หมื่นยุทธ์กำเนิดฟ้าดิน 18+

-

เขียนโดย มารบั้นท้าย

วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.57 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  16.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ประสบเคราะห์ พบคัมภีร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

กายล่องลอยอยู่กลางอากาศขณะตกลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างไม่อาจช่วยตัวเองได้ ภาพเบื้องหน้าหดเข้าใกล้อย่างรวดเร็วตามแรงตกจากที่สูง ความคิดและความรู้สึกนานัปการผ่านเข้ามาในสมองดุลประกายไฟ รดเร็วแต่เชื่องช้ายิ่ง ขณะที่กายหาได้ขยับตัวคล้ายต้องการให้ฟ้าดินตัสินชะตากรรมของเขา

‘นี่เราต้องตายแล้วหรือ’

‘แม่จ๋าช่วยด้วย’

‘ไม่น่าแส่หาเรื่องใส่ตัวเลย’

‘พ่อจ๋าช่วยด้วย’

‘รู้งี้เราจีบหญิงให้มากกว่านี้ดีกว่า’

‘เรากำลังจะตายแล้ว...’

‘บัดซบ!’

‘เรายังซิงอยู่เลย’

‘เรากำลังจะตายทั้งที่ยังซิงหรือนี่...’

ตื่นเต้น ตกใจ โกรธ เศร้าโศก ตึงเครียด สิ้นหวัง ความรู้สึกผสมปนเปกันจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้หมดสิ้น

แล้วจู่ๆ ก็เกิดความสงบ

ชั่วพริบตาแต่ชัดเจนยิ่ง

‘ข้าไม่อยากตาย!!!’

ความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ประทุออกจากส่วนลึกของจิตใจราวภูเขาไฟระเบิด ราวน้ำบ่าที่ไหลหลากลบกลืนความรู้สึกอื่นไปจนสิ้น ร่างกายที่หยุดนิ่งเริ่มไขว่คว้าออกรอบข้าง ขอเพียงมีโอกาสรอดแม้เพียงเล็กน้องเขาจะไม่ปล่อยมันทิ้งไป

ฉับพลันมือของเขาก็คว้าเข้ากับเถาวัลย์เส้นหนึ่ง ก่อนที่กายจะรู้ตัวหรือรู้สึกใดๆ ร่างของเขาก็หยุดการดิ่งลงเบื้องล่าง ร่างกระแทกเข้ากับผนังผาอย่างจังทำให้เขามึนงงไปชั่วขณะทว่ามือของเขากลับกำเถาวัลย์แน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ

เมื่อกายรวบรวมสติรับรู้ได้ที่ละนิด เขาพบว่าร่างกำลังกำลังเกาะนิ่งอยู่กับเถาวัลย์ช่วยชีวิต เบื้องล่างยังคงเป็นเหวมรณะที่เกือบจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเขาไป แต่ไม่ได้กำลังตกลงไปอีกแล้ว

ความรู้สึกโล่งอกและปลอดภัยเล็กเกิดขึ้นในใจ แม้จะยังอกสั่นขวัญหายไม่คลาย ใช่แล้วสิ่งมีชีวิตในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ หากมีความหวังรอดชีวิต แม้น้อยนิดก็ยังเป็นสุข

“ฮ่าๆ เจ้าพวกบ้า ได้ยินไหม ข้ายังไม่ตายโว้ย” กายหัวร่อออกมา ไร้สาระแต่ก็ลดความแตกตื่นลงได้ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะเริ่มมองสำรวจไปรอบว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ถึงแม้ตอนนี้จะรอดตายชั่วคราวแต่หากยังเกาะเถาวัลย์อยู่เช่นนี้ต้องไม่ดีแน่ ด้านหน้าเป็นผาหินแกร่งที่อยู่มีนานนับร้อยปี ด้านหลังเป็นอากาศธาตุอันเวงว้าง ใต้เท้าเป็นเหวมรณะที่เหมือนกำลังแสยะยิ้มรอเขาตกลงไปอยู่ เขารีบเงยหน้าขึ้นมาไม่กล้ามองลงไปอีก ส่วนด้านบน...

ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นว่าที่ด้านบน ณ จุดที่เถาวัลย์สิ้นสุด เถาวัลย์เหมือนจะหักศอกหายเข้าไปในหน้าผา

‘ด้านบนมีพื้นราบ!!!’ ความคิดพอบังเกิดสร้างความรู้สึกลิงโลดแถบคลุ้งคลั่งแก่กายยิ่ง เขาจึงตั้งหลักปีนขึ้นไปให้ถึงส่วนที่เถาวัลย์หักมุมนั้น ทีละมือที่ยกสูงขึ้น ดึงตัวให้สูงขึ้นไปทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถเอื้อมมือแตะขอบผา กายจึงรวบรวมกำลังยกตัวขึ้นสูงพื้นที่ราบก่อนที่จะนอนหงายหายใจหอบจนหน้าอกกระเพื่อมอยู่พักใหญ่

‘ในที่สุดก็รอดตายแล้ว’ กายคิด ความโล่งอกบังเกิดขึ้นช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลาย อย่างน้อยตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว สองตามองขึ้นไปยังเบื้องบนที่เป็นผนังผาตัดกับเมฆหมอกทำให้ไม่เห็นด้านบนสุด

‘ตกหน้าผา ไม่ตาย?’ พอรอดตายความคิดคำนึงก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง

‘ฮึๆ ถ้าเป็นนิยายตัวเองตกเขา ไม่ตายต้องพบถ้ำ เจอคัมภีร์ยุทธไปแล้ว’ กายคิดเรื่อยเปื่อย พอคิดอีกทีก็ขำตัวเอง ‘เรานี่บ้าจริงๆ พอรอดตายได้ก็นึกถึงนิยายจีนทันที สงสัยอาการจะหนัก’ แม้คิดเช่นนั้นกายก็ยังหันกลับไปมองด้านผนังผา เป็นการมองเล่นๆ โดยไม่คิดอะไร แต่การมองครั้งนี้กลับทำให้เขาตกตะลึงจนนิ่งอึ้งพูดไม่ออก

เบื้องหน้าสายตานั้นเป็นพุ่มไม้เล็กๆ ที่มีเถาวัลย์ยื่นออกมา ส่วนเบื้องหลังของพุ่มไม้กลับเป็นถ้ำๆ หนึ่ง

มีถ้ำอยู่จริงๆ!!?

กายเหมอมองดูถ้ำที่เบื้องหน้านิ่งอย่างลืมตัว ด้วยความคิดเหลวไหลกลับกลายเป็นจริง ในใจส่วนลึกมีความคิดผุดขึ้น ‘...คัมภีร์ยุทธ...’ โดยที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ตัว

‘ไม่ๆ เป็นไปไม่ได้ นี่ชีวิตจริงน่ะ ไม่ใช่นิยาย’ กายสะบัดหัวไล่ความคิดเหลวไหลทิ้งไป ตอนนี้สมควรหาทางออกจากสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน เพราะหากยังติดหน้าผาอยู่อย่างนี้ยังไงก็ต้องอดตายอยู่ดี กายจึงเริ่มสำรวจพื้นที่รอบข้าง เขามั่นใจว่าไม่สามารถปีนหน้าผาขึ้นไปด้านบนได้เพราะจากที่เขาประเมินมันชันเกินไป และไม่มีที่หยังเท้า ถึงแม้ยังพอสามารถที่จะปีนได้แต่เขาต้องหมดแรงเสียก่อนเป็นแน่ ส่วนการปีนลงไปด้านล่างก็เหมือนกัน อีกทั้งเขาก็ไม่ทราบว่าด้านล่างจะมีทางออกจกาหุบเหวหรือไม่ กายครุ่นคิดอยู๋พักหนึ่งก็หันกลับมามองที่ถ้ำอีกครั้ง

‘คาดว่าคงมีทางนี้ทางเดียว คงต้องฝากความหวังในการหาทางออกไว้ที่ถ้ำนี้แล้ว’ กายครุ่นคิด เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะมีทางออกหรือไม่แต่มันก็เป็นความหวังเดียวในขณะนี้

‘แต่ถ้าเกิดพบมีคัมภีร์แทนก็ดีไม่น้อย หึๆ’ กายคิดติดตลกเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มออกเดินไปที่ปากถ้ำ

ตอนนี้กายสังเกตเห็นแล้วว่าถ้ามองจากปากถ้ำภายในไม่ได้มืดมิดมากนัก และเมื่อเขามองลึกเข้าไปข้างในอีกพบว่าไม่ไกลนัก ทางเดินเข้าไปมีการหักเลี้ยวไปทางซ้ายทำให้ไม่อาจมองลึกเข้าไปได้อีก ตอนนี้เขาเริ่มคิดลึกลงไปอีกว่าหากว่าข้างในถ้ำมืดมิดไม่มีแสงสว่างล่ะ? ถ้าภายในถ้ำมีสัตว์หรือแมลงร้ายล่ะ? ถ้าภายในถ้ำไม่มีทางออกล่ะ!? ความคิดราวนี้ผุดขึ้นมาในหัวสร้างความกังวลให้แก่กายยิ่ง ความกลัวระคนตื่นเต้นนำพาให้หัวใจเขาเต้นระทึก

‘กังวลไปก็เท่านั้น’ กายรีบสะบัดหน้าอีกครั้งเพื่อไล่ความสับสน แล้วกัดฟันเดินเข้าปากถ้ำไป

เมื่อมาถึงทางหักเลี้ยวกายก็เลี้ยวซ้าย และเกือบจะในทันทีเขาก็พบว่าทางเดินบังคับให้เลี้ยวขวาต่อซึ่งเขาก็เดินตามทางต่อไป พอพ้นทางหักเลี้ยวมาเขาพบว่าข้างหน้าเป็นทางเดินสั้นๆ ที่ปรากฏแสงสว่างลอดเข้ามา กายดีใจยิ่งหากว่าแสดงว่าภายในถ้ำมีทางให้แสงสว่างลอดเข้ามา นั้นอาจจะสามารถพาเขาออกไปจากที่นี่ได้ เขาจึงเริ่มวิ่งไปเบื้องหน้า

ชั่วหายใจเข้าออกห้าครั้งกายก็วิ่งมาถึงสุดทางเดินทาง แสงสว่างกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น ตอนแรกกายยังปรับสายตาไม่ทัน แต่เมื่อสายตาค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้วสมองเริ่มรับรู้ภาพที่เบื้องหน้ากายถึงกับปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น

ทุกที่ทางขยายกว้างออกเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ คล้ายห้องประชุมที่จุผู้คนได้นับร้อย ด้านบนระหว่างหินงอกหินย้อยมีช่องว่างให้แสงสว่างส่องลอดลงมาทำให้เห็นสภาพภายในถ้ำได้อย่างชัดเจน ผนังรอบด้านถูกแกะสลักเป็นช่องขนาดใหญ่สิบสองช่องใส่ไว้ด้วยแผ่นหินรูปสลักเทพเจ้าและสัตว์ในตำนานต่างๆ รูปสลักเหล่านี้ถูกแกะอย่างปราณีต ทุกรอยนูนทุกเส้นโค้งเว้าล้วนประสานเสริมเป็นธรรมชาติไร้ที่ติ ดูสูงส่งและน่าเกรงขามคล้ายกับมีชีวิตก็มิปาน แม้มีฝุ่นจับจนหนาตามกาลเวลาที่ถูกทิ้งร้างแต่ก็หาได้ลดทอนความวิจิตรงดงามแม้แต่น้อย ณ จุดกึ่งกลางของโพรงถ้ำมีฐานหินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ด้านบนราบเรียบตั้งอยู่ บนฐานหินนั้นปรากฏโครงกระดูกสองโครงตั้งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ!! เบื้องหน้าโครงกระดูกวางไว้ด้วยคัมภีร์สองเล่ม!!!

กายถลึงตามองโครงกระดูก ก้มลงมองคัมภีร์ เงยขึ้นมองโครงกระดูกอีกครั้ง ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักใหญ่

“มีคัมภีร์จริงๆ!? แถมมีถึงสองเล่ม!” กายรำพึงออกมาอย่างลืมตัว เหมือนกับจะถามย้ำกับตนเองให้แน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน

“โอ้ย!” กายหยิกแก้มตัวเองแล้วร้องออกมา

ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าไม่ใช่ความฝัน ความยินดีเกิดขึ้นในใจโดยไม่ทราบสาเหตุก่อนที่จะกู่ร้องออกมาก่อนที่จะเต้นแร้งเต้นกาไปรอบๆ ราวกับคนบ้าด้วยความยินดี นี้ก็ช่วยไม่ได้สำหรับคนบ้านิยายกำลังภายในเข้าขั้นเสพติด สิ่งที่เคยได้แต่อ่านได้แต่มโนในใจกลับปรากฏให้เห็นต่อหน้าต่อตาจริงๆ มันช่างซาบซ่านถึงใจยิ่งนักจะไม่ให้คลุ้งคลั่งดีใจเห็นจะยาก น่ากลัวว่าที่ดีใจหาใช่สนใจในคัมภีร์ไม่กลับเป็นเหตุการณ์ในการพบคัมภีร์เสียมากกว่า

“เฮ้ย! ไม่ใช่ เราต้องหาทางออกก่อนสิ” กายได้สติขึ้นมาหลังจากกระโดดโลดเต้นอยู่นานจนเหนื่อยหอบ ใช่แล้วตอนนี้หาทางออกสำคัญกว่า

“คัมภีร์จ๋า รอก่อนน่ะจ๊ะ” กายหันหน้าไปพูดกับคัมภีร์ แต่คัมภีร์หาตอบคำไม่

กายเริ่มจากเดินวนรอบห้อง ตอนนี้เขาสังเกตว่าห้องนี้ไม่ได้ใหญ่อย่างที่เขาคิด แม้จะมีรอยแตกหรือช่องตามผนังอยู่บ้าง แต่ไม่มีช่องไหนที่ดูจะสามารถพาเขาออกไปได้ ส่วนช่องแสงด้านบนเพดานก็เป็นเพียงช่องเล็กที่มองไม่เห็นภายนอก ส่วนทางเดินอื่นนอกจากทางที่เข้ามาก็ไม่มีทางอื่นอีก กายรู้สึกผิดหวังระคนร้อนใจอยู่บ้าง เขายังคงเดินไปเดินมาครุ่นคิดหาทางออกอยู่อีกหลายเที่ยวแต่ก็ไมได้ผลรับใดๆ

‘ไม่มีทางออก!?’

‘หรือเราต้องตายอยู่ที่นี่?’

‘เจอของดีแต่ต้องตายจะมีประโยชน์อะไร’

‘จะทำยังไงดี?’

‘คิดสิคิด’

หลังจากเดินวนอยู่หลายรอบกายก็ทรุดนั่งลงกับพื้นครุ่นคิดอย่างอับจนปัญญา ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แล้วเขาก็เหลือบมองไปทางคัมภีร์แวบหนึ่ง

‘ไหนๆ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ลองดูคัมภีร์เล่นๆ แล้วกัน’ คิดได้ดังนั้นกายก็ลุกขึ้นเดินมาตรงที่คัมภีร์วางอยู่ ความจริงเขากลัวโครงกระดูกทั้งสองอยู่บ้างเพราะเขาเพิ่งเคยเห็นโครงกระดูกของจริงเป็นครั้งแรก แต่ถึงไงเขาก็ต้องตายอยู่แล้วยังจะกลัวทำไม อีกทั้งกายกำลังหงุดหงิดและสิ้นหวังจนกลบความกลัวไปได้ไม่น้อย

ตอนที่เข้ามากายไม่ได้สนใจโครงกระดูกทั้งสองเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะสังเกตโครงกระดูกทั้งสองอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก โครงกระดูกหนึ่งรูปโครงสัดทัดไม่ใหญ่ไม่เล็กสวมใส่เสื้อผ้าที่แลดูคล้ายชุดนักพรตหรือผู้บำเพ็ญเพียรสีเทาเก่าขาดมีรอยปะชุนอยู่ทั่วไปจนไม่สามารถเก่าไปกว่านี้ มือทั้งสองขัดกันบนตักในท่าทำสมาธิ บนมือนั้นวางไว้ด้วยถุงผ้าสีนำตาลเนื้อหยาบแลดูธรรมดาสามัญใบหนึ่ง ส่วนโครงกระดูกมีร่างหนึ่งกลับมีรูปโครงใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีสีดำประดุจนิลที่ถึงแม้จะมีฝุ่นจับและเก่าแต่ก็สามารถจิตนาการได้ว่าสมัยที่ยังเป็นของใหม่ต้องมีราคาค่างวดไม่น้อย บนอกปักลายเศียรมังกรด้วยดิ้นเงินประณีต บนตักวางไว้ด้วยดาบใหญ่ที่สวมใส่อยู่ในฝักดาบสีดำไร้ลวดลายใดๆ ที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นปลายด้ามจับที่ประดับด้วยอัญมณีสีแดงดังโลหิตจนรู้สึกว่ามันกำลังจะหยดลงพื้นได้ทุกขณะ บนดาบมีมือทั้งสองข้างวางไว้ ทุกสิ่งประกอบกันเป็นสร้างมโนภาพของบุรุษอหังการผู้หนึ่ง ซึ่งขณะที่กายมองดูโครงกระดูกร่างนี้เขารู้สึกหลอนจนขนลุกอย่างบอกไม่ถูกจินตนาการไปว่าหากคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่จะต้องเป็นยอดคนผู้ไม่กลัวฟ้าดินอย่างแน่นอน

กายไม่กล้ามองโครงกระดูกนั้นต่อจึงหันความสนใจมาที่คัมภีร์ทั้งสองเล่มซึ่งจัดวางอยู่หน้าโครงกระดูกทั้งสองร่างละเล่ม โดยเริ่มจากเล่มที่อยู่หน้าโครงกระดูกในชุดนักพรตก่อนที่จะหยิบขึ้นมา

คัมภีร์เล่มนี้หน้าปกเป็นสีน้ำเงิน เนื้อกระดาษหยาบหนามีรอยคราบสกปรกอยู่เต็มไปหมด บนหน้าปกมีอักษรสีซีดเขียนไว้ว่า ‘นิรนาม’

“คัมภีร์นิรนาม?” กายรำพึงออกมาเบาๆ เขาไม่รู้ว่าคัมภีร์นี้มีที่มายังไงและไม่มีความรู้เรื่องคัมภีร์จริงๆ เลยมีแน่อ่านจากนิยายซึ่งคงนำมาเปรียบเทียบกันไปได้ ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี จ้องมองอยู่ชั่วขณะกายก็วางคัมภีร์ลงและวกมามองอีกเล่มหนึ่งที่อยู่หน้าโครงกระดูกที่มีดาบใหญ่วางอยู่

คัมภีร์เล่มนี้ดูใหม่กว่าอยู่บ้างหน้าปกเป็นสีดำสนิท (ชอบสีดำจริงๆ) ทำจากกระดาษเนื้อดีและทนทานต่อกาลเวลา สภาพของคัมภีร์แสดงให้เห็นได้ถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของได้เป็นอย่างดี บนปกเขียนตัวสีทองอหังการตวัดด้วยลายพู่กันที่คมชัดเด็ดเดี่ยวว่า ‘ดาบเทพยุทธ์’

สำหรับเล่มนี้กายมั่นใจเต็มร้อยว่าต้องเป็นยอดวิชาอย่างแน่นอน เพราะดูจากลักษณะของเจ้าของและวัสดุที่ใช้ทำก็แสดงว่าคนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ อีกทั้งชื่อคัมภีร์ ‘ดาบเทพยุทธ์’ ก็โฆษณาตัวเองเสียขนาดนั้น โดยเฉพาะในนิยายที่เขาเคยอ่านมาหากพระเอกตกเขาไม่ตายเจอคัมภีร์ต้องเป็นสุดยอดวรยุทธ์เก้าในสิบส่วน

“ใช่ยอดวิชาจริงๆ ด้วย” กายกล่าวพร้อมกับยิ้มดีใจอย่างขมขื่น

“หากว่าเราไม่ต้องมาตายอยู่ที่นี้ล่ะก็...”

กายรู้สึกหดหู่ไม่น้อยได้พบยอดวิชาแต่ตัวเขาเองกลับไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ จนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมก้มหน้าลงต่ำ และขณะที่ก้มหน้าอยู่นั้นสายตาเขาก็สะดุดเข้ากับลวดลายบางอย่างที่เมื่อกี้เขาไม่สามารถมองเห็นได้เพราะถูกคัมภีร์ทับไว้ กายจึงจ้องมองอยู่ชั่วขณะแล้วเขาก็นึกออก ที่แท้มันก็คืออักษรภาษาจีนนั้นเองซึ่งบางส่วนถูกเศษฝุ่นกลบบังไว้

กายจึงเริ่มบัดฝุ่นออก และก็เผยให้เห็นข้อความทั้งหมดซึ่งแบ่งออกเป็นสองชุด เขาจึงเริ่มอ่าน

‘ข้าเทพยุทธ์ก่อเกียรติเกริกไกรทั่วหล้า
ด้วยดาบคู่กายพิชิตศึกนับหมื่นไร้ผู้ต่อต้าน
เดี่ยวดายไร้คู่มือกว่าครึ่งชีวิต
บัดนี้พบพานคู่มือผู้รู้ใจแม้ชีพวายไร้ซึ่งความเสียใจใด
เพียงห่วงยอดวิชาสาบสูญจากโลกา
ขอทิ้งไว้ให้แก่ผู้มีวาสนา’

ส่วนอีกข้อความหนึ่ง

‘นิรนามไร้ชื่อต่ำต้อยมิควรค่าแก่ให้เอ่ยอ้าง
บำเพ็ญเพียรบรรลุแจ้งเทพวิชาเหนือโลกา
ความจริงหมายละโลกบรรลุธรรม
กลับพบพานสหายแท้ผ่านยุทธมิอาจทอดทิ้ง
วิชาด้อยค่าไร้นาม แลมุกอรหันต์ดูดโลหิต
ขอทอดปณิธานสู่คนรุ่นหลังเพื่อบรรลุ

กายอ่านข้อความทั้งหมดจบก็รู้สึกซาบซึ้งและชื่นชมต่อมิตรภาพของทั้งสองที่ถ่ายถอดออกมาทางตัวอักษร ทั้งสองคนเป้นยอดคนที่พบกันผ่านทางการประลองยุทธ์และได้เป็นเพื่อนผู้รู้ใจที่ต้องการทิ้งยอดวิชาไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมต้องมาทิ้งไว้ในที่อโคจรเช่นนี้

ซึ่งความจริงนี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาเข้าใจและสามารถจินตนาการได้เท่านั้น แต่สิ่งที่เขาไม่ทราบคือแท้ที่จริงแล้วโครงกระดูกใหญ่ที่เขาพบนั้น เมื่อกว่าห้าร้อยปีก่อนคือเทพยุทธ์ที่ท่องทะยานไร้ผู้ต่อกร ด้วยดาบ ‘ญาณสะบั้นเทพมาร’ ในมือเขาได้สังหารผู้คนกว่าสิบหมื่น ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนต้องจบชีวิตภายในคมดาบของคนผู้นี้ จากเหนือจรดใต้ ตะวันออกสู่ตะวันตกหามีผู้ใดรับมือเขาได้เกินสองกระบวนท่า ในตอนนั้นหากเอ่ยชื่อเทพยุทธ์ออกมาแม้แต่เด็กน้อยยังหยุดร้องไห้

ด้วยความเหี้ยมหาญ ดุดัน และหยิ่งทะนง อีกทั้งบรรลุยอดวิชาเหนือใต้หล้า ทอดตาทั่วแผ่นดินไร้ผู้ทัดเทียม ต้องเดี่ยวดายไร้มิตรและศัตรู สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแสวงหาคู่มือที่คู่ควรจึงเกิดการฆ่าฟันไม่จบสิ้น

ขณะที่การเข่นฆ่าดำเนินไป ก็ปรากฏบุคคลนิรนามที่ผู้คนไม่ทราบที่มาหรือแม้ชื่อเสียงเรียงนามประกาศท้าสู้กับเทพยุทธ์ ทั้งสองนับหมายประลองกันบนเทือกเขาเทียนซานในวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ ไม่มีใครทราบรายละเอียดของการประลอง ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แพ้หรือใครเป็นผู้ชนะ หากแต่หลังจากที่เทพยุทธ์ขึ้นเขาสู่สถานที่ประลอง ก็หายสาบสูญไปพร้อมกับบุคคลนิรนามนั้นและไม่ปรากฏตัวในยุทธภพอีกเลย ที่แท้พวกเขาก็มาละโลกกันอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ส่วนเรื่องที่พวกเขาทำไมถึงมาอยู่ที่นี้คงมีแต่ต้องถามคนทั้งสองเท่านั้นจึงจะทราบได้

ส่วนอีกร่างหนึ่งน่าจะเป็นบุคคลนิรนามคนนั้น

กายเกิดความเคารพต่อโครงกระดูกทั้งสองขึ้นมาไม่น้อย แต่พอมาคิดอีกที อีกไม่นานเขาก็คงต้องเป็นโครงกระดูกอีกร่างเป็นเพื่อนทั้งสองคนอยู่แล้วก็อดถอนใจมิได้

‘เรานี่บ้าจริงๆ จะตายอยู่แล้วยังจะมายืนซึ่งอะไรอีก’ กายคิดก่อนจะกว่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“เอ๊ะ!?” กายสะดุดเข้ากับบางสิ่งจึงก้มลงมอง ปรากฏว่าเขาเห็นเข้ากับเบาะสานที่มีไว้สำหรับคุกเข่าคำนับ

กายเอะใจบางอย่างเหมือนกับพบเจอสิ่งที่คุ้นเคย จึงเดินห่างออกมาจากโครงกระดูกทั้งสองแล้วมองกลับไปดูภาพรวม

‘โครงกระดูก...’ กายครุ่นคิด

‘เบาะ...’

‘โครงกระดูก กับเบาะ?’

‘เบาะอยู่หน้าโครงกระดูก!?’

กายเหลือกตาขึ้นจินตนาการถึงภาพหนังจีนที่เคยดู ถึงตอนที่พระเอกคุกเขาคำนับโครงกระดูก แล้วปรากฏกลไกทำงาน

‘หรือจะมีกลไกอยู่จริงๆ!?’ กายคิดขึ้นแต่ก็แต่ชั่วคราวก็ยิ้มออกมาพร้อมส่ายหน้า

‘จะเป็นไปได้อย่างไรกันไม่ใช่ในนิยา...’ ขณะกำลังคิดปฏิเสธความเป็นไปได้ กายก็ต้องคิดอีกที

‘ตอนที่ตกเหวเจอถ้ำเราก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนที่เขาถ้ำเจอคัมภีร์เราก็คิดว่าเป็นเรื่องตลก คราวนี้...’ กายคิดอย่างจริงจังมากขึ้น ตอนนี้สิ่งที่เขาไม่ไว้ใจและไม่มั่นใจที่สุดคงเป็นโชคชะตาของตัวเขาเองนี่ล่ะ

“เอาวะ ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ไหนๆ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้ามีกลไกจริงอาจเป็นทางออกก็ได้” กายกล่าวให้กำลังใจต่อการตัดสินใจของเขาครั้งนี้ ก่อนที่จะก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าเบาะสาน

“ผู้อาวุโสทั้งสอง หากผู้น้อยรอดชีวิตไปได้จะขอสืบทอดวิชาของพวกท่าน การคำนับครั้งนี้ขอถือเป็นการคำนับอาจารย์แล้วกันขอรับ” กายพูดจบก็หน้าแดงรู้สึกกระดากอยู่ไม่น้อยที่ต้องพูดประโยคเหมือนในนิยายกำลังภายใน ก่อนที่จะสงบสติตั้งใจแน่วแน่โขกศีรษะคำนับสามครั้ง

“โบกๆๆ” เสียงโขกศีรษะดังก้องโพรงถ้ำ กายยังคงก้มหน้าหาได้เงยขึ้นมองไม่ ในใจเต้นระทึกรอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

……

………

กายเหลือกตามองออกด้านข้าง หาได้มีอะไรเกิดขึ้นไม่ กายจึงลุกขึ้นมานั่งเกาะหัวครุ่นคิด

‘ครั้งนี้คงไม่ฟลุ๊คเหมือนสองครั้งก่อนแล้วล่ะ’ กายคิดก่อนที่จะเตรียมตัวลุกขึ้น

ทันใดนั้นเหมือนทั้งถ้ำสั่นสะเทือน จนกายตกใจสะดุ้งโหยงหันไปมองรอบกายอย่างไม่รู้ทิศทาง ปรากฏภาพสลักทั้งสิบสองภาพหลุดออกจากล้มฟาดลงพื้นเสียงดังโครมสนั่นหวั่นไหวจนฝุ่นบนพื้นตลบคลุ้งไปทั่ว กายต้องปิดปากไอออกมาไม่หยุด

‘มีกลไกจริง!?’ กายคิดขณะไอจนตัวโยน

พอฝุ่นเริ่มจางลง กายก็สังเกตเห็นว่าข้างในช่องที่เหล่ารูปสลักนั้นหลุดออกมามีตัวอักษรสลักอยู่เต็มไปหมด เขาเลยรีบเดินเข้าไปดูทีละช่องจนครบ ปรากฏว่าที่แท้เป็นคำอธิบายแล้วแนวทางการฝึกวิชาที่มีต่อคัมภีร์ทั้งสองที่ผู้อาวุโสทั้งสองทิ้งไว้ให้ พร้อมคำกำกับ

‘นอบน้อมคารวะ สำเร็จวิชา’

ที่แท้ผู้อาวุโสทั้งสองเกรงว่าหากมีผู้ไม่เหมาะสมมาพบเจอยอดวิชาจะไม่เป็นผลดี จึงทำการทดสอบผู้มีวาสนาอีกที นี้เกรงว่าหากพบคัมภีร์แต่ไม่พบเคล็ดความเหล่านี้ก็มิอาจสำเร็จยุทธ์ คงพบเคราะห์กรรมมากกว่าวาสนา

แต่สำหรับกับกายในตอนนี้แล้วมันไม่ต่างกันนัก เพราะที่เขาต้องการจริงๆ คือทางออกไปจากถ้ำแห่งนี้

หลังจากนั้นเขาลองสำรวจหากลไกอื่นๆ อีกหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว เขาจึงเดินกลับมานั่งลงบนเบาะสานนั้นอย่างท้อแท้

ในขณะนั้นแสงจากช่องแสงก็ค่อยๆ หรี่ลงเรื่อยๆ คาดว่าอาทิตย์คงใกล้ตกดินแล้วเป็นแน่

กายซึ่งไม่รู้จะทำยังไงต่อไปยังคงนั่งอย่างปลงตกไม่เคลื่อนไหว ราวกับหาได้สนใจว่าแสงจะหมดไปหรือไม่

ในโพรงถ้ำค่อยๆ มืดลง มืดลง มืดลง...

ก่อนที่แสงสว่างจะหมดไปกลับปรากฏแสงสีเขียวอมเหลืองนวลเรืองมากระทบผ่านนัยตาของกายเข้า ด้วยความสงสัยอยากรู้ แม้จะไม่อยากทำอะไรแล้วก็ตาม กายเงยหน้ามองไปทางต้นกำเนิดแสงนั้น

แสงสีเขียวอมเหลืองนวลนั้นกลับเปล่งออกมาจากถุงผ้าเก่าที่อยู่บนมือของโครงกระดูกชุดพรต กายจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบถุงนั้นขึ้นมาเขย่าดู ก่อนที่จะลองเทสิ่งที่อยู่ข้างในลงมาบนมือ ปรากฏเป็นวัตถุทรงกลมใหญ่ประมาณไข่นกกระทา เปลือกนอกแลดูใสจนเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน ภายในดูเป็นแสงสีเหลืองและแสงสีเขียวที่คล้ายของเหลวไหลหมุนวนแทนที่กันตลอดเวลาแต่ไม่สามารถผสมรวมกันได้

กายมองดูการหมุนวนนั้นอย่างไม่วางตาราวกับต้องมนต์สะกด ยิ่งมองดูยิ่งมองลึกเข้าไปภายใต้กระแสวนภายในวัตถุทรงกลมนั้น ลึกลงไป ลึกลงไป จิตวิญญาณราวกับถูกดูดเข้าไป อยู๋ราวกับได้ยินเสียงสวดมนต์ลอยมาจากที่ห่างไกลแต่บอกไม่ถูกว่ามาจากไหน จิตใจรู้สึกผ่อนคลายราวกับถูกปลดปล่อยจากทุกสิ่งบนโลก ล่องลอยไปยังที่ห่างไกล ขณะกำลังเคลิบเคลิ้มกับคามรู้สึกประหลาดนั้น ฉับพลันเสียงกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองและเจ็บปวด เสียงร้องกรีดลึกลงไปในจิตใจราวกับมีมีดที่เย็นเฉียบนับพันเล่มกรีดแทงเข้ากลางใจ เสียวลึกลงในจิตจนกายร่างสั่นสะเทิ้ม มือของเขาพลันสั่นอย่างรุนแรงทำให้วัตถุทรงกลมนั้นกลิ้งหลุดจากมือตกลงสู่พื้น

เมื่อสายตาผละจากวัตถุทรงกลมนั้น กายก็สะดุ้งตื่นจากภวัง เขารู้สึกว่าสองมือเขาสั่นไม่หยุด หลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาทั่วร่าง เขาไม่กล้ามองที่วัตถุนั้นตรงๆ อีก ก่อนที่จะเอะใจขึ้นมาว่าข้อความที่เขาเจอมีตอนหนึ่งกล่าวถึง ‘มุกอรหันต์ดูดโลหิต’ หรือจะเป็นสิ่งนี้?

เนื่องจากมุกอรหันต์ดูดโลหิตส่องแสงสีเขียวอมเหลืองในความมืด ทำให้ในโพรงถ้ำไม่มืดมิดเสียที่เดียว

หลังจากกายกลับมานั่งสงบจิตใจอยู่บนเบาะสานอีกครั้ง ตอนนี้เขาเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง สกปรกจนคล้ายผ้าขี้ริ้วเก่าๆ อีกท้ังหวาดกลัวมุกเม็ดนั้นจับจิตจนต้องหันหลังให้มัน

“โครก” เสียท้องของกายร้องจนดังลั่นโพรงถ้ำ จนเขาต้องยกมือลูบท้อง

“ท้องเจ้ากรรมดันมาหิวซะอีก ซวยอะไรอย่างนี้” กายรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองโครงกระดูกชุดพรตอย่างตัดพ้อ

“อาจารย์น่ะ อาจารย์ เล่นอะไรไม่เล่นดันเล่นของอาถรรพ์เช่นนี้ได้” กายกล่าวกับโครงกระดูกนั้น

‘จะหนีไปไหนก็หนีไม่รอด ข้าวก็ไม่มีกิน ต้องมานั่งเฝ้าอาจารย์ผีรอความตายอยู่อย่างนี้’ กายคิดกับตัวเองอย่างไรหนทาง นิ่งไปครู่หนึ่ง จากความสิ้นหวัง ความกลัวกลายเป็นความโกรธ เขาตะโกนสบถออกมาคำหนึ่ง

“ดี! จะตายทั้งทีของเป็นผีจอมยุทธ์ก็แล้วกันวะ” กายตะโกนออกมาลั่นโพรงถ้ำจนก้องกังวาลไปทั่ว เขาตัดสินใจแล้วว่าถึงยังไงก็ต้องตาย งั้นก่อนที่จะตายเขาก็ขอให้ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการเป็นจอมยุทธ์ผู้มีวิชาฝีมือให้สมดังความฝันซักทีเถอะ!

เมื่อกายคิดได้ดังนั้นก็ปลงทุกสิ่งหงายร่างล้มตัวลงข่มตานอน ขณะล้มตัวลงดันไปทับมุกเม็ดนั้นเข้าจนสะดุ้งโหยงรีบย้ายที่หนีไปนอนที่ผนังถ้ำอีกฝากหนึ่ง สักพักก็หลับไป...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา