นางบำเรอเลื่อนขั้น

10.0

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.28 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) นางบำเรอเลื่อนขั้น ตอนที่ 5 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
รวิและชยาภาแวะตลาดสดขนาดใหญ่ซึ่งอยูไม่ไกลจากบ้านเช่าของหญิงสาวนัก เพื่อซื้ออาหารกลับไปรับประทานกับน้องสาวอีกคนที่รออยู่ ระหว่างหนุ่มสาวทั้งสามคนรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยนั้น ชยาภาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของน้องสาวที่เหลือบมองตนอยู่หลายครั้งหลายครา ราวกับมีเรื่องอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ปริปากพูดออกมา
                “มีอะไรรึเปล่าส้มโอ เห็นมองพี่อยู่นานแล้วนะ”
                กันตาภาส่งยิ้มแหยๆให้พี่สาวที่รู้ทันไปเสียทุกเรื่อง พลางเรียบเคียงเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ “วันเสาร์นี้ส้มโอขอไปค้างบ้านเพื่อนนะคะ พอดีว่ารับจ็อบพิเศษเอาไว้”
                “งานอะไรทำไมต้องไปค้างบ้านเพื่อนด้วย เพื่อนคนไหน” ชยาภาถามหลังกลืนอาหารเรียบร้อยพลางสบสายตาน้องสาวด้วยความสงสัย
                “ก็วันเสาร์ที่จะถึงนี้มีงานมอเตอร์โชว์ค่ะ เพื่อนบอกว่าปีที่แล้วไปทำมา รายได้ดีสุดๆ แค่ยืนถ่ายรูปเชียร์ลูกค้าว่ารถยนต์รุ่นนี้สมรรถนะเป็นยังไงบ้าง ถ้าขายได้เจ้าของเขายังแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ด้วยนะ ส้มโอว่ามันน่าสนใจแล้วก็ตรงกับวันหยุดด้วย เลยว่าจะลองไปทำดู” กันตาภาบอก
                “อะไรนะ?” ชยาภาถามเสียงสูงจนรวิและน้องสาวชะงักการรับประทานอาหารชั่วครู่ “ไม่ได้เด็ดขาด พี่ไม่ยอมให้เราไปนุ่งสั้นโพสท่าทียั่วยวนให้คนมากหน้าหลายตาถ่ายรูปเป็นว่าเล่นแน่”
                “พี่ก็พูดเกินไป ยั่วยวนที่ไหน ใครเขาก็ทำกันมันได้เงินดีนะคะ” กันตาภาแย้งด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
                “แล้วเราจะเอาเงินเยอะๆนั่นไปทำอะไร ตอนนี้มีหน้าที่อะไรก็ทำไปสิ พี่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูเราสองคนได้อยู่แล้ว”
                “แต่...”
                “ไม่มีแต่ทั้งนั้น” ชยาภาโต้กลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนคนป็นน้องต้องตัวหด หน้าง้ำ “จะทำงานพาร์ทไทม์อย่างอื่นพี่ไม่เคยว่า เสิร์ฟอาหาร ล้างชามก็ทำไปแต่มันต้องไม่ใช่การนุ่งสั้น แต่งหน้าจัดจ้าน ยืนโพสท่าให้ผู้ชายถ่ายรูป มันอันตรายรู้บ้างไหม แล้วไปทำงานอย่างนั้นคนอื่นจะมองเรายังไงเคยคิดบ้างรึเปล่า”
                “ไม่เคยคิดค่ะ ส้มโอคิดแต่ว่าเราทำมาหากินอย่างสุจริต จริงอยู่ที่หลายคนทำงานนี้แอบแฝงแต่มันก็แค่คนกลุ่มหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด พี่จะมาเหมารวมกันว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีทั้งหมดไม่ได้ แล้วส้มโอก็แค่อยากหารายได้เพื่อแบ่งเบาภาระของพี่ อีกอย่างหนึ่งพี่น่าจะไว้ใจน้องสาวของตัวเองบ้างว่าไม่มีวันที่จะทำตัวเสียหายให้อับอายชาวบ้านชาวช่อง” กันตาภาวางช้อนที่อยู่ในมือ โต้เถียงด้วยเหตุผลของตนเองบ้าง
                แต่รวิผู้ที่อยู่ตรงกลางกลับมองว่าหัวข้อสนทนาครั้งนี้เริ่มจะกลายเป็นข้อโต้แย้งระหว่างพี่น้อง และต่างฝ่ายก็มีท่าทีว่าความคิดของตนนั้นถูกต้องจึงกระแอมขึ้นเสียงไม่เบานัก เป็นการเบรกอารมณ์ของทั้งคู่ลงบ้างเล็กน้อย “เอ่อ... พี่ว่าชมพู่กับส้มโอน่าจะใจเย็นคุยกันนะ ชมพู่ก็ต้องฟังน้องบ้าง เดี๋ยวนี้นักเรียน นักศึกษาก็รับจ็อบพิเศษเพื่อส่งเสียตัวเองทั้งนั้น จริงอยู่ว่างานแบบนี้ไม่สามารถเลี่ยงผู้ชายตัณหากลับได้ แต่นั่นก็ต้องได้รับการสมยอมทั้งสองฝ่าย แล้วถ้าส้มโออยากไปทำจริงๆ พี่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะยังไงเสีย ส้มโอก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหล”
                “นั่นก็ใช่ค่ะ แต่พี่โต้งไม่เห็นเหรอคะว่าเดี๋ยวนี้คนร้ายมันเยอะแยะ มากด้วยเล่ห์กล ถ้ามันอยากจะได้สาวๆสายๆสักคน มันมีวิธีร้อยแปดง่ายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก เป็นตายร้ายดีพี่ก็ไม่ยอมให้เราไปทำงานนนี้แน่” ท้ายประโยคชยาภาหันไปสั่งน้องสาวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
                “แต่พี่ว่าชมพู่น่าจะเปิดใจรับฟังเหตุผลของน้องบ้าง...” รวิพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องเงียบเสียงลง
                “ไม่ค่ะ ชมพู่ตัดสินใจแล้ว ยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ พี่โต้งก็พูดได้สิคะในเมื่อตัวเองเป็นผู้ชาย ภัยมืดรอบตัวที่พุ่งเข้ามาหามันย่อมน้อยกว่าเราที่เป็นผู้หญิงอยู่แล้ว” ชยาภาต่อว่าอย่างตรงไปตรงมา หากแต่ต้องเงียบแล้วเงยหน้ามองตามร่างบอบบางของน้องสาวที่ผุดลุกขึ้นอย่างกะทันหัน
                “ขอบคุณพี่โต้งที่เข้าใจและเชื่อมั่นในตัวของส้มโอนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะในเมื่อพี่เขาคิดว่าชมพู่เป็นคนเชื่อใจไม่ได้อย่างนั้น ส้มโอก็ไม่ทำงานนั่นแล้วก็ได้ค่ะ ขอตัวนะคะ” พูดจบสาวน้อยที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ แต่ยังว่างงานก็เดินตึงๆกลับเข้าส่วนตัวของตนเองทันที ทิ้งให้พี่สาวผู้หวังดีส่ายหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยใจ
                ชยาภารู้ดีเชียวล่ะว่าน้องสาวกำลังโกรธ ถึงได้ประชดออกมาอย่างน้อยใจเช่นนั้น ไม่ใช่ไม่เชื่อใจแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว เพราะฉะนั้นเมื่อเธอได้รับหน้าที่แทนบุพการีทั้งสองก็ต้องดูแลน้องสาวฝาแฝดให้ดีที่สุดตามกำลังที่จะทำได้
                “พี่ว่าวันนี้พี่กลับก่อนดีกว่า ชมพู่จะได้คุยกับน้องให้เข้าใจ” รวิพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าแฟนสาวเงียบ สีหน้าเครียดกังวล
                “ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้นี้ไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่โต้งแต่ชมพู่แค่เป็นห่วงน้อง ถ้าตรงไหนที่มันล่อแหลมก็ไม่อยากให้เขาเข้าไปใกล้” ชยาภาเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ
                “ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้โกรธ รู้ว่าคนเราคิดไม่เหมือนกัน แต่ชมพู่ลองคิดทบทวนดูนะ เดี๋ยวนี้สังคมบ้านเมืองเราเปลี่ยนไป เราไม่สามรถรู้ได้ว่าคนไหนดีคนไหนเลว แต่ต้องลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง เมื่อรู้ว่าสิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ต้องไปเข้าใกล้ แล้วพี่อยากให้มองเจตนาของน้องมากกว่า ส้มโอเพียงแค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระเพราะเห็นว่าชมพู่น่ะทำงานหนักมาก... อันนี้มันคือความคิดเห็นของพี่นะ ก็สุดแท้แต่ชมพู่ว่าจะตัดสินใจยังไง”
                “ค่ะ... แล้วจะลองคิดดูอีกที” ชยาภารับคำพร้อมเดินออกมาส่งชายหนุ่มที่หน้ารั้วบ้านในไม่กี่นาทีต่อมา จากนั้นจึงหมุนตัวกลับเข้าบ้าน ก็พบว่าน้องสาวกำลังเก็บกวาดจานชามที่กองอยู่บนโต๊ะอาหารไปล้างทำความสะอาด โดยที่ไม่ยอมสบสายตากับพี่สาว และนั่นก็คือปฏิกิริยาที่แสดงให้ผู้เป็นพี่รู้ว่าโกรธ ไม่พอใจของน้องสาวมาตั้งแต่เล็กจนโต
                หากแต่ชยาภาก็ไม่สามารถอนุญาตให้น้องสาวไปทำงานเช่นนั้นได้ จึงเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวอีกครั้งเพื่อคิดทบทวนถึงเหตุผลต่างๆให้ถี่ถ้วน โดยไม่ได้เดินมาหยอกล้อ ง้องอนน้องสาว เมื่อเห็นว่าน้องสาวอารมณ์เย็นลงแล้วจึงค่อยตะล่อมบอกด้วยเหตุผลเช่นที่ผ่านมา
                การเดินกลับเข้าห้องเงียบๆของพี่สาวก็ทำให้กันตาภารู้ว่าพี่สาวของตนนั้นคงไม่พอใจเอามากๆ แต่สาวน้อยก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ในเมื่อแท้จริงแล้วเจตนาที่ตั้งใจนั้นคืออยากหารายได้เป็นของตัวเอง ซึ่งค่าจ้างที่คำนวณได้คร่าวๆจากการบอกเล่าของเพื่อนนั้น มันมากกว่าที่เธอทำงานเสิร์ฟในร้านอาหารเกือบสามเดือน!
 
                รุ่งเช้าชยาภายังออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่... ยังคงทำหน้าที่ปลุกน้องสาวเป็นปกติ แต่วันนี้ไม่ต้องเอ่ยเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเพียงแค่เคาะห้องสองครั้ง ก็ได้ยินเสียงตอบรับดังลอดออกมา นั่นก็ทำให้ชยาภารับรู้ได้เป็นอย่างดีแล้วว่า ใช่จะมีแต่ตนเองที่นอนไม่หลับ น้องสาวของเธอก็คงจะนอนไม่หลบัเพราะยังคิดทบทวนเรื่องเมื่อหัวค่ำอยู่เช่นกัน
                ชยาภาเดินลงบันไดขั้นสุดท้ายของสะพานลอยพลางคลี่ยิ้มสดใส เมื่อเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่ใส่สูทสีน้ำเงินเข้ม “ทำไมวันนี้ไม่รอที่เดิมล่ะคะ?”
                ที่เดิมที่ว่าคือร้านข้าวราดแกงซึ่งอยู่ในซอยเล็กๆข้างโรงแรม เป็นร้านอาหารประจำของพนักงานส่วนใหญ่ในละแวกนี้เพราะ ลุงและป้าเจ้าของร้านขายในราคาย่อมเยาว์ทั้งยังให้อาหารในปริมาณที่มากกว่าร้านอาหารทั่วไป ชยาภาและรวิเองก็มักจะมาทานร้านเช้าที่ร้านนี้อยู่เป็นประจำ
                รวิยกข้อมือของตัวเองขึ้นมองเวลาพลางยิ้มที่มุมปาก “พี่เดินออกมารอชมพู่เวลาเดิมนะ ชมพู่ต่างหากที่มาเร็วกว่าทุกวัน เราเลยมาเจอกันตรงนี้พอดี”
                “อ่อ... งั้นก็ไปทานข้าวเถอะค่ะ” ชยาภาบอกพร้อมก้าวเดินไปพร้อมๆกับรวิ เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงร้านอาหารเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าปากซอยเท่าไหร่นัก
                “วันนี้ชมพู่กลับคนเดียวได้ไหม ช่วงบ่ายพี่ต้องออกไปข้างนอกกับผู้จัดการ กลัวว่าจะกลับมาไม่ทันตอนชมพู่เลิกงาน” รวิบอกหลังจากจัดการสั่งอาหารแล้วมาทรุดตัวนั่งลงบนชุดโต๊ะไม้ในร้าน
                “ได้ค่ะ พี่โต้งไม่ต้องเป็นห่วง ชมพู่ไม่หลงทางแน่ค่ะ” จบคำพูดของชยาภาสองหนุ่มสาวก็หัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน
                “พี่ก็เป็นห่วงชมพู่เหมือนที่ชมพู่เป็นห่วงน้องนั่นแหละ เป็นยังไงมั่ง คุยกันรู้เรื่องรึยัง” รวิถามพลางเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
                ชยาภาส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “ยังเลยค่ะ ความจริงก็รู้หรอกค่ะว่าส้มโอจะไม่ทำตัวเหลวไหลอย่างนั้นแน่ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ เราระวังตัวแต่คนรอบข้างจ้องจะทำร้าย กลัวว่าจะพลาดเข้าสักวัน”
                “พี่ว่าชมพู่มองโลกในแง่ร้ายไปรึเปล่า ถ้าเป็นห่วงมากก็ไม่ต้องให้ไปค้างบ้านเพื่อนสิ ถ้ายอมอ่อนข้อให้น้องบ้างก็น่าจะดี พี่อยากให้มองที่น้องอยากช่วยหารายได้มากกว่า” รวิลองเกลี้ยกล่อมอีกทีหนึ่ง
                ชยาภาเงยหน้าขึ้นสบตาแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยสายตาค้นคว้าจนคนถูกมองต้องหลบสายตา “พี่โต้งรู้เหรอคะว่าทำงานพวกนี้เขามีรายได้ดีขนาดไหน ทำไมถึงได้สนับสนุนกันนัก?”
                “อะ...เอ่อ ชมพู่อย่ามองพี่เหมือนเป็นอาเสี่ยชีกอที่ชอบเคลมพริตตี้สิ พี่ไม่มีเงินมากพอที่จะไปทำอย่างนั้นหรอกน่า...” รวิรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน สุดท้ายก็ต้องอธิบายให้กระจ่างขึ้น เมื่อสายตาคู่หวานจ้องไม่วางตา “ชมพู่ก็รู้ว่าเมื่อก่อนพี่อยู่ฝ่ายจัดซื้อ แล้วเพื่อนสนิทของท่านรองก็เป็นเอเย่นรายใหญ่นำเข้าซุปเปอร์คาร์จากหลายค่าย ทุกปีที่มีงานมอเตอร์โชว์พี่ก็จะต้องเป็นคนไปรับรถยนต์ให้ท่านรอง ไปตรวจความเรียบร้อยต่างๆ ก็จะได้อานิสงส์ไปเปิดหูเปิดชมรถสวยๆงามๆ”
                “อ่อ... เลยรู้เรื่องค่าตัวของสาวๆมาด้วยสินะคะ” ชยาภาต่อให้ด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
                “ไม่ใช่อย่างนั้น... คือคุณทัตเทพ เพื่อนสนิทของท่านรองน่ะ ท่านก็เป็นเสือผู้หญิงเหมือนเจ้านายของเรานี่แหละ สาวๆสวยๆก็มักจะเอาตัวไปประเคนให้ถึงที่ แต่ที่พี่เล่านี่คือแค่บางคนเท่านั้นนะ น้องๆที่เขามาทำงานหารายได้ก็มีเยอะแยะ”
                “เฮ้อ... รู้ว่าอันตรายก็ไม่น่าเข้าไปใกล้”
                “ค่าเหนื่อยมันล่อใจนี่นา... คุณทัตเทพเคยเล่าให้ฟังว่า ค่าแรงแต่ละวันนี่หลักพันนะ แล้วถ้าใครพูดเก่ง ขายรถได้ก็ได้เปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก พี่ว่าส้มโอก็คงมองตรงนี้เป็นสำคัญ” รวิบอก พลางย้ำถามอีกครั้งหนึ่งอยากรู้ว่าหญิงสาวจะคิดอย่างไร “ตกลงจะอนุญาตให้ส้มโอไปทำงานไหม?”
                “ก็คงต้องอนุญาตอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะค่ะ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินด้วยแล้ว ห้ามยังไงแกคงไม่ฟัง” ชยาภาพูดได้เต็มปากว่ากันตาภาเป็นเด็กสาวที่ขยันทำงานและเก็บเงินเก่งที่สุด ว่ากันง่ายๆก็คือเธองกที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน “แต่พี่โต้งอย่าเพิ่งไปบอกแกนะคะ ชมพู่อยากจะคุยเอง ถ้าอยากไปทำงานนั้นจริงๆก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย”
                “จ้า... รับรองว่าพี่ไม่ปากโป้งแน่” รวิบอกด้วยหน้าตาแช่มชื่น จนทำให้ชยาภาอดแปลกใจไม่ได้ หากแต่ไม่ได้ถามออกไปเพราะชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียก่อน “เอางี้ดีไหม ถ้าชมพู่เป็นห่วงน้องมาก วันเสาร์นี้เดี๋ยวพี่จะไปดูแลให้ จะจับตาดูทุกฝีก้าว ไม่ให้คลาดสายตา”
                ชยาภายิ้มออกมาพร้อมแววตาดีใจแต่เพียงแวบเดียวก็กลับมาคิดหนักเช่นเดิม “ส้มโอคงไม่ยอมหรอกค่ะ เดี๋ยวคงหาเรื่องว่าไม่ไว้ใจกันอีก”
                “อย่าห่วงเรื่องนั้นเลย รับรองว่าพี่จะตามดูห่างๆ ไม่ให้ส้มโอรู้ตัว แล้วก็ไม่ให้คลาดสายตาด้วย” รวิเสนอตัวด้วยความกระตือรือร้น และต้องยิ้มพรายเมื่อแฟนสาวพยักหน้ารับทันที มันทำให้ชายหนุ่มพลอยดีใจไปด้วยเมื่อไม่เห็นความหม่นหมองในดวงตาคู่หวาน
               
                ราวสิบห้านาทีต่อมา... ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันหน้าร้านอาหารเพราะรวิต้องออกไปข้างนอกกับผู้จัดการฝ่ายบุคคล ชยาภาจึงเดินเข้ามาในโรงแรมเพียงลำพัง ดวงตากลมโตสอดส่องมองหาพาหนะคันหรูที่มักจะจอดรออยู่ด้านหน้าอย่างหวั่นเกรง ใจจริงแล้วเธอไม่อยากเผชิญหน้าหรือปะทะคารมกับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเสียเปรียบทุกประตู ไม่รู้ว่าเขามองผู้หญิงทุกคนรอบกายเป็นสิ่งของที่สามารถซื้อหาด้วยเงินได้อย่างไร ขนาดเธอประกาศชัดว่าไม่ได้ต้องการเงินแม้แต่สตางค์เดียว เขาก็ยังหาว่าเธอเล่นตัวเพื่อโก่งค่าตัว
                เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้านาย ใครๆต่างพากันยอมรับในมันสมองอันชาญฉลาดที่สามารถทำให้กลุ่มธุรกิจพิพิธรีโซเทลนี้ เดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่จะมีใครรู้บ้างไหมนะว่าผู้ชายเก่งกาจคนนี้มีทัศนคติต่อผู้หญิงน่าเหลือเชื่อที่สุด! เกิดมาเพิ่งเคยเจอผู้ชายพ่นคำถามน่าเกลียดใส่หน้าตรงๆว่า ‘เท่าไหร่... ว่ามา?’
                ใบหน้างดงามชาวาบอีกครั้งเมื่อคิดถึงคำพูดและท่าทางดูแคลนนั่น พลางบอกกับตัวเองให้อดทนเอาไว้ เมื่อหางานใหม่ได้แม้ว่าจะไม่ได้รับรายได้ดีถึงเพียงนี้แต่ก็สบายใจและมีเกียรติกว่ายอมให้คนจิตใจคับแคบเช่นเขาออกคำสั่งโดยที่ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
 
                ชยาภาอมยิ้มด้วยความโล่งอกเพราะไม่ได้เห็นรถคันหรูที่จอดอยู่ด้านหน้า ทั้งหัวหน้าแผนกแม่บ้านยังบอกว่าท่านรองออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมดสาวถึงกับต้องอ้าปากค้าง ก็คือภายในเพนท์เฮาส์สุดหรูที่ตนเก็บกวาด จัดเรียงข้าวของทุกสิ่งให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแต่บัดนี้มันเหมือนกับผับบาร์ที่มีผู้คนเข้ามาสังสรรค์กันไม่น้อยกว่ายี่สิบคน ขวดเหล้า แก้ว เศษขยะทิ้งให้กลาดเกลื่อน สองขาเรียวก้าวเดินเข้าไปด้านในซึ่งเป็นส่วนของห้องนอนก็พบว่ามีเสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เครื่องนอนเปรอะเปื้อน กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง!
                เมดสาวร่างอ้อนแอ้นเริ่มงานของตนด้วยความใจเย็น แม้ทั้งห้องจะมีสภาพที่ดูไม่ได้แต่เธอก็ยังเต็มใจและมีความสุขที่จะจัดเก็บให้มันเข้าที่เข้าทางเช่นเดิม มันยังสบายใจกว่าตอนที่มีร่างสูงใหญ่ของท่านรองจอมโอหังอยู่ด้วย แต่กว่าจะทำให้ทุกอย่างสะอาดเรียบร้อยและมีสภาพเช่นเดิมก็เล่นเอาคนตัวเล็กปาดเหงื่อนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายชยาภาต้องมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์เมื่อทั้งเพนท์เฮาส์สะอาดเรียบร้อยแล้ว
                “เฮ้อ... เมื่อไหร่จะรวยอย่างนี้เสียทีนะ” ชยาภาทรุดตัวลงไปแนบใบหน้ากับเคาน์เตอร์บาร์ กวาดสายตามองห้องชุดสุดหรูพร้อมบ่นพึมพำออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน หากความเย็นสม่ำเสมอภายในห้องที่ได้รับคำสั่งว่าต้องเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ทุกครั้ง เมื่อทำงานเรียบร้อยแล้วนั้นก็เปรียบเสมือนสายลมโชยเอื่อยที่พัดผ่านให้คนเสียพลังงานมาทั้งวันเข้าสู่ห้วงนิทรา...
 
                อัครรัฐเดินออกจากลิฟต์พร้อมดึงเนคไทออกอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อถึงเพนท์เฮาส์มันก็คือสถานที่ที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคำนึงว่าคนรอบข้างจะมองอย่างไร ตลอดทั้งวันเขาเครียดกับการวางแผนงานซึ่งกำลังจะสร้างโรงแรมเพิ่มอีกแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย มันสูบเอาเรี่ยวแรงและมันสมองเขาไปมากโขบวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวกว่าปกติ จึงทำให้ชายหนุ่มออกจะหงุดหงิดใจเล็กน้อย มือเรียวยาวเปิดประตูห้องเข้าไปในทันที แต่สายตาคมกริบกลับจดจ้องอยู่ที่ร่างอ้อนแอ้นซึ่งนอนหลับตาพริ้ม ซบหน้ากับหลังมือตัวเองอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ มันทำให้ผู้ชายที่ไม่เคยสนใจใครอย่างเขาต้องปิดประตูอย่างเบามือโดยไม่รู้ตัว ทั้งเธอยังมีพลังงานบางอย่างที่สามารถดึงดูดให้เขาก้าวเข้าไปยืนมองอยู่นิ่งนาน...
                เธอเป็นผู้หญิงที่สวยจนต้องกลั้นหายใจเวลามองใกล้ๆ ใบหน้างดงามรับกับตา จมูก ปากยิ่งนัก ผมดำขลับถูกมัดไว้ในโบว์ข้างหลังถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของพนักงานหญิง แต่ลูกผมที่หลุดรุ่ยลงมาตามลำคอระหงมันทำให้ปากคอของอัครรัฐแห้งผาก...
                ลืมตัวไปว่าผู้หญิงตรงหน้าอยู่ในสถานะของลูกจ้างซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่นายจ้างอย่างเขาจะจินตนาการเลยเถิดไปถึงสัมผัสเร้าใจยามสองร่างแนบสนิท!
                ลืมตัวไปจนกระทั่งยื่นมือของไปปัดไรผมที่ตกลงมาระกับแก้มนุ่มขึ้นไปทัดไว้หลังใบหูบาง!
                เธอคือแม่ยั่วเมืองที่ทำให้เขารวดร้าว แข็งขึงไปด้วยความต้องการทั้งที่แค่นอนหลับในท่าทีธรรมดาที่สุด!
                หากไม่นานเจ้าของดวงตากลมโตก็ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น ราวกับว่าการพักเหนื่อยเอาแรงของตนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว และต้องตกใจสุดขีดเมื่อจับภาพใบหน้าคร้ามคมที่อยู่ใกล้แค่คืบ
                “อู้งานเหรอเด็กเลี้ยงแกะ?” อัครรัฐเอ่ยทักทายเมดสาวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าทั้งยังเอียงศีรษะมองหญิงสาวในแนวเดียวกัน
                “ปะ...เปล่าค่ะ ว้าย...” ชยาภาปฏิเสธทั้งส่ายหน้าเร็วๆ รีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ ความรีบร้อนลนลานนั่น ทำให้เก้าอี้ราคาแพงระยับล้มลงไปกองกับพื้นดังโครม!... “ขะ...ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจทำข้าวของท่านรองเสียหาย”
                อัครรัฐถอนหายใจเฮือก ก้าวถอยหลังออกมายืนกอดอก กางขาออกกว้างมองร่างอ้อนแอ้นยกเก้าอี้ขึ้นด้วยความสงสัย “ก็ยังไม่ได้ตำหนิอะไรเลย ทำไมเธอต้องทำท่ากลัวฉันจนลนลานอย่างนี้ด้วย”
                สิ่งที่เธอทำให้เขาสงสัยนักก็คือ เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไม่อยากเข้าใกล้เขา บั่นทอนความมั่นใจของเขาโดยการบอกว่าจูบของเขานั้นไม่มีผลต่อความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย
                “ดิฉันเป็นเพียงลูกจ้างก็ต้องกลัวนายจ้างนี่คะ มันสมควรแล้ว” ชยาภาตอบเมื่อจัดแจงเก้าอี้ตัวสูงเรียบร้อย “ดิฉันทำงานเรียบร้อยแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
                “เดี๋ยว!” อัครรัฐก้าวเข้าไปขวางหน้าเมดสาวทันที และท่าทางของเธอก็ทำให้เขาโมโหยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเขาก้าวประชิด เธอกลับก้าวถอยหลังในทันที
                “มีอะไรให้ดิฉันรับใช้อีกหรือคะ?”
                “สอนไม่รู้จักจำ การมองหน้าคู่สนทนานั่นแสดงว่าเราสนใจเขา การสบสายตาคู่สนทนานั่นก็แสดงว่าเราให้เกียรติเขา” เจ้านายเริ่มอบรมและรู้ทันความคิดของลูกจ้างสาวแสนสวยว่าเธอไม่คิดที่จะสนใจเขาและไม่ให้เกียรติเขาไปพร้อมๆกัน “อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่รู้ทันความคิดของเธอ แม่เด็กเลี้ยงแกะ”
                “ดิฉันไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้น หากไม่เชื่อฟังและทำตามความประสงค์ของเจ้านายดิฉันก็คงหาเรื่องใส่ตัว และคงฆ่าตัวเองตายทางตรงที่จะอาจหาญไม่ให้เกียรติคนที่จ่ายเงินเดือนให้ดิฉันทุกเดือน แม้ดิฉันจะไม่ชอบใจนักที่ท่านรองเรียกขานดิฉันด้วยคำพูดไม่น่าฟังอย่างนั้น” ถึงแม้จะสำนึกอยู่เสมอว่าเขาเป็นใคร แต่ความโกรธก็ทำให้ชยาภาขาดการควบคุมสติอารมณ์ไปมาก
                “เด็กเลี้ยงแกะน่ะเหรอ?” อัครรัฐยักคิ้ว หลิ่วตาถามอย่างกวนอารมณ์ “ก็มันจริงนี่... เธอมาหลอกฉันว่าแต่งงานมีสามีแล้ว ทั้งที่รสจูบของเธอมันใช้ไม่ได้เอาเสียเลย ทำให้ฉันอดสงสารคู่สามีภรรยาอยู่ตั้งเกือบชั่วโมง ที่แท้ก็กุเรื่องขึ้นมาทั้งเพ อย่างนี้ไม่ให้เรียกเด็กเลี้ยงแกะ แล้วจะให้เรียกอะไร ฮึ?...”
                “กะ...ก็ ดิฉันก็ไม่เคยบอกกับท่านรองนี่คะ ว่าคุณรวิคือสามี”
                “จุ...จุ... จุ... นอกจะจะเป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้ว ยังเถียงข้างๆคูๆ แก้ตัวน้ำขุ่นๆ” อัครรัฐต่อว่า เริ่มสนุกกับการต่อล้อต่อเถียงกับเมดสาวคนสวย “งั้นเธอก็เป็นผู้หญิงหลายใจ มีสามีแล้วแต่ยังให้ผู้ชายอื่นจับมือถือแขน แต่เป็นผู้หญิงหลายใจที่มีลีลายอดแย่ ฉันเดาได้ว่าสามีเธอคงเป็นพ่อพระถือศีลกินเจเลยไม่มีเวลาสอนเรื่องรัก แต่ก็ยังแปลกใจนะ รวิน่ะ เรื่องผู้หญิงก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ มันไม่สอนเธอมั่งเหรอ”
                จบคำพูดดูแคลน สติและความยั้งคิดของชยาภาก็ขาดผึง เหมือนสายป่านเส้นสุดท้ายที่ขาดวิ่นเพราะคำพูดเจ็บแสบที่ได้ยิน ต่อไปนี้หากต้องอดมื้อกินมื้อก็คงจะสบายใจกว่าที่ต้องทนฟังคำพูดเหยียดหยามศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงเช่นนี้! หญิงสาวกัดฟันถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันไม่แพ้กัน “ท่านรองจะสงเคราะห์สอนเรื่องรักให้ดิฉันเหรอคะ ถึงได้ตามตอแย หาเรื่องไม่เป็นเรื่องกับพนักงานชั้นล่างอย่างดิฉันนัก”
                “ฮึ... ฉันคิดแล้วเชียว เธอจะอดทนได้สักแค่ไหน สุดท้ายเธอก็ไม่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่ฉันเคยผ่านมา ความจริงฉันไม่เคยคิดจะเคลมพนักงานในปกครองของตัวเองนะ และก็ไม่เคยจ่ายเงินซื้อผู้หญิงด้วยแต่ถ้าถูกใจอาจจะซื้อเพชร ซื้อรถให้สักคันเพราะส่วนมากพวกเธอค่อนข้างมีฐานะเชียวล่ะ” อัครรัฐกวาดสายตาคมกริบมองร่างอ้อนแอ้นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา “แต่เธอคงไม่ใช่ แล้วฉันก็ยอมรับว่าเธอสวยถูกใจฉันมากทีเดียว ไปลาออกจากการเป็นพนักงานซะ แล้วค่อยมาเป็นผู้หญิงของฉัน”
                เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผู้ชายอย่างอัครรัฐคิดอยากมีอีหนูไว้บำเรอสวาท แต่อีหนูกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น สองมือบางกำแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือของตัวเอง มันเจ็บจนชา แต่ความเจ็บนั้นยังไม่เทียบเท่ากับคำพูดดูถูกที่เขามีให้ “ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะรีบลงไปลาออกและจะไม่ก้าวเข้ามาเหยียบในพื้นที่ที่เป็นของผู้ชายจิตใจสรกปรกอย่างคุณ จำไว้นะคะ ถึงแม้คุณจะรวยล้นฟ้าก็จะไม่มีวันได้สอนเรื่องรักใคร่กับฉันเพราะฉันคงไม่มีใจไปรักกับผู้ชายที่มองผู้หญิงเป็นเพียงแค่เครื่องเสพสุขทางเพศ แต่ฉันยินดีและเต็มใจให้ผู้ชายที่ยากจนต้อยต่ำสอนเรื่องรักใคร่ ถ้าเขาคนนั้นจะไม่โลกแคบ มีความคิดกับผู้หญิงติดลบเหมือนอย่างคุณ จำเอาไว้”
                อัครรัฐได้แต่ยืนนิ่งฟังเธอด่ากลับอย่างไม่ไว้หน้า คำด่าตอกหน้าของเธอทำให้เขาโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอยังกระชากป้ายชื่อที่หน้าอกออกอย่างแรง ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วขว้างมาถูกช่วงขาของเขา มันไม่ได้ทำให้เจ็บกายสักนิดเดียว แต่มันเจ็บใจที่ถูกพนักงานชั้นล่างปฏิเสธได้อย่างเจ็บแสบนัก “จะรีบไปไหน คิดว่าตัวเองเป็นใคร ด่าฉันฉอดๆแล้วจะเดินหนีไปเฉยๆอย่างนี้ มันง่ายไปหน่อยไหม”
                “กรี๊ดดด... ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ มาจับฉันไว้ทำไม” ชยาภากรีดร้องพร้อมดิ้นสุดแรง เมื่อท่อนแขนแกร่งตวัดเข้าที่ช่วงเอว แรงมหาศาลของผู้ชายด้านหลังยังยกร่างเล็กให้ลอยหวือขึ้นจากพื้นดิน “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
                “ด่าได้ดี... เดี๋ยวจะได้รู้ว่าอย่างอื่นจะดีด้วยรึเปล่า” อัครรัฐเค้นเสียงรอดไรฟันชิดริมใบหูบาง เหวี่ยงร่างอ้อนแอ้นลงโซฟาตัวนุ่มไม่เบานัก แล้วโถมตัวเองกักขังร่างเล็กไว้ใต้ตัวเองอย่างง่ายดาย
                อึก! ชยาภาจุกไปพักใหญ่เพราะแรงเหวี่ยงรวมเข้ากับกำแพงเลือดเนื้อที่ทาบทับลงมาทั้งตัว หากแต่การเปิดปากออกเพราะต้องการร้องขอความช่วยเหลือนั้นมันเป็นการคิดผิดอย่างมหันต์ “กรี๊ด... อุ๊บ! อื้อ...”
                อัครรัฐบดจูบหนักๆลงมาทันทีราวกับตั้งท่ารอไว้แต่แรกแล้ว สองมือเล็กถูตรึงไว้บนศีรษะด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียว อีกมือสอดเข้าตรึงท้ายทอยสวยให้รับจุมพิตแสนเร่าร้อนอย่างไม่มีทางหนีรอดไปได้เลย
                ชยาภาใจหายวาบเมื่อสัมผัสได้ถึงลิ้นหนาที่สอดเข้ามาในโพรงปาก พยายามหนีแรงดึงดูดที่หมายจะเกี่ยวเอาลิ้นของเธอไป หากไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างใจคิดเพราะแรงบดของริมฝีปากบึกบึนนั้นช่างรุนแรงจนเจ็บร้าวไปทั่วโครงหน้า
                อัครรัฐยิ้มกริ่มในใจ เมื่อสามารถปราบพยศเด็กเลี้ยงแกะปากดีได้ด้วยความช่ำชองของประสบการณ์ผู้ชายเจนโลก เธอไม่เพียงปากดี แต่ยังหวานจับใจ ลิ้นเล็กนุ่มนั้นหนีเอาตัวรอดได้ไม่นานก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแรงดึงดูดของเขา เธอเงอะงะแต่ก็เผลอตัวคล้อยตามในบางครั้งได้อย่างน่ารัก เพียงแค่เขาตวัดลิ้นไปทั่วโพรงปากหวานฉ่ำก็ได้ยินเสียงครางฮือในลำคอระหง
                ความรู้สึกหวิวใจบังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเขาจู่โจมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงแรกเริ่มที่ได้รับแปรเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นความซ่านใจ แรงดูดดึงโรมรันในโพรงปากมันทำให้สติสัมปชัญญะเลือนหาย เรี่ยวแรงต่อต้านก็ลดลงอย่างน่าใจหายเช่นกัน หากอาการตัวอ่อนระทวย ยินยอมเดินไปตามสัมผัสที่เขาชักพานั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มผยอง อัครรัฐเลื่อนฝ่ามือที่ตรึงข้อมือเล็กลงมากอบกุม เคล้นคลึงทรวงอกแน่นหนั่น ก้อนเนื้อเต่งตึงหยุ่นมือนั้นช่างให้ความรู้สึกดียิ่งนัก สัมผัสรุกเร้าที่เพิ่มขึ้นมันยังเรียกเสียงครางน่ารักจากเจ้าของร่างได้เป็นอย่างดี
                อัครรัฐถอนจุมพิตเร่าร้อนออกจากริมฝีปากอิ่มอย่างอ้อยอิ่ง ซุกไซร้ทั้งปากและจมูกทั่งวงหน้างดงาม คลอเคลีย ดอมดมความหอมจากลำคอระหง แอ่งชีพจรเรื่อยมาจนถึงก้อนเนื้ออวบหยุ่นที่จัดการปลดกระดุมออกจากรังดุมด้วยมือเพียงข้างเดียว หากชายหนุ่มไม่เสียเวลาที่จะหาวิธีจัดการกับบราเซียร์ลูกไม้สีหวาน เขาออกแรงดึงกรวยลูกไม้เพียงเล็กน้อย ทั้งใบหน้าก็ได้ซุกซบกับเนื้อเนียนนุ่ม
                หากแต่ความร้อนชื้นที่ประทับลงมาบนยอดทรวงพร้อมกับแรงดูดดึงผ่อนหนักผ่อนเบาเป็นจังหวะน่าหลงใหล ก็ทำให้ชยาภาตกใจแทบสิ้นสติเพราะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองยอมให้เขารุกล้ำร่างกายมากมายได้อย่างไร?! ดวงตาคู่หวานจับได้เพียงภาพของศีรษะที่มีผมสีเข้มกำลังคลุกเคล้าอยู่บนทรวงอกข้างขวาอย่างเมามัน จึงรวบรวมสติอันน้อยนิดเปล่งสีออกไปอย่างกระท่อนกระแท่น “อะ...อย่า... ออกไป จากตัว ฉันนะ!”
                อัครรัฐหงุดหงิดใจกับแรงต่อต้านที่เริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ เธอขัดสุนทรีย์ในการดื่มชิมความหวานของทรวงอกทั้งที่เขาเพิ่งลิ้มลองมันได้ข้างเดียว ชายหนุ่มจึงถอนริมฝีปากออกจากทรวงอกหมายจะก้มลงมาร่ายมนตร์ตราที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้งเพื่อปราบอากาศต่อต้าน
                ผลั๊ว!...
                ชยาภาเกรงลำคอ กระแทกหน้าผากเข้ากับปลายจมูกโด่งของเขาอย่างแรง มันเรียกเสียงครางด้วยความเจ็บปวดจากริมฝีปากบึกบึนได้ ความอ่อนหวานของเธอทำให้เขาไม่ทันได้ระวังตัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเป็นอิสระ... ชยาภาก็คว้าเอาโคมไฟสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกที่ผลิตขึ้นไม่กี่ชิ้นในโลกขึ้นมาฟาดที่สีข้างของเขาอย่างแรง!
                “นี่แน่ะๆ คิดจะรังแกผู้หญิงงั้นเหรอ ไปตายซะ!” ชยาภาทิ้งโคมไฟราคาแพงที่ไม่เหลือสภาพเดิมอย่างไม่แยแส สองมือติดกระดุมเสื้อจัดเสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง มองผู้ชายที่ร้องโอดครวญอยู่บนโซฟาอย่างสาแก่ใจ
                “ยัยตัวแสบ ยัยเด็กเลี้ยงแกะ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่” อัครรัฐเค้นเสียงออกมาอย่างอาฆาต ที่เธอลงไม้ลงมือมันก็ไม่ได้ทำให้เขาเลือดตกยางออก หากแต่ความที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็ทำให้เขามึนศีรษะจนถึงนาทีนี้ “ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ ถ้าฉันไม่ได้ลงโทษเธออีกครั้ง อย่ามาเรียกคนอย่างฉันว่าอัครรัฐเลย!”
                ชยาภาไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีกต่อไปเพราะถ้าหากไม่อาศัยช่วงเวลานี้เอาตัวรอด มีหวังคงต้องตกเป็นนางบำเรอของผู้ชายจิตใจคับแคบอย่างเขาเป็นแน่ ชาตินี้ทั้งชาติขออย่าได้พบเจอกันอีกเลย บอกกับตัวเองว่าจะไม่ทนกับเรื่องแบบนี้อีกต่อไปแล้ว แม้อีกไม่กี่วันจะถึงสิ้นเดือนและไม่ได้รับเงินเดือนก็ตามที ชยาภาเดินออกจากโรงแรมหรูโดยที่ไม่บอกกล่าวหรืออำลาใครเลยแม้แต่เพียงคนเดียว สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือกลับบ้านหลังเล็กของตน อาบน้ำชำระคราบไคล กลิ่นของผู้ชายที่แสนเกลียดชังยังติดตัว ลอยอบอวลอยู่ในขณะนี้ให้สิ้นไป แล้วตั้งสติหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา