หมื่นยุทธ์กำเนิดฟ้าดิน 18+

-

เขียนโดย มารบั้นท้าย

วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.57 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  16.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เรื่องราวในยุทธภพมีตำนานเล่าขานมากมาย... แต่มันอาจมิได้เป็นดังที่เราคิด” เมื่อเด็กหนุ่มชาวไทยลูกครึ่งจีนอายุสิบแปดผู้คลั่งไคล้ในนิยายกำลังภายในได้หลงย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยจีนโบราณ ขณะที่เหล่าชาวยุทธยังท่องทะยานอยู่บนแผ่นดินจีนและเขาได้รับรู้ความจริงในยุทธภพ!? เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายกำลังจะเผยโฉม!!”

บทที่ 1 จุดเริ่มต้น

ท้องฟ้ากว้างสะท้อนแสงแดดอันแรงกล้าลงมายังย่านชนบทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านของผู้คน เมืองแห่งนี้เป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ที่มีบ้านเรือนเพียงร้อยกว่าหลัง ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่นาเลี้ยงชีพ ผู้คนผ่านชีวิตไปอย่างเงียบสงบ

แต่กระนั้นเนื่องด้วยเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสัญจรระหว่างเหนือใต้ของจีน จึงมีผู้ประกอบกิจการโรงเตี๊ยมสองสามแห่ง เพื่อเป็นที่พักให้กับนักเดินทางที่ผ่านทางมา เรียกความคึกครึ้นและมีชีวิตชีวาให้กับตัวเมืองได้ไม่น้อย โรงเตี๊ยมไผ่เขียวก็เป็นหนึ่งในนั้น

โรงเตี๊ยมไผ่เขียวเป็นเพียงโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่เปิดกิจการมาสามสิบกว่าปี เจ้าของมีนามว่าเผิงขุยอายุห้าสิบเศษ มีนิสัยสัตย์ซื่อ ขยันขันแข็ง สามสิบปีมานี้เก็บเล็กผสมน้อยขยับขยายกิจการของโรงเตี๊ยมออกไปไม่น้อยที่ตอนแรกมีลูกน้องเพียงหนึ่งคน ตอนนี้กลับมีถึงเจ็ดคน นอกจากที่พักแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังบริการอาหารให้กับแขกอีกด้วย ตัวโรงเตี๊ยมมีสองชั้น ด้านหน้าติดกับเส้นทางหลักในตัวเมือง ตัวตึกแลดูสามัญธรรมดาไม่สะดุดตา แต่มีป้ายชื่อ “ไผ่เขียว” อยู่ด้านหน้า

ยามสายของวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่โรงเตี๊ยมไผ่เขียวมีงานยุ่งวุ่นวายยิ่ง เนื่องด้วยหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีผู้คนสัญจรผ่านมามากกว่าปรกติหลายเท่าตัวนัก ทำให้ทุกคนในโรงเตี๊ยมทำงานกันหัวหมุน

“เสี่ยวอิง! ออกมารับแขกด้วย” เสียงเผิงขุยดังมาจากหน้าโต๊ะเก็บเงิน ขณะกำลังก้มหน้าคิดบัญชีไม่หยุด แม้เหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุขยิ่ง

“ครับเถ้าแก่ มาแล้วๆ” เสียงเด็กหนุ่มที่ฉะฉานมีชีวิตชีวาเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหมดจดไม่ถึงกับหล่อเหลาแต่ก็แสดงออกถึงความเป็นชายชาตรี มีดวงตาที่คมกล้าเด็ดเดี่ยวที่ทำให้ผู้คนจดจำได้โดยง่าย ตามร่างกายปรากฏกล้ามเนื้อกระชับพอเป็นมัดๆ ยิ่งขับเน้นความหนุ่มแน่นกระปรี้กระเปร้า สมบูรณ์แข็งแรงของวัยหนุ่ม

ความจริงแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ชื่อว่า “เสี่ยวอิง” แต่เขาคือ “กาย” เด็กหนุ่มชาวไทยลูกครึ่งจีนจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด!! ใช่แล้วศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ความจริงเขาเป็นเพียงเด็กหนึ่งที่หลงไหลคลั่งไคล้ในนิยายกำลังภายในแบบโงหัวไม่ขึ้น ด้วยความชื่นชอบที่เขามี ทำให้เขาไม่เพียงศึกษาประวัติศาสตร์และตำนานต่างๆ เกี่ยวกับประเทศจีนเท่านั้น เขายังศึกษาภาษาจีนและวิชาการต่อสู้แขนงต่างๆ ทั้งกังฟู คาราเต้ เทควานโด มวยไทย และกระบี่กระบอง พูดได้ว่าอยากเป็นจอมยุทธว่างั้น

และแล้ววันที่ไม่แน่ใจว่าชะตาส่งเสริมหรือฟ้ากลั่นแกล้งก็มาถึง วันนั้นขณะที่กายกำลังเดินทางเพื่อไปขอลายเซ็นจากนักเขียนนิยายจีนกำลังภายในชื่อดังที่เดินทางมาจากประเทศจีนนั้นเอง เขากลับถูกรถยนต์พุ่งเข้าชนจนกระเด็นตกลงจากสะพานสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เขาเพียงจำได้ว่าตัวเขาลอยขึ้นกลางอากาศและหยุดค้าง ก่อนที่จะตกลงอย่างรวดเร็วกระทบผิวน้ำอันเย็นเฉียบ แล้วเขาก็หมดสติไป

กายมารู้สึกตัวอีกที เขาก็อยู่บนเตียงในบ้านไม้ที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนพูดมาจากด้านข้าง กายหันไปมอง สิ่งเขาเห็นคือชายแก่คนหนึ่งที่กำลังพูดบางอย่างกับเขา ตอนแรกเขาจำไม่ได้ว่าชายแก่คนนั้นพูดว่าอะไร ซักพักเขาก็จดจำได้ว่าชายแก่กำลังพูดภาษาจีนอยู่นั้นเอง ทำให้เขารู้ว่าชายแก่ได้ช่วยเขาขึ้นมาจากแม่น้ำขณะกำลังจับปลาก่อนที่จะนำเขามารักษาตัวที่บ้าน

ตอนแรกกายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้ แต่เมื่อเขาพักรักษาตัวที่บ้านของชายแก่ได้ซักพัก เขาก็เริ่มที่จะเชื่อเพราะภาษาที่คนพูดและการดำเนินชีวิต มันช่างเหมือนกับสิ่งที่เขาได้อ่านจากในตำราและหนังสือต่างๆ เกี่ยวกับประเทศจีนยุคโบราณยิ่ง

กายตื่นเต้นดีใจอย่างสุดระงับ ประเทศจีนสมัยที่จอมยุทธทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ที่เขาหลงไหลที่มีออยู่เพียงในหนังสือเท่านั้น ขณะนี้มาปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว!!

‘บางที... บางทีเราอาจสามารถเป็นจอมยุทธที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคก็ได้!!’ คือสิ่งที่กายคิด



นั้นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน...

ตอนนี้กายเป็นเพียงเสี่ยวเอ้อธรรมดา ในโรงเตี๊ยมธรรมดา ที่ไม่มีอะไรน่าจดจำแม้แต่น้อย

ความกระตือรือร้นในตอนแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปากท้องเรียกร้องให้เขาต้องหางานทำ โชคดีที่เขามีความรู้ทางด้านภาษาจีนไม่น้อย เมื่อฝึกฝนซักเล็กน้อยก็ทำให้เขาสามารถปรับตัวเข้ากับผู้คนได้ไม่ยากนัก และเมื่อแปดเดือนก่อนเขาก็ได้เข้าทำงานในโรงเตี๊ยมไผ่เขียว และเนื่องด้วยเป็นคนที่กระฉับกระเฉงและขยันเป็นทุนเดิม จึงเป็นที่ถูกใจของเถ้าแก่เผิงขุยยิ่งนัก และเพราะชื่อตัวเองผิดแผกแตกต่างจากคนอื่น กายจึงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเสี่ยวอิง

แม้ผิดหวังทีไม่ได้เป็นจอมยุทธ แต่ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวนัก

“นายท่านไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีครับ” กายที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่ชั้นหนึ่งกล่าว

“เอาหมันโถวมาเจ็ดก้อน กับมาสองอย่าง” แขกคนหนึ่งบนโต๊ะกล่าว

ขณะที่กายกำลังรับแขกอยู่นั้น ปรากฎกลุมชายสวมชุดนักบู๊สีเหลืองที่ด้านหลังปักลายตะขาบสองคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม เผิงขุยเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินออกมารับหน้า

“นายท่านไม่ทราบว่าต้องการห้องพัก หรือรับประทานอาหารดีครับ” เผิงขุยกล่าว

“บิดาต้องการห้องพักสองห้อง และจัดเตรียมสุราอาหารอย่างดีมาด่วน!” นักบู๊คนหนึ่งกล่าวอย่างดุดัน

“ได้ครับๆ” เผิงขุยกล่าวอย่างขลาดเขลาอยู่บ้าง

“เสี่ยวอิง มาพาแขกขึ้นไปนั่งชั้นบนด้วย”

“ครับๆ เถ้าแก่ เชิญครับนายท่าน” กายรีบวิ่งมาตามเสียง ก่อนที่จะนำแขกขึ้นไปนั่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม ขณะที่เขากำลังจะเดินลงจากชั้นสองก็ได้ยินแขกที่โต๊ะอื่นคุยกัน

“สมุนค่ายตะขาบดินมาอีกแล้ว”

“ช่างวางก้ามเขื่องโข่นัก”

“ทำไมถึงเจอพวกมันบ่อยนักน่ะ?”

“ได้ยินว่ากำลังตามหาคนอยู่นี่”

“จุ๊ๆ มีข้าวกินก็รีบกิน อย่าได้พูดมากไป เดี๋ยวก็ซวยหรอก”

เมื่อกายได้ยินว่านักบู๊ทั้งสองคนมาจากค่ายตะขาบดิน ซึ่งเป็นค่ายพรรคอิทธิพลในท้องถิ่นใกล้ๆ ก็รีบเร่งฝีเท้าลงจากชั้นสอง หลังจากมาถึงยุคนี้เขาเรียนรู้ว่าหากอยากอยู่อย่างไร้เรื่องราวให้อยู่ห่างจากคนพวกนี้ ยิ่งไกลยิ่งดี

“นี่ถ้าเป็นในนิยายจะต้องมีคู่อริตามเข้ามาแล้วหาเรื่องในโรงเตี๊ยม แบบว่าโลกกว้างแต่ถามแคบว่างั้น” กายคิดเล่นๆ ขณะกำลังจะยกอาหารออกไปให้ลูกค้า ทว่า...

“สุนัขพรรคตะขาบดินจงออกมารับความตาย!” เสียงดังขึ้นที่หน้าโรงเตี๊ยมพร้อมการปรากฎตัวขึ้นของนักบู๊เจ็ดคนอีกกลุ่มหนึ่งในชุดสีน้ำเงินคราวปักลายเมฆทอง

กายนิ่งอึ่งไปชั่วขณะ ในใจครุ่นคิด “ทันใจอะไรเช่นนี้”

“นึกว่าใคร ที่แท้ก็สุนัขพรรคเมฆกระดำกระด้างนี้เอง ไสหัวไปให้กับบิดา!”

“ผายลม! พรรคเมฆทองเราควบคุมพื้นที่แถบนี้ พวกเจ้ากลับบุกรุกเข้ามา หาที่ตายแท้ๆ”

“ฮึ! นึกว่าบิดากลัวพวกเจ้ารึ แน่จริงก็เข้ามาเลย!”

“พวกเราฆ่า!”

นักบู๊พรรคเมฆทองแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นสองจากบนถนนหน้าโรงเตี๊ยม ส่วนอีกกลุ่มบุกเข้ามาปิดทางถอยจากชั้นหนึ่ง ต่างชักอาวุธเข้าหากัน

“นายท่านทั้งหลายได้โปรดอย่าใช้ความรุนแรง” เผิงขุยรีบออกมาห้ามอย่างตื่นตระหนกไม่คิดชีวิต โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงของมันมาครึ่งชีวิต หากจะให้มันมองโรงเตี๊ยมถูกผู้คนพังทำลายต่อหน้าต่อตาคาดว่ายังทำใจไม่ได้

“เจ้าอย่าเข้ามายุ่ง!” นักบู๊พรรคเมฆทองคนหนึ่งตวาดก่อนยกเท้าถีบเข้าใส่เผิงขุยจนตัวลอยข้ามโต๊ะเก็บเงินไปกระแทกเข้ากับตู้ด้านหลังดังโครมใหญ่ก่อนที่จะลงไปนอนร้องโอยไม่อาจลุกขึ้นมา

“เถ้าแก่ ท่านเป็นไงบ้าง” กายรีบเข้าไปดูอาการ เขารู้อยู่แล้วว่านักบู๊เหล่านี้จะมากจะน้อยต้องดิบเถื่อนและชอบใช้ความรุนแรงอยู่บ้าง หากแต่ได้มาเห็นกับตากับอ่านเจอให้หนังสือนั้น มันต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ

ขณะนั้นเองกายก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น เขาจำได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของเสี่ยวเหมยหนึ่งในลูกจ้างของโรงเตี๊ยม กายจึงหันกลับไปมอง

ไม่รู้ว่าพวกที่สู้อยู่ชั้นสองย้ายลงมาสู้กันที่ชั้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ในการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่ยวายนั้น กายเห็นเสี่ยวเหมยกำลังนั่งอยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกลนัก ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว

“นังนี้ช่างขวางมือขวางเท้านักอย่าอยู่!” นักบู๊เสื้อน้ำเงินคราวคนหนึ่งบันดาลโทสะขึ้น เพราะเนื่องด้วยเสี่ยวเหมยขวางทางอยู่ทำให้เมื่อกี้มันต้องรับประทานเท้าของนักบู๊ค่ายตะขาบดินไปหนึ่งที สร้างความอับอายไม่น้อย นักบู๊คนนั้นจึงยกดาบขึ้นหมายฟาดฟันเสี่ยวเหมยให้ขาดครึ่งในดาบเดียว

กายเห็นเข้าเช่นนั้นในใจเขม็งตึงเครียดเกิดความคิดช่วยเหลือขึ้น ‘เราต้องช่วยเหลือนาง’ เมื่อสิ้นความคิดร่างกายก็ขยับ เขาย่อตัวก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่นักบู๊คนนั้น ใช้ออกด้วยหมัดตามหลักวิชาคาราเต้ หมัดนี้ต่อยออกโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตั้งตัว จึงโดนเข้าที่สีข้างอย่างถนัดถนี่ นักบู๊คนนั้นครางออกมาคำหนึ่งก่อนที่จะถลาล้มลงไปด้านข้าง

“เฮ้ย! เจ้านี่ก็เป็นพวกเดียวกับสุนัขค่ายตะขาบดิน” นักบู๊พรรคเมฆทองอีกคนที่เหลือบมาเห็นร้องขึ้น

“มะ ไม่ใช่! ข้าแค่...” กายสะดุ้งรู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองทำอะไรลงไป เมื่อกี้เขาไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อนก็ลงมือช่วยเหลือคนเสียแล้ว กลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว ‘ตายล่ะ ถึงคราวเราซวยเองเสียแล้ว!?’ เมื่อกลับมาคิดอีกทีต้องหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาก่อนที่จะร้องแก้ต่าง

“ฆ่ามัน!” สิ้นเสียงโดยไม่รอให้กายพูดให้จบ นักบู๊พรรคเมฆทองสองคนก็กระชับดาบดาหน้าเข้ามาหา

ดาบแรกฟันชับลงมา กายซึ่งเตรียมตัวอยู่ก่อนจึงรีบเบี่ยงกายหลบก็ที่จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ใช้ว่าเขาไม่คิดจะสู้แต่ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ เขาแน่ใจว่าหากให้ประจันหน้ากันจริงๆ เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเหล่านักบู๊ที่มีประสบการณ์ต่อสู้จริงและไม่ลังเลที่จะฆ่าคนได้ ฉะนั้นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวในขณะนี้คือหนี

‘เจ้าพวกลูกกระจ๊อกบัดซบ ค่อยดูเถอะหากสักวันเราเป็นจอมยุทธเมื่อไหร่ จะไล่เตะพวกเจ้าให้เปิดแน่บไปเลย แต่ตอนนี้...’

...โกยเถอะโยม

กายวิ่งหนีออกมาทางหน้าโรงเตี๊ยมก่อนจะออกวิ่งไปตามถนน ติดตามมาด้วยนักบู๊ชุดน้ำเงินครามสองคนที่ตวาดด่าตลอดทาง

“หยุดน่ะ!”

“มาให้ฆ่าเสียดีๆ!”

“หยุดให้ก็แมวแล้ว” กายตอบโต้กลับไป

กายวิ่งมาตามถนนหลักจนออกสู่นอกเมือง มองเห็นป่าซึ่งอยู่ติดกับตัวเมืองห่างออกไปไม่ไกลจึงเกิดความคิดขึ้น ‘หากเราวิ่งหนีไปซ่อนตัวในป่า ไว้ให้พวกมันหาไม่เจอเดี๋ยวก็เลิกหากันไปเอง’ เมื่อคิดเช่นนั้นในใจก็วางแผนไว้ เขาก็รีบหันหน้าวิ่งสุดชีวิตไปทางป่านั้นทันที นักบู๊ทั้งสองก็วิ่งตามโดยไม่มีทีท่าจะล้มเลิกแม้แต่น้อย อีกทั้งยังยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

ความจริงแล้วกายสมควรขอบคุณฟ้าดินที่นักบู๊ทั้งสองมีวิชาตัวเบาไม่สูงนัก หากเปลี่ยนเป็นนักบู๊อื่นที่วิชาตัวเบาเป็นเลิศ ปานนี้คงถูกสับร่างแหลกไปนานแล้ว แต่เขาก็กระทำความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งเข้า นั้นคือหนีเขาป่า เพราะเหล่านักบู๊เหล่านี้เมื่อสู้ไม่ได้ส่วนใหญ่ก็หนีเข้าป่า ส่วนอีกฝ่ายก็ไล่ล่าเข้าไปในป่า กลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้จนเป็นความชำนาญในการไล่ล่ากันในป่าเขา

ตอนแรกกายมั่นใจว่าเมื่อหนีเข้าป่ามาจะสามารถสลัดหลุดจากนักบู๊ทั้งสองคนได้ไม่ยาก แต่นี่วิ่งมาหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่สามารถหาโอกาสหลบหนีหรือซ่อนตัวได้แม้แต่น้อย ในทางกลับกันเรี่ยวแรงของกายก็เริ่มอ่อนล้าลงจนทำให้ระยะห่างระหว่างผู้ไล่ล่ากับผู้ถูกล่าหดลงทีละน้อยๆ
‘กัดไปปล่อยเลยวุ้ยพวกนี้’ กายคิดในใจไร้เรี่ยวแรงที่จะพูด เขาร้อนใจเป็นอย่างยิ่งจน

“ฮ่าๆ เจ้าจบสิ้นแล้วคราวนี้” นักบู๊คนหนึ่งกล่าวขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะกระโดดลอยตัวขึ้นไปเบื้องหน้าเงื้องดาบหมายฟันบั่นชีวิตเบื้องหน้า ความรู้สึกเหมือนภาพช้าที่ค่อยๆ ดำเนินไปทีละน้อยแต่ไม่อาจยับยั้งได้ คมดาบค่อยๆ เคลื่อนข้าหาด้านหลังลำคอของกายอย่างช้าๆ กายสามารถสัมผัสได้ถึงความแหลมคมที่แวกมาอย่างชัดเจนจนขนที่ต้นคอลุกชัน

และแล้วทางข้างหน้าก็สว่างวาบจนตาพร่า ที่แท้พวกเขาวิ่งออกมาพ้นเขตป่าแล้ว ก่อนที่จะได้ทันคิดอะไร สัมผัสใต้ฝ่าเท้าพลันเปลี่ยนเป็นโปร่งโล่งเหมือนกับพื้นดินได้หายไป เหมือนกับกำลังลอยอยู่กลางอากาศ... เขากำลังลอยอยู่กลางอากาศจริงๆ!!!

ที่แท้ทางออกจากป่าทางด้านนี้กลับเป็นหน้าผา กายวิ่งมาอย่างไม่คิดจึงหยุดไม่ทัน ขณะนี้เขากำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ แต่เท้าทั้งสองยังไม่ทันหยุดวิ่ง ราวกับกำลังพยายามมุ่งหน้าต่อไป แลดูหน้าขบขันไม่ใช่น้อย

“อาาาาาา!!!” กายร้องเสียงหลงขณะที่ร่างของเขาร่วงหล่นลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง ผ่านชั้นหมอกแล้วหายลับไป

นักบู๊ทั้งสองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน แต่อย่างไรเป็นผู้ฝึกยุทธ์การตอบสนองจึงรวดเร็วกว่า ทันทีที่เห็นเป็นหน้าผาก็ใช้วิชาถ่วงพันชั่งทิ้งตัวอยู่อยู่หน้าผาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะพากันมองลงมายังเบื้องล่างที่เห็นเพียงเมฆหมอก มิอาจเห็นก้นเหว

“เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนั้นจะรอดไหม?”

“ฮึ! สนใจมันหาอะไร ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงฆ่ามัน ไป!”

นักบู๊ทั้งสองจึงเลิกการไล่ล่า ปล่อยให้เหวลึกนั้นจัดการกับกาย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา