้สึกว่าโล่งอก วางใจได้ในระดับหนึ่งว่าเขาจะไม่มาระรานให้ตะขิดตะขวงใจอีก แต่คนรอบข้างตัวเธอทำไมถึงได้ชอบบ่นหาเขาวันละหลายครั้งกันนะ ทำอย่างกับว่าขาดเขาแล้วบ้านมันดูเงียบลงอย่างนั้นแหละ เด็กรับใช้ในบ้านก็พูดถึงเขาแต่ในทางที่ดีทั้งนั้น
หึ... ก็แน่ล่ะสิ! ใครจะกล้านินทาเจ้านายที่จ่ายเงินเดือนให้ตัวเองทุกเดือนกันเล่า มนตร์ลดาคิดในใจ
คุณปู่การันก้าเป็นอีกคนที่ดูซึมไปอย่างเห็นได้ชัด จนพยาบาลสาวต้องหากิจกรรมยามว่างให้ท่านทำอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ เล่นหมากรุก ปลูกต้นไม้ ตลอดระยะเวลาสิบวันที่ได้ดูแลปรนนิบัติท่านอยู่นี้ หญิงสาวซาบซึ้งในน้ำใจที่ท่านมีให้เป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่พูดคุยกับท่านแล้วเผลอหลุดปากใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘หนู’ แทนที่จะเป็น ‘ดิฉัน’ แต่ท่านก็ไม่ถือสาอะไรกลับยิ้มหัวเราะชอบใจ แล้วยังซักถามถึงครอบครัวของเธออีกมากมายจนท่านเข้าใจได้ว่ามันเป็นสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองเมื่อพูดกับมารดาและคุณป้าที่อยู่เมืองไทย ท่านจึงเอ่ยปากให้หญิงสาวแทนตัวเองว่า ‘หนู’ บ้างเพราะเห็นว่ามันดูน่ารักอ่อนน้อมเป็นอย่างมาก ทั้งยังให้เรียกท่านว่า ‘คุณปู่’ อีกด้วย ครั้นจะขัดขืนก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จะโต้แย้ง คุณป้าราตรีก็สอนอยู่บ่อยๆว่าอย่าปฏิเสธความหวังดีหรือความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มอบให้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไปขัดใจท่านในเรื่องเพียงเท่านี้
“คุณปู่คะ... ไปทานอาหารเถอะค่ะ ทานยาก่อนอาหารไปเกือบสิบห้านาทีแล้ว” มนตร์ลดาบอกผู้สูงวัยที่นั่งชะเง้อมองออกไปที่สวนหน้าคฤหาสน์เหมือนว่ากำลังรอใครบางคนอยู่
มนตร์ลดากดปุ่มบังคับรถเข็นที่คุณปู่การันก้านั่งอยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่เคลื่อนเข้ายังห้องอาหารแล้ว ผู้สูงวัยก็มีสีหน้าไม่สดชื่นขึ้นเลย “ว้า... ทำยังไงถึงจะให้คุณปู่ยิ้มได้นะ... ต้องให้หนูไปหาสาวๆที่ไหนมาเต้นแซมบ้าให้ดูไหมคะ?”
การันก้าเลิกคิ้วมองพยาบาลประจำตัว สีหน้าแววตาเบิกบานขึ้นมาทันที “เป็นความคิดที่ดีมาก เยี่ยมไปเลย เร็วเข้าแม่หนูมิ้นต์ไปเรียกสาวๆที่เธอว่ามาทำสร้างความบันเทิงใจให้ปู่โดยด่วน!!”
มนตร์ลดาหลุดหัวเราะออกมาด้วยเสียงสดใส เมื่อเห็นใบหน้าที่ทำเป็นเห็นดีเห็นงามกับเธอไปด้วยทั้งที่ความจริงแล้วรู้ดีว่าคุณปู่พูดเออออกับเธอไปเท่านั้น “คุณปู่ชอบล้อหนูอยู่เรื่อยเลย ไม่เอาแล้วค่ะเลยเวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา เริ่มทานเลยนะคะ”
“เออ... แล้วเมื่อตอนกลางวันที่ปู่งีบไป แม่หนูมิ้นต์ไปเที่ยวที่ไหนมา?” การันก้าถามพลางจัดการกับอาหารที่พยาบาลสาวตักให้
“ตอนแรกหนูออกไปเดินเล่นในสวนด้านหลังคฤหาสน์ค่ะ เดินเพลินไปหน่อยเลยได้ไปเห็นสวนองุ่น พอเห็นองุ่นเป็นพวงๆอยู่เต็มไปหมดเท่านั้นล่ะค่ะ หนูลืมไปเลยว่าตัวเองออกจากบ้านมาไกลแค่ไหน ดีนะคะมีคุณอาคนนึงชื่อ... ฮักซ์ เขาบอกว่าหนูเดินมาไกลพอสมควร ขากลับเลยให้อาศัยรถคนงานในไร่กลับเข้ามาน่ะค่ะ” มนตร์ลดาบอกด้วยความตื่นเต้นเพราะเพิ่งเคยเจอองุ่นลูกใหญ่เป็นพวงที่อยู่บนต้นเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ขี่ม้าเป็นรึเปล่าเราน่ะ?” การันก้าถาม
“ไม่เป็นหรอกค่ะแต่ขับรถได้ค่ะ” มนตร์ลดารีบตอบ
“งั้นวันหยุดถ้าไม่อยากเข้าไปในเมืองก็ให้ไมนาสพาไปดูไร่องุ่น ช่วงนี้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวองุ่นพอดี หรือว่าอยากหัดขี่ม้าก็ให้ไมนาสหัดให้ก็ได้” การันก้าบอกอย่างใจดี เธอดูแลเอาใจใส่เขาได้ดีกว่าพยาบาลทุกคนที่เคยจ้างมา สมควรแล้วที่จะได้รับรางวัลเล็กๆน้อยๆตอบแทน ทั้งคู่คุยกันไปรับประทานอาหารไปจนไม่รู้ตัวว่าที่หน้าประตูห้องอาหารมีร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ ยืนพิงกรอบประตูฟังบทสนทนาของทั้งคู่ตั้งแต่ที่แม่พยาบาลสาวเกงานไปเที่ยวเล่นในไร่องุ่นแล้ว
“หยุดทั้งคู่เลย อย่าได้แม้แต่จะคิดว่าจะให้ใครพาเข้าไปเที่ยวในไร่อีก นอกจากฉัน!” เสียงห้าวห้วนจัดของอเตต้าร์ดังกระหึ่มขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาทรุดนั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับมนตร์ลดา “ปู่ก็เหมือนกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโอ๋นางพยาบาลของปู่เกินเหตุขนาดนี้ ขนาดว่าเธอเกงานหนีเที่ยว ก็ควรได้รับโทษหรือว่าคำตำหนิ ไม่ใช่ให้ท้ายกันแบบนี้ อีกหน่อยคงได้เหลิงกันใหญ่!!”
กานโช่กุลีกุจอจัดอาหารให้เจ้านายหนุ่มด้วยใบหน้าชื่นมื่น ดีใจที่เจ้านายหนุ่มกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“เฮ้ย! ไอ้หลานหนังเหนียวนี่ไม่ตายง่ายนี่หว่า เพิ่งคิดถึงอยู่หยกๆก็มาให้เห็นทันใจเชียว เอ้าๆ มาเหนื่อยๆมากินข้าวก่อนเร็ว” การันก้า ทักทายหลานชายแบบที่ทำอยู่เป็นประจำ ผิดกับมนตร์ลดาที่ขบริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอหน้าเขาในวันนี้ ทั้งยังตำหนิเธอว่าหนีงานไปเที่ยวอีกด้วย
“คราวหลังอย่าได้ริอาจเข้าไปในไร่คนเดียวอีกเด็ดขาด เกิดอะไรขึ้นจะมีใครมาช่วยได้ทันมั้ย!??” อเตต้าร์จ้องตา ต่อว่าพยาบาลสาวตรงๆ
“อะไรกันนักกันหนาเล่า แค่ท้ายไร่ตรงนี้มันจะมีอะไรไม่ปลอดภัย แม่หนูมิ้นต์ไปได้ข้ามไปฝั่งนู้นสักหน่อย แกก็อย่าดุให้มากนักเลยอาร์ตี้ เดี๋ยวแม่หนูมิ้นต์ของฉันก็ตกใจเผ่นหนีกลับรีโอเดอจาเนโรไปหรอก”
มนตร์ลดาเม้มปากแน่น ข่มอารมณ์ ความจริงที่เขาพูดมามันก็ถูกต้องแล้วมันเป็นเวลางานเธอไม่ควรที่จะละสายตาจากคุณปู่การันก้า และมันรู้สึกแย่มากที่ให้ท่านออกหน้ารับแทนแบบนี้ “ขอโทษค่ะ ต่อไปนี้ดิฉันจะไม่ทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีก ขอโทษเซญอร์อเตต้าร์ด้วยนะคะ”
อเตต้าร์พูดไม่ออกเมื่อปฏิกิริยาของเธอเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ทุกครั้งที่ปะทะคารมกันเธอไม่เคยยอมลงให้เขาง่ายๆแบบนี้ รับรองว่าถ้าตำหนิเธอตรงๆแบบนี้แม่คุณต้องซัดกลับมาได้ไม่น้อยหน้ากันแน่ แต่คราวนี้เธอเอ่ยปากขอโทษ ทั้งยังแทนตัวเองว่าดิฉันเรียกเขาว่า เซญอร์อเตต้าร์ อย่างเหินห่างอีกด้วย
ให้ตายเถอะแม่คุณเอ๊ย!! พอเอาเข้าจริงเขากลับอยากให้เธอจิกเรียกว่า ‘แกหรือไอ้บ้ากาม’ อย่างเดิมมันยังให้ความรู้สึกดีกว่าตอนนี้เลย
จบคำขอโทษขอมนตร์ลดาแล้วก็ไม่มีใครได้พูดอะไรขึ้นมาอีก ต่างคนต่างจัดการกับอาหารเย็นตรงหน้าของตัวเองเงียบๆ หากแต่ผู้สูงอายุที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ที่นั่งขนาบซ้าย-ขวาของตนอยู่นี้ หากแต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าอาการอึมครึมของทั้งคู่นั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่??
หลังอาหารอเตต้าร์กับการันก้าปรึกษาปัญหาเรื่องไร่องุ่นถูกไฟไหม้คราวที่แล้วในห้องนั่งเล่นเพียงสองคน การันก้ามองหลานชายวัยหนุ่มเต็มตัวที่เปิดระเบียงกว้างกำลังสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก พลางคิดว่าตนเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยติดบุหรี่มาก่อน ภรรยาเคยขอให้เลิกแต่ก็ทำไม่ได้มันรู้สึกหงุดหงิดเหมือนกับว่าทำงานมาหนักๆเหนื่อยๆ แค่จะคลายอารมณ์ทำไมจะต้องมาบังคับกันด้วย มันก็แค่บุหรี่มวนนึงเท่านั้น
แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น สุขภาพก็ทรุดโทรมไม่ได้แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มที่ผ่านมานั่นแหละจึงได้รู้ซึ้งในคำว่าบุหรี่แค่มวนนึง!! การันก้าไม่เคยขาดบุหรี่ได้เลยจนเมื่อเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีที่แล้วที่ทำให้เสียขาทั้งสองข้าง การต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเดือนๆโดยไม่รู้สึกตัว ถึงทำให้เขาตัดบุหรี่ออกไปจากชีวิตได้ และหวังเหลือเกินว่าหลานชายที่ตนรักจะเลิกมันได้ในเร็ววันนี้
“ผมว่าในไร่เราต้องมีเกลือเป็นหนอน มันแปลกๆ ผมให้ไมนาสไปสืบย้อนรอยพวกมันดูแล้วไม่มีแม้แต่ร่องรอย พวกมันเหมือนกับรู้ทางหนีทีไล่ในไร่ของเราเป็นอย่างดี อีกอย่างพอเราเงียบทำเป็นไม่สืบต่อแทนที่พวกมันจะได้ใจ เคลื่อนไหวอะไรบ้างแต่พวกมันกลับเงียบ เงียบจนผมคิดว่าบางทีอาจมีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้นก็ได้”
“นี่ใช่ไหมที่เป็นสาเหตุที่ไม่อยากให้แม่หนูมิ้นต์ไปเที่ยวในไร่?” การันก้าเพิ่งจะเข้าใจถึงสาเหตุที่หลานชายของตัวเองพูดเมื่อตอนอยู่ในห้องอาหาร
“ครับ ตอนอยู่ที่บราซิลเลียผมแทบจะบ้าตายเพราะกลัวว่าที่นี่จะเกิดเรื่องขึ้น เพราะไมนาสได้รับข้อความจากผู้หวังดีส่งทางอีเมล์ว่า ระวังตัว สั้นๆง่ายๆแค่นี้แต่ผมไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเขาหวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ถึงได้ส่งให้ไมนาสกลับมาก่อน” สัปดาห์ที่ผ่านมาอเตต้าร์ต้องเดินทางไปบราซิลเลียซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศบราซิล เพื่อเซ็นสัญญากับลูกค้าจากตะวันออกกลาง ลูกค้ากลุ่มนี้กระเป๋าหนักเพราะจะสั่งซื้อไวน์แบรนด์ เซฮา เดอ ชาโต ทีละมากๆเก็บไว้ที่ฮาเร็มของตัวเอง พวกเขาทำอย่างนี้เพราะมีงานเลี้ยงสังสรรค์บ่อย การสั่งสินค้าข้ามทวีปจากบริษัทดีลเลอร์ของมอร์แกนเพียงผู้เดียวนั้น ทำให้การขนส่งล่าช้าและราคาของไวน์ต่อขวดก็แพงขึ้นอีกเกือบเท่าตัว นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มอร์แกนไม่พอใจนักเพราะการขยายตลาดของอเตต้าร์ทำให้รายได้ของมอร์แกนสูญหายไปมากกว่าครึ่ง!!
“งั้นก็เงียบไว้ดีที่สุด มันอาจจะเป็นอย่างที่แกคิดก็ได้ คนงานเป็นพันชีวิตร้อยพ่อพันแม่มารวมกันอยู่ที่นี่ เราไม่รู้ได้หรอกว่าเขาจะจริงใจกับเราแค่ไหน แต่ปู่จะเตือนแกไว้ว่า เวลาจะทำอะไรก็อย่าให้รุนแรงนัก บางทีพวกเขาอาจถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือโดยไม้รู้ตัวก็ได้” การันก้า เตือนหลานชายเพราะรู้ดีว่าคนอย่างอเตต้าร์นั้นมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว เขามีความมุทะลุอยู่ในตัวมากทีเดียว ภาพของหลานชายในตอนนี้นั้นถอดแบบนิสัยของตัวเองในวัยหนุ่มออกมาเลยทีเดียว
อเตต้าร์หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้เป็นปู่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลอย่างกวนโทสะ “ห่วงผมหรือห่วงว่าผมยังไม่มีเหลนให้กันแน่?”
“รู้ตัวเหมือนกันนี่”
อเตต้าร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ “ฮ่า... ก็ผมรู้จักปู่มาตั้งแต่เกิดมีเหรอจะไม่รู้ว่าปู่คิดอะไรอยู่ อย่ามาหวังเรื่องนี้กับผมเลยน่า... ผมยังไม่ถูกใจผู้หญิงคนไหนที่พอจะฝากลูกของผมไว้ในท้องของเธอหรอก”
มนตร์ลดาถือถาดยาหลังอาหารของคุณปู่การันก้าไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งชะงักค้างที่ประตูห้องเมื่อได้ยินคำพูดถือดีของผู้ชายที่เคยสร้งความอดสูใจให้ตนเอง เสียงห้าวเข้มที่ได้ยินอย่างชัดเจนนั้นมันย้ำเตือนให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงแค่โสเภณีไร้ค่า อยู่ผิดที่ผิดเวลาให้เขาลากเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำได้อย่างง่ายดายเท่านั้น!!
“ฉันจะรอดูวันที่ผู้ชายโอหังอย่างแกต้องแพ้ทางให้ผู้หญิงสักคนอย่างหมอบราบคาบแก้ว!! อาร์ตี้” นิ้วชี้อันเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของการันก้ายกขึ้นมาชี้หลานชายที่ยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆเลย “ฉันมั่นใจว่าต้องได้เห็นแน่”
ก๊อก... ก๊อก...
มนตร์ลดาผลักประตูที่แง้มไว้อยู่แล้วให้เปิดกว้างขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากคนข้างใน พยาบาลสาวเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดยาใบย่อมในมือ
“ยาหลังอาหารค่ะคุณปู่” มนตร์ลดาวางถาดที่ถือเข้ามาลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวใหญ่ พลางส่งยาเม็ดเล็กๆพร้อมกับน้ำสะอาดให้คุณปู่การันก้า “หนูได้ยินคุณปูบ่นว่าไม่ชอบกลิ่นนม หนูก็เลยเติมผงโกโก้กับกลิ่นวนิลลาลงไปนิดหน่อย คุณปู่ลองดื่มดูนะคะ หนูไม่แน่ใจว่าคุณปู่จะชอบไหม”
การันก้ารับเอาแก้วนมสดอุ่นจัดขึ้นมาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของโกโก้และวนิลลาเข้าจมูก ความหอมละมุนละไมของมันทำให้ผู้สูงวัยยิ้มเอ็นดูพยาบาลสาวคนนี้นักที่ดูแลเอาใจใส่ตัวเองดีเหลือเกิน “หอมจัง... คราวหลังบอกสูตรกับแม่บ้านไว้นะ พวกนั้นเติมโกโก้กับน้ำตาลมากเสียจนปู่กินเข้าไปแล้วรู้สึกแสบคอไปหมด”
มนตร์ลดายิ้มน่ารักให้กับการันก้าเมื่อเห็นว่าท่านดื่มนมสดที่ตัวเองนำมาให้เข้าไปจนหมด “ถ้าคุณปู่ทานได้งั้นหนูเพิ่มเป็นเช้า-เย็นเลยนะคะ”
อเตต้าร์มองใบหน้างดงามที่ยิ้มออกมาได้อย่างน่ารัก ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างดีใจเหมือนกับเด็กได้รับคำชม ดวงตาคมกริบของอเตต้าร์เผลอมองปากสีเชอร์รี่สดที่ขยับพูด ยิ้ม เพลินตา...
“พรุ่งนี้คุณหมอจะมาตรวจร่างกายประจำเดือน มีตรวจเลือดด้วยนะคะเพราะฉะนั้นหลังเที่ยงคืนคุณปู่ต้องงดอาหารกับน้ำนะคะ” มนตร์ลดาบอกเพราะระหว่างที่เตรียมนมสดในห้องครัวอยู่นั้น กานโช่พ่อบ้านประจำคฤหาสน์บอกกับเธอว่า คุณหมอประจำตัวคุณท่านการันก้าจะมาตรวจสุขภาพทุกๆเดือน และพรุ่งนี้ก็ครบกำหนดแล้วจึงต้องให้ท่านงดน้ำงดอาหารเพื่อทำการเจาะเลือด ตรวจหาโรคและความผิดปกติในร่างกาย
การันก้าพยักหน้ารับ ทราบถึงขั้นตอนในการปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี
“หนูขอตัวก่อนนะคะ ถ้าคุณปู่คุยธุระเสร็จแล้วก็กดกริ่งเรียกหนูได้ค่ะ”
“เข้านอนเลยก็ได้ ปู่ไม่ได้มีธุระอะไรมากมายหรอก ยกให้ลูกให้หลานดูแลหมดแล้ว ไปนอนกันดีกว่า เดี๋ยววันนี้ให้อาร์ตี้อุ้มขึ้นเตียงก็ได้” พูดจบคุณปู่การันก้าก็กดปุ่มคอนโทรลเก้าอี้เข็นไฟฟ้าเคลื่อนออกจากห้องพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ที่เดินตามออกไปในทันที
อเตต้าร์ยิ้มขำๆเมื่อเห็นสีหน้าพยาบาลคนดีของคุณปู่ที่อ้าปากค้าง แต่ก็ยอมเดินตามออกมาจากห้องและก้าวเข้ามาในลิฟต์เงียบๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอไม่อยากอยู่ใกล้กับเขา ไม่ชอบหน้าเขา ขนาดว่าลิฟต์ออกจะกว้างขวาง เธอยังเข้าไปเบียดตัวอยู่ตรงมุมลิฟต์ทำเหมือนกับว่าในลิฟต์นี้มันอัดแน่นไปด้วยผู้คนนับสิบอย่างนั้นแหละ!!
“อ้าว!... แม่หนูมิ้นต์ทำไมไปยืนเบียดอยู่มุมอย่างนั้นล่ะ ถอยออกมาหน่อยก็ได้อาร์ตี้ไม่จับแม่หนูมิ้นต์หักแข้งหักขาทำสตูลหรอกน่า!!” การันก้าบอก พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ค่อยๆเปิดออก
มนตร์ลดายิ้มแหยๆ อาศัยความปราดเปรียวของตัวเองก้าวออกไปจากลิฟต์ก่อน เดินตัวปลิวลิ่วๆนำหน้าไปเปิดประตูห้องนอนที่อยู่สุดทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์ หญิงสาวมองร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ช้อนอุ้มคุณปู่การันก้าขึ้นจากรถเข็นด้วยพละกำลังอันเหลือเชื่อ ปกติหน้าที่นี้จะเป็นของกานโช่แม้จะอุ้มจากรถเข็นวางลงบนเตียงไม่ไกลนักแต่ความที่คุณปู่การันก้าเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ก็ทำให้คนรูปร่างสันทัดอย่างกานโช่เหงื่อซึมได้เหมือนกัน แต่ยักษ์ปักหลั่นตรงหน้านี้กลับทำได้ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด!!
อเตต้าร์ถอยออกมายืนอยู่ที่ปลายเตียง สายตาคมกริบมองมือเรียวบางที่กำลังปลดเสื้อให้คุณปู่ได้อย่างคล่องแคล่ว ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นมาคลุมถึงเอว จากนั้นก็จัดการใช้ผ้าผืนเล็กชุบน้ำหมาดๆเช็ดเนื้อตัวให้ท่าน สุดท้ายคือการแปรงฟันบนเตียงที่ดูเหมือนว่าเวลาไม่นานที่อยู่ด้วยกันทั้งคู่จะรู้อกรู้ใจกันเป็นอย่างดี การอาบน้ำบนเตียงจึงเป็นไปอย่างไหลรื่นไม่ติดขัดแต่อย่างใด อเตต้าร์เผลอยิ้มกับวิธีที่พยาบาลสาวพลิกของคุณปู่เพื่อเอาผ้ายางรองกันที่นอนเปื้อนระหว่างอาบน้ำออก ทาครีมบำรุงผิวตามด้วยแป้งฝุ่นเล็กน้อยแล้วจึงสวมชุดนอนให้จนเรียบร้อย
การปรนนิบัติของเธอก็นับว่าสมกับค่าจ้างราคาแพงในแต่ละเดือน ที่สำคัญอเตต้าร์ยังไม่ได้ยินเสียงบ่นจากคุณปู่ว่าพยาบาลคนใหม่ทำอะไรไม่ถูกใจเหมือนกับพยาบาลหลายๆคนก่อนหน้านี้เลย หนำซ้ำท่านยังอนุญาตให้เธอเรียกว่าคุณปู่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย
“ไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวก่อนนะคะ” มนตร์ลดาเอ่ยขึ้น หลังจากที่ยกอุปกรณ์ในการอาบน้ำทั้งหมดเข้าไปเก็บในห้องน้ำแล้วเดินกลับออกมาอีกครั้ง
“ไปเถอะ... ปู่ดูทีวีอีกสักแป๊บก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” การันก้าบอกพร้อมกับหันมาสนใจที่ข่าวสารบ้านเมืองในทีวีช่องท้องถิ่นที่ติดไว้อยู่บนผนังห้อง ก่อนออกจากห้องไปพยาบาลสาวยังถือรีโมตทีวีขึ้นมาตั้งเวลาปิดในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าด้วย จากนั้นจึงเดินไปยังประตูห้องที่เชื่อมระหว่างห้องนอนส่วนตัวของตนเอง
“ดูปู่พอใจกับพยาบาลคนนี้มากนะครับ” อเตต้าร์ทรุดนั่งลงที่โซฟาตัวยาวปลายเตียงนอน เอนหลังพิงกับเสาเตียงนั่งเหยียดขายาว กระดิกเท้าอย่างสบายอุรา
“แกก็เห็นด้วยตาแล้วว่าแม่หนูมิ้นต์เอาใจใส่ฉันแค่ไหน บอกแล้วว่าอย่าประเมินคนจากภาพที่เห็น ท่าทางเด็กๆรูปร่างบอบบางเหมือนกับไม่สู้งานที่เห็นน่ะมันเป็นเพราะแกใช้ตามองคนเพียงอย่างเดียว ไม่เห็นต้องทำสัญญาบ้าบอนั่นแบบที่แกว่า ฉันก็มั่นใจว่าแม่หนูมิ้นต์ไม่ใช่คนเหลาะแหละ!”
“ใครจะไปกล้าว่าอะไรแม่หนูมิ้นต์ของปู่ ออกหน้าแทนกันซะขนาดนี้ ดูเธอทำเข้าสิ! ทำท่าทำทางยังกับผมจะหักแข้งหักขาเธอแล้วโยนลงหม้อสตูลอย่างนั้นแหละ!!”
การันก้าขมวดคิ้ว ละสายตาจากจอทีวีมาจ้องใบหน้าคร้ามคมของหลานชายตัวเองด้วยความแปลกใจ ไม่เคยเห็นไอ้หมอนี่มันประชดประชันใครอย่างนี้มาก่อน “แล้วแกเป็นอะไร? ปกติไม่เห็นจะแคร์ว่าใครจะคิดยังไงกับตัวเอง ออกจะชอบซะด้วยซ้ำที่ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวาย แล้วนี่อะไรไม่เหมือนแกซักนิด?!!”
อเตต้าร์ทำท่าอึกอักไม่ตอบว่าอย่างไรแต่รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนตรง ใบหน้าคร้ามคมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ลูบมือทั้งสองข้างของตัวเองเข้าที่ข้างลำตัว! “ผมไปนอนล่ะครับ”
การันก้ามองร่างสูงใหญ่ของหลานชายอย่างพิจารณา มันเป็นท่าทางเหมือนในวัยเด็กของอเตต้าร์ที่ทำอะไรผิดมาสักอย่าง! แล้วมีเหรอที่คนเลี้ยงมันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจะดูไม่ออก เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าท่าทางอย่างนั้นหลานชายตัวดีไปทำอะไรมาเท่านั้นเอง คำเตือนตามสายลมจึงเปรยขึ้น “คงไม่คิดจะเปลี่ยนใจมากินเด็กหรอกนะ ฉันขี้เกียจหาพยาบาลคนใหม่ ไม่รู้ว่าจะหาได้ดีแบบนี้รึเปล่า!”
อเตต้าร์ได้ยินชัดเต็มสองหูแต่ไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับท่านอีกจึงก้าวออกมาจากห้องนอนของท่านตรงมายังห้องนอนของตัวเองบ้างพลางคิดว่า เจริญล่ะ!... ทีกับหลานในไส้ ฉันอย่างนั้นแกอย่างนี้ ทีกับแม่คิตตี้นั่น ปู่อย่างนั้นแม่หนูมิ้นต์อย่างนี้ เสน่ห์แรงเสียจริงนะแม่คุณเอ๊ย! อยู่กับใครก็ทำให้เขารักเขาหลง เอ็นดูได้ภายในเวลาชั่วพริบตา แบบนี้ไงจิงเจอร์พี่สะใภ้ถึงได้เข้าใจว่าเธอคืออีหนูลับที่พี่ชายของเขาซ่อนเอาไว้!!!
โธ่โว้ย!... เธอจะไปเป็นอีหนูลับของฟาเบียโน่ได้ยังไงในเมื่อเขาคือผู้ชายคนแรกที่ได้ลิ้มรสเลือดพรหมจรรย์ของเธอ นี่สินะคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมองเขาด้วยสายตาประณามอย่างไม่มีวันจบสิ้น เธอจะรู้รึเปล่าว่าเขาก็รู้สึกเกลียดเหลือเกิน! คนอย่างอเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า ต้องใช้กำลังบังคับขืนใจผู้หญิง นรกชัดๆ เธอจะรู้บ้างไหมว่าเธอใช้สายตาประณามเขาได้เก่งแค่ไหน ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กันไม่ว่าที่ไหนเธอก็สามารถทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองระยำแค่ไหนที่ทำเช่นนั้นลงไป เหมือนตกลงไปอยู่ในนรกที่มีเธอเป็นไฟแผดเผาให้รุ่มร้อนไปทั่วสรรพางค์กายยังไงล่ะ
วันนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ที่อเตต้าร์ต้องใช้น้ำเย็นจัดดับไฟในกายให้มอดดับลง ด้วยความขัดแย้งในจิตใจที่ไม่อยากยอมรับนักว่าแม่คิตตี้คนงามเป็นคนทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้!
รุ่งเช้ามนตร์ลดาเข้ามาทำหน้าที่ของตนเองเช่นเคย พยาบาลสาวจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้คุณปู่การันก้าเสร็จเรียบร้อยก่อนที่คุณหมอจะมาถึงไม่นานนัก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับประตูถูกเปิดออกอย่างเบามือ กานโช่ถือกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสีดำเข้ามาพร้อมชายร่างวัยกลางคนในชุดสูทสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาในห้อง
“คุณหมอปาโต้!?” มนตร์ลดาอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะเห็นอดีตเพื่อนร่วมงานในคฤหาสน์โอลีเวย์ร่านี้
“มิ้นต์!? คุณมาทำอะไรที่นี่??” ต่างคนต่างตั้งคำถามทันทีที่เจอหน้ากัน จนไม่ทันสังเกตว่ามีชายอีกสองคนในห้องมองทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างงงๆที่ทั้งคู้รู้จักกันมาก่อน
“เดาว่าสองคนนี้รู้จักกันมาแล้ว” การันก้าเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับคุณท่านการันก้า ผมคุณหมอปาโต้ได้รับมอบหมายหน้าที่จากคุณหมอคนก่อนที่ย้ายไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการครับ” คุณหมอปาโต้กล่าวแนะนำตัวเอง “ผมเพิ่งถูกเรียกตัวจากโรงพยาบาลที่นี่ เลยลาออกจาโรงพยาบาลเอกชนที่ทำอยู่มาประจำที่นี่ครับ”
“อ๋อ... งั้นก็แสดงว่าแม่หนูมิ้นต์กับคุณหมอปาโต้คงรู้จักกันตอนที่อยู่บูซิโอสใช่ไหม?” การันก้าประติดประต่อเรื่องได้อย่างง่ายดาย
“ครับ/ค่ะ” ทั้งคู่รับคำพร้อมกัน ทำให้ทุกคนในห้องหัวเราะกันครื้นเครง ร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ที่เดินเข้ามาใหม่จึงเกิดอาการแปลกใจที่ในห้องมีเรื่องขบขันอะไรตั้งแต่เช้านัก!
“อ้าว... อาร์ตี้มาพอดี นี่คุณหมอปาโต้เขาจะมาดูแลปู่แทนคุณหมอคนเดิม” การันก้าแนะนำให้หลานชายรู้จักกับคุณหมอประจำตัวคนใหม่ทันทีที่เขาเดินเข้ามา “คุณหมอ นี่อเตต้าร์หลานชายของผมเอง”
ทั้งคู่หันมาจับมือตามมารยาทอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นคุณหมอปาโต้จึงเริ่มลงมือตรวจร่างกายของคุณปู่การันก้า โดยมีมนตร์ลดาคอยส่งเครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกให้อย่างรู้งาน ส่วนอเตต้าร์ซึ่งยืนดูอยู่ไม่ห่างนักนั้นกลับสังเกตได้ว่า หมอและพยาบาลพูดจากันอย่างสนิทสนมในเวลาอันรวดเร็ว สรรพนามที่ไอ้หมอนี่มันเรียกแม่คิตตี้ก็ยังเรียกชื่อเล่นกันอย่างคุ้นเคย
เฮอะ... ให้นรกแตกเหอะ!! นี่จะสนิทสนมอะไรกันเร็วนักหนา รอยยิ้มหวานจนเลี่ยนของไอ้หมอนี่ที่มีให้เธอมันชวนให้เขาสะอิดสะเอียนมากกว่าเคลิบเคลิ้ม ชวนให้อารมณ์เสียพิกล!
“อ้าวๆ มัวแต่ส่งยิ้มให้กันอยู่นั่น เดี๋ยวได้จัดยาผิดล่ะยุ่งนะคุณหมอ” น้ำเสียงวางอำนาจทั้งข่มขู่เปรยออกมา เรียกสติให้คุณหมอปาโต้หันมาเอ่ยคำขอโทษพลางก้มหน้าก้มตาจัดยาอย่างตั้งใจ ไม่นานนักคุณหมอปาโต้ก็หันมาส่งยาหลายชนิดให้กับมนตร์ลดาพร้อมทั้งบอกวิธีรับประทานให้อย่างละเอียดยิบ ออกจะเกินความจำเป็นมากไปในความคิดของอเตต้าร์
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคุณหมอ ฉันหิวข้าวแล้ว เชิญคุณหมอปาโต้อยู่ทานอาหารเช้าด้วยกันนะ อย่าปฏิเสธไหนๆก็จะมาเป็นหมอประจำตัวฉันอยู่แล้ว ทำความรู้จักกันไว้ไม่เสียหลายหรอก ไปๆ อาร์ตี้มาอุ้มปู่ขึ้นรถเข็นที” คุณปู่การันก้ากวักมือเรียกหลานชาย จากนั้นทั้งหมดก็ทยอยลงมาในห้องอาหารชั้นล่างของคฤหาสน์
การันก้านั่งหัวโต๊ะ มนตร์ลดาและคุณหมอปาโต้นั่งติดกันอยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนอเตต้าร์นั่งตรงกันข้ามกับทั้งคู่ กานโช่ยังทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารอำนวยความสะดวกให้กับทุกคนเช่นเดิม บทสนทนาของการันก้า มนตร์ลดาและปาโต้ดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ทำให้อเตต้าร์ได้รู้ว่าทั้งคู่เคยทำงานในโรงพยาบาลเดียวกันมาก่อน บังเอิญได้มาเจอกันที่นี่ แต่อเตต้าร์มองสายตาของปาโต้ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันหวังจะเคลมแม่คิตตี้ของเขา!
ฉิบหายแล้ว! สมองบ้าๆนี่มันคิดว่าแม่คิตตี้นี่เป็นของตัวเองได้ยังไงกันวะ!??
“เซญอร์รับอาหารเช้าอยู่ แกรอก่อนได้ไหมไมนาส” เสียงของกานโช่ที่ดังแว่วเข้ามาในห้องอาหาร ทำให้อเตต้าร์หลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเองทันที
“มีอะไรด่วนไมนาส?” เสียงห้าวของอเตต้าร์ดังขึ้นเหมือนกับรำคาญ!
ไมนาสลูกน้องมือขวาเดินออกมาอยู่ที่หน้าประตูห้องอาหารพร้อมกับรายงายอย่างรวดเร็ว “เซญอร์ครับ เมื่อกี้ผมได้รับรายงานว่าคนงานในไร่ทะเลาะกัน รุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยครับ หัวหน้าคนงานก็ดูท่าว่าจะเอาไม่อยู่”
อเตต้าร์หันขวับไปมองไมนาส “แค่ตีกันเท่านั้น ใช่ว่าฆ่ากันตายซักหน่อยเรื่องแค่นี้แกต้องวิ่งหน้าตื่นเข้ามาเลยเหรอไมนาส?”
คำพูดของอเตต้าร์ขัดหูมนตร์ลดายิ่งนัก ด้วยความที่ไม่ชอบเห็นการขัดแย้ง ใช้กำลังในการตัดสินปัญหาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำพูดเหมือนทองไม่รู้ร้อนของเขาจึงทำให้นึกโมโหอยู่ในใจ
“แล้วต้องให้มีคนบาดเจ็บล้มตายก่อนหรือยังไงคะ เซญอร์อเตต้าร์ถึงจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรง!?” พูดจบแล้วก็อยากตบปากตัวเองนักที่ไปก้าวก่ายเรื่องของเจ้านาย แต่มันอดใจไม่ได้จริงๆคนอะไรใจดำอย่างนี้ “เอ่อ... ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจว่าให้เซญอร์แค่ไม่อยากให้ใครต้องมาทะเลาะกันจนถึงขั้นเลือดตกยางออกเท่านั้นเอง”
คนที่ได้รับคำตัดพ้อต่อว่าตรงๆยังมองหน้าใบหน้างดงามเธอต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองต่อไปจนเกลี้ยงจาน จากนั้นจึงผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ไปเอาปืนในห้องทำงานฉันมา ใครมันชอบทะเลากันนักฉันจะส่งมันลงนรกเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงให้มากความ!”
มนตร์ลดาขบริมฝีปากล่างตัวเองแน่น เพราะตลอดเวลาที่เขาสั่งไมนาสนั้น สายตาคมกริบยังจ้องตาเธอด้วยราวกับท้าทาย แถมยังยักคิ้วข้างเดียวให้อย่างกวนโมโหอีกด้วย ‘ไอ้คนไร้มนุษยธรรมเอ๊ย ไม่ห้ามแล้วยังจะยุยงส่งเสริมอีก เชื่อแน่ล่ะว่าคนใจหยาบอย่างเขาทำมันได้แน่!’ พยาบาลสาวคิดในใจแต่ก็เลือกที่จะเงียบจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละเช่นกัน
เสียงฝีเท้าของไมนาสวิ่งใกล้เข้ามาทำให้อเตต้าร์ละสายตากวนอารมณ์ของตนจากพยาบาลสาว หมุนตัวเดินออกไปจากห้องอาหารทั้งยังประกาศเสียงกร้าวราวกับรำคาญใจหนักหนาว่า “ไป... ใครมันใกล้ตายก็ส่งมันไปตายให้สมใจ ไม่ต้องหามส่งโรงพยาบาลให้ยุ่งยากหรอก! ตายๆมันให้หมดทุกคนปัญหายุ่งๆนี่มันจะได้จบสิ้นซักที!”
“ดูท่าว่าเรื่องจะไม่จบลงง่ายๆนะครับคุณท่าน” กานโช่พูดกับประมุขของคฤหาสน์ด้วยสีหน้า น้ำเสียงเป็นกังวล ต่างก็รู้ดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนงานในไร่องุ่นอยู่แล้ว แต่มนตร์ลดากลับคิดไปว่าเรื่องจะบานปลายไปใหญ่เพราะไอ้คนเถื่อนที่จะจบปัญหาลงด้วยการใช้กำลังตัดสิน
“คุณปู่คะ หนูขอไปดูหน่อยได้ไหมคะเผื่อว่าจะช่วยปฐมพยาบาลให้คนงานได้” มนตร์ลดาพูดขึ้น
“จริงด้วยครับ ผมกับมิ้นต์ไปดูด้วยอย่างน้อยถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บก็จะช่วยไว้ได้ทัน!” คุณหมอปาโต้อาสาตัวเองอีกแรงหนึ่ง
“ดีเหมือนกันนะ งั้นรีบตามไปเถอะเดี๋ยวอาร์ตี้จะออกไปซะก่อน” ทันทีที่คุณปู่การันก้าอนุญาต พยาบาลสาวก็วิ่งตัวปลิวออกจากห้องอาหารโดยไม่รอคุณหมอปาโต้ เพราะกลัวว่าจะไม่ทันการ
มนตร์ลดาวิ่งกระหืดกระหอบออกมาด้านหน้าคฤหาสน์ กางแขนทั้งสองออกขวางหน้ารถจิ๊บคันใหญ่พลางละล่ำละลักบอก “รอด้วยค่ะ! คะ...คือ คุณปู่ให้ดิฉันกับคุณหมอปาโต้ไปด้วย เผื่อจะได้ช่วยทำแผลให้คนงานค่ะ”
อเตต้าร์หรี่ตามองใบหน้างดงามที่เดินเข้ามาเกาะที่ประตูรถอย่างประเมินความสามารถ “เอ้า... ขึ้นมาสิ! อยากรู้เหมือนกันพยาบาลผิวบางจะทนแดดทนลมได้แค่ไหน”
ไมนาสรีบกระโดดจากเบาะคนขับไปอยู่ด้านหลังรถจิ๊บกับคุณหมอปาโต้ โดยที่อเตต้าร์ย้ายมาประจำเบาะนั่งคนขับแทน เหลือที่ว่างไว้สำหรับมนตร์ลดาเคียงข้างกับเจ้าของไร่จอมเถื่อนอยู่ที่เดียวแต่หญิงสาวก็มิได้เกี่ยงงอน ก้าวขึ้นรถจิ๊บด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง จากนั้นรถจิ๊บจึงเคลื่อนตัวด้วยความเร็วพอสมควรจากด้านหน้าคฤหาสน์เข้าสู่บริเวณท้องไร่อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่เต็มไปด้วยต้นองุ่นสีม่วงเข้ม ภาพต้นองุ่นสีเขียวตัดกับพวงองุ่นใหญ่สีม่วงเข้มทำให้มนตร์ลดาอ้าปากค้าง มองสองข้างทางอย่างชอบใจ เผลอยิ้มน่ารักออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนขับรถที่นั่งลอบมองอยู่ข้างๆเผลอยิ้มตามไปด้วย จนไม่รู้ตัวว่าตนเองได้เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น ด้วยสภาพถนนในไร่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ บวกกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นรถจึงกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง ทำให้หน้าผากมนไปกระแทกกับกระจกด้านหน้ารถทันที
“โอ๊ย!...”
“นั่งดีๆสิ ไม่รู้จักระวังตัว!” ตัวต้นเหตุกลับหันมาดุเสียงเขียว
มนตร์ลดามองค้อนคนข้างๆเพียงแวบเดียวก็หันกลับไปมองถนนตรงหน้าทันทีพร้อมเอื้อมมือข้างหนึ่งจับกับราวที่ติดไว้อยู่ข้างศรีษะให้มั่นและได้แต่พูดประชดประชันในใจเท่านั้น ‘ตัวเองเป็นคนขับไม่ดียังจะมาว่าคนอื่นอีก ในชีวิตนี้จะเคยยอมรับว่าตัวเองทำผิดซักครั้งไหม?’ แต่ความคิดโมโหได้ไม่นานนักก็ต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง เมื่อเบื้องหน้าที่ได้เห็นคือกลุ่มคนหลายสิบกำลังตะลุมบอนกันอยู่ ฝุ่นดินคละคลุ้งปลิวว่อนในอากาศจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ทันทีที่อเตต้าร์จอดรถสนิท ชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถพร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้าในทันที จากนั้นจึงหันไปมองคนที่กรี๊ดร้องออกมาด้วยความตกใจอยู่ข้างหลัง อเตต้าร์เกือบยัดปืนกรอกปากหมอปาโต้เข้าให้แล้วที่มันบังอาจโอบปลอบแม่คิตตี้ของเขาอยู่ตอนนี้! แต่ต้องข่มอารมณ์เพราะต้องหันมาจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านี้เสียก่อน
“พวกแกจะตีกันให้มันเจ็บตัวทำไม! นี่ปืน... ใครแน่จริงเก่งจริงออกมาเลย” อเตต้าร์ประกาศเสียงกร้าวดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ โยนปืนรุ่นเดียวกันสองกระบอกลงบนพื้นทันที “เอาทีละคู่ ออกมาดวลปืนกันให้มันตายไปเลย ไม่ต้องเปลืองแรง ไม่ต้องเสียเวลา”
คนงานร่างกำยำหลายคนต่างหยุดฟัดกัน ต่างคนต่างลุกขึ้นมามองดูเจ้าของไร่สลับกับปืนที่พื้นแล้วพากันก้มหน้างุด บางคนซับเลือดตามส่วนต่างๆของร่างกาย เจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่ไปตามๆกัน
“ไงล่ะ!? ทำไมไม่เห็นมีไอ้หน้าไหนออกมาสำแดงฤทธิ์เดชเลย มัวแต่หดหัวอยู่ทำไม ดิม่า ฮักซ์ ไม่บอกก็รู้ว่าแกสองคนเริ่มทุกอย่างขึ้นก่อน” อเตต้าร์ชี้นิ้วไปที่ชายร่างกำยำสองคนที่ยืนแยกเขี้ยวใส่กันอยู่คนละฝั่ง ทั้งคู่ฟกช้ำดำเขียวมีเลือดไหลออกที่หน้าฝาก หางคิ้วและมุมปาก
หนึ่งในสองคนนี้มนตร์ลดาจำได้ดีว่าฮักซ์ เป็นคนที่บอกให้เธอขึ้นรถกลับเข้ามาในคฤหาสน์ในวันที่เธอเดินเพลินเข้าไปในสวนองุ่นด้านหลัง
“แล้วมาแค่นทำเบ่งว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย ทีอย่างงี้ทำไมไม่เห็นโผล่หัวออกมาซักคน พวกแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมามีเรื่องกันในไร่ กินข้าวหม้อเดียวกันทุกวันยังทะเลาะกันอยู่ได้ ฉันจะไม่ถามว่าเรื่องขัดแย้งมันเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร? และจะให้โอกาสพวกแกทุกคนอีกครั้งนึงอย่าได้บังอาจมาใช้กำลังในไร่ของฉัน ในเวลาทำงานที่พวกแกได้เงิน และควรจะก้มหน้าก้มตาทำงานให้สมกับค่าจ้างที่ฉันจ่ายให้”
“เซญอร์ครับไอ้ดิม่า มันหาเรื่องผมก่อน ผมกำลังจะข้ามไปทำงานที่ไร่ฝั่งนู้น ไอ้ดิม่า มันกลับปากหมาหาว่าผมเป็นหนอนบ่อนไส้ วางเพลิงเผาไร่องุ่น!!” ฮักซ์ รีบชี้แจงถึงปัญหาที่เริ่มมีการทะเลาเบาะแว้งกันขึ้น
“ก็หรือไม่จริง แกมันไอ้นกสองหัว อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกคิดจะทำอะไร?!” ดิม่า สวนกลับทันควัน
“หยุด! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าใครไม่พอใจใครออกมาหยิบปืนสองกระบอกนี้ดวลกันตัวต่อตัวเลย อย่ามาพล่ามหาสวรรค์วิมานให้มากความ ตกลงพวกสองคนจะจบเรื่องลงแค่ตรงนี้หรือว่าจะออกมาทำตามกฏที่ฉันวางไว้!??”
เงียบกริบ! ไม่มีใครกล้าปริปากแม้เพียงน้อยกับวิธีตัดสินปัญหาของเซญอร์อเตต้าร์เจ้าของไร่องุ่นที่กินพื้นที่บนเทือกเขาเซฮา กาอูชา แห่งนี้ไม่เว้นแม้แต่คุณหมอปาโต้ และมนตร์ลดาก็ยืนนิ่ง อึ้งกับกฏป่าเถื่อนราวกับตัวเองย้อนเข้าไปอยู่ในแดนเถื่อนที่มีเพียงผู้คุมกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย
“ที่เงียบนี่ฉันจะเข้าใจว่าจบแล้วนะ! แต่ถ้าใครยังไม่จบให้เดินเข้าไปหาฉันได้เลย ฉันจะจัดพื้นที่ให้พวกแกฟัดกันให้ตายไปข้างนึง จะด้วยกำลังหรือด้วยปืนนี่ก็แล้วแต่” อเตต้าร์พูดพลางใช้เท้าเขี่ยปืนซึ่งตกอยู่บนพื้นและมันทำให้มนตร์ลดาต้องหลับตาลง ลอบถอนหายใจไม่อยากมองภาพที่เห็นนี้ว่ามันหยาบ เถื่อนเหลือเกิน!!
ทุกเสียงโต้แย้ง ทุกข้อขัดแย้งยุติลงในทันทีที่ได้ยินเซญอร์อเตต้าร์ประกาศกร้าว หลังจากนั้นจึงเป็นการปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เสียงคร่ำครวญจากภรรยาของหนุ่มๆที่ตะลุมบอนกันดังขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ คุณหมอปาโต้เดินเข้าไปเปิดกระเป๋าใบใหญ่ของตน ส่งอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาลที่มีในกระเป๋าให้ บางคนได้แผลแตกที่หางคิ้วเป็นแนวยาวก็ได้รับการเย็บแผลสดๆเลยทีเดียว โดยมีมนตร์ลดาคอยช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นอีกแรง
อเตต้าร์ ไมนาส พร้อมคนงานอีกหลายคนเดินตามกันออกไปจากบริเวณดังกล่าวอยู่นานพอสมควรแล้วจึงเดินกลับมาอีกครั้ง เมื่อคุณหมอปาโต้กำลังลงมือเย็บแผลให้ชายคนหนึ่งซึ่งถูกมีดพกสั้นบาดเข้าที่กลางฝ่ามือเป็นทางยาว นอกนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานของตนในไร่ต่อจนเกือบหมดแล้ว
“กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวให้ไมนาสไปส่งหมอปาโต้” อเตต้าร์เดินเข้าไปพูดกลับมนตร์ลดาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด
“เอ่อ... เซญอร์กลับไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวดิฉันขอติดรถกับไมนาสกลับคฤหาสน์ก็ได้” มนตร์ลดาปฏิเสธเสียงเรียบพลางเก็บอุปกรณ์ต่างๆลงในกระเป๋าใบใหญ่ให้คุณหมอปาโต้
“ติดไปได้ไง มันคนละทางกัน หน้าที่ของคุณคือดูแลคุณปู่ หรือว่าจะอู้งานถึงได้อยากอ้อมไปส่งหมอปาโต้เสียก่อนอีก!?”
เอาอีกล่ะ! ทำไมชอบหาว่าเธอเกงาน อู้งานอยู่เรื่อยเลยนะ อาสามาช่วยแท้ๆ คนอะไรไม่รู้จักมองเห็นความดีของคนอื่นชอบตีความแบบคนที่มองโลกในแง่ร้าย! มนตร์ลดายอมวางมือลงเพราะคุณหมอปาโต้เป็นคนบอกให้เธอกลับไปกับเซญอร์อเตต้าร์ แล้วยังเอ่ยลาเธอด้วยยิ้มที่ทำให้อเตต้าร์โกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆได้เป็นอย่างดี
หน็อย... ทีไอ้หมอนี่พูดหน่อยเดียวยอมทำตามอย่างว่าง่าย! ทีเขาพูดเนี่ย... ต้องขู่กันให้วุ่นวายไปหมดกว่าจะยอมทำตามได้ อเตต้าร์คิดในใจพร้อมพูดออกมาเสียงห้วนเมื่อเห็นเธอกำลังจะก้าวขึ้นรถจิ๊บคันเดิม “คันนั้นไมนาสต้องใช้ไปส่งหมอปาโต้ เราจะขี่เจ้าอะเมซอนกลับกัน”
ไม่นานมนตร์ลดาก็เข้าใจว่าเจ้าอะเมซอนที่ว่าคือม้าตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม สีน้ำตาลทองที่ไมนาส จูงใกล้เข้ามา อเตต้าร์ขึ้นไปอยู่บนหลังม้าด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็วเหลือเชื่อ “ส่งมือมาเร็วเข้า”
มนตร์ลดาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ใกล้ชิดกับสัตว์สี่เท้าประเภทนี้มาก่อน พอเข้าไปใกล้ๆ เจ้าอะเมซอนมันก็หันหน้ามาทำจมูกฟุดฟิดใส่ พยาบาลสาวถึงกับผงะทันที “อะ...เอ่อ คือ ดิฉัน”
“กลัวล่ะสิ??”
“ไม่ได้กลัวค่ะ เพียงแค่ไม่เคยขี่มันมาก่อน ดิฉันขี่ม้าไม่เป็น!!” มนตร์ลดากระแทกเสียงสวนกลับทันที นึกโมโหกับท่าทีเยาะเย้ยของเขา เกลียดนักไอ้ท่าทางยักคิ้วข้างเดียวมองคนอื่นดูถูกแบบนี้!!
อเตต้าร์ถอนใจเฮือก ถ้าจะต่อล้อต่อเถียงกับแม่คิตตี้นี่ชาตินี้คงไม่มีวันจบสิ้นกันหรอก ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาตวัดเอาเอวคอดกิ่วแน่นๆ ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็พาร่างอ้อนแอ้นขึ้นมานั่งพาดอยู่บนหลังม้าได้แล้ว มืออีกข้างยังจับต้นขาด้านในของเธอให้กางออกเพื่อที่จะตวัดให้นั่งคร่อมบนหลังม้า เพราะเธอสวมกางเกงอยู่แล้ว จึงเท่ากับว่ามนตร์ลดานั่งด้านหน้าแล้วมีอเตต้าร์นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังอีกทีหนึ่ง
จากนั้นเจ้าอะเมซอนก็ออกวิ่งเหยาะไปตามทางขรุขระข้างหน้าตามคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังบังคับ มนตร์ลดานั่งตัวเกร็งเพราะรู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากร่างแกร่งด้านหลัง ไม่ชอบใจในความรู้สึกหวั่นไหวนั้นเท่าไหร่นัก มันเหมือนบั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองไปมากโขจึงขยับตัวยุกยิกอยู่ไม่เป็นสุข เพราะไม่อยากให้แผ่นหลังของตนสัมผัสกับแผงอกแกร่งด้านหลัง
“นิ่งๆได้ไหม เดี๋ยวตกลงไปแข้งขาหักกันพอดี หรือว่าที่ดิ้นนี่เพราะอยากอู้งานอีก?” อเตต้าร์พูดชิดข้างใบหูบาง รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้โอบเธอไว้แนบชิดอย่างนี้ แต่ยังทำเป็นปากร้ายว่าให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่
“เซญอร์ก็รู้ว่าดิฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น แล้วทำไมถึงชอบพูดว่าดิฉันอยากเกงานอยู่เรื่อย!” มนตร์ลดาพูดพร้อมกับหันไปข้างหลังเล็กน้อย แล้วต้องรีบหันกลับมาเมื่อหน้าผากของตัวเองชนเข้ากับริมฝีปากบางเฉียบของคนที่โอบอยู่ด้านหลังอย่างจัง!
อเตต้าร์เผลอยิ้มออกมาอย่างพอใจ กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของเธอทำให้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก “งั้นก็คงอยากตกลงไป เผื่อว่าแข้งขาหักฟกช้ำดำเขียวคุณหมอปาโต้จะได้มาดูอาการ งั้นสิ?”
“ดิฉันจะไม่พูดกับคนที่มีอคติกับทุกการกระทำของดิฉันหรอกค่ะ เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น บางทีเราพูดกับก้อนหินที่มันไม่มีชีวิตจิตใจมันยังรู้จักกลิ้งตัวไปมาตอบรับคำพูดของเรา แต่กับคนบางคนเปล่าประโยชน์!” มนตร์ลดาตั้งใจว่าเขาด้วยการเปรียบเปรยอันเจ็บแสบไม่น้อย
“ใครจะไปรู้ เห็นอาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน... แล้วก็ไม่ต้องมาใช้สำบัดสำนวนสวยหรูกับผมหรอก ผมมันเถื่อนอย่างที่คุณชอบใช้สายตาประณามมอง ไม่รู้เรื่องที่คุณด่าว่ามาหรอก ถ้าจะด่าก็พูดมาตรงๆเลย อย่างที่ด่าวันนั้นน่ะเข้าใจ เป๊ะ!!” คนที่เรียกตัวเองว่าคนเถื่อนเข้าใจทุกความหมายที่เธอพูดเป็นอย่างดีเชียวล่ะ แต่ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ชอบใจที่เห็นเธอโกรธนัก อย่างตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมกอดของตัวเองเริ่มนั่งไม่อยู่นิ่งมากขึ้นแล้ว “นั่งดีๆ ปล่อยตัวให้เป็นธรรมชาติได้ไหม เดี๋ยวดิ้นยุกยิก เดี๋ยวตัวแข็งทื่อแบบนี้ มีหวังได้ตกลงไปนอนแอ้งแม้งข้างล่างหรอก”
มนตร์ลดาหลับตาแน่นนับหนึ่งถึงสิบในใจ แต่นับไปนับมาหญิงสาวพบว่ามันใกล้จะถึงร้อยอยู่รอมร่อและดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เจ้านายปากจัดที่นั่งชิดอยู่ข้างหลังนี่ก็เงียบไปพักใหญ่เหมือนกัน
อเตต้าร์ยิ้มพรายก้มลงมองเสี้ยวใบหน้างดงามด้านข้าง เธอคงอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเสียนานจนไม่รู้ตัวว่ากำลังเอนตัวพิงหน้าอกเขามาสักพักแล้ว และมันเป็นโอกาสให้ชายหนุ่มได้กระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้นอีก
“อะ...เอ่อ อย่ารัดแน่นนักสิคะ ดิฉันหายใจไม่ออก!” ครู่ใหญ่จึงรู้สึกตัวว่าเอนตัวพิงกำแพงเลือดเนื้อที่อยู่ด้านหลังเต็มๆ จึงเอ่ยประท้วงออกมาราวกับกลบเกลื่อนความเขินอาย
“เงียบ! นั่งนิ่งๆ เจ้าอะเมซอนมันยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย กำลังติดสัด!”
มนตร์ลดาหันขวับขึ้นไปสบตากับคนที่ออกคำสั่งทันที! แล้วก็ได้เห็นสีหน้ากวนประสาทที่ทำให้โมโหได้ทุกครั้งไปเช่นเดิม
“จริงจริ๊ง... ที่สำคัญผมยังหาเมียให้มันไม่ได้เลย” อเตต้าร์ทำเสียงสูงย้ำคำพูดของตัวเอง
“แล้วมาบอกดิฉันทำไม!? ไม่ได้อยากรู้ซักนิด”
“ก็พอใจพูดอ่ะ ไม่อยากได้ยินก็ไม่ต้องฟังสิ!”
มนตร์ลดาถอนใจออกมาหนัก บ่นเสียงเบาๆกับตัวเองคนเดียว “รู้อย่างนี้ไปส่งคุณหมอปาโต้กับไมนาสยังจะดีซะกว่า”
แต่ประสาทการรับฟังของผู้ชายอย่างอเตต้าร์ดีเยี่ยมอย่างที่หญิงสาวคาดไม่ถึงเพราะเขาได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ “หมอปาโต้เป็นแฟนเก่าล่ะสิ ผมเห็นเวลาไอ้หมอนั่นมองคุณน่ะ แทบจะกลืนคุณเข้าไปทั้งตัว!”
“ใจอคติแล้วความคิดยังอกุศล!”
อเตต้าร์เบ้ปากยักไหล่ไม่สนใจกับคำต่อว่าแบบที่ต้องปีนบันไดขึ้นไปฟังแล้วถึงจะเข้าใจว่าตัวเองถูกด่า! “ก็มันจริง ผมมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนั่นมันคิดจะเคลมคุณ!”
มนตร์ลดากำมือแน่นอยากจะชัดหมัดหนักๆเข้าที่ใบหน้าแสนกวนของผู้ชายคนนี้เหลือเกิน แต่บอกกับตัวเองว่าอดทนไว้คฤหาสน์โอลีเวย์ร่าอยู่ตรงหน้านี้แล้ว อีกไม่นานก็จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้แล้ว อดทน!!
“เงียบแบบนี้แสดงว่ารู้ตัวใช่ไหมว่าไอ้หมอนั่นมันมีจิตพิศวาสคุณ” อเตต้าร์ต้องหยุดพูดเพราะเจ้าอะเมซอนค่อยๆชะลอฝีเท้าแล้วหยุดที่ด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่
ชายหนุ่มพาตัวเองลงมาจากหลังม้าตัวใหญ่อย่างคล่องแคล่ว สองมือใหญ่จับเข้าที่เอวคอดของแม่คิตตี้ที่นั่งหน้าบึ้งสุดๆ ออกแรงยกร่างอ้อนแอ้นของเธอลงมาวางบนพื้นด้วยพละกำลังอันเหลือเชื่อ! แต่ชายหนุ่มกลับโมโหขึ้นมาตะหงิดๆ เมื่อเธอไม่ตอบปฏิเสธหรือโต้แย้งคำพูดใดเกี่ยวกับหมอปาโต้เลยสักนิด พอเท้าถึงพื้นเธอก็เอ่ยคำขอบคุณเบาๆและกำลังจะเดินจากไปทันที
“เดี๋ยวสิ! ที่ไม่ปฏิเสธเนี่ยแปลว่าผมพูดถูกใช่ไหม แล้วไอ้หมอถ่านไฟเก่าของคุณน่ะ มันรู้ไหมว่าคุณไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่สาวน้อยแสนบริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ตุ๊บ!!
เสียงกำปั้นเล็กๆประเคนเข้าที่เบ้าตาของคนปากเสียตรงหน้า เพราะไม่สามารถจะทนฟังคำพูดดูถูกตัวเองต่อไปได้อีกแล้ว
“โอ๊ย!! ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ยมนตร์ลดา?!” อเตต้าร์ใช้มือลูบคลำที่เบ้าตาของตัวเองทันที จริงอยู่ว่ามือนุ่มๆเล็กๆของเธอมันไม่ได้สะท้านสะเทือนกายแกร่งของเขาเท่าไหร่นักหรอก แต่มันเสียฟอร์ม! เสียการปกครอง! ไม่รู้ว่ามีใครมาเห็นอีกรึเปล่า แล้วมันเรื่องอะไรแม่คิตตี้นี่ถึงได้บังอาจมาต่อยเบ้าตากลางที่รโหฐานแบบนี้!! “มาต่อยผมทำไม?”
มนตร์ลดาขยุ้มเล็บตัวเองเข้าที่หลังมือหนาของอเตต้าร์ที่บีบต้นแขนเธอเสียจนเจ็บร้าวไปหมด “ต่อยให้เซญอร์อเตต้าร์ตาสว่างขึ้น มองคนอื่นในทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญจะได้เลิกพูดจาดูถูกดิฉันซักที”
“พูดความจริงทั้งนั้นก็หาว่าดูถูก ดูถูกตรงไหน? ดูถูกยังไง? ที่ถามก็เพราะมันเป็นความจริง กลัวว่าไอ้หมอนั่นรู้ความจริงแล้วมันจะเขี่ยคุณทิ้ง ผมไม่อยากเห็นใครมาอกหักแถวนี้หรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณในความหวังดีนะคะ แต่ไม่ต้องมาห่วงดิฉันหรอกค่ะ นี่มันปีสองพันสิบสามแล้วไม่มีผู้ชายหน้าไหนมาถามหาเลือดพรหมจรรย์ตอนขึ้นเตียงกันหรอก แต่ถ้าจะมีคนถามถึง... ดิฉันก็จะตอบไปว่าทำทานให้หมาขี้เรื้อนตัวนึงไปแล้ว!!” มนตร์ลดาโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อนเช่นกัน
อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่น หน้าตาบึ้งจัดราวกับว่าจะถล่มโลกทั้งใบให้ราบเป็นหน้ากอง ความโกรธทำให้เพิ่มแรงที่บีบต้นแขนบางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว “หึ!... งั้นก็อย่าลืมเตือนตัวเองเอาไว้ให้ดีล่ะว่าหมาขี้เรื้อน หมาหวงก้าง หมาจนตรอกน่ะมันดุใช่เล่น ถ้าใครอยากได้กระดูกที่มันยังคาบอยู่ในปากล่ะก็คงได้ตายกันไปข้างนึง ใครอยากรู้ว่าจะตายยังไงก็มาลองดู”
“อย่ามาพูดเหมือนกับว่าดิฉันยังเป็นกระดูกที่อยู่ในปากหมาตัวนั้น เราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย ดิฉันจะขึ้นเขาลงห้วย ตกนรกขึ้นสวรรค์ ผู้ชายหน้าไหนจะรักจะทิ้งมันก็-เป็น-เรื่อง-ส่วน-ตัว” พูดจบมนตร์ลดาก็รวบรวมแรงที่มีทั้งหมดสะบัดแขนออกจากมือหนา รีบเดินขึ้นบันไดกลับเข้าคฤหาสน์ทันที ปล่อยให้อเตต้าร์ยืนหน้าบึ้ง โกรธจัดอยู่ที่เดิม
ไม่ผิดหรอกที่เธอจะไปขึ้นเขาลงห้วย ตกนรกขึ้นสวรรค์ แต่ที่มันเกี่ยวกับเขาก็ตรงที่ว่าเธอพูดได้เห็นภาพชะมัดและภาพที่ว่าทำไมมันถึงได้เป็นไอ้หมาขี้เรื้อนตัวนี้เท่านั้นที่จะพาเธอไปในทำอย่างนั้นได้ แล้วพูดออกมาได้ยังไงว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน!? ยัยสมองปลาทองเอ๊ย!... ลืมเรื่องสำคัญอย่างนั้นไปได้ยังไง ขนาดเขาเป็นผู้ชายผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนยังจำทุกความรู้สึก จำภาพของเธอได้ทุกวินาทีเลย
เฮอะ!! ให้มันได้อย่างนี้สิอาร์ตี้ ไอ้หน้าโง่เอ๊ย... ยอมรับเลยว่าวันนี้เธอทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไปเกือบหมดตัวแล้ว!
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านหน้าคฤหาสน์โอลีเวย์ร่า ตั้งแต่อเตต้าร์ควบเจ้าอะเมซอนเข้ามาจนกระทั่งกลับออกไปอีกครั้งอยู่ในสายตาของการันก้ามาตลอด ซึ่งบังเอิญมองสวนด้านหน้าจากห้องนั่งเล่นบนคฤหาสน์ หากแต่สายตาของผู้สูงวัยกลับไปพบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“กานโช่ แกไปทำงานของแกเถอะ เดี๋ยวสักพักแม่หนูมิ้นต์ก็คงมาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้ว อ้อ... แล้วอย่าเพิ่งพูดเรื่องที่เห็นเมื่อครู่ให้ใครฟังนะ” การันก้าสั่ง พร้อมกับมองดูพ่อบ้านที่รับใช้ตนมายาวนานรับคำอย่างหนักแน่นแล้วเดินออกไปจากห้อง
ไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมาการันก้าก็เห็นพยาบาลสาวเดินเข้ามาพร้อมของว่างยามสาย เธอคงยังทำตัวร่าเริง พูดจาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเหมือนเคย แต่คุณปู่การันก้า ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ครั้นว่าจะเอ่ยปากถามถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ดูจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากไป จึงได้แต่เรียบเคียงถามว่าหากอยู่ที่นี่มีเรื่องอึดอัดใจ หรือปัญหาน้อยใหญ่ก็ให้เอ่ยปากออกมาได้ ไม่ต้องเกรงใจ
มนตร์ลดาได้แต่ส่ายหน้ากับประโยคคำถามนั้น ยิ้มตอบรับในความเมตตาที่ผู้สูงวัยมอบให้ ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังไม่ก้าวล่วงเข้ามาในเส้นที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้ เธอก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจจะทำงานที่นี่นัก ความจริงอีกข้อที่ต้องยอมรับก็คือค่าตอบแทนที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้นมันสามารถทำให้ส่งเงินให้มารดาที่อยู่ในรีโอเดอจาเนโร ส่งไปให้คุณป้าราตรีได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ใช่ว่าท่านทั้งสองจะเรียกร้องหรือดูแลตัวเองไม่ได้แต่อย่างใด แต่ความตั้งใจของมนตร์ลดานั้นอยากให้ท่านได้พักผ่อน หลังจากที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูเธอมาหลายปีเมื่อตัวเองเรียนจบ มีงานการทำแล้วก็อยากจะเป็นตอบแทนพระคุณของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองบ้าง
ผิดกับคุณปู่การันก้าที่ทนเก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหว เมื่อถึงเวลาพักผ่อนตอนบ่ายของวันต้องต่อสายโทรศัพท์หาหลานชายตัวปัญหา แต่ก็ไม่ได้คุยกันสักคำเพราะเลขานุการของอเตต้าร์บอกว่า เจ้านายยังไม่ได้เข้าออฟฟิศตั้งแต่เช้าแล้ว คุณปู่การันก้า จึงไม่ได้ทราบเรื่องราวที่ยังข้องใจแต่อย่างใด
หึ... ก็แน่ล่ะสิ! ใครจะกล้านินทาเจ้านายที่จ่ายเงินเดือนให้ตัวเองทุกเดือนกันเล่า มนตร์ลดาคิดในใจ
คุณปู่การันก้าเป็นอีกคนที่ดูซึมไปอย่างเห็นได้ชัด จนพยาบาลสาวต้องหากิจกรรมยามว่างให้ท่านทำอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ เล่นหมากรุก ปลูกต้นไม้ ตลอดระยะเวลาสิบวันที่ได้ดูแลปรนนิบัติท่านอยู่นี้ หญิงสาวซาบซึ้งในน้ำใจที่ท่านมีให้เป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่พูดคุยกับท่านแล้วเผลอหลุดปากใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘หนู’ แทนที่จะเป็น ‘ดิฉัน’ แต่ท่านก็ไม่ถือสาอะไรกลับยิ้มหัวเราะชอบใจ แล้วยังซักถามถึงครอบครัวของเธออีกมากมายจนท่านเข้าใจได้ว่ามันเป็นสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองเมื่อพูดกับมารดาและคุณป้าที่อยู่เมืองไทย ท่านจึงเอ่ยปากให้หญิงสาวแทนตัวเองว่า ‘หนู’ บ้างเพราะเห็นว่ามันดูน่ารักอ่อนน้อมเป็นอย่างมาก ทั้งยังให้เรียกท่านว่า ‘คุณปู่’ อีกด้วย ครั้นจะขัดขืนก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จะโต้แย้ง คุณป้าราตรีก็สอนอยู่บ่อยๆว่าอย่าปฏิเสธความหวังดีหรือความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มอบให้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไปขัดใจท่านในเรื่องเพียงเท่านี้
“คุณปู่คะ... ไปทานอาหารเถอะค่ะ ทานยาก่อนอาหารไปเกือบสิบห้านาทีแล้ว” มนตร์ลดาบอกผู้สูงวัยที่นั่งชะเง้อมองออกไปที่สวนหน้าคฤหาสน์เหมือนว่ากำลังรอใครบางคนอยู่
มนตร์ลดากดปุ่มบังคับรถเข็นที่คุณปู่การันก้านั่งอยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่เคลื่อนเข้ายังห้องอาหารแล้ว ผู้สูงวัยก็มีสีหน้าไม่สดชื่นขึ้นเลย “ว้า... ทำยังไงถึงจะให้คุณปู่ยิ้มได้นะ... ต้องให้หนูไปหาสาวๆที่ไหนมาเต้นแซมบ้าให้ดูไหมคะ?”
การันก้าเลิกคิ้วมองพยาบาลประจำตัว สีหน้าแววตาเบิกบานขึ้นมาทันที “เป็นความคิดที่ดีมาก เยี่ยมไปเลย เร็วเข้าแม่หนูมิ้นต์ไปเรียกสาวๆที่เธอว่ามาทำสร้างความบันเทิงใจให้ปู่โดยด่วน!!”
มนตร์ลดาหลุดหัวเราะออกมาด้วยเสียงสดใส เมื่อเห็นใบหน้าที่ทำเป็นเห็นดีเห็นงามกับเธอไปด้วยทั้งที่ความจริงแล้วรู้ดีว่าคุณปู่พูดเออออกับเธอไปเท่านั้น “คุณปู่ชอบล้อหนูอยู่เรื่อยเลย ไม่เอาแล้วค่ะเลยเวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา เริ่มทานเลยนะคะ”
“เออ... แล้วเมื่อตอนกลางวันที่ปู่งีบไป แม่หนูมิ้นต์ไปเที่ยวที่ไหนมา?” การันก้าถามพลางจัดการกับอาหารที่พยาบาลสาวตักให้
“ตอนแรกหนูออกไปเดินเล่นในสวนด้านหลังคฤหาสน์ค่ะ เดินเพลินไปหน่อยเลยได้ไปเห็นสวนองุ่น พอเห็นองุ่นเป็นพวงๆอยู่เต็มไปหมดเท่านั้นล่ะค่ะ หนูลืมไปเลยว่าตัวเองออกจากบ้านมาไกลแค่ไหน ดีนะคะมีคุณอาคนนึงชื่อ... ฮักซ์ เขาบอกว่าหนูเดินมาไกลพอสมควร ขากลับเลยให้อาศัยรถคนงานในไร่กลับเข้ามาน่ะค่ะ” มนตร์ลดาบอกด้วยความตื่นเต้นเพราะเพิ่งเคยเจอองุ่นลูกใหญ่เป็นพวงที่อยู่บนต้นเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ขี่ม้าเป็นรึเปล่าเราน่ะ?” การันก้าถาม
“ไม่เป็นหรอกค่ะแต่ขับรถได้ค่ะ” มนตร์ลดารีบตอบ
“งั้นวันหยุดถ้าไม่อยากเข้าไปในเมืองก็ให้ไมนาสพาไปดูไร่องุ่น ช่วงนี้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวองุ่นพอดี หรือว่าอยากหัดขี่ม้าก็ให้ไมนาสหัดให้ก็ได้” การันก้าบอกอย่างใจดี เธอดูแลเอาใจใส่เขาได้ดีกว่าพยาบาลทุกคนที่เคยจ้างมา สมควรแล้วที่จะได้รับรางวัลเล็กๆน้อยๆตอบแทน ทั้งคู่คุยกันไปรับประทานอาหารไปจนไม่รู้ตัวว่าที่หน้าประตูห้องอาหารมีร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ ยืนพิงกรอบประตูฟังบทสนทนาของทั้งคู่ตั้งแต่ที่แม่พยาบาลสาวเกงานไปเที่ยวเล่นในไร่องุ่นแล้ว
“หยุดทั้งคู่เลย อย่าได้แม้แต่จะคิดว่าจะให้ใครพาเข้าไปเที่ยวในไร่อีก นอกจากฉัน!” เสียงห้าวห้วนจัดของอเตต้าร์ดังกระหึ่มขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาทรุดนั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับมนตร์ลดา “ปู่ก็เหมือนกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโอ๋นางพยาบาลของปู่เกินเหตุขนาดนี้ ขนาดว่าเธอเกงานหนีเที่ยว ก็ควรได้รับโทษหรือว่าคำตำหนิ ไม่ใช่ให้ท้ายกันแบบนี้ อีกหน่อยคงได้เหลิงกันใหญ่!!”
กานโช่กุลีกุจอจัดอาหารให้เจ้านายหนุ่มด้วยใบหน้าชื่นมื่น ดีใจที่เจ้านายหนุ่มกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“เฮ้ย! ไอ้หลานหนังเหนียวนี่ไม่ตายง่ายนี่หว่า เพิ่งคิดถึงอยู่หยกๆก็มาให้เห็นทันใจเชียว เอ้าๆ มาเหนื่อยๆมากินข้าวก่อนเร็ว” การันก้า ทักทายหลานชายแบบที่ทำอยู่เป็นประจำ ผิดกับมนตร์ลดาที่ขบริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอหน้าเขาในวันนี้ ทั้งยังตำหนิเธอว่าหนีงานไปเที่ยวอีกด้วย
“คราวหลังอย่าได้ริอาจเข้าไปในไร่คนเดียวอีกเด็ดขาด เกิดอะไรขึ้นจะมีใครมาช่วยได้ทันมั้ย!??” อเตต้าร์จ้องตา ต่อว่าพยาบาลสาวตรงๆ
“อะไรกันนักกันหนาเล่า แค่ท้ายไร่ตรงนี้มันจะมีอะไรไม่ปลอดภัย แม่หนูมิ้นต์ไปได้ข้ามไปฝั่งนู้นสักหน่อย แกก็อย่าดุให้มากนักเลยอาร์ตี้ เดี๋ยวแม่หนูมิ้นต์ของฉันก็ตกใจเผ่นหนีกลับรีโอเดอจาเนโรไปหรอก”
มนตร์ลดาเม้มปากแน่น ข่มอารมณ์ ความจริงที่เขาพูดมามันก็ถูกต้องแล้วมันเป็นเวลางานเธอไม่ควรที่จะละสายตาจากคุณปู่การันก้า และมันรู้สึกแย่มากที่ให้ท่านออกหน้ารับแทนแบบนี้ “ขอโทษค่ะ ต่อไปนี้ดิฉันจะไม่ทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีก ขอโทษเซญอร์อเตต้าร์ด้วยนะคะ”
อเตต้าร์พูดไม่ออกเมื่อปฏิกิริยาของเธอเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ทุกครั้งที่ปะทะคารมกันเธอไม่เคยยอมลงให้เขาง่ายๆแบบนี้ รับรองว่าถ้าตำหนิเธอตรงๆแบบนี้แม่คุณต้องซัดกลับมาได้ไม่น้อยหน้ากันแน่ แต่คราวนี้เธอเอ่ยปากขอโทษ ทั้งยังแทนตัวเองว่าดิฉันเรียกเขาว่า เซญอร์อเตต้าร์ อย่างเหินห่างอีกด้วย
ให้ตายเถอะแม่คุณเอ๊ย!! พอเอาเข้าจริงเขากลับอยากให้เธอจิกเรียกว่า ‘แกหรือไอ้บ้ากาม’ อย่างเดิมมันยังให้ความรู้สึกดีกว่าตอนนี้เลย
จบคำขอโทษขอมนตร์ลดาแล้วก็ไม่มีใครได้พูดอะไรขึ้นมาอีก ต่างคนต่างจัดการกับอาหารเย็นตรงหน้าของตัวเองเงียบๆ หากแต่ผู้สูงอายุที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ที่นั่งขนาบซ้าย-ขวาของตนอยู่นี้ หากแต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าอาการอึมครึมของทั้งคู่นั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่??
หลังอาหารอเตต้าร์กับการันก้าปรึกษาปัญหาเรื่องไร่องุ่นถูกไฟไหม้คราวที่แล้วในห้องนั่งเล่นเพียงสองคน การันก้ามองหลานชายวัยหนุ่มเต็มตัวที่เปิดระเบียงกว้างกำลังสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก พลางคิดว่าตนเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยติดบุหรี่มาก่อน ภรรยาเคยขอให้เลิกแต่ก็ทำไม่ได้มันรู้สึกหงุดหงิดเหมือนกับว่าทำงานมาหนักๆเหนื่อยๆ แค่จะคลายอารมณ์ทำไมจะต้องมาบังคับกันด้วย มันก็แค่บุหรี่มวนนึงเท่านั้น
แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น สุขภาพก็ทรุดโทรมไม่ได้แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มที่ผ่านมานั่นแหละจึงได้รู้ซึ้งในคำว่าบุหรี่แค่มวนนึง!! การันก้าไม่เคยขาดบุหรี่ได้เลยจนเมื่อเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีที่แล้วที่ทำให้เสียขาทั้งสองข้าง การต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเดือนๆโดยไม่รู้สึกตัว ถึงทำให้เขาตัดบุหรี่ออกไปจากชีวิตได้ และหวังเหลือเกินว่าหลานชายที่ตนรักจะเลิกมันได้ในเร็ววันนี้
“ผมว่าในไร่เราต้องมีเกลือเป็นหนอน มันแปลกๆ ผมให้ไมนาสไปสืบย้อนรอยพวกมันดูแล้วไม่มีแม้แต่ร่องรอย พวกมันเหมือนกับรู้ทางหนีทีไล่ในไร่ของเราเป็นอย่างดี อีกอย่างพอเราเงียบทำเป็นไม่สืบต่อแทนที่พวกมันจะได้ใจ เคลื่อนไหวอะไรบ้างแต่พวกมันกลับเงียบ เงียบจนผมคิดว่าบางทีอาจมีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้นก็ได้”
“นี่ใช่ไหมที่เป็นสาเหตุที่ไม่อยากให้แม่หนูมิ้นต์ไปเที่ยวในไร่?” การันก้าเพิ่งจะเข้าใจถึงสาเหตุที่หลานชายของตัวเองพูดเมื่อตอนอยู่ในห้องอาหาร
“ครับ ตอนอยู่ที่บราซิลเลียผมแทบจะบ้าตายเพราะกลัวว่าที่นี่จะเกิดเรื่องขึ้น เพราะไมนาสได้รับข้อความจากผู้หวังดีส่งทางอีเมล์ว่า ระวังตัว สั้นๆง่ายๆแค่นี้แต่ผมไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเขาหวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ถึงได้ส่งให้ไมนาสกลับมาก่อน” สัปดาห์ที่ผ่านมาอเตต้าร์ต้องเดินทางไปบราซิลเลียซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศบราซิล เพื่อเซ็นสัญญากับลูกค้าจากตะวันออกกลาง ลูกค้ากลุ่มนี้กระเป๋าหนักเพราะจะสั่งซื้อไวน์แบรนด์ เซฮา เดอ ชาโต ทีละมากๆเก็บไว้ที่ฮาเร็มของตัวเอง พวกเขาทำอย่างนี้เพราะมีงานเลี้ยงสังสรรค์บ่อย การสั่งสินค้าข้ามทวีปจากบริษัทดีลเลอร์ของมอร์แกนเพียงผู้เดียวนั้น ทำให้การขนส่งล่าช้าและราคาของไวน์ต่อขวดก็แพงขึ้นอีกเกือบเท่าตัว นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มอร์แกนไม่พอใจนักเพราะการขยายตลาดของอเตต้าร์ทำให้รายได้ของมอร์แกนสูญหายไปมากกว่าครึ่ง!!
“งั้นก็เงียบไว้ดีที่สุด มันอาจจะเป็นอย่างที่แกคิดก็ได้ คนงานเป็นพันชีวิตร้อยพ่อพันแม่มารวมกันอยู่ที่นี่ เราไม่รู้ได้หรอกว่าเขาจะจริงใจกับเราแค่ไหน แต่ปู่จะเตือนแกไว้ว่า เวลาจะทำอะไรก็อย่าให้รุนแรงนัก บางทีพวกเขาอาจถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือโดยไม้รู้ตัวก็ได้” การันก้า เตือนหลานชายเพราะรู้ดีว่าคนอย่างอเตต้าร์นั้นมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว เขามีความมุทะลุอยู่ในตัวมากทีเดียว ภาพของหลานชายในตอนนี้นั้นถอดแบบนิสัยของตัวเองในวัยหนุ่มออกมาเลยทีเดียว
อเตต้าร์หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้เป็นปู่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลอย่างกวนโทสะ “ห่วงผมหรือห่วงว่าผมยังไม่มีเหลนให้กันแน่?”
“รู้ตัวเหมือนกันนี่”
อเตต้าร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ “ฮ่า... ก็ผมรู้จักปู่มาตั้งแต่เกิดมีเหรอจะไม่รู้ว่าปู่คิดอะไรอยู่ อย่ามาหวังเรื่องนี้กับผมเลยน่า... ผมยังไม่ถูกใจผู้หญิงคนไหนที่พอจะฝากลูกของผมไว้ในท้องของเธอหรอก”
มนตร์ลดาถือถาดยาหลังอาหารของคุณปู่การันก้าไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งชะงักค้างที่ประตูห้องเมื่อได้ยินคำพูดถือดีของผู้ชายที่เคยสร้งความอดสูใจให้ตนเอง เสียงห้าวเข้มที่ได้ยินอย่างชัดเจนนั้นมันย้ำเตือนให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงแค่โสเภณีไร้ค่า อยู่ผิดที่ผิดเวลาให้เขาลากเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำได้อย่างง่ายดายเท่านั้น!!
“ฉันจะรอดูวันที่ผู้ชายโอหังอย่างแกต้องแพ้ทางให้ผู้หญิงสักคนอย่างหมอบราบคาบแก้ว!! อาร์ตี้” นิ้วชี้อันเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของการันก้ายกขึ้นมาชี้หลานชายที่ยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆเลย “ฉันมั่นใจว่าต้องได้เห็นแน่”
ก๊อก... ก๊อก...
มนตร์ลดาผลักประตูที่แง้มไว้อยู่แล้วให้เปิดกว้างขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากคนข้างใน พยาบาลสาวเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดยาใบย่อมในมือ
“ยาหลังอาหารค่ะคุณปู่” มนตร์ลดาวางถาดที่ถือเข้ามาลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวใหญ่ พลางส่งยาเม็ดเล็กๆพร้อมกับน้ำสะอาดให้คุณปู่การันก้า “หนูได้ยินคุณปูบ่นว่าไม่ชอบกลิ่นนม หนูก็เลยเติมผงโกโก้กับกลิ่นวนิลลาลงไปนิดหน่อย คุณปู่ลองดื่มดูนะคะ หนูไม่แน่ใจว่าคุณปู่จะชอบไหม”
การันก้ารับเอาแก้วนมสดอุ่นจัดขึ้นมาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของโกโก้และวนิลลาเข้าจมูก ความหอมละมุนละไมของมันทำให้ผู้สูงวัยยิ้มเอ็นดูพยาบาลสาวคนนี้นักที่ดูแลเอาใจใส่ตัวเองดีเหลือเกิน “หอมจัง... คราวหลังบอกสูตรกับแม่บ้านไว้นะ พวกนั้นเติมโกโก้กับน้ำตาลมากเสียจนปู่กินเข้าไปแล้วรู้สึกแสบคอไปหมด”
มนตร์ลดายิ้มน่ารักให้กับการันก้าเมื่อเห็นว่าท่านดื่มนมสดที่ตัวเองนำมาให้เข้าไปจนหมด “ถ้าคุณปู่ทานได้งั้นหนูเพิ่มเป็นเช้า-เย็นเลยนะคะ”
อเตต้าร์มองใบหน้างดงามที่ยิ้มออกมาได้อย่างน่ารัก ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างดีใจเหมือนกับเด็กได้รับคำชม ดวงตาคมกริบของอเตต้าร์เผลอมองปากสีเชอร์รี่สดที่ขยับพูด ยิ้ม เพลินตา...
“พรุ่งนี้คุณหมอจะมาตรวจร่างกายประจำเดือน มีตรวจเลือดด้วยนะคะเพราะฉะนั้นหลังเที่ยงคืนคุณปู่ต้องงดอาหารกับน้ำนะคะ” มนตร์ลดาบอกเพราะระหว่างที่เตรียมนมสดในห้องครัวอยู่นั้น กานโช่พ่อบ้านประจำคฤหาสน์บอกกับเธอว่า คุณหมอประจำตัวคุณท่านการันก้าจะมาตรวจสุขภาพทุกๆเดือน และพรุ่งนี้ก็ครบกำหนดแล้วจึงต้องให้ท่านงดน้ำงดอาหารเพื่อทำการเจาะเลือด ตรวจหาโรคและความผิดปกติในร่างกาย
การันก้าพยักหน้ารับ ทราบถึงขั้นตอนในการปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี
“หนูขอตัวก่อนนะคะ ถ้าคุณปู่คุยธุระเสร็จแล้วก็กดกริ่งเรียกหนูได้ค่ะ”
“เข้านอนเลยก็ได้ ปู่ไม่ได้มีธุระอะไรมากมายหรอก ยกให้ลูกให้หลานดูแลหมดแล้ว ไปนอนกันดีกว่า เดี๋ยววันนี้ให้อาร์ตี้อุ้มขึ้นเตียงก็ได้” พูดจบคุณปู่การันก้าก็กดปุ่มคอนโทรลเก้าอี้เข็นไฟฟ้าเคลื่อนออกจากห้องพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ที่เดินตามออกไปในทันที
อเตต้าร์ยิ้มขำๆเมื่อเห็นสีหน้าพยาบาลคนดีของคุณปู่ที่อ้าปากค้าง แต่ก็ยอมเดินตามออกมาจากห้องและก้าวเข้ามาในลิฟต์เงียบๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอไม่อยากอยู่ใกล้กับเขา ไม่ชอบหน้าเขา ขนาดว่าลิฟต์ออกจะกว้างขวาง เธอยังเข้าไปเบียดตัวอยู่ตรงมุมลิฟต์ทำเหมือนกับว่าในลิฟต์นี้มันอัดแน่นไปด้วยผู้คนนับสิบอย่างนั้นแหละ!!
“อ้าว!... แม่หนูมิ้นต์ทำไมไปยืนเบียดอยู่มุมอย่างนั้นล่ะ ถอยออกมาหน่อยก็ได้อาร์ตี้ไม่จับแม่หนูมิ้นต์หักแข้งหักขาทำสตูลหรอกน่า!!” การันก้าบอก พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ค่อยๆเปิดออก
มนตร์ลดายิ้มแหยๆ อาศัยความปราดเปรียวของตัวเองก้าวออกไปจากลิฟต์ก่อน เดินตัวปลิวลิ่วๆนำหน้าไปเปิดประตูห้องนอนที่อยู่สุดทางปีกตะวันออกของคฤหาสน์ หญิงสาวมองร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ช้อนอุ้มคุณปู่การันก้าขึ้นจากรถเข็นด้วยพละกำลังอันเหลือเชื่อ ปกติหน้าที่นี้จะเป็นของกานโช่แม้จะอุ้มจากรถเข็นวางลงบนเตียงไม่ไกลนักแต่ความที่คุณปู่การันก้าเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ก็ทำให้คนรูปร่างสันทัดอย่างกานโช่เหงื่อซึมได้เหมือนกัน แต่ยักษ์ปักหลั่นตรงหน้านี้กลับทำได้ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด!!
อเตต้าร์ถอยออกมายืนอยู่ที่ปลายเตียง สายตาคมกริบมองมือเรียวบางที่กำลังปลดเสื้อให้คุณปู่ได้อย่างคล่องแคล่ว ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นมาคลุมถึงเอว จากนั้นก็จัดการใช้ผ้าผืนเล็กชุบน้ำหมาดๆเช็ดเนื้อตัวให้ท่าน สุดท้ายคือการแปรงฟันบนเตียงที่ดูเหมือนว่าเวลาไม่นานที่อยู่ด้วยกันทั้งคู่จะรู้อกรู้ใจกันเป็นอย่างดี การอาบน้ำบนเตียงจึงเป็นไปอย่างไหลรื่นไม่ติดขัดแต่อย่างใด อเตต้าร์เผลอยิ้มกับวิธีที่พยาบาลสาวพลิกของคุณปู่เพื่อเอาผ้ายางรองกันที่นอนเปื้อนระหว่างอาบน้ำออก ทาครีมบำรุงผิวตามด้วยแป้งฝุ่นเล็กน้อยแล้วจึงสวมชุดนอนให้จนเรียบร้อย
การปรนนิบัติของเธอก็นับว่าสมกับค่าจ้างราคาแพงในแต่ละเดือน ที่สำคัญอเตต้าร์ยังไม่ได้ยินเสียงบ่นจากคุณปู่ว่าพยาบาลคนใหม่ทำอะไรไม่ถูกใจเหมือนกับพยาบาลหลายๆคนก่อนหน้านี้เลย หนำซ้ำท่านยังอนุญาตให้เธอเรียกว่าคุณปู่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย
“ไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวก่อนนะคะ” มนตร์ลดาเอ่ยขึ้น หลังจากที่ยกอุปกรณ์ในการอาบน้ำทั้งหมดเข้าไปเก็บในห้องน้ำแล้วเดินกลับออกมาอีกครั้ง
“ไปเถอะ... ปู่ดูทีวีอีกสักแป๊บก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” การันก้าบอกพร้อมกับหันมาสนใจที่ข่าวสารบ้านเมืองในทีวีช่องท้องถิ่นที่ติดไว้อยู่บนผนังห้อง ก่อนออกจากห้องไปพยาบาลสาวยังถือรีโมตทีวีขึ้นมาตั้งเวลาปิดในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าด้วย จากนั้นจึงเดินไปยังประตูห้องที่เชื่อมระหว่างห้องนอนส่วนตัวของตนเอง
“ดูปู่พอใจกับพยาบาลคนนี้มากนะครับ” อเตต้าร์ทรุดนั่งลงที่โซฟาตัวยาวปลายเตียงนอน เอนหลังพิงกับเสาเตียงนั่งเหยียดขายาว กระดิกเท้าอย่างสบายอุรา
“แกก็เห็นด้วยตาแล้วว่าแม่หนูมิ้นต์เอาใจใส่ฉันแค่ไหน บอกแล้วว่าอย่าประเมินคนจากภาพที่เห็น ท่าทางเด็กๆรูปร่างบอบบางเหมือนกับไม่สู้งานที่เห็นน่ะมันเป็นเพราะแกใช้ตามองคนเพียงอย่างเดียว ไม่เห็นต้องทำสัญญาบ้าบอนั่นแบบที่แกว่า ฉันก็มั่นใจว่าแม่หนูมิ้นต์ไม่ใช่คนเหลาะแหละ!”
“ใครจะไปกล้าว่าอะไรแม่หนูมิ้นต์ของปู่ ออกหน้าแทนกันซะขนาดนี้ ดูเธอทำเข้าสิ! ทำท่าทำทางยังกับผมจะหักแข้งหักขาเธอแล้วโยนลงหม้อสตูลอย่างนั้นแหละ!!”
การันก้าขมวดคิ้ว ละสายตาจากจอทีวีมาจ้องใบหน้าคร้ามคมของหลานชายตัวเองด้วยความแปลกใจ ไม่เคยเห็นไอ้หมอนี่มันประชดประชันใครอย่างนี้มาก่อน “แล้วแกเป็นอะไร? ปกติไม่เห็นจะแคร์ว่าใครจะคิดยังไงกับตัวเอง ออกจะชอบซะด้วยซ้ำที่ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวาย แล้วนี่อะไรไม่เหมือนแกซักนิด?!!”
อเตต้าร์ทำท่าอึกอักไม่ตอบว่าอย่างไรแต่รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนตรง ใบหน้าคร้ามคมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ลูบมือทั้งสองข้างของตัวเองเข้าที่ข้างลำตัว! “ผมไปนอนล่ะครับ”
การันก้ามองร่างสูงใหญ่ของหลานชายอย่างพิจารณา มันเป็นท่าทางเหมือนในวัยเด็กของอเตต้าร์ที่ทำอะไรผิดมาสักอย่าง! แล้วมีเหรอที่คนเลี้ยงมันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจะดูไม่ออก เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าท่าทางอย่างนั้นหลานชายตัวดีไปทำอะไรมาเท่านั้นเอง คำเตือนตามสายลมจึงเปรยขึ้น “คงไม่คิดจะเปลี่ยนใจมากินเด็กหรอกนะ ฉันขี้เกียจหาพยาบาลคนใหม่ ไม่รู้ว่าจะหาได้ดีแบบนี้รึเปล่า!”
อเตต้าร์ได้ยินชัดเต็มสองหูแต่ไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับท่านอีกจึงก้าวออกมาจากห้องนอนของท่านตรงมายังห้องนอนของตัวเองบ้างพลางคิดว่า เจริญล่ะ!... ทีกับหลานในไส้ ฉันอย่างนั้นแกอย่างนี้ ทีกับแม่คิตตี้นั่น ปู่อย่างนั้นแม่หนูมิ้นต์อย่างนี้ เสน่ห์แรงเสียจริงนะแม่คุณเอ๊ย! อยู่กับใครก็ทำให้เขารักเขาหลง เอ็นดูได้ภายในเวลาชั่วพริบตา แบบนี้ไงจิงเจอร์พี่สะใภ้ถึงได้เข้าใจว่าเธอคืออีหนูลับที่พี่ชายของเขาซ่อนเอาไว้!!!
โธ่โว้ย!... เธอจะไปเป็นอีหนูลับของฟาเบียโน่ได้ยังไงในเมื่อเขาคือผู้ชายคนแรกที่ได้ลิ้มรสเลือดพรหมจรรย์ของเธอ นี่สินะคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมองเขาด้วยสายตาประณามอย่างไม่มีวันจบสิ้น เธอจะรู้รึเปล่าว่าเขาก็รู้สึกเกลียดเหลือเกิน! คนอย่างอเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า ต้องใช้กำลังบังคับขืนใจผู้หญิง นรกชัดๆ เธอจะรู้บ้างไหมว่าเธอใช้สายตาประณามเขาได้เก่งแค่ไหน ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กันไม่ว่าที่ไหนเธอก็สามารถทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองระยำแค่ไหนที่ทำเช่นนั้นลงไป เหมือนตกลงไปอยู่ในนรกที่มีเธอเป็นไฟแผดเผาให้รุ่มร้อนไปทั่วสรรพางค์กายยังไงล่ะ
วันนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ที่อเตต้าร์ต้องใช้น้ำเย็นจัดดับไฟในกายให้มอดดับลง ด้วยความขัดแย้งในจิตใจที่ไม่อยากยอมรับนักว่าแม่คิตตี้คนงามเป็นคนทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้!
รุ่งเช้ามนตร์ลดาเข้ามาทำหน้าที่ของตนเองเช่นเคย พยาบาลสาวจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้คุณปู่การันก้าเสร็จเรียบร้อยก่อนที่คุณหมอจะมาถึงไม่นานนัก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับประตูถูกเปิดออกอย่างเบามือ กานโช่ถือกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสีดำเข้ามาพร้อมชายร่างวัยกลางคนในชุดสูทสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาในห้อง
“คุณหมอปาโต้!?” มนตร์ลดาอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะเห็นอดีตเพื่อนร่วมงานในคฤหาสน์โอลีเวย์ร่านี้
“มิ้นต์!? คุณมาทำอะไรที่นี่??” ต่างคนต่างตั้งคำถามทันทีที่เจอหน้ากัน จนไม่ทันสังเกตว่ามีชายอีกสองคนในห้องมองทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างงงๆที่ทั้งคู้รู้จักกันมาก่อน
“เดาว่าสองคนนี้รู้จักกันมาแล้ว” การันก้าเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับคุณท่านการันก้า ผมคุณหมอปาโต้ได้รับมอบหมายหน้าที่จากคุณหมอคนก่อนที่ย้ายไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการครับ” คุณหมอปาโต้กล่าวแนะนำตัวเอง “ผมเพิ่งถูกเรียกตัวจากโรงพยาบาลที่นี่ เลยลาออกจาโรงพยาบาลเอกชนที่ทำอยู่มาประจำที่นี่ครับ”
“อ๋อ... งั้นก็แสดงว่าแม่หนูมิ้นต์กับคุณหมอปาโต้คงรู้จักกันตอนที่อยู่บูซิโอสใช่ไหม?” การันก้าประติดประต่อเรื่องได้อย่างง่ายดาย
“ครับ/ค่ะ” ทั้งคู่รับคำพร้อมกัน ทำให้ทุกคนในห้องหัวเราะกันครื้นเครง ร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ที่เดินเข้ามาใหม่จึงเกิดอาการแปลกใจที่ในห้องมีเรื่องขบขันอะไรตั้งแต่เช้านัก!
“อ้าว... อาร์ตี้มาพอดี นี่คุณหมอปาโต้เขาจะมาดูแลปู่แทนคุณหมอคนเดิม” การันก้าแนะนำให้หลานชายรู้จักกับคุณหมอประจำตัวคนใหม่ทันทีที่เขาเดินเข้ามา “คุณหมอ นี่อเตต้าร์หลานชายของผมเอง”
ทั้งคู่หันมาจับมือตามมารยาทอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นคุณหมอปาโต้จึงเริ่มลงมือตรวจร่างกายของคุณปู่การันก้า โดยมีมนตร์ลดาคอยส่งเครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกให้อย่างรู้งาน ส่วนอเตต้าร์ซึ่งยืนดูอยู่ไม่ห่างนักนั้นกลับสังเกตได้ว่า หมอและพยาบาลพูดจากันอย่างสนิทสนมในเวลาอันรวดเร็ว สรรพนามที่ไอ้หมอนี่มันเรียกแม่คิตตี้ก็ยังเรียกชื่อเล่นกันอย่างคุ้นเคย
เฮอะ... ให้นรกแตกเหอะ!! นี่จะสนิทสนมอะไรกันเร็วนักหนา รอยยิ้มหวานจนเลี่ยนของไอ้หมอนี่ที่มีให้เธอมันชวนให้เขาสะอิดสะเอียนมากกว่าเคลิบเคลิ้ม ชวนให้อารมณ์เสียพิกล!
“อ้าวๆ มัวแต่ส่งยิ้มให้กันอยู่นั่น เดี๋ยวได้จัดยาผิดล่ะยุ่งนะคุณหมอ” น้ำเสียงวางอำนาจทั้งข่มขู่เปรยออกมา เรียกสติให้คุณหมอปาโต้หันมาเอ่ยคำขอโทษพลางก้มหน้าก้มตาจัดยาอย่างตั้งใจ ไม่นานนักคุณหมอปาโต้ก็หันมาส่งยาหลายชนิดให้กับมนตร์ลดาพร้อมทั้งบอกวิธีรับประทานให้อย่างละเอียดยิบ ออกจะเกินความจำเป็นมากไปในความคิดของอเตต้าร์
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคุณหมอ ฉันหิวข้าวแล้ว เชิญคุณหมอปาโต้อยู่ทานอาหารเช้าด้วยกันนะ อย่าปฏิเสธไหนๆก็จะมาเป็นหมอประจำตัวฉันอยู่แล้ว ทำความรู้จักกันไว้ไม่เสียหลายหรอก ไปๆ อาร์ตี้มาอุ้มปู่ขึ้นรถเข็นที” คุณปู่การันก้ากวักมือเรียกหลานชาย จากนั้นทั้งหมดก็ทยอยลงมาในห้องอาหารชั้นล่างของคฤหาสน์
การันก้านั่งหัวโต๊ะ มนตร์ลดาและคุณหมอปาโต้นั่งติดกันอยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนอเตต้าร์นั่งตรงกันข้ามกับทั้งคู่ กานโช่ยังทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารอำนวยความสะดวกให้กับทุกคนเช่นเดิม บทสนทนาของการันก้า มนตร์ลดาและปาโต้ดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ทำให้อเตต้าร์ได้รู้ว่าทั้งคู่เคยทำงานในโรงพยาบาลเดียวกันมาก่อน บังเอิญได้มาเจอกันที่นี่ แต่อเตต้าร์มองสายตาของปาโต้ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันหวังจะเคลมแม่คิตตี้ของเขา!
ฉิบหายแล้ว! สมองบ้าๆนี่มันคิดว่าแม่คิตตี้นี่เป็นของตัวเองได้ยังไงกันวะ!??
“เซญอร์รับอาหารเช้าอยู่ แกรอก่อนได้ไหมไมนาส” เสียงของกานโช่ที่ดังแว่วเข้ามาในห้องอาหาร ทำให้อเตต้าร์หลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเองทันที
“มีอะไรด่วนไมนาส?” เสียงห้าวของอเตต้าร์ดังขึ้นเหมือนกับรำคาญ!
ไมนาสลูกน้องมือขวาเดินออกมาอยู่ที่หน้าประตูห้องอาหารพร้อมกับรายงายอย่างรวดเร็ว “เซญอร์ครับ เมื่อกี้ผมได้รับรายงานว่าคนงานในไร่ทะเลาะกัน รุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยครับ หัวหน้าคนงานก็ดูท่าว่าจะเอาไม่อยู่”
อเตต้าร์หันขวับไปมองไมนาส “แค่ตีกันเท่านั้น ใช่ว่าฆ่ากันตายซักหน่อยเรื่องแค่นี้แกต้องวิ่งหน้าตื่นเข้ามาเลยเหรอไมนาส?”
คำพูดของอเตต้าร์ขัดหูมนตร์ลดายิ่งนัก ด้วยความที่ไม่ชอบเห็นการขัดแย้ง ใช้กำลังในการตัดสินปัญหาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำพูดเหมือนทองไม่รู้ร้อนของเขาจึงทำให้นึกโมโหอยู่ในใจ
“แล้วต้องให้มีคนบาดเจ็บล้มตายก่อนหรือยังไงคะ เซญอร์อเตต้าร์ถึงจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรง!?” พูดจบแล้วก็อยากตบปากตัวเองนักที่ไปก้าวก่ายเรื่องของเจ้านาย แต่มันอดใจไม่ได้จริงๆคนอะไรใจดำอย่างนี้ “เอ่อ... ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจว่าให้เซญอร์แค่ไม่อยากให้ใครต้องมาทะเลาะกันจนถึงขั้นเลือดตกยางออกเท่านั้นเอง”
คนที่ได้รับคำตัดพ้อต่อว่าตรงๆยังมองหน้าใบหน้างดงามเธอต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองต่อไปจนเกลี้ยงจาน จากนั้นจึงผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ไปเอาปืนในห้องทำงานฉันมา ใครมันชอบทะเลากันนักฉันจะส่งมันลงนรกเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงให้มากความ!”
มนตร์ลดาขบริมฝีปากล่างตัวเองแน่น เพราะตลอดเวลาที่เขาสั่งไมนาสนั้น สายตาคมกริบยังจ้องตาเธอด้วยราวกับท้าทาย แถมยังยักคิ้วข้างเดียวให้อย่างกวนโมโหอีกด้วย ‘ไอ้คนไร้มนุษยธรรมเอ๊ย ไม่ห้ามแล้วยังจะยุยงส่งเสริมอีก เชื่อแน่ล่ะว่าคนใจหยาบอย่างเขาทำมันได้แน่!’ พยาบาลสาวคิดในใจแต่ก็เลือกที่จะเงียบจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละเช่นกัน
เสียงฝีเท้าของไมนาสวิ่งใกล้เข้ามาทำให้อเตต้าร์ละสายตากวนอารมณ์ของตนจากพยาบาลสาว หมุนตัวเดินออกไปจากห้องอาหารทั้งยังประกาศเสียงกร้าวราวกับรำคาญใจหนักหนาว่า “ไป... ใครมันใกล้ตายก็ส่งมันไปตายให้สมใจ ไม่ต้องหามส่งโรงพยาบาลให้ยุ่งยากหรอก! ตายๆมันให้หมดทุกคนปัญหายุ่งๆนี่มันจะได้จบสิ้นซักที!”
“ดูท่าว่าเรื่องจะไม่จบลงง่ายๆนะครับคุณท่าน” กานโช่พูดกับประมุขของคฤหาสน์ด้วยสีหน้า น้ำเสียงเป็นกังวล ต่างก็รู้ดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนงานในไร่องุ่นอยู่แล้ว แต่มนตร์ลดากลับคิดไปว่าเรื่องจะบานปลายไปใหญ่เพราะไอ้คนเถื่อนที่จะจบปัญหาลงด้วยการใช้กำลังตัดสิน
“คุณปู่คะ หนูขอไปดูหน่อยได้ไหมคะเผื่อว่าจะช่วยปฐมพยาบาลให้คนงานได้” มนตร์ลดาพูดขึ้น
“จริงด้วยครับ ผมกับมิ้นต์ไปดูด้วยอย่างน้อยถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บก็จะช่วยไว้ได้ทัน!” คุณหมอปาโต้อาสาตัวเองอีกแรงหนึ่ง
“ดีเหมือนกันนะ งั้นรีบตามไปเถอะเดี๋ยวอาร์ตี้จะออกไปซะก่อน” ทันทีที่คุณปู่การันก้าอนุญาต พยาบาลสาวก็วิ่งตัวปลิวออกจากห้องอาหารโดยไม่รอคุณหมอปาโต้ เพราะกลัวว่าจะไม่ทันการ
มนตร์ลดาวิ่งกระหืดกระหอบออกมาด้านหน้าคฤหาสน์ กางแขนทั้งสองออกขวางหน้ารถจิ๊บคันใหญ่พลางละล่ำละลักบอก “รอด้วยค่ะ! คะ...คือ คุณปู่ให้ดิฉันกับคุณหมอปาโต้ไปด้วย เผื่อจะได้ช่วยทำแผลให้คนงานค่ะ”
อเตต้าร์หรี่ตามองใบหน้างดงามที่เดินเข้ามาเกาะที่ประตูรถอย่างประเมินความสามารถ “เอ้า... ขึ้นมาสิ! อยากรู้เหมือนกันพยาบาลผิวบางจะทนแดดทนลมได้แค่ไหน”
ไมนาสรีบกระโดดจากเบาะคนขับไปอยู่ด้านหลังรถจิ๊บกับคุณหมอปาโต้ โดยที่อเตต้าร์ย้ายมาประจำเบาะนั่งคนขับแทน เหลือที่ว่างไว้สำหรับมนตร์ลดาเคียงข้างกับเจ้าของไร่จอมเถื่อนอยู่ที่เดียวแต่หญิงสาวก็มิได้เกี่ยงงอน ก้าวขึ้นรถจิ๊บด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง จากนั้นรถจิ๊บจึงเคลื่อนตัวด้วยความเร็วพอสมควรจากด้านหน้าคฤหาสน์เข้าสู่บริเวณท้องไร่อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่เต็มไปด้วยต้นองุ่นสีม่วงเข้ม ภาพต้นองุ่นสีเขียวตัดกับพวงองุ่นใหญ่สีม่วงเข้มทำให้มนตร์ลดาอ้าปากค้าง มองสองข้างทางอย่างชอบใจ เผลอยิ้มน่ารักออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนขับรถที่นั่งลอบมองอยู่ข้างๆเผลอยิ้มตามไปด้วย จนไม่รู้ตัวว่าตนเองได้เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น ด้วยสภาพถนนในไร่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ บวกกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นรถจึงกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง ทำให้หน้าผากมนไปกระแทกกับกระจกด้านหน้ารถทันที
“โอ๊ย!...”
“นั่งดีๆสิ ไม่รู้จักระวังตัว!” ตัวต้นเหตุกลับหันมาดุเสียงเขียว
มนตร์ลดามองค้อนคนข้างๆเพียงแวบเดียวก็หันกลับไปมองถนนตรงหน้าทันทีพร้อมเอื้อมมือข้างหนึ่งจับกับราวที่ติดไว้อยู่ข้างศรีษะให้มั่นและได้แต่พูดประชดประชันในใจเท่านั้น ‘ตัวเองเป็นคนขับไม่ดียังจะมาว่าคนอื่นอีก ในชีวิตนี้จะเคยยอมรับว่าตัวเองทำผิดซักครั้งไหม?’ แต่ความคิดโมโหได้ไม่นานนักก็ต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง เมื่อเบื้องหน้าที่ได้เห็นคือกลุ่มคนหลายสิบกำลังตะลุมบอนกันอยู่ ฝุ่นดินคละคลุ้งปลิวว่อนในอากาศจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ทันทีที่อเตต้าร์จอดรถสนิท ชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถพร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้าในทันที จากนั้นจึงหันไปมองคนที่กรี๊ดร้องออกมาด้วยความตกใจอยู่ข้างหลัง อเตต้าร์เกือบยัดปืนกรอกปากหมอปาโต้เข้าให้แล้วที่มันบังอาจโอบปลอบแม่คิตตี้ของเขาอยู่ตอนนี้! แต่ต้องข่มอารมณ์เพราะต้องหันมาจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านี้เสียก่อน
“พวกแกจะตีกันให้มันเจ็บตัวทำไม! นี่ปืน... ใครแน่จริงเก่งจริงออกมาเลย” อเตต้าร์ประกาศเสียงกร้าวดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ โยนปืนรุ่นเดียวกันสองกระบอกลงบนพื้นทันที “เอาทีละคู่ ออกมาดวลปืนกันให้มันตายไปเลย ไม่ต้องเปลืองแรง ไม่ต้องเสียเวลา”
คนงานร่างกำยำหลายคนต่างหยุดฟัดกัน ต่างคนต่างลุกขึ้นมามองดูเจ้าของไร่สลับกับปืนที่พื้นแล้วพากันก้มหน้างุด บางคนซับเลือดตามส่วนต่างๆของร่างกาย เจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่ไปตามๆกัน
“ไงล่ะ!? ทำไมไม่เห็นมีไอ้หน้าไหนออกมาสำแดงฤทธิ์เดชเลย มัวแต่หดหัวอยู่ทำไม ดิม่า ฮักซ์ ไม่บอกก็รู้ว่าแกสองคนเริ่มทุกอย่างขึ้นก่อน” อเตต้าร์ชี้นิ้วไปที่ชายร่างกำยำสองคนที่ยืนแยกเขี้ยวใส่กันอยู่คนละฝั่ง ทั้งคู่ฟกช้ำดำเขียวมีเลือดไหลออกที่หน้าฝาก หางคิ้วและมุมปาก
หนึ่งในสองคนนี้มนตร์ลดาจำได้ดีว่าฮักซ์ เป็นคนที่บอกให้เธอขึ้นรถกลับเข้ามาในคฤหาสน์ในวันที่เธอเดินเพลินเข้าไปในสวนองุ่นด้านหลัง
“แล้วมาแค่นทำเบ่งว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย ทีอย่างงี้ทำไมไม่เห็นโผล่หัวออกมาซักคน พวกแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมามีเรื่องกันในไร่ กินข้าวหม้อเดียวกันทุกวันยังทะเลาะกันอยู่ได้ ฉันจะไม่ถามว่าเรื่องขัดแย้งมันเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร? และจะให้โอกาสพวกแกทุกคนอีกครั้งนึงอย่าได้บังอาจมาใช้กำลังในไร่ของฉัน ในเวลาทำงานที่พวกแกได้เงิน และควรจะก้มหน้าก้มตาทำงานให้สมกับค่าจ้างที่ฉันจ่ายให้”
“เซญอร์ครับไอ้ดิม่า มันหาเรื่องผมก่อน ผมกำลังจะข้ามไปทำงานที่ไร่ฝั่งนู้น ไอ้ดิม่า มันกลับปากหมาหาว่าผมเป็นหนอนบ่อนไส้ วางเพลิงเผาไร่องุ่น!!” ฮักซ์ รีบชี้แจงถึงปัญหาที่เริ่มมีการทะเลาเบาะแว้งกันขึ้น
“ก็หรือไม่จริง แกมันไอ้นกสองหัว อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกคิดจะทำอะไร?!” ดิม่า สวนกลับทันควัน
“หยุด! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าใครไม่พอใจใครออกมาหยิบปืนสองกระบอกนี้ดวลกันตัวต่อตัวเลย อย่ามาพล่ามหาสวรรค์วิมานให้มากความ ตกลงพวกสองคนจะจบเรื่องลงแค่ตรงนี้หรือว่าจะออกมาทำตามกฏที่ฉันวางไว้!??”
เงียบกริบ! ไม่มีใครกล้าปริปากแม้เพียงน้อยกับวิธีตัดสินปัญหาของเซญอร์อเตต้าร์เจ้าของไร่องุ่นที่กินพื้นที่บนเทือกเขาเซฮา กาอูชา แห่งนี้ไม่เว้นแม้แต่คุณหมอปาโต้ และมนตร์ลดาก็ยืนนิ่ง อึ้งกับกฏป่าเถื่อนราวกับตัวเองย้อนเข้าไปอยู่ในแดนเถื่อนที่มีเพียงผู้คุมกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย
“ที่เงียบนี่ฉันจะเข้าใจว่าจบแล้วนะ! แต่ถ้าใครยังไม่จบให้เดินเข้าไปหาฉันได้เลย ฉันจะจัดพื้นที่ให้พวกแกฟัดกันให้ตายไปข้างนึง จะด้วยกำลังหรือด้วยปืนนี่ก็แล้วแต่” อเตต้าร์พูดพลางใช้เท้าเขี่ยปืนซึ่งตกอยู่บนพื้นและมันทำให้มนตร์ลดาต้องหลับตาลง ลอบถอนหายใจไม่อยากมองภาพที่เห็นนี้ว่ามันหยาบ เถื่อนเหลือเกิน!!
ทุกเสียงโต้แย้ง ทุกข้อขัดแย้งยุติลงในทันทีที่ได้ยินเซญอร์อเตต้าร์ประกาศกร้าว หลังจากนั้นจึงเป็นการปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เสียงคร่ำครวญจากภรรยาของหนุ่มๆที่ตะลุมบอนกันดังขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ คุณหมอปาโต้เดินเข้าไปเปิดกระเป๋าใบใหญ่ของตน ส่งอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาลที่มีในกระเป๋าให้ บางคนได้แผลแตกที่หางคิ้วเป็นแนวยาวก็ได้รับการเย็บแผลสดๆเลยทีเดียว โดยมีมนตร์ลดาคอยช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นอีกแรง
อเตต้าร์ ไมนาส พร้อมคนงานอีกหลายคนเดินตามกันออกไปจากบริเวณดังกล่าวอยู่นานพอสมควรแล้วจึงเดินกลับมาอีกครั้ง เมื่อคุณหมอปาโต้กำลังลงมือเย็บแผลให้ชายคนหนึ่งซึ่งถูกมีดพกสั้นบาดเข้าที่กลางฝ่ามือเป็นทางยาว นอกนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานของตนในไร่ต่อจนเกือบหมดแล้ว
“กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวให้ไมนาสไปส่งหมอปาโต้” อเตต้าร์เดินเข้าไปพูดกลับมนตร์ลดาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด
“เอ่อ... เซญอร์กลับไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวดิฉันขอติดรถกับไมนาสกลับคฤหาสน์ก็ได้” มนตร์ลดาปฏิเสธเสียงเรียบพลางเก็บอุปกรณ์ต่างๆลงในกระเป๋าใบใหญ่ให้คุณหมอปาโต้
“ติดไปได้ไง มันคนละทางกัน หน้าที่ของคุณคือดูแลคุณปู่ หรือว่าจะอู้งานถึงได้อยากอ้อมไปส่งหมอปาโต้เสียก่อนอีก!?”
เอาอีกล่ะ! ทำไมชอบหาว่าเธอเกงาน อู้งานอยู่เรื่อยเลยนะ อาสามาช่วยแท้ๆ คนอะไรไม่รู้จักมองเห็นความดีของคนอื่นชอบตีความแบบคนที่มองโลกในแง่ร้าย! มนตร์ลดายอมวางมือลงเพราะคุณหมอปาโต้เป็นคนบอกให้เธอกลับไปกับเซญอร์อเตต้าร์ แล้วยังเอ่ยลาเธอด้วยยิ้มที่ทำให้อเตต้าร์โกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆได้เป็นอย่างดี
หน็อย... ทีไอ้หมอนี่พูดหน่อยเดียวยอมทำตามอย่างว่าง่าย! ทีเขาพูดเนี่ย... ต้องขู่กันให้วุ่นวายไปหมดกว่าจะยอมทำตามได้ อเตต้าร์คิดในใจพร้อมพูดออกมาเสียงห้วนเมื่อเห็นเธอกำลังจะก้าวขึ้นรถจิ๊บคันเดิม “คันนั้นไมนาสต้องใช้ไปส่งหมอปาโต้ เราจะขี่เจ้าอะเมซอนกลับกัน”
ไม่นานมนตร์ลดาก็เข้าใจว่าเจ้าอะเมซอนที่ว่าคือม้าตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม สีน้ำตาลทองที่ไมนาส จูงใกล้เข้ามา อเตต้าร์ขึ้นไปอยู่บนหลังม้าด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็วเหลือเชื่อ “ส่งมือมาเร็วเข้า”
มนตร์ลดาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ใกล้ชิดกับสัตว์สี่เท้าประเภทนี้มาก่อน พอเข้าไปใกล้ๆ เจ้าอะเมซอนมันก็หันหน้ามาทำจมูกฟุดฟิดใส่ พยาบาลสาวถึงกับผงะทันที “อะ...เอ่อ คือ ดิฉัน”
“กลัวล่ะสิ??”
“ไม่ได้กลัวค่ะ เพียงแค่ไม่เคยขี่มันมาก่อน ดิฉันขี่ม้าไม่เป็น!!” มนตร์ลดากระแทกเสียงสวนกลับทันที นึกโมโหกับท่าทีเยาะเย้ยของเขา เกลียดนักไอ้ท่าทางยักคิ้วข้างเดียวมองคนอื่นดูถูกแบบนี้!!
อเตต้าร์ถอนใจเฮือก ถ้าจะต่อล้อต่อเถียงกับแม่คิตตี้นี่ชาตินี้คงไม่มีวันจบสิ้นกันหรอก ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาตวัดเอาเอวคอดกิ่วแน่นๆ ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็พาร่างอ้อนแอ้นขึ้นมานั่งพาดอยู่บนหลังม้าได้แล้ว มืออีกข้างยังจับต้นขาด้านในของเธอให้กางออกเพื่อที่จะตวัดให้นั่งคร่อมบนหลังม้า เพราะเธอสวมกางเกงอยู่แล้ว จึงเท่ากับว่ามนตร์ลดานั่งด้านหน้าแล้วมีอเตต้าร์นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังอีกทีหนึ่ง
จากนั้นเจ้าอะเมซอนก็ออกวิ่งเหยาะไปตามทางขรุขระข้างหน้าตามคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังบังคับ มนตร์ลดานั่งตัวเกร็งเพราะรู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากร่างแกร่งด้านหลัง ไม่ชอบใจในความรู้สึกหวั่นไหวนั้นเท่าไหร่นัก มันเหมือนบั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองไปมากโขจึงขยับตัวยุกยิกอยู่ไม่เป็นสุข เพราะไม่อยากให้แผ่นหลังของตนสัมผัสกับแผงอกแกร่งด้านหลัง
“นิ่งๆได้ไหม เดี๋ยวตกลงไปแข้งขาหักกันพอดี หรือว่าที่ดิ้นนี่เพราะอยากอู้งานอีก?” อเตต้าร์พูดชิดข้างใบหูบาง รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้โอบเธอไว้แนบชิดอย่างนี้ แต่ยังทำเป็นปากร้ายว่าให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่
“เซญอร์ก็รู้ว่าดิฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น แล้วทำไมถึงชอบพูดว่าดิฉันอยากเกงานอยู่เรื่อย!” มนตร์ลดาพูดพร้อมกับหันไปข้างหลังเล็กน้อย แล้วต้องรีบหันกลับมาเมื่อหน้าผากของตัวเองชนเข้ากับริมฝีปากบางเฉียบของคนที่โอบอยู่ด้านหลังอย่างจัง!
อเตต้าร์เผลอยิ้มออกมาอย่างพอใจ กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของเธอทำให้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก “งั้นก็คงอยากตกลงไป เผื่อว่าแข้งขาหักฟกช้ำดำเขียวคุณหมอปาโต้จะได้มาดูอาการ งั้นสิ?”
“ดิฉันจะไม่พูดกับคนที่มีอคติกับทุกการกระทำของดิฉันหรอกค่ะ เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น บางทีเราพูดกับก้อนหินที่มันไม่มีชีวิตจิตใจมันยังรู้จักกลิ้งตัวไปมาตอบรับคำพูดของเรา แต่กับคนบางคนเปล่าประโยชน์!” มนตร์ลดาตั้งใจว่าเขาด้วยการเปรียบเปรยอันเจ็บแสบไม่น้อย
“ใครจะไปรู้ เห็นอาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน... แล้วก็ไม่ต้องมาใช้สำบัดสำนวนสวยหรูกับผมหรอก ผมมันเถื่อนอย่างที่คุณชอบใช้สายตาประณามมอง ไม่รู้เรื่องที่คุณด่าว่ามาหรอก ถ้าจะด่าก็พูดมาตรงๆเลย อย่างที่ด่าวันนั้นน่ะเข้าใจ เป๊ะ!!” คนที่เรียกตัวเองว่าคนเถื่อนเข้าใจทุกความหมายที่เธอพูดเป็นอย่างดีเชียวล่ะ แต่ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ชอบใจที่เห็นเธอโกรธนัก อย่างตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมกอดของตัวเองเริ่มนั่งไม่อยู่นิ่งมากขึ้นแล้ว “นั่งดีๆ ปล่อยตัวให้เป็นธรรมชาติได้ไหม เดี๋ยวดิ้นยุกยิก เดี๋ยวตัวแข็งทื่อแบบนี้ มีหวังได้ตกลงไปนอนแอ้งแม้งข้างล่างหรอก”
มนตร์ลดาหลับตาแน่นนับหนึ่งถึงสิบในใจ แต่นับไปนับมาหญิงสาวพบว่ามันใกล้จะถึงร้อยอยู่รอมร่อและดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เจ้านายปากจัดที่นั่งชิดอยู่ข้างหลังนี่ก็เงียบไปพักใหญ่เหมือนกัน
อเตต้าร์ยิ้มพรายก้มลงมองเสี้ยวใบหน้างดงามด้านข้าง เธอคงอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเสียนานจนไม่รู้ตัวว่ากำลังเอนตัวพิงหน้าอกเขามาสักพักแล้ว และมันเป็นโอกาสให้ชายหนุ่มได้กระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้นอีก
“อะ...เอ่อ อย่ารัดแน่นนักสิคะ ดิฉันหายใจไม่ออก!” ครู่ใหญ่จึงรู้สึกตัวว่าเอนตัวพิงกำแพงเลือดเนื้อที่อยู่ด้านหลังเต็มๆ จึงเอ่ยประท้วงออกมาราวกับกลบเกลื่อนความเขินอาย
“เงียบ! นั่งนิ่งๆ เจ้าอะเมซอนมันยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย กำลังติดสัด!”
มนตร์ลดาหันขวับขึ้นไปสบตากับคนที่ออกคำสั่งทันที! แล้วก็ได้เห็นสีหน้ากวนประสาทที่ทำให้โมโหได้ทุกครั้งไปเช่นเดิม
“จริงจริ๊ง... ที่สำคัญผมยังหาเมียให้มันไม่ได้เลย” อเตต้าร์ทำเสียงสูงย้ำคำพูดของตัวเอง
“แล้วมาบอกดิฉันทำไม!? ไม่ได้อยากรู้ซักนิด”
“ก็พอใจพูดอ่ะ ไม่อยากได้ยินก็ไม่ต้องฟังสิ!”
มนตร์ลดาถอนใจออกมาหนัก บ่นเสียงเบาๆกับตัวเองคนเดียว “รู้อย่างนี้ไปส่งคุณหมอปาโต้กับไมนาสยังจะดีซะกว่า”
แต่ประสาทการรับฟังของผู้ชายอย่างอเตต้าร์ดีเยี่ยมอย่างที่หญิงสาวคาดไม่ถึงเพราะเขาได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ “หมอปาโต้เป็นแฟนเก่าล่ะสิ ผมเห็นเวลาไอ้หมอนั่นมองคุณน่ะ แทบจะกลืนคุณเข้าไปทั้งตัว!”
“ใจอคติแล้วความคิดยังอกุศล!”
อเตต้าร์เบ้ปากยักไหล่ไม่สนใจกับคำต่อว่าแบบที่ต้องปีนบันไดขึ้นไปฟังแล้วถึงจะเข้าใจว่าตัวเองถูกด่า! “ก็มันจริง ผมมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนั่นมันคิดจะเคลมคุณ!”
มนตร์ลดากำมือแน่นอยากจะชัดหมัดหนักๆเข้าที่ใบหน้าแสนกวนของผู้ชายคนนี้เหลือเกิน แต่บอกกับตัวเองว่าอดทนไว้คฤหาสน์โอลีเวย์ร่าอยู่ตรงหน้านี้แล้ว อีกไม่นานก็จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้แล้ว อดทน!!
“เงียบแบบนี้แสดงว่ารู้ตัวใช่ไหมว่าไอ้หมอนั่นมันมีจิตพิศวาสคุณ” อเตต้าร์ต้องหยุดพูดเพราะเจ้าอะเมซอนค่อยๆชะลอฝีเท้าแล้วหยุดที่ด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่
ชายหนุ่มพาตัวเองลงมาจากหลังม้าตัวใหญ่อย่างคล่องแคล่ว สองมือใหญ่จับเข้าที่เอวคอดของแม่คิตตี้ที่นั่งหน้าบึ้งสุดๆ ออกแรงยกร่างอ้อนแอ้นของเธอลงมาวางบนพื้นด้วยพละกำลังอันเหลือเชื่อ! แต่ชายหนุ่มกลับโมโหขึ้นมาตะหงิดๆ เมื่อเธอไม่ตอบปฏิเสธหรือโต้แย้งคำพูดใดเกี่ยวกับหมอปาโต้เลยสักนิด พอเท้าถึงพื้นเธอก็เอ่ยคำขอบคุณเบาๆและกำลังจะเดินจากไปทันที
“เดี๋ยวสิ! ที่ไม่ปฏิเสธเนี่ยแปลว่าผมพูดถูกใช่ไหม แล้วไอ้หมอถ่านไฟเก่าของคุณน่ะ มันรู้ไหมว่าคุณไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่สาวน้อยแสนบริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ตุ๊บ!!
เสียงกำปั้นเล็กๆประเคนเข้าที่เบ้าตาของคนปากเสียตรงหน้า เพราะไม่สามารถจะทนฟังคำพูดดูถูกตัวเองต่อไปได้อีกแล้ว
“โอ๊ย!! ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ยมนตร์ลดา?!” อเตต้าร์ใช้มือลูบคลำที่เบ้าตาของตัวเองทันที จริงอยู่ว่ามือนุ่มๆเล็กๆของเธอมันไม่ได้สะท้านสะเทือนกายแกร่งของเขาเท่าไหร่นักหรอก แต่มันเสียฟอร์ม! เสียการปกครอง! ไม่รู้ว่ามีใครมาเห็นอีกรึเปล่า แล้วมันเรื่องอะไรแม่คิตตี้นี่ถึงได้บังอาจมาต่อยเบ้าตากลางที่รโหฐานแบบนี้!! “มาต่อยผมทำไม?”
มนตร์ลดาขยุ้มเล็บตัวเองเข้าที่หลังมือหนาของอเตต้าร์ที่บีบต้นแขนเธอเสียจนเจ็บร้าวไปหมด “ต่อยให้เซญอร์อเตต้าร์ตาสว่างขึ้น มองคนอื่นในทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญจะได้เลิกพูดจาดูถูกดิฉันซักที”
“พูดความจริงทั้งนั้นก็หาว่าดูถูก ดูถูกตรงไหน? ดูถูกยังไง? ที่ถามก็เพราะมันเป็นความจริง กลัวว่าไอ้หมอนั่นรู้ความจริงแล้วมันจะเขี่ยคุณทิ้ง ผมไม่อยากเห็นใครมาอกหักแถวนี้หรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณในความหวังดีนะคะ แต่ไม่ต้องมาห่วงดิฉันหรอกค่ะ นี่มันปีสองพันสิบสามแล้วไม่มีผู้ชายหน้าไหนมาถามหาเลือดพรหมจรรย์ตอนขึ้นเตียงกันหรอก แต่ถ้าจะมีคนถามถึง... ดิฉันก็จะตอบไปว่าทำทานให้หมาขี้เรื้อนตัวนึงไปแล้ว!!” มนตร์ลดาโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อนเช่นกัน
อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่น หน้าตาบึ้งจัดราวกับว่าจะถล่มโลกทั้งใบให้ราบเป็นหน้ากอง ความโกรธทำให้เพิ่มแรงที่บีบต้นแขนบางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว “หึ!... งั้นก็อย่าลืมเตือนตัวเองเอาไว้ให้ดีล่ะว่าหมาขี้เรื้อน หมาหวงก้าง หมาจนตรอกน่ะมันดุใช่เล่น ถ้าใครอยากได้กระดูกที่มันยังคาบอยู่ในปากล่ะก็คงได้ตายกันไปข้างนึง ใครอยากรู้ว่าจะตายยังไงก็มาลองดู”
“อย่ามาพูดเหมือนกับว่าดิฉันยังเป็นกระดูกที่อยู่ในปากหมาตัวนั้น เราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย ดิฉันจะขึ้นเขาลงห้วย ตกนรกขึ้นสวรรค์ ผู้ชายหน้าไหนจะรักจะทิ้งมันก็-เป็น-เรื่อง-ส่วน-ตัว” พูดจบมนตร์ลดาก็รวบรวมแรงที่มีทั้งหมดสะบัดแขนออกจากมือหนา รีบเดินขึ้นบันไดกลับเข้าคฤหาสน์ทันที ปล่อยให้อเตต้าร์ยืนหน้าบึ้ง โกรธจัดอยู่ที่เดิม
ไม่ผิดหรอกที่เธอจะไปขึ้นเขาลงห้วย ตกนรกขึ้นสวรรค์ แต่ที่มันเกี่ยวกับเขาก็ตรงที่ว่าเธอพูดได้เห็นภาพชะมัดและภาพที่ว่าทำไมมันถึงได้เป็นไอ้หมาขี้เรื้อนตัวนี้เท่านั้นที่จะพาเธอไปในทำอย่างนั้นได้ แล้วพูดออกมาได้ยังไงว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน!? ยัยสมองปลาทองเอ๊ย!... ลืมเรื่องสำคัญอย่างนั้นไปได้ยังไง ขนาดเขาเป็นผู้ชายผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนยังจำทุกความรู้สึก จำภาพของเธอได้ทุกวินาทีเลย
เฮอะ!! ให้มันได้อย่างนี้สิอาร์ตี้ ไอ้หน้าโง่เอ๊ย... ยอมรับเลยว่าวันนี้เธอทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไปเกือบหมดตัวแล้ว!
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านหน้าคฤหาสน์โอลีเวย์ร่า ตั้งแต่อเตต้าร์ควบเจ้าอะเมซอนเข้ามาจนกระทั่งกลับออกไปอีกครั้งอยู่ในสายตาของการันก้ามาตลอด ซึ่งบังเอิญมองสวนด้านหน้าจากห้องนั่งเล่นบนคฤหาสน์ หากแต่สายตาของผู้สูงวัยกลับไปพบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“กานโช่ แกไปทำงานของแกเถอะ เดี๋ยวสักพักแม่หนูมิ้นต์ก็คงมาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้ว อ้อ... แล้วอย่าเพิ่งพูดเรื่องที่เห็นเมื่อครู่ให้ใครฟังนะ” การันก้าสั่ง พร้อมกับมองดูพ่อบ้านที่รับใช้ตนมายาวนานรับคำอย่างหนักแน่นแล้วเดินออกไปจากห้อง
ไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมาการันก้าก็เห็นพยาบาลสาวเดินเข้ามาพร้อมของว่างยามสาย เธอคงยังทำตัวร่าเริง พูดจาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเหมือนเคย แต่คุณปู่การันก้า ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ครั้นว่าจะเอ่ยปากถามถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ดูจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากไป จึงได้แต่เรียบเคียงถามว่าหากอยู่ที่นี่มีเรื่องอึดอัดใจ หรือปัญหาน้อยใหญ่ก็ให้เอ่ยปากออกมาได้ ไม่ต้องเกรงใจ
มนตร์ลดาได้แต่ส่ายหน้ากับประโยคคำถามนั้น ยิ้มตอบรับในความเมตตาที่ผู้สูงวัยมอบให้ ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังไม่ก้าวล่วงเข้ามาในเส้นที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้ เธอก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจจะทำงานที่นี่นัก ความจริงอีกข้อที่ต้องยอมรับก็คือค่าตอบแทนที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้นมันสามารถทำให้ส่งเงินให้มารดาที่อยู่ในรีโอเดอจาเนโร ส่งไปให้คุณป้าราตรีได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ใช่ว่าท่านทั้งสองจะเรียกร้องหรือดูแลตัวเองไม่ได้แต่อย่างใด แต่ความตั้งใจของมนตร์ลดานั้นอยากให้ท่านได้พักผ่อน หลังจากที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูเธอมาหลายปีเมื่อตัวเองเรียนจบ มีงานการทำแล้วก็อยากจะเป็นตอบแทนพระคุณของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองบ้าง
ผิดกับคุณปู่การันก้าที่ทนเก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหว เมื่อถึงเวลาพักผ่อนตอนบ่ายของวันต้องต่อสายโทรศัพท์หาหลานชายตัวปัญหา แต่ก็ไม่ได้คุยกันสักคำเพราะเลขานุการของอเตต้าร์บอกว่า เจ้านายยังไม่ได้เข้าออฟฟิศตั้งแต่เช้าแล้ว คุณปู่การันก้า จึงไม่ได้ทราบเรื่องราวที่ยังข้องใจแต่อย่างใด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ