นางบำเรอเลื่อนขั้น
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.28 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) นางบำเรอเลื่อนขั้น ตอนที่ 4 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ชยาภาจึงถือโอกาสเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในสวนหย่อมของโรงแรม ใช้ช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการทำงานระงับสติอารมณ์ สองมือเล็กวางประสานกันบนตักราวกับกำลังฝึกสมาธิ แต่แท้จริงแล้วหญิงสาวกำลังนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ทบทวนถึงความจำเป็นที่จะต้องอดทนทำงานต่อไปเพราะความจำเป็นหลายอย่างบีบบังคับ ไม่เช่นนั้นเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาคงจัดการสาดน้ำสะอาดในแก้วเป็นการเรียกสติ และเรียกศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงที่ถูกดูแคลนกลับคืนมาแล้ว
หากแต่ยังคิดว่าตัวเองโชคดีนักที่ไม่ได้หุนหันพลันแล่นทำลงไปเช่นนั้น เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนกับการตกงานของเธอ คงจะเป็นน้องสาวฝาแฝดที่กำลังจะจบการศึกษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ครืด... ครืด... ครืด...
เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ชยาภารีบควานหาอุปกรณ์สื่อสารออกมากดรับสายอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเบอร์โทรที่โชว์หราอยู่หน้าจอนั้นคือหัวหน้าแผนกแม่บ้านนั่นเอง
“ชยาภาพูดสายค่ะ”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน ให้คนไปตามก็ไม่เจอ”
ชยาภาขมวดคิ้วมุ่นกับเสียงร้อนรนใจของหัวหน้าแผนกแม่บ้าน “ดิฉันเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ เรียกหาฉันมีอะไรคะ”
“ก็มีน่ะสิ ไม่งั้นจะเรียกหาทำไม ตอนนี้ท่านรองออกไปข้างนอก เธอรีบไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนท่านให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับนะ”
“เอ่อ... แต่เมื่อเช้านี้ดิฉันจัดการไปแล้วนะคะ” ชยาภาพยายามหลีกเลี่ยง หากแต่ต้องเงียบเสียงเมื่อได้ยินปลายสายตวาดมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เอ๊ะ! มันชักจะมากไปแล้วนะชยาภา ท่านเป็นเจ้านายต้องการยังไง เราเป็นคนในปกครองก็ต้องทำตาม ท่านแค่ไม่ชอบผ้าปูสีหวานๆ ก่อนออกไปสั่งให้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีน้ำตาลของ...” หัวหน้าแผนกแม่บ้านบอกยี่ห้อแบรนด์หรู ซึ่งนำเข้าจากประเทศอังกฤษให้พนักงานสาวได้รับรู้
“เอ่อ... ท่านรองออกไปข้างนอกจริงๆแล้วใช่ไหมคะ? คะ...คือ ดิฉันหมายความว่าท่านออกไปข้างนอกแล้วใช่ไหมคะ กลัวว่าท่านยังอยู่จะเข้าไปรบกวนเวลาส่วนตัวของท่านน่ะค่ะ” ชยาภาแก้ด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
“เอ๊ะ! เธอนี่ชักเอาใหญ่แล้วนะชยาภา เห็นฉันเป็นเด็กๆหรือยังไง ท่านออกไปได้สักสิบห้านาทีก่อนที่ฉันจะตามหาตัวเธอแล้ว และถ้ายังไม่รีบไปจัดการล่ะก็... ท่านกลับมาเจอเข้าแล้วทุกอย่างยังไม่เรียบร้อย ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”
“ค่ะๆ ดิฉันจะรีบไปจัดการให้เรียบร้อยค่ะ” ชยาภารับคำพร้อมดึงโทรศัพท์ออกมามองด้วยความหน่ายใจ เกลียดที่สุดคือผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิง เห็นความจนเป็นเรื่องขบขันซึ่งสามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเดินกลับเข้ามาด้านในอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ ทั้งปลอบใจตัวเองว่า รีบจัดการให้เสร็จจะได้รีบกลับบ้าน ถึงยังไงเขาก็ไม่อยู่ในห้องให้ต้องเผชิญหน้าอย่างเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา...
ภายในเพนท์เฮาส์สุดหรูชั้นบนของโรงแรมพิพิธรีโซเทล แบงค็อก ซึ่งเจ้าของหนุ่มกำลังจับตามองร่างอ้อนแอ้นที่กำลังดึงชายผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลเข้มสอดไว้ใต้ฟูกหนาอย่างคล่องแคล่ว เป็นครั้งแรกที่รองประธานกลุ่มพิพิธรีโซเทลแอบมองผู้หญิงคนหนึ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้อย่างเพลินตา ผ้าปูที่นอนที่เรียบตึงจนสามารถทำให้เหรียญกระเด้งได้สามารถเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของอัครรัฐได้เป็นอย่างดี สองตาคมกริบยังจ้องมองที่ร่างอ้อนแอ้นซึ่งกำลังรวบผมยาวสลวยขึ้นสูงกลางศีรษะ ส่งผลให้ใบหน้างดงามนั้นดูโดดเด่น ลำคอระหงที่มีลูกผมตกลงมาประปรายยิ่งทำให้เธอน่ามองมากขึ้นไปอีก ซ้ำร้ายภาพที่เห็นยังดึงดูดให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาร่างอ้อนแอ้นนั้นด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ
“ว้าย!...” ชยาภาร้องเสียงหลง ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อหมุนตัวกลับแล้วต้องชนเข้ากับกำแพงเลือดเนื้ออันแข็งแกร่ง ส่งผลให้ร่างบางหงายตึงลงบนที่นอนนุ่มทั้งกำแพงเลือดเนื้อนั้นยังล้มทาบทับไปตลอดร่าง!
ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบ รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ หากมีเพียงสายตากรุ้มกริ่มที่กวาดมองไปทั่ววงหน้างดงามและเสียงหัวเราะราวกับชอบใจหนักหนาเท่านั้นที่เรียกสติของชยาภาให้กลับคืนมา
“ท่านรอง!” ชยาภาเรียกด้วยความตกใจ เมื่อจับภาพใบหน้าคร้ามคมของผู้ชายที่เบียดเสียดเนื้อตัวลงมาจนอากาศไม่สามารถลอดผ่านได้
“ช่าย... จะมีใครที่เข้ามาในห้องนี้ได้อีก นอกจากฉัน”
“เอ่อ... ก็ไหนว่าท่านรองออกไปข้างนอกแล้วนี่คะ” ชยาภาเปล่งคำถามออกไปอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบ
“ออกไปแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ได้ ใครจะทำไม ในเมื่อมันเป็นอาณาเขตของฉัน”
“ค่ะ ดิฉันทราบแล้ว กรุณาลุกขึ้นด้วย ดิฉันทำงานเรียบร้อยแล้วจะขอตัวออกไปจากห้องนี้เสียที”
อัครรัฐก้มหน้าต่ำลงไปอีกนิด แปลกใจนักว่าเหตุใดเธอถึงมีท่าทีไม่อยากเข้าใกล้ตน ซึ่งมันแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปยิ่งนัก “ทำไม? มีลูกมีผัวแล้วหรือไง ถึงได้ทำท่าไม่อยากเข้าใกล้ฉันขนาดนี้”
“แล้วทำไมดิฉันต้องอยากเข้าใกล้ท่านรองล่ะคะ ในเมื่อเราเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้าง มันไม่มีความจำเป็นสักนิด แล้วก็ปล่อยดิฉันได้แล้ว” ชยาภาเถียงทั้งเริ่มดิ้นรนเมื่อเขาไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้น แต่กลับกดน้ำหนักลงมามากขึ้นจนน่าใจหาย “ปล่อยดิฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
อัครรัฐยิ้มพรายเมื่อเธอยิ่งดิ้น เขาก็ยิ่งได้สัมผัสร่างนุ่มนิ่มของเธอมากขึ้น ชักสนุกที่ได้เห็นคนสวยโวยวายและแสดงสีหน้าไม่พอใจ “อยากให้ปล่อยจริงๆน่ะเหรอ หรือว่าแค่ดิ้นพอให้เกิดอารมณ์ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็... ฉันจะบอกว่ามันได้ผลนะ!”
“บ้าหรือไง ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นดิฉันจะฟ้องคุณสมชาย” ชยาภาอ้างถึงคนสนิทของท่านประธานที่ได้พบเจอเมื่อเช้านี้ เพราะคิดว่าคงจะทำให้เขาหยุดทำบ้าๆอย่างนี้สักที
“อ้า... เธอเริ่มแสดงธาตุแท้ให้ฉันเห็นแล้ว” อัครรัฐลากเสียงยาวราวคิดแล้วเชียวว่าเธอก็ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป ที่บางครั้งต้องการมากกว่าเงิน
“ธาตุแท้อะไรของคุณ! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ชยาภาดิ้นรนหนักขึ้น หากแต่ไม่สามารถสู้แรงของผู้ชายตัวโตกว่าตนถึงสองเท่าได้ “ไม่งั้นฉันจะตะโกนให้คนช่วย จะแจ้งความให้คุณขายหน้าไปเลย ปล่อยนะ!”
“หัวหมออีกต่างหาก แล้วทำไมถามว่าต้องการเท่าไหร่ถึงไม่เรียกราคามา ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากใหญ่โตก่อน รู้ไหมว่าทำอย่างนั้นมันลดความอยากในตัวเธอลงตั้งเยอะนะ” เธอคงคิดว่าเขาเป็นไก่อ่อนล่ะสิ! ถึงจะได้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิง เล่นตัวเพื่อต่อรองราคา พอเขาติดกับก็ทำท่าขัดขืนโก่งค่าตัว แต่เมดคนสวยหัวสูงกว่าใครเพราะกล้าเอาทนายสมชายมาอ้าง นี่คงหวังให้เขารับเลี้ยงดูไปนานๆ “ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่”
ชยาภาเกลียดสายตาสู่รู้ที่อยู่ใกล้เพียงคืบนั้นนัก “ไม่จริงสักนิด ความคิดของคุณมันสวนทางกับดิฉันโดยสิ้นเชิง ดิฉันปฏิเสธการเข้าไปเป็นผู้หญิงของคุณทุกวิถีทาง แต่คุณกลับมองว่าดิฉันกำลังเล่นตัวเพื่อต่อรองราคา เอ๊ะ! บอกให้ปล่อย” ความโกรธผสมโมโหทำให้ลูกจ้างสาวเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกขานเจ้านาย ทั้งยังขึ้นเสียงตวาดดุอย่างไม่เกรงกลัว
“งั้นทำไมไม่อยากอยู่ใกล้ฉัน เธอโกหกทำไมว่าจำไม่ได้แม้กระทั่งรสจูบของฉัน ถ้ามันไม่ใช่การโก่งราคา?” อัครรัฐยังใช้คำถามตรงไปตรงมา ตอนนี้รู้สึกดีสุดๆที่ได้เบียดเสียดกับเรือนร่างนุ่มนิ่ม หอมกรุ่น สองตาจ้องริมฝีปากสีระเรื่อที่ขยับเถียงขึ้นลงไม่วางตา มันกระตุ้นเร้าให้สมองคิดไปไกลว่าหากเธอนอนเปลือยกายบิดร่างอยู่ใต้ตัวเขา จะให้ความรู้สึกดีแค่ไหนกันนะ?!
“ถ้าดิฉันตอบแล้วจะปล่อยใช่ไหมคะ” ชยาภาหันมาเผชิญหน้าตรงๆ เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าก็รีบชี้แจงด้วยการโกหกคำโต หวังเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ “ดิฉันแต่งงานมีครอบครัวแล้วจะอยากอยู่ใกล้คุณได้ยังไง ดิฉันกับสามีเรารักกันมากและมันก็คือคำตอบในตัวอยู่แล้วนี่คะ ดิฉันมีครอบครัวแล้ว จะอยากโก่งราคาค่าตัวอย่างที่คุณคิดได้ยังไงกัน ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าดิฉันสวมเขาให้สามี คุณเองก็จะได้ชื่อว่าเป็นชู้กับผู้หญิงที่เป็นเพียงแค่พนักงานเล็กๆในโรงแรมของตัวเอง”
อัครรัฐแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าเธอมีสามีแล้ว กายสาวนั้นเต่งตึงเกินกว่าที่จะเชื่อว่ามีครอบครัว รสจูบไม่ประสีประสาของเธอทำให้เขานึกอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นนัก จึงก้มลงเข้าไปใกล้อีกนิดและปฏิกิริยาของเธอนั้นคือกดศีรษะตัวเองลงไปกับที่นอนมากขึ้น หลับตาแน่นปี๋ราวกับสาวที่ไม่เคยต้องมือชายมาก่อน “ก็โอเค้... ฉันไม่ได้อดอยากจนต้องไปเป็นชู้ใคร แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า... จูบไม่เอาอ่าวของเธอนี่นะคือจูบของผู้หญิงที่มีสามีแล้ว”
ชยาภาอยากจะกรี๊ดๆใส่หน้าผู้ชายคนนี้นัก ทำไมเขาถึงได้มีนิสัยหยาบกระด้างได้อย่างนี้ หากแต่ต้องใจเย็นพูดจาด้วยเหตุผลเท่านั้นถึงจะรอดจากเงื้อมมือเขาได้ การสมอ้างว่าตนมีสามีแล้วนั่นก็ยังทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หญิงสาวจึงรู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว “เอ่อ... ฉันกับสามีจะเป็นยังไง คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์เพราะมันคือเรื่องส่วนตัว ใครจะไปช่ำชองอย่างคุณล่ะ ทีนี้ก็ปล่อยฉันกลับไปหาสามีสักที!”
“นี่จะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่ใช่คนดีอะไร...”
“ค่ะ จากการกระทำและคำพูดของคุณ ดิฉันรู้ดีแก่ใจเชียวล่ะ” ชยาภาชิงพูดก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ แต่มีหรือที่คนอย่างอัครรัฐจะสะท้านสะเทือน ก็เขาตั้งใจจะบอกเธอว่า หากมีสามีแล้วเขาก็ไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งแน่ แต่เธอกลับปากกล้า ใจร้อนไม่ยอมให้เขาพูดจนจบ
“ฮึ... มีผัวแล้วฉันก็ไม่เกี่ยงถ้าชอบ แล้วฉันก็ชอบผู้หญิงที่มีบุคลิกขัดแย้งในตัวเองเสียด้วยสิ ดูภายนอกนี่อ่อนหวาน หัวอ่อน แต่ข้างในแล้วช่ำชองไม่ยอมคน อยู่บนเตียงคนร้อนแรงอย่าบอกใคร” อัครรัฐแกล้งว่ายั่วอารมณ์ “อ้า... แค่คิดก็อยากลองแล้ว”
ได้ยินดังนั้นชยาภาก็ตกใจสุดชีวิต แต่คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยเธอไปนั้นกลับขัดแย้งกับการกระทำโดยสิ้นเชิง เพราะเขารีบผละออกจากตัวเธอราวกับเป็นขยะโสโครกสักอย่าง
เมื่อเป็นอิสระ ชยาภาก็ผุดลุกขึ้นด้วยความรวดเร็ว ไม่อยากคิดว่าเขาจะปล่อยด้วยเหตุผลกลใด แต่ตอนนี้ต้องรีบถอยห่างจากผู้ชายอันตรายคนนี้ให้มากที่สุด!
อัครรัฐมองร่างอ้อนแอ้นที่กำลังใช้มือปัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่อย่างลวกๆ เธอไม่ยอมหันกลับมามองเขาแม้แต่น้อย รีบขนผ้าปูเตียงผืนเดิมใส่รถเข็นแล้วเดินเร็วๆจนลับสายตา ทิ้งให้ชายชาญโลกที่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มอย่างเต็มที่มองตามด้วยความแปลกใจระคนสงสัย แต่เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์เครื่องบางที่ดังขึ้น ทำให้ต้องหันกลับไปคว้ามันขึ้นมาและกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างละอาใจ เมื่อเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอนั้นคือเบอร์โทรศัพท์ของทนายสมชาย ไม่บอกก็รู้ว่าคงจะเรียกตัวให้กลับไปทานอาหารเย็นที่คฤหาสน์พิพิธณรงค์ แต่สิ่งที่ทำให้อัครรัฐเบื่อหน่ายมากกว่าเดิมนั้นคือ อาหารเย็นมื้อนี้คงจะมีหญิงสาวที่พ่อของตนเชื้อเชิญมานั่งกรีดกรายรออยู่บนโต๊ะอาหารอีกเป็นแน่!
หลังจากที่รอดพ้นเงื้อมือผู้ชายร้ายกาจมาอย่างหวุดหวิด ชยาภาเริ่มคิดทบทวนถึงการหางานทำใหม่ เชื่อแน่ว่าอีกไม่กี่วันที่จะครบกำหนดทดลองงานนี้ คงไม่สามารถผ่านไปได้เพราะไปด่าว่าเจ้านายอย่างแรงอยู่หลายประโยค สายตาคมกริบที่มองในตอนที่ผละออกห่างนั้น ยังบ่งบอกว่ารังเกียจนักหนา ร่างอ้อนแอ้นก้าวเดินพลางคิดในใจไปอย่างเหม่อลอย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางเหล่านี้อยู่ในสายตาของรวิ ตลอดเวลา
“เป็นอะไรรึเปล่าชมพู่ ทำไมถึงหน้าซีด เดินเหม่ออย่างนี้?” รวิถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ แตะผ่ามือกร้านของตนเข้าที่เรียวแขนเสลา หากแต่ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าแรงๆพร้อมกับรอยยิ้มกว้างซึ่งตนรู้ดีว่าเธอกำลังแกล้งทำเพื่อไม่ให้เป็นห่วง
“เปล่านี่คะ ชมพู่คงดีใจที่ได้เลิกงานเร็วกว่าปกติหลายชั่วโมง เลยเซ็งๆมั้ง” จบคำพูดก็อยากจะโขกหัวตัวเองกับเสาป้ายรถเมล์หนักๆนัก เธอเป็นคนที่โกหกได้ยอดแย่ที่สุดในโลก จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย คว้ามือใหญ่ของหนุ่มข้างกายให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน “กลับเถอะค่ะ วันนี้เราซื้อกับข้าวเข้าไปทานด้วยกันนะ ชมพู่ส่งข้อความให้ส้มโอหุงข้าวรอแล้วค่ะ”
รวินั้นรู้ดีว่าหญิงสาวต้องมีเรื่องไม่สบายใจเป็นแน่ หากแต่ยังไม่อยากซักไซร้ในตอนนี้ เอาไว้ให้ถึงเวลาที่เธอพร้อมก็คงจะปริปากปรึกษาเอง “จ้ะ”
ปี๊น... ปี๊น...
เสียงแตรบีบไล่หลังที่ดังขึ้น ทำให้หนุ่มสาวทั้งคู่หันกลับมามองตามต้นกำเนิดของเสียงทันที และรถยนต์สุดหรูซึ่งพนักงานน้อยใหญ่ในโรงแรมพิพิธรีโซเทล แบงค็อก ต่างก็รู้ดีว่านี่คือพาหนะของท่านรองประธานหนุ่มหล่อ ตอนนี้กำลังเทียบรถจอดริมฟุตบาททั้งยังลดกระจก ก้มศีรษะทักทายพนักงานอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนัก!
“กลับบ้านกับภรรยาเหรอรวิ ไม่ยักรู้นะว่านายแต่งงานแล้ว?” อัครรัฐเอ่ยถามเลขานุการของหัวหน้าฝ่ายบุคคลทันทีตั้งแต่เห็นร่างคุ้นตาของผู้หญิงที่เขาต้องการ แต่มีอันต้องปล่อยไปถึงสองครั้งสองครา เพียงแค่เห็นเธอจับมือกับรวิอย่างสนิทสนมก็มั่นใจว่าสามีที่เธออ้างถึงนั้นคือใคร
รวิก้มลงมองมือข้างหนึ่งที่แฟนสาวเกาะกุมไว้พลางยกมืออีกข้างหนึ่งเกาศีรษะแก้เขิน อยากจะสมอ้างตัวเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็กลัวว่าชยาภาจะเสียหาย “ปะ...เปล่าครับ ชยาภาเป็นแฟนของผมครับท่านรอง ยังไม่ใช่ภรรยาครับ”
ชยาภาอ้าปากค้างเพราะไม่ทันได้ห้าม ได้แต่ก้มหน้านิ่งเมื่อเหลือสายตาไปมองผู้ชายในรถยนต์คันหรู แล้วเห็นเพียงสายตาคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจ
“อ่อ งั้นคงใกล้แล้วสินะ?” อัครรัฐถามแต่กลับจ้องร่างอ้อนแอ้นที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง เธอแน่อีกครั้งแล้วที่สามารถหลอกคนอย่างเขาให้เชื่อได้ นี่คงคิดว่าเขาไม่ต่างจากไอ้งั่ง มีเขางอกออกมาสามารถลูบจมูก ลูบปากเล่นได้ทุกเวลาสินะ “เด็กเลี้ยงแกะ!”
รวิไม่ได้ใส่ใจกับเสียงรอดไรฟันที่เจ้านายเปล่งออกมา เพราะยังรู้สึกเป็นเกียรตินักที่ท่านอุตส่าห์จอดรถไถ่ถามพนักงานอย่างตน “วันนี้ท่านรองจะออกไปรับประทานอาหารข้างนอกเหรอครับ”
“เปล่า... ฉันแค่จะไปหาวิธีจัดการกับเด็กเลี้ยงแกะเท่านั้นเอง” จบคำพูดก็เคลื่อนรถคันหรูออกไปด้วยความเร็วจนคนที่ยืนอยู่ได้ยินแค่เสียงอัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม
“เออ... ท่านรองนี่แปลกคนนะ ดูเหมือนมีหลายอารมณ์ในเวลาใกล้เคียงกัน” พูดพร้อมออกเดินขึ้นสู่สะพานลอยที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าซึ่งทั้งคู่ใช้เดินทางกลับบ้านทุกวัน
“เขาเรียกว่าคนไม่อยู่กับร่องกับรอย อารมณ์ไม่คงที่” ชยาภาช้อนสายตาคู่หวานมองผู้ชายที่หัวเราะร่วนอยู่ข้างๆ พลางเลิกคิ้วถามเพราะไม่เข้าใจว่าถูกอกถูกใจอะไรนักหนา “ขำอะไรคะ?”
“ก็ขำที่ชมพู่กล้าว่าท่านรองตรงๆน่ะสิ พูดกับพี่นี่ได้อยู่หรอก แต่อย่าไปหลุดปากพูดกับคนอื่นนะ เดี๋ยวเดือดร้อนเปลี่ยนงานแน่ เรายิ่งถูกจับตามองว่ายังไม่ผ่านการทดลองงานแต่ทำไมหัวหน้าแผนกแม่บ้านถึงได้คัดเลือกให้ไปรับผิดชอบเพนท์เฮาส์” รวิเตือนให้แฟนสาวด้วยความหวังดี “บางคนก็ยังว่าชมพู่เป็นเด็กเส้นเลย เพราะรู้ว่าเราคบหากันอยู่ แล้วพี่ก็เป็นเลขาของหัวหน้าฝ่ายบุคคล บางคนก็ว่า... เอ่อ...”
“ต้องหาสาวๆไปรับใช้ท่านรองใช่ไหมคะ” ชยาภาต่อให้ทันที เมื่อเห็นว่ารวิไม่กล้าพูดมันออกมา ทำไมเธอจะๆไม่รู้ว่า พนักงานสาวส่วนมากอยากทำหน้าที่นี้กันแทบทุกคน เพราะอยากใกล้ชิดกับผู้ชายที่มีทุกอย่างเพรียบพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะ เกิดจับพลัดจับผลูถูกตาท่านก็อาจจะสบายไปทั้งชาติ ไม่ต้องคิดว่าจะเป็นเมียแต่งตีทะเบียน ยกย่องออกหน้าออกตา หากแต่พอใจที่จะเป็นเพียงผู้หญิงที่อยู่ในมุมมืด ใช้ร่างกายบำรุงบำเรอเท่านั้น อย่างนี้สินะ ท่านรองที่ใครต่อใครต่างพากันยอมรับในความสามารถถึงได้ปฏิบัติตัวกับเธอ โดยถามราคาค่าตัวราวกับผู้หญิงริมทาง คิดแล้วยิ่งเจ็บใจนัก ไม่อยากแม้เข้าใกล้... เห็นทีจะต้องรีบมองหางานใหม่ที่ไม่ทำให้อึดอัดใจเช่นนี้โดยเร็วเสียแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ