นางบำเรอเลื่อนขั้น
10.0
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.28 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
12.17K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) นางบำเรอเลื่อนขั้น ตอนที่ 6 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...ไม่กี่นาทีหลังจากที่เสียงประตูปิดลงอย่างแรง อัครรัฐก็สามารถชันตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมสะบัดศีรษะแรงๆ ขับไล่อาการมึนงงให้หายไป มือแข็งแรงกำแน่นทุบลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างเจ็บใจ คนอย่างเขาไม่เคยเผลอเรอพลาดท่าเสียทีให้ผู้หญิงหน้าไหนมาลูบคมได้ถึงเพียงนี้ แทบเท้ายังมีโคมไฟราคาแพงซึ่งยับเยินไม่เหลือชิ้นดีทิ้งขวางหูขวางตา เตือนให้เจ็บใจมากขึ้นไปอีกว่าพนักงานตำแหน่งเล็กๆใช้มันเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายเขา เธอทำราวกับว่าเขาคือไอ้แก่ตัณหากลับ ไอ้งั่งโรคจิตที่หน้ามืดคิดเคลมผู้หญิงได้ตลอดเวลา สุดท้ายเธอยังตะโกนปาวๆว่าเขาไม่มีวันสมหวัง!
“ก็ให้มันรู้กันไป! ถ้าภายในหนึ่งอาทิตย์ฉันไม่มีเธอบนเตียงล่ะก็... อย่ามาเรียกฉันว่าอัครรัฐเลย!!” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเต็มความสูงเดินไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนพลางเดินไปหยุดอยู่ตรงกระจกใสริมระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวเบื้องสูงของกรุงเทพมหานครได้อย่างแจ่มชัด
ทันทีที่ปลายสายตอบรับ เสียงห้าวก็ดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “ฉันต้องการประวัติส่วนตัวของพนักงานที่ชื่อชยาภา ด่วนที่สุด” จบคำพูดอัครรัฐก็กดตัดสายทันที สายตาคมกริบมองออกไปอย่างไร้จุดหมายยากที่คนทั่วไปจะคาดเดาอารมณ์ของเขาได้ แต่ชายหนุ่มก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์เครื่องบางในมือก็กรีดร้องขึ้นอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดเป็นเส้นตรงเมื่อเบอร์ที่โชว์ขึ้นมาในหน้าจอนั้นเป็นเบอร์โทรที่เขาไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
“ว่าไงคะร็อก... คุณลืมนัดของเราแล้วรึเปล่า?”
อัครรัฐไม่ทันได้เอ่ยว่าเช่นไร ปลายสายที่ติดต่อเข้ามาก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่สนิทชิดเชื้อนัก และน้ำเสียงของเธอก็ทำให้เขารู้ได้ในทันที รสรินคือผู้หญิงจากตระกูลดีมีฐานะที่พ่อของเขาเป็นคนแนะนำให้ได้รู้จักบนโต๊ะอาหาร หากเพียงครั้งเดียวที่ได้รับประทานอาหารร่วมกัน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา... อัครรัฐก็สามารถพาเธอขึ้นเตียงหาความสุขตามประสาหนุ่มสาวได้อย่างง่ายดาย “อืม...”
รสรินหัวเราะอย่างยั่วเย้าเพราะได้ยินเพียงเสียงครางรับเท่านั้น เขาคงแปลกใจว่าเธอไปได้เบอร์โทรศัพท์ที่เป็นส่วนตัวเช่นนี้มาได้เช่นไร “คงแปลกใช่ไหมคะว่าโรสได้เบอร์ส่วนตัวของคุณมายังไง”
“เปล่าครับ ผมพอจะรู้ว่าคงจะเป็นทนายสมชาย”
“เก่งจังนะคะ... คุณคาดการณ์ทุกอย่างได้อย่างแม่นยำอย่างนี้ โรสหวังว่าคงไม่ลืมนัดของเรานะคะ” รสรินพูดจาด้วยน้ำเสียงยั่วยวนทุกคำ พูดได้อย่างเต็มปากว่าหลงเสน่ห์ของอัครรัฐเข้าเต็มเปา
“ไม่ลืมครับถ้าเรานัดกันจริงๆ ผมกำลังนึกอยู่ว่าเรานัดกันตอนไหน?”
คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำเอาเซเลบสาวคอแข็ง หากแต่ไม่อยากถือสาจึงเสแสร้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง “แหม... อย่าบอกนะคะว่าลืมโรสไปหมดแล้ว คุณจำไม่ได้จริงๆน่ะเหรอคะ คุณพูดเองว่า จะเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
“อ่อ...” อัครรัฐเลิกคิ้ว เขาจำได้ดีเชียวล่ะในช่วงที่รสรินกลายร่างเป็นแม่สาวเร่าร้อน ปรนเปรอร่างกายของเขาด้วยปากและลิ้นอย่างเชี่ยวชาญ และเขาก็ครางออกมาอย่างพึงใจเมื่อความเสียวซ่านเล่นงานเมื่อคว้าจุดสูงสุดของการปลดปล่อยอารมณ์ได้ เธอมีทุกสิ่งอย่างพร้อมและขอให้เขาเป็นเจ้ามีเลี้ยงอาหารสักมื้อเท่านั้นเอง “จริงสินะ ผมรับปากไปแล้วนี่”
รสรินกัดริมฝีปากล่างของตนเองด้วยความหมั่นไส้ เขามันผู้ชายโอหังที่สักวันต้องถูกเธอปราบจนสิ้นลาย เสียงหัวเราะในลำคอหนาที่ลอดผ่านออกมาทางสายโทรศัพท์ทำให้เธอนึกสนุกขึ้นมาในทันที “หรือว่าอยากจะให้ฉันขึ้นไปทบทวนความจำอีกสักครั้ง แล้วค่อยออกไปหาอะไรทานกัน”
“ฮึ... เกรงว่าจะไม่ทันแล้วล่ะเซ็กซี่ ผมอยู่ในลิฟต์แล้ว ขอสั่งงานนิดหน่อยแล้วไปกัน” อัครรัฐโกหกคำโต
“อย่าให้ฉันรอนานนะคะร็อก ไม่งั้นเราคงได้สั่งอาหารมาทานในเพนท์เฮาส์ของคุณเหมือนเมื่อคืน”
อัครรัฐไม่ตอบว่าอย่างไร ได้แต่ลดโทรศัพท์ลงเมื่อรสรินส่งจุมพิตมาตามสาย ชายหนุ่มสะบัดศีรษะพร้อมเดินเข้าสู่ห้องน้ำ อาบน้ำชำระร่างกายให้เร็วกว่าปกติ เห็นทีจะต้องเปิดอกคุยกับรสรินให้ชัดเจนเพราะเธอเริ่มจะรุกหนักเกินกว่าที่คาดคิดนัก
ราวสิบนาทีต่อมา... อัครรัฐเดินออกมาจากห้องด้วยเสื้อยืดคอโปโลยี่ห้อดังพร้อมกับกางเกงยีนส์สีดำสนิท เสยผมตั้งราวกับไม่ได้ใส่ใจนักแต่ส่งผลให้เขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างยิ่ง ขาแกร่งยาวก้าวเดินอย่างมั่นคง เหลือบสายตาเห็นแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวใหญ่พลางยิ้มออกมาอย่างพอใจ เมื่อมันคือประวัติโดยละเอียดของผู้หญิงอวดดีที่กล้าปฏิเสธตำแหน่งที่เขาไม่เคยคิดจะหยิบยื่นให้ผู้หญิงหน้าไหน สายตาคมกริบไล่เลียงทุกตัวอักษรราวกับอ่านสัญญาธุรกิจหมื่นล้าน เพียงไม่กี่อึดใจต่อมามือเรียวยาวก็โยนแฟ้มลงบนโต๊ะเตี้ยๆเช่นเดิม รอยยิ้มพรายปรากฏบนใบหน้าคร้ามคมซึ่งเดินออกจากเพนท์เฮาส์สุดหรูพร้อมทั้งต่อสายโทรศัพท์ถึงนักสืบเอกชนมือฉมังที่เรียกใช้งานอยู่บ่อยครั้ง เขาต้องการรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับชยาภามากที่สุดและทุกอย่างต้องถึงมือของเขาภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง
แน่นอนว่ามันไม่ใช่งานที่ง่ายดายนัก สำหรับอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจนักสืบเอกชนให้กับอัครรัฐมาตั้งแต่ชายหนุ่มก้าวเข้ารับตำแหน่งแทนผู้เป็นพ่อ นักสืบผู้นี้คือกลไกสำคัญในการผลักดันให้อัครรัฐพิชิตใจคู่ค้าที่ยากจะเจรจามานักต่อนัก ในทางตรงกันข้ามอัครรัฐก็สามารถก้าวเร็วกว่าคู่ต่อแข่งทางธุรกิจอยู่เสมอ ความลับก็คือนักสืบมือฉมังผู้นี้สามารถหาข้อมูลเชิงลึกมาได้ประกอบกับมันสมองอันฉลาดแยบยล หากครั้งนี้อัครรัฐต้องการเพียงแค่อยากรู้ประวัติโดยละเอียดของพนักงานระดับล่างคนหนึ่งเท่านั้น และยังเสนอเงินจำนวนมากโขที่ทำให้นักสืบไม่สามารถปฏิเสธหรือเกี่ยงงอนได้เลย!
เสียงเคาะกระทะที่ดังลอดออกมาจากบ้านเช่าหลังเล็กทำให้กันตาภาเหลือบมองเวลาที่ข้อมือของตัวเองอย่างแปลกใจ แต่ก็มั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินนี้เกิดจากผู้เป็นพี่สาวซึ่งคงจะกำลังทำอาหารเย็นแต่ก็แปลกใจยิ่งนักว่าเหตุใดวันนี้พี่สาวของตนจึงเลิกงานไวกว่าปกตินัก ทั้งที่เพิ่งเป็นเวลาห้าโมงครึ่งเท่านั้น
ชยาภาหันกลับไปยิ้มให้น้องสาวที่เดินทำหน้างงเข้ามาหาในครัวด้วยสีหน้าเบิกบาน “กลับมาแล้วเหรอ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป รอข้าวสุกสักยี่สิบนาทีน่าจะลงมือทานได้แล้ว”
“ทำไมวันนี้พี่เลิกงานเร็วกว่าทุกวัน?” กันตาภาถามพลางกวาดสายตามองร่างอ้อนแอ้นของพี่สาวที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาเป็นชุดลำลอง นั่นก็แสดงว่ากลับมาก่อนหน้านี้มากกว่าหนึ่งชั่วโมง
“พี่... ลาออกจากงานแล้ว” ชยาภาตอบโดยไม่หันมาสบสายตาน้องสาว สองมือเรียวกำลังหั่นผักเพื่อประกอบอาหารเย็น
“อะไรนะ?!” กันตาภาถามเสียงสูงอย่างตกใจ ก้าวเดินมานั่งลงบนโต๊ะพับทรงกลม ซึ่งใช้ทั้งเตรียมอาหารและรับประทานอาหารในคราวเดียวกัน
“ทำไมต้องทำหน้าตาตื่นอย่างนั้นด้วย ทำอย่างกับว่าพี่ไม่เคยลาออกจากงาน” ชยาภาบอก
“มันก็ใช่... แต่มันกระทันหันเกินไป ก็เห็นว่าพี่มีความสุขกับการทำงานที่นี่เหลือเกิน เงินดี สวัสดิการณ์เยี่ยม แล้วทำไมถึงลาออกง่ายๆอย่างนี้” กันตาภาถามอย่างสงสัย เรื่องที่มีความเห็นไม่ตรงกันเล็กน้อยนั่นก็เลือนหายไปในทันที
“พี่ได้งานใหม่แล้ว คะ...คือความจริงก็แอบสมัครไว้นานแล้วแต่เขาเพิ่งเรียกตัวแล้วก็รับพี่เข้าทำงานทันที พี่ก็เลยต้องลาออกจากโรงแรม” ชยาภาโกหกคำโตโดยที่ไม่ยอมสบสายตาน้องสาว
“ไม่อยากจะเชื่อ พี่ไม่เคยมีความลับกับเราสองคนนี่นา... เรื่องนี้ส้มโอไม่เคยรู้มาก่อนและก็คิดว่าองุ่นคงไม่รู้ด้วยเหมือนกัน” กันตาภาเอ่ยถึงนีราภาหรือองุ่นที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาพร้อมๆกันกับตนเอง หากแต่ขออยู่ที่เชียงใหม่ต่อสักพักในระหว่างที่รอบริษัทเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์งาน นีราภาก็ทำงานรอไปพลางๆเช่นกัน ทั้งคู่จะพุดคุยกันผ่านโปรแกรมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กทุกวัน หากไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาสักครั้ง “พี่กำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่รึเปล่า?”
ชยาภาเงยหน้าพร้อมกระพริบตาถี่บอกกับตัวเองว่าหากยังทำน้ำเสียงอึกอักเช่นนี้ เด็กแสบตรงหน้าคงจับพิรุธได้เป็นแน่ จึงจ้องใบหน้าน้องสาวพร้อมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “เปล่า... พี่จะมีอะไรปิดบังเราสองคนล่ะ พี่ก็แค่ได้งานใหม่แล้วมันก็เป็นสายงานซึ่งตรงกับที่เรียนมา ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้ไม่มากเท่าที่เดิมแต่มันก็มั่นคงกว่า เราน่ะรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว มัวแต่มาซักไซร้พี่อยู่นี่ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจซะหรอก”
“อ่ะๆ ไม่เซ้าซี้แล้วก็ได้ ว่าแต่พี่อนุญาตให้ส้มโอไปทำงานวันหยุดนี้แล้วใช่ไหม?”
ชยาภาส่ายหน้าระอาใจกับน้องสาวนัก แต่ใจหนึ่งก็สดชื่นที่ได้เห็นแววตาสุกใสนั้นมองมาอย่างมีความหวัง “รีบไปอาบน้ำแล้วค่อยออกมาคุยกัน พี่มีเรื่องต้องตกลงกับเรา”
“โหย... ทานข้าวก่อนไม่ได้เหรอแล้วค่อยอาบน้ำก่อนเช้านอนทีเดียวเลย ประหยัดด้วย” กันตาภาตีขลุมเอาเอง ถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมดึงเอาตระกล้าผักสดจากมือพี่สาวมาหั่นด้วยความดีใจ “พี่พูดมาได้เลย อยากให้ทำอะไรบ้าง”
“พี่อนุญาตให้ไปทำงานที่เราขอ แต่... ต้องระวังตัวเองให้ดี พี่จะให้พี่โต้งคอยดูเราอยู่ตลอดเวลา ห้ามปิดโทรศัพท์ แล้วที่สำคัญเลิกงานแล้วให้กลับมานอนที่บ้าน ห้ามไปค้างบ้านเพื่อนเด็ดขาด รับปากได้ไหม?” ชยาภาถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ไม่มีปัญหาสักข้อเลยเจ้าค่ะ รับทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พี่จะไปดูด้วยก็ได้นะ” เมื่อสมดังตั้งใจ สาวน้อยก็เอ่ยปากชวนพี่สาวเสียเอง หากแต่พี่สาวกลับส่ายหน้าความจริงแล้วเธอต้องการเดินสายสมัครงานให้ได้เร็วที่สุดต่างหาก และวางแผนเอาไว้ในใจแล้วว่าวันหยุดนี้ก็ขอหาข้อมูลจากหน้าหนังสือพิมพ์หรืออาจจะออกไปร้านอินเทอร์เน็ตหน้าปากซอยเพื่อค้นหาแหล่งงานดีๆสักแห่ง
“เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนก็แล้วกัน ไม่ได้อยู่ว่างๆมานาน พี่อยากอยู่บ้าน ทำความสะอาดโน่นนี่ตามประสาบ้าง” ชยาภาอย่างเลื่อนลอยจนน้องสาวผิดสังเกต
“แปลกจัง... ปกติพี่ไม่เคยพูดว่าจะอยู่เฉยๆ พี่เป็นสาวขยันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วทำไมจู่ๆอยากอยู่เฉยๆ ไม่สบายรึเปล่า?” กันตาภารีบเช็ดมือตัวเองกับกระโปรงสีดำแล้วอังหลังมือเข้ากับหน้าผากของพี่สาว “ตัวก็ไม่ร้อน แปลกมาก...”
“หรือเราอยากให้พี่เป็นวัวบ้า ตั้งหน้าตั้งตาพุ่งเข้าชนงานท่าเดียว” ชยาภาผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือตะกร้าผักบุ้งสดเดินมาหยุดตรงหน้าเตาแก๊สพลางลอบถอนหายใจเพราะกลัวน้องสาวจับพิรุธได้
“ไม่ใช่อย่างนั้น... ใครจะอยากเห็นพี่เหนื่อยล่ะ ดีแล้วล่ะที่พี่คิดอยากพักผ่อนบ้าง แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราสองคนนะ เราดูแลตัวเองได้” พูดจบกันตาภาก็ฮัมเพลงอย่างสบายใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าพี่สาวของตัวเองนั้นกำลังทุกข์ใจอย่างหนัก แต่ไม่กล้าที่จะระบายให้ใครได้ฟัง
อาหารมื้อค่ำจบลงในอีกชั่วโมงถัดมา โดยที่สองพี่น้องมีความรู้สึกแตกต่างกันสุดขั้ว กันตาภาร่างเริงแจ่มใส พอใจเมื่อพี่สาวเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน ถึงแม้ว่าจะมีกฏระเบียบเยอะแยะไปบ้างแต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าพี่สาวนั้นเป็นห่วงไม่อยากให้ตกอยู่ในอันตราย ส่วนชยาภานั้นฝืนยิ้ม ฝืนพูดคุยกับน้องสาวให้เป็นปกติที่สุด ในขณะที่ภายในใจนั้นยังไม่มีทางออกให้กับตัวเอง ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกวันนั้นคงเพียงพอกับเงินออมที่อยู่อย่างน้อยนิด มันคงทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างประหยัดได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
สองวันต่อมา... ชยาภาออกมารอน้องสาวที่เตรียมออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พลางนั่งคิดทบทวนถึงปัญหาของตัวเอง ตลอดสองวันที่ผ่านมาหญิงสาวตะลอนๆเข้าสมัครงานทั้งบริษัทน้อยใหญ่ บางแห่งถูกปฏิเสธอย่างไม่สนใจไยดี บางแห่งรับเพียงแค่ใบสมัครไว้พิจารณาเท่านั้น คิดมาถึงตรงนี้ชยาภาก็มืดแปดด้าน ปวดศีรษะขึ้นมาในทันทีจึงใช้นิ้วคลึงขมับทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัวว่าน้องสาวเดินออกมาพบภาพนั้นเข้าพอดี
“พี่เป็นอะไร ปวดหัวเหรอคะ เอายาหม่องไหม?”
ชยาภาเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวที่ทำหน้าตื่นอยู่ตรงหน้า “ไม่ๆ พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่มึนๆเท่านั้นเอง เราน่ะรีบไปเถอะ เดี๋ยวสายกว่านี้รถจะติด”
กันตาภาเดินออกมานอกบ้านตามแรงดันที่แผ่นหลังพลางเอี้ยวใบหน้ากลับไปย้ำถามให้มั่นใจ “พี่ไม่เป็นไรแน่นะ ให้พี่โต้งมาอยู่เป็นเพื่อนไหม รับรองว่าส้มโอจะระวังตัว กลับบ้านให้ตรงเวลา โทรรายงานพี่ทุกครั้งที่ว่าง”
“พี่ไม่เป็นไรจริงๆ รีบไปเถอะ ระวังตัวนะ อยู่ให้ไกลๆพวกอาเสี่ยชีกอ” ชยาภากำชับน้องสาวอีกครั้งหนึ่งพลางชะเง้อมองร่างระหงที่เดินห่างออกไปจนลับตา จึงหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งหนึ่ง จัดการทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อยก่อนที่จะอาบน้ำชำระร่างกายแล้วต่อสายโทรศัพท์หารวิ
ตุ๊ด... ตุ๊ด... ตุ๊ด...
“สวัสดีค่ะพี่โต้ง ส้มโอออกจากบ้านได้ประมาณชั่วโมงครึ่งแล้วนะคะ พี่โต้งตื่นรึยัง?” ชยาภากรอกเสียงลงไปทันทีที่ได้ยินปลายสายเอ่ยทักทาย
“พี่กำลังแต่งตัวจ๊ะ อีกห้านาทีก็จะออกจากห้องแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้พี่คงได้เฝ้าส้มโอทั้งวันโดยไม่คลาดสายตาแน่ อีกอย่างพี่มีงานสำคัญทำที่บูธนั้นพอดี” รวิบอกพลางยิ้มพราย
“งานอะไรคะ เฝ้าขาอ่อนสาวๆน่ะเหรอคะ เห็นทีคงต้องเชื่อคำร่ำลือที่เขาพูดกันที่โรงแรมแล้ว” ชยาภาพูดทีเล่นทีจริง
“โธ่!... ทำไมคิดอกุศลกับพี่อย่างนั้นล่ะ ถึงพี่จะเคยใช้ชีวิตมาอย่างเต็มที่แต่เมื่อเจอชมพู่ สัญญาใจกันแล้วก็ไม่มีวันกลับไปทำตัวอย่างที่ผ่านมาแน่ เชื่อใจพี่นะ รับรองว่าพี่จะพาส้มโอกลับมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยจ้ะ”
“ค่ะ ชมพู่ก็แค่พูดเล่นเท่านั้น ไม่กวนแล้วนะคะ ฝากน้องด้วย” ชยาภาเอ่ยลาคนรักอย่างไว้ใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดภยันตรายใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
“ก็ให้มันรู้กันไป! ถ้าภายในหนึ่งอาทิตย์ฉันไม่มีเธอบนเตียงล่ะก็... อย่ามาเรียกฉันว่าอัครรัฐเลย!!” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเต็มความสูงเดินไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนพลางเดินไปหยุดอยู่ตรงกระจกใสริมระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวเบื้องสูงของกรุงเทพมหานครได้อย่างแจ่มชัด
ทันทีที่ปลายสายตอบรับ เสียงห้าวก็ดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “ฉันต้องการประวัติส่วนตัวของพนักงานที่ชื่อชยาภา ด่วนที่สุด” จบคำพูดอัครรัฐก็กดตัดสายทันที สายตาคมกริบมองออกไปอย่างไร้จุดหมายยากที่คนทั่วไปจะคาดเดาอารมณ์ของเขาได้ แต่ชายหนุ่มก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์เครื่องบางในมือก็กรีดร้องขึ้นอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดเป็นเส้นตรงเมื่อเบอร์ที่โชว์ขึ้นมาในหน้าจอนั้นเป็นเบอร์โทรที่เขาไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
“ว่าไงคะร็อก... คุณลืมนัดของเราแล้วรึเปล่า?”
อัครรัฐไม่ทันได้เอ่ยว่าเช่นไร ปลายสายที่ติดต่อเข้ามาก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่สนิทชิดเชื้อนัก และน้ำเสียงของเธอก็ทำให้เขารู้ได้ในทันที รสรินคือผู้หญิงจากตระกูลดีมีฐานะที่พ่อของเขาเป็นคนแนะนำให้ได้รู้จักบนโต๊ะอาหาร หากเพียงครั้งเดียวที่ได้รับประทานอาหารร่วมกัน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา... อัครรัฐก็สามารถพาเธอขึ้นเตียงหาความสุขตามประสาหนุ่มสาวได้อย่างง่ายดาย “อืม...”
รสรินหัวเราะอย่างยั่วเย้าเพราะได้ยินเพียงเสียงครางรับเท่านั้น เขาคงแปลกใจว่าเธอไปได้เบอร์โทรศัพท์ที่เป็นส่วนตัวเช่นนี้มาได้เช่นไร “คงแปลกใช่ไหมคะว่าโรสได้เบอร์ส่วนตัวของคุณมายังไง”
“เปล่าครับ ผมพอจะรู้ว่าคงจะเป็นทนายสมชาย”
“เก่งจังนะคะ... คุณคาดการณ์ทุกอย่างได้อย่างแม่นยำอย่างนี้ โรสหวังว่าคงไม่ลืมนัดของเรานะคะ” รสรินพูดจาด้วยน้ำเสียงยั่วยวนทุกคำ พูดได้อย่างเต็มปากว่าหลงเสน่ห์ของอัครรัฐเข้าเต็มเปา
“ไม่ลืมครับถ้าเรานัดกันจริงๆ ผมกำลังนึกอยู่ว่าเรานัดกันตอนไหน?”
คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำเอาเซเลบสาวคอแข็ง หากแต่ไม่อยากถือสาจึงเสแสร้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง “แหม... อย่าบอกนะคะว่าลืมโรสไปหมดแล้ว คุณจำไม่ได้จริงๆน่ะเหรอคะ คุณพูดเองว่า จะเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
“อ่อ...” อัครรัฐเลิกคิ้ว เขาจำได้ดีเชียวล่ะในช่วงที่รสรินกลายร่างเป็นแม่สาวเร่าร้อน ปรนเปรอร่างกายของเขาด้วยปากและลิ้นอย่างเชี่ยวชาญ และเขาก็ครางออกมาอย่างพึงใจเมื่อความเสียวซ่านเล่นงานเมื่อคว้าจุดสูงสุดของการปลดปล่อยอารมณ์ได้ เธอมีทุกสิ่งอย่างพร้อมและขอให้เขาเป็นเจ้ามีเลี้ยงอาหารสักมื้อเท่านั้นเอง “จริงสินะ ผมรับปากไปแล้วนี่”
รสรินกัดริมฝีปากล่างของตนเองด้วยความหมั่นไส้ เขามันผู้ชายโอหังที่สักวันต้องถูกเธอปราบจนสิ้นลาย เสียงหัวเราะในลำคอหนาที่ลอดผ่านออกมาทางสายโทรศัพท์ทำให้เธอนึกสนุกขึ้นมาในทันที “หรือว่าอยากจะให้ฉันขึ้นไปทบทวนความจำอีกสักครั้ง แล้วค่อยออกไปหาอะไรทานกัน”
“ฮึ... เกรงว่าจะไม่ทันแล้วล่ะเซ็กซี่ ผมอยู่ในลิฟต์แล้ว ขอสั่งงานนิดหน่อยแล้วไปกัน” อัครรัฐโกหกคำโต
“อย่าให้ฉันรอนานนะคะร็อก ไม่งั้นเราคงได้สั่งอาหารมาทานในเพนท์เฮาส์ของคุณเหมือนเมื่อคืน”
อัครรัฐไม่ตอบว่าอย่างไร ได้แต่ลดโทรศัพท์ลงเมื่อรสรินส่งจุมพิตมาตามสาย ชายหนุ่มสะบัดศีรษะพร้อมเดินเข้าสู่ห้องน้ำ อาบน้ำชำระร่างกายให้เร็วกว่าปกติ เห็นทีจะต้องเปิดอกคุยกับรสรินให้ชัดเจนเพราะเธอเริ่มจะรุกหนักเกินกว่าที่คาดคิดนัก
ราวสิบนาทีต่อมา... อัครรัฐเดินออกมาจากห้องด้วยเสื้อยืดคอโปโลยี่ห้อดังพร้อมกับกางเกงยีนส์สีดำสนิท เสยผมตั้งราวกับไม่ได้ใส่ใจนักแต่ส่งผลให้เขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างยิ่ง ขาแกร่งยาวก้าวเดินอย่างมั่นคง เหลือบสายตาเห็นแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวใหญ่พลางยิ้มออกมาอย่างพอใจ เมื่อมันคือประวัติโดยละเอียดของผู้หญิงอวดดีที่กล้าปฏิเสธตำแหน่งที่เขาไม่เคยคิดจะหยิบยื่นให้ผู้หญิงหน้าไหน สายตาคมกริบไล่เลียงทุกตัวอักษรราวกับอ่านสัญญาธุรกิจหมื่นล้าน เพียงไม่กี่อึดใจต่อมามือเรียวยาวก็โยนแฟ้มลงบนโต๊ะเตี้ยๆเช่นเดิม รอยยิ้มพรายปรากฏบนใบหน้าคร้ามคมซึ่งเดินออกจากเพนท์เฮาส์สุดหรูพร้อมทั้งต่อสายโทรศัพท์ถึงนักสืบเอกชนมือฉมังที่เรียกใช้งานอยู่บ่อยครั้ง เขาต้องการรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับชยาภามากที่สุดและทุกอย่างต้องถึงมือของเขาภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง
แน่นอนว่ามันไม่ใช่งานที่ง่ายดายนัก สำหรับอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจนักสืบเอกชนให้กับอัครรัฐมาตั้งแต่ชายหนุ่มก้าวเข้ารับตำแหน่งแทนผู้เป็นพ่อ นักสืบผู้นี้คือกลไกสำคัญในการผลักดันให้อัครรัฐพิชิตใจคู่ค้าที่ยากจะเจรจามานักต่อนัก ในทางตรงกันข้ามอัครรัฐก็สามารถก้าวเร็วกว่าคู่ต่อแข่งทางธุรกิจอยู่เสมอ ความลับก็คือนักสืบมือฉมังผู้นี้สามารถหาข้อมูลเชิงลึกมาได้ประกอบกับมันสมองอันฉลาดแยบยล หากครั้งนี้อัครรัฐต้องการเพียงแค่อยากรู้ประวัติโดยละเอียดของพนักงานระดับล่างคนหนึ่งเท่านั้น และยังเสนอเงินจำนวนมากโขที่ทำให้นักสืบไม่สามารถปฏิเสธหรือเกี่ยงงอนได้เลย!
เสียงเคาะกระทะที่ดังลอดออกมาจากบ้านเช่าหลังเล็กทำให้กันตาภาเหลือบมองเวลาที่ข้อมือของตัวเองอย่างแปลกใจ แต่ก็มั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินนี้เกิดจากผู้เป็นพี่สาวซึ่งคงจะกำลังทำอาหารเย็นแต่ก็แปลกใจยิ่งนักว่าเหตุใดวันนี้พี่สาวของตนจึงเลิกงานไวกว่าปกตินัก ทั้งที่เพิ่งเป็นเวลาห้าโมงครึ่งเท่านั้น
ชยาภาหันกลับไปยิ้มให้น้องสาวที่เดินทำหน้างงเข้ามาหาในครัวด้วยสีหน้าเบิกบาน “กลับมาแล้วเหรอ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป รอข้าวสุกสักยี่สิบนาทีน่าจะลงมือทานได้แล้ว”
“ทำไมวันนี้พี่เลิกงานเร็วกว่าทุกวัน?” กันตาภาถามพลางกวาดสายตามองร่างอ้อนแอ้นของพี่สาวที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาเป็นชุดลำลอง นั่นก็แสดงว่ากลับมาก่อนหน้านี้มากกว่าหนึ่งชั่วโมง
“พี่... ลาออกจากงานแล้ว” ชยาภาตอบโดยไม่หันมาสบสายตาน้องสาว สองมือเรียวกำลังหั่นผักเพื่อประกอบอาหารเย็น
“อะไรนะ?!” กันตาภาถามเสียงสูงอย่างตกใจ ก้าวเดินมานั่งลงบนโต๊ะพับทรงกลม ซึ่งใช้ทั้งเตรียมอาหารและรับประทานอาหารในคราวเดียวกัน
“ทำไมต้องทำหน้าตาตื่นอย่างนั้นด้วย ทำอย่างกับว่าพี่ไม่เคยลาออกจากงาน” ชยาภาบอก
“มันก็ใช่... แต่มันกระทันหันเกินไป ก็เห็นว่าพี่มีความสุขกับการทำงานที่นี่เหลือเกิน เงินดี สวัสดิการณ์เยี่ยม แล้วทำไมถึงลาออกง่ายๆอย่างนี้” กันตาภาถามอย่างสงสัย เรื่องที่มีความเห็นไม่ตรงกันเล็กน้อยนั่นก็เลือนหายไปในทันที
“พี่ได้งานใหม่แล้ว คะ...คือความจริงก็แอบสมัครไว้นานแล้วแต่เขาเพิ่งเรียกตัวแล้วก็รับพี่เข้าทำงานทันที พี่ก็เลยต้องลาออกจากโรงแรม” ชยาภาโกหกคำโตโดยที่ไม่ยอมสบสายตาน้องสาว
“ไม่อยากจะเชื่อ พี่ไม่เคยมีความลับกับเราสองคนนี่นา... เรื่องนี้ส้มโอไม่เคยรู้มาก่อนและก็คิดว่าองุ่นคงไม่รู้ด้วยเหมือนกัน” กันตาภาเอ่ยถึงนีราภาหรือองุ่นที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาพร้อมๆกันกับตนเอง หากแต่ขออยู่ที่เชียงใหม่ต่อสักพักในระหว่างที่รอบริษัทเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์งาน นีราภาก็ทำงานรอไปพลางๆเช่นกัน ทั้งคู่จะพุดคุยกันผ่านโปรแกรมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กทุกวัน หากไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาสักครั้ง “พี่กำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่รึเปล่า?”
ชยาภาเงยหน้าพร้อมกระพริบตาถี่บอกกับตัวเองว่าหากยังทำน้ำเสียงอึกอักเช่นนี้ เด็กแสบตรงหน้าคงจับพิรุธได้เป็นแน่ จึงจ้องใบหน้าน้องสาวพร้อมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “เปล่า... พี่จะมีอะไรปิดบังเราสองคนล่ะ พี่ก็แค่ได้งานใหม่แล้วมันก็เป็นสายงานซึ่งตรงกับที่เรียนมา ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้ไม่มากเท่าที่เดิมแต่มันก็มั่นคงกว่า เราน่ะรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว มัวแต่มาซักไซร้พี่อยู่นี่ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจซะหรอก”
“อ่ะๆ ไม่เซ้าซี้แล้วก็ได้ ว่าแต่พี่อนุญาตให้ส้มโอไปทำงานวันหยุดนี้แล้วใช่ไหม?”
ชยาภาส่ายหน้าระอาใจกับน้องสาวนัก แต่ใจหนึ่งก็สดชื่นที่ได้เห็นแววตาสุกใสนั้นมองมาอย่างมีความหวัง “รีบไปอาบน้ำแล้วค่อยออกมาคุยกัน พี่มีเรื่องต้องตกลงกับเรา”
“โหย... ทานข้าวก่อนไม่ได้เหรอแล้วค่อยอาบน้ำก่อนเช้านอนทีเดียวเลย ประหยัดด้วย” กันตาภาตีขลุมเอาเอง ถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมดึงเอาตระกล้าผักสดจากมือพี่สาวมาหั่นด้วยความดีใจ “พี่พูดมาได้เลย อยากให้ทำอะไรบ้าง”
“พี่อนุญาตให้ไปทำงานที่เราขอ แต่... ต้องระวังตัวเองให้ดี พี่จะให้พี่โต้งคอยดูเราอยู่ตลอดเวลา ห้ามปิดโทรศัพท์ แล้วที่สำคัญเลิกงานแล้วให้กลับมานอนที่บ้าน ห้ามไปค้างบ้านเพื่อนเด็ดขาด รับปากได้ไหม?” ชยาภาถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ไม่มีปัญหาสักข้อเลยเจ้าค่ะ รับทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พี่จะไปดูด้วยก็ได้นะ” เมื่อสมดังตั้งใจ สาวน้อยก็เอ่ยปากชวนพี่สาวเสียเอง หากแต่พี่สาวกลับส่ายหน้าความจริงแล้วเธอต้องการเดินสายสมัครงานให้ได้เร็วที่สุดต่างหาก และวางแผนเอาไว้ในใจแล้วว่าวันหยุดนี้ก็ขอหาข้อมูลจากหน้าหนังสือพิมพ์หรืออาจจะออกไปร้านอินเทอร์เน็ตหน้าปากซอยเพื่อค้นหาแหล่งงานดีๆสักแห่ง
“เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนก็แล้วกัน ไม่ได้อยู่ว่างๆมานาน พี่อยากอยู่บ้าน ทำความสะอาดโน่นนี่ตามประสาบ้าง” ชยาภาอย่างเลื่อนลอยจนน้องสาวผิดสังเกต
“แปลกจัง... ปกติพี่ไม่เคยพูดว่าจะอยู่เฉยๆ พี่เป็นสาวขยันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วทำไมจู่ๆอยากอยู่เฉยๆ ไม่สบายรึเปล่า?” กันตาภารีบเช็ดมือตัวเองกับกระโปรงสีดำแล้วอังหลังมือเข้ากับหน้าผากของพี่สาว “ตัวก็ไม่ร้อน แปลกมาก...”
“หรือเราอยากให้พี่เป็นวัวบ้า ตั้งหน้าตั้งตาพุ่งเข้าชนงานท่าเดียว” ชยาภาผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือตะกร้าผักบุ้งสดเดินมาหยุดตรงหน้าเตาแก๊สพลางลอบถอนหายใจเพราะกลัวน้องสาวจับพิรุธได้
“ไม่ใช่อย่างนั้น... ใครจะอยากเห็นพี่เหนื่อยล่ะ ดีแล้วล่ะที่พี่คิดอยากพักผ่อนบ้าง แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราสองคนนะ เราดูแลตัวเองได้” พูดจบกันตาภาก็ฮัมเพลงอย่างสบายใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าพี่สาวของตัวเองนั้นกำลังทุกข์ใจอย่างหนัก แต่ไม่กล้าที่จะระบายให้ใครได้ฟัง
อาหารมื้อค่ำจบลงในอีกชั่วโมงถัดมา โดยที่สองพี่น้องมีความรู้สึกแตกต่างกันสุดขั้ว กันตาภาร่างเริงแจ่มใส พอใจเมื่อพี่สาวเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน ถึงแม้ว่าจะมีกฏระเบียบเยอะแยะไปบ้างแต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าพี่สาวนั้นเป็นห่วงไม่อยากให้ตกอยู่ในอันตราย ส่วนชยาภานั้นฝืนยิ้ม ฝืนพูดคุยกับน้องสาวให้เป็นปกติที่สุด ในขณะที่ภายในใจนั้นยังไม่มีทางออกให้กับตัวเอง ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกวันนั้นคงเพียงพอกับเงินออมที่อยู่อย่างน้อยนิด มันคงทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างประหยัดได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
สองวันต่อมา... ชยาภาออกมารอน้องสาวที่เตรียมออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พลางนั่งคิดทบทวนถึงปัญหาของตัวเอง ตลอดสองวันที่ผ่านมาหญิงสาวตะลอนๆเข้าสมัครงานทั้งบริษัทน้อยใหญ่ บางแห่งถูกปฏิเสธอย่างไม่สนใจไยดี บางแห่งรับเพียงแค่ใบสมัครไว้พิจารณาเท่านั้น คิดมาถึงตรงนี้ชยาภาก็มืดแปดด้าน ปวดศีรษะขึ้นมาในทันทีจึงใช้นิ้วคลึงขมับทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัวว่าน้องสาวเดินออกมาพบภาพนั้นเข้าพอดี
“พี่เป็นอะไร ปวดหัวเหรอคะ เอายาหม่องไหม?”
ชยาภาเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวที่ทำหน้าตื่นอยู่ตรงหน้า “ไม่ๆ พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่มึนๆเท่านั้นเอง เราน่ะรีบไปเถอะ เดี๋ยวสายกว่านี้รถจะติด”
กันตาภาเดินออกมานอกบ้านตามแรงดันที่แผ่นหลังพลางเอี้ยวใบหน้ากลับไปย้ำถามให้มั่นใจ “พี่ไม่เป็นไรแน่นะ ให้พี่โต้งมาอยู่เป็นเพื่อนไหม รับรองว่าส้มโอจะระวังตัว กลับบ้านให้ตรงเวลา โทรรายงานพี่ทุกครั้งที่ว่าง”
“พี่ไม่เป็นไรจริงๆ รีบไปเถอะ ระวังตัวนะ อยู่ให้ไกลๆพวกอาเสี่ยชีกอ” ชยาภากำชับน้องสาวอีกครั้งหนึ่งพลางชะเง้อมองร่างระหงที่เดินห่างออกไปจนลับตา จึงหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งหนึ่ง จัดการทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อยก่อนที่จะอาบน้ำชำระร่างกายแล้วต่อสายโทรศัพท์หารวิ
ตุ๊ด... ตุ๊ด... ตุ๊ด...
“สวัสดีค่ะพี่โต้ง ส้มโอออกจากบ้านได้ประมาณชั่วโมงครึ่งแล้วนะคะ พี่โต้งตื่นรึยัง?” ชยาภากรอกเสียงลงไปทันทีที่ได้ยินปลายสายเอ่ยทักทาย
“พี่กำลังแต่งตัวจ๊ะ อีกห้านาทีก็จะออกจากห้องแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้พี่คงได้เฝ้าส้มโอทั้งวันโดยไม่คลาดสายตาแน่ อีกอย่างพี่มีงานสำคัญทำที่บูธนั้นพอดี” รวิบอกพลางยิ้มพราย
“งานอะไรคะ เฝ้าขาอ่อนสาวๆน่ะเหรอคะ เห็นทีคงต้องเชื่อคำร่ำลือที่เขาพูดกันที่โรงแรมแล้ว” ชยาภาพูดทีเล่นทีจริง
“โธ่!... ทำไมคิดอกุศลกับพี่อย่างนั้นล่ะ ถึงพี่จะเคยใช้ชีวิตมาอย่างเต็มที่แต่เมื่อเจอชมพู่ สัญญาใจกันแล้วก็ไม่มีวันกลับไปทำตัวอย่างที่ผ่านมาแน่ เชื่อใจพี่นะ รับรองว่าพี่จะพาส้มโอกลับมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยจ้ะ”
“ค่ะ ชมพู่ก็แค่พูดเล่นเท่านั้น ไม่กวนแล้วนะคะ ฝากน้องด้วย” ชยาภาเอ่ยลาคนรักอย่างไว้ใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดภยันตรายใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ