ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 9 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เป็นฝีมือของกลุ่มLONAใช่ไหมคะ?” อารยาถามขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีหนุ่มและหลานสาวเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทันทีที่รัฐมนตรีหนุ่มพยักหน้ารับ เธอก็ทรงตัวไม่อยู่ เข่าอ่อนทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง “คุณพระช่วย!”

“อายา!” ปานชีวาเข้าไปกอดปลอบ ลูบแผ่นหลังขึ้นลงอย่างให้กำลังใจ “ทำใจดีนะคะ อีวานเป็นคนดี ยังไงเสียก็ต้องปลอดภัยค่ะ”

“น่าจะมีหนอนบ่อนไส้ อาจจะเป็นคนในบ้านหรือคนใกล้ตัวอีวาน” ลาโคลอฟพูดขึ้นพลางรั้งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลมือมานั่งหันหน้าเข้าหาสองอาหลานที่มีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด “หลายวันมานี้มีอะไรแปลกๆหรือผิดสังเกตบ้างไหม”

อารยาส่ายหน้าเร็วๆ คิดอะไรไม่ออก “ไม่ค่ะ ฉันไม่รู้ อีวานจะเป็นอะไรไหม?”

ลาโคลอฟเลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆสองอาหลานที่นั่งกุมมือกันอยู่ไม่ไกล แล้วกุมมือของทั้งคู่เอาไว้ มองด้วยสายตาให้กำลังใจ “ตั้งสติให้ดีนะครับ อย่าเพิ่งคิดไปไกล ยังไงเสียผมก็ไม่คิดว่ากลุ่มLONA จะกล้าทำอันตรายกับอีวาน ยังไงเสียอีวานก็เคยเป็นตัวแทนเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันเมื่อหลายปีก่อน”

“แต่เราไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจพวกมันได้นะคะ อีกอย่างพักหลังตัวประกันที่ถูกจับไปไม่เกินสัปดาห์ก็ถูกฆ่าทั้งนั้น” อารยาคิดถึงนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงที่เคยถูกกลุ่มโลนาจับไป พักหลังมานี้มักจะไม่รอดชีวิตสักราย

“แต่ผมกลับคิดว่าพวกมันน่าจะต้องการอะไรสักอย่าง ไม่กี่วันพวกมันน่าจะติดต่อกลับมา” ลาโคลอฟบอกพลางบีบและคลายมือของทั้งสองเป็นจังหวะ “ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คงต้องแกะรอยพวกมันให้ได้เร็วที่สุด พวกมันคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมงก่อนที่จะพาอีวานกลับไปยังฐานที่มั่นในภาคเหนือ”

“ทำได้เหรอคะ?” ปานชีวาถามออกมาอย่างแปลกใจ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะสบประมาทเขาแต่เห็นตัวอย่างจากหลายประเทศที่น้อยนักจะลงทุนเสี่ยงอันตรายชิงตัวประกันกลับมา เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเหล่านี้มักจะมากมายนัก หากดวงตาคมกริบที่หรี่มองมานั้นทำให้ปานชีวารีบขยายความ “ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจนะคะ แต่มันดูเป็นไปได้ยาก”

“ไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าความตั้งใจของผม และมันเป็นเรื่องปกติที่ผมต้องปกป้องพลเมืองของตนให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน” ยิ่งตัวประกันเป็นถึงบุคคลสำคัญที่สร้างคุณงามความดีให้กับประเทศ เขายิ่งไม่อาจเฉยเมย ลาโคลอฟคิดต่อในใจ

“ทราบค่ะ แต่...”

“อย่าหมิ่นน้ำใจกันนักเลยในเมื่อคุณไม่เคยคิดที่จะทำความรู้จักกับผมสักที” ลาโคลอฟพูดดักคอเพราะไม่อยากได้ยินเสียงของเธอที่อาจจะเอ่ยประโยคให้เขาเสียความตั้งใจอันดี และมันได้ผลเมื่อเธอเงียบกริบ เอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงเบาโหวง

“ขอโทษนะคะ หลานสาวดิฉันคงไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ตอนนี้พวกเราร้อนใจเป็นห่วงอีวานมาก” อารยาเอ่ยคำขอโทษซ้ำอีกครั้ง แม้จะแปลกใจในคำพูดของรัฐมนตรีหนุ่มอยู่มากแต่ความกังวลใจเกี่ยวกับสามีก็มีมากเกินกว่าจะซักถามว่าทั้งคู้เคยรู้จักกันมาก่อนหรืออย่างไร

“อย่างที่ผมพูดครับ ตอนนี้เราต้องช่วยกันหาเบาะแสของอีวานให้ได้มากที่สุด ผมถึงอยากให้คุณไตร่ตรองดูให้ดีว่ามีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม จุดเล็กน้อยอาจจะเชื่อมโยงไปถึงเขาได้ ถ้าโชคดีเราอาจชิงตัวอีวานระหว่างทางได้สำเร็จ” ทุกคำที่ลาโคลอฟพูดออกไปนั้นไม่ใช่แค่ลมปาก แม้ว่าโดยส่วนตัวจะไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับอีวานนัก แต่ด้วยหน้าที่การงาน ชื่อเสียงแห่งความเที่ยงตรงของผู้พิพากษาสูงสุดคนนี้ทำให้ลาโคลอฟยกย่องอยู่เสมอ แน่นอนว่าอาชีพนักการเมืองควรต้องสรรหาคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติไว้ให้มากที่สุด ประเทศถึงจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

“ฉันกับอีวานไม่เจอกันสิบวันแล้วค่ะ ก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางไปยุโรปก็คิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติ คนใกล้ตัวเขาไม่ว่าจะเป็นเลขาฯ หรือคณะผู้ติดตามก็หน้าเดิมทั้งนั้น” อารยาตอบพลางกลอกสายตาไปมาอย่างทบทวนความทรงจำ

“แล้วเลขาฯของอีวานล่ะ?” ลาโคลอฟถาม เมื่อไม่มีใครตอบจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเปิดประตูสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม “มีใครเห็นเลขาฯท่านผู้พิพากษาไหม”

คนในบ้านที่ถูกเรียกตัวให้มารวมกันอยู่ในห้องโถงต่างมองหาเลขานุการหนุ่มซึ่งเข้านอกออกในบ้านหลังนี้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครเห็นเขาเลยสักคน

“ถูกปล่อยตัวกลับบ้านไปแล้วครับท่าน” อลันตอบหลังจากที่ทบทวนความจำได้เมื่อครู่

“ไปลากตัวมาหาฉัน ด่วนที่สุด” ลาโคลอฟสั่งแล้วปิดประตูห้องทันที

“เจตน์ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกค่ะ”

ลาโคลอฟหมุนตัวกลับพลางล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “ไม่รู้ล่ะ ผมต้องสงสัยคนที่ไม่น่าไว้ใจทุกคนก่อน”

“แต่เจตน์ทำงานกับอีวานมาหลายปีแล้วนะคะ คงไม่ใช่คนที่ท่านสงสัย” รีบบอกทั้งยังหันไปหาอารยาราวกับจะขอการสนับสนุน คำสั่งและน้ำเสียงโหดของเขาทำให้เธอนึกเป็นห่วงเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย

“ดูเหมือนจะเดือดร้อนแทนกันเหลือเกินนะ ทำไม เป็นห่วงมันมากเหรอ” ให้ตายสิ! ทำไมเขาถึงได้ไม่ชอบใจท่าทางที่เธอแสดงออกกับผู้ชายหน้าไหนบนโลกนี้เอาเสียเลย

“ต้องสอบถามให้ได้ความก่อนสิคะ ไม่ใช่เหมาว่าทุกคนเป็นผู้ต้องสงสัยแบบนี้” นิติกรสาวเริ่มไม่ชอบใจในการทำงานของผู้ชายตรงหน้า มันดูคุกคามเกินกว่าการใช้ระบบสอบสวนและกระบวนการยุติธรรม เขาเหมือนกับผู้นำในระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จที่แผ่รังสีของความน่าเกรงขามมากเกินจำเป็น

“วิธีแบบนั้นมันไม่เหมาะกับผมหรอกคุณนิติกร ช้า... ไม่ทันใจและทำให้ผมอารมณ์เสีย”

ปานชีวาข่มความโกรธเอาไว้ คิดในใจว่า ดูเอาเถอะ แม้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เขายังเล่นลิ้น ยั่วโมโหเธอไม่เลิก คนแบบนี้น่ะเหรอที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงทิ้งห่างจากคู่ต่อสู้ทุกเขตการเลือกตั้ง?

แต่... มันดูจะไร้ประโยชน์หากต้องถกเถียงกับคนที่เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ “หวังว่าคงไม่ใช้วิธีทรมานในการสอบสวนหรอกนะคะ”

ลาโคลอฟหัวเราะร่วนกับคำประชดประชัน “งั้นคุณก็ต้องสวดมนต์อ้อนวอนอะไรสักอย่าง ดลใจให้มันตอบคำถามผมดีๆหน่อยแล้วกัน”

ความจริงแล้วไม่ได้อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอในเวลาคับขันเช่นนี้ แต่เห็นท่าทางออกรับแทนไอ้เลขานุการหนุ่มคนนั้นแล้วมันอดไม่ได้ ดูเธอตอนนี้สิ! มองเขายังกับหลุดออกมาจากทหารคนสนิทของเลนิน ที่เหี้ยมโหดไม่ยอมฟังเหตุผล! หากเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก็เป็นเหมือนระฆังช่วยให้การโต้เถียงเล็กน้อยนั่นจบลง

“เข้ามา”

สิ้นเสียงเฉียบขาดประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับคำรายงานของมารัต “ท่านครับ กล้องวีดีโอทุกตัวถูกตัดสัญญาณเหมือนกับมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีครับ”

“ฉันจะไปดูมันอีกครั้ง” ลาโคลอฟบอกพร้อมหันมามองผู้หญิงร่างกะทัดรัดที่ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ดิฉันขอไปด้วยนะคะ”

แค่เพียงคิดจะปฏิเสธก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับดวงตาเป็นประกายที่ฉายแววอ้อนวอนจนต้องรีบเบือนหน้าหนี เพราะกลัวว่าเธอจะจับจุดอ่อนได้แล้วใช้มันควบคุมตน คราวนี้ล่ะ! โลกทั้งใบก็ต้องหามาประเคนให้เธอ ลาโคลอฟคิดพลางหยุดการก้าวเดินเพื่อรอให้เธอพูดคุยกับผู้เป็นอา

“อายาจะไปด้วยกันไหมคะ” ปานชีวาถาม

“ไม่ล่ะ อาว่าจะนั่งทบทวนเรื่องที่ผ่านมาอีกครั้ง เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ลูกปัดไปเถอะ” อารยาบอกพลางมองตามร่างอรชรของหลานสาวซึ่งเดินนำหน้าบุรุษร่างสูงใหญ่ออกไปจากห้อง นึกแปลกใจในปฏิกิริยาและการตอบโต้ของทั้งคู่ไม่น้อย แต่เรื่องสำคัญในตอนนี้คือ เธอต้องหาทางช่วยเหลือสามี นำเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย

 

ไม่กี่นาทีต่อมา ลาโคลอฟและปานชีวาก็เข้ามาในห้องหนึ่งซึ่งติดกับห้องเก็บของ ด้านในมีจอคอมพิวเตอร์อยู่สองเครื่องกับกล่องกระดาษน้อยใหญ่หลากหลายขนาด ดูคล้ายจะเป็นห้องเก็บของไปอีกห้องถ้าไม่มีโต๊ะวางคอมพิวเตอร์สองเครื่องนี้

มารัตนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์พลางหันหน้าจอให้เจ้านายได้เห็นภาพอย่างชัดเจน “ทั้งบ้านติดกล้องไว้ทั้งหมดสิบจุด แต่ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุถูกพวกมันตัดสายสัญญาณไปหมดครับ”

ลาโคลอฟมองภาพบนจอคอมพิวเตอร์ที่แบ่งออกเป็นช่องเล็กๆ ในเวลาที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ ภาพก็มืดสนิท เป็นสีดำทั้งหมด

“อืม... ถ้าภาพหายไปพร้อมๆกันแบบนี้ก็แปลว่ามันต้องตัดสายเมน” ลาโคลอฟสันนิษฐาน

“ท่านกำลังจะบอกว่าในบ้านนี้มีคนของกลุ่มLONA เหรอคะ?” ปานชีวาถามเพราะเห็นว่าข้อสรุปของเขาดูจะรวดเร็วไปสักหน่อย

“จริงอย่างที่ท่านพูดครับ คนร้ายแฝงตัวอยู่ในบ้านหลังนี้เพราะตอนที่ผมเข้ามาสายเมนของกล้องวิดีโอถูกตัดจากจุดนี้” มารัตยกสายไฟสีดำที่มีเทปสีดำพันสายไฟเอาไว้ให้เห็น “เมื่อครู่ผมได้ยินว่าคนในบ้านอยู่ในห้องโถงครบทุกคน นั่นก็แปลว่าคนร้ายที่แฝงตัวมาถ้าไม่ใช่ยูเลียที่ตายไปแล้ว ตอนนี้มันก็ยังแฝงตัวรวมกับพวกเรา”

สิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่คิด ทำให้ปานชีวาตกใจเป็นอย่างมากเพราะหากยังหาตัวคนร้ายที่แอบแฝงไม่ได้ เหยื่อรายต่อไปอาจจะเป็นคุณอาของเธอก็เป็นได้ “ที่ผ่านมากลุ่มLONA ใช้เส้นทางไหนพาตัวประกันไปภาคเหนือคะ?”

“ชี้ชัดไม่ได้หรอกเพราะที่ผ่านมาพวกมันก็เปลี่ยนเส้นทางจนไม่สามารถสะกดรอยได้ เหมือนกับว่าพวกมันเร็วกว่าเราอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ” ลาโคลอฟยอมรับ แม้ว่าระยะเวลาปีเศษที่เขาก้าวขึ้นมารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม กลุ่มLONA ดูเหมือนเงียบสงบขึ้น ไม่กล้าจับนักการเมืองหรือบุคคลสำคัญถี่เหมือนเช่นเคย แต่หน่วยข่าวกรองที่เขาจัดตั้งขึ้นมาก็ดูเหมือนว่าจะเดินตามกลุ่มโลนา “ครั้งนี้พวกมันวางแผงมาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเข้ามาจับตัวอีวานในงานเลี้ยงอย่างนี้”

“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ ต้องปล่อยให้กลุ่มLONA จับอีวานไปได้ง่ายๆอย่างนี้เหรอ” ปานชีวาเริ่มถามด้วยความไม่พอใจเพราะตอนแรกเขาบอกว่าจะชิงตัวประกันระหว่างทาง แต่มาถึงตอนนี้กลับพลิกลิ้น พูดราวกับว่าจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

“ถ้าไม่มีเบาะแส สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องรอพวกมันติดต่อกลับมา”

คำตอบของเขาทำให้ปานชีวาโกรธจัด “ดิฉันน่าจะคิดได้ตั้งนานว่าควรขอความช่วยเหลือจากตำรวจ”

ลาโคลอฟเลิกคิ้วพลางถอนหายใจมองผู้หญิงสวยที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ใบหน้ารูปหัวใจบึ้งตึงและเชิดขึ้นเล็กน้อย ยิ่งดูมีเสน่ห์น่าค้นหาเพราะนึกอยากรู้ว่า ผู้หญิงที่ท่าทางเรียบร้อย อ่อนหวาน เมื่อเกิดความโกรธ หงุดหงิดใจจะแสดงอารมณ์ได้เต็มที่สักแค่ไหน

“ทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจหรอกครับ” มารัตเห็นเจ้านายเงียบไปครู่หนึ่งจึงรีบตอบแทน เพราะเท่าที่ผ่านหากเจ้านายมีท่าทางเช่นนี้ นั่นก็แปลว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติ “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีทั้งตำรวจและทหารผลัดเปลี่ยน ดูแลความปลอดภัยให้อย่างเข้มงวด แต่ที่ผ่านมากลุ่มLONA จะลงมือระหว่างทางหรือในที่เปลี่ยว ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกมันจะอุกอาจเข้ามาจับตัวท่านผู้พิพากษาในงานเลี้ยงแบบนี้ครับ”

“นั่นยิ่งต้องกลับมาทบทวนแล้วล่ะค่ะ ว่าหน่วยข่าวกรองที่ตั้งขึ้นมานั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือแค่ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้งบประมาณที่มาจากเงินภาษีของประชาชนเท่านั้น”

คำพูดของเธอทำให้บรรยากาศในห้องเล็กๆเงียบไปในทันที มารัตขยับตัวลุกจากเก้าอี้เพื่อออกไปด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านายที่อุทานรับคำพูดของเธอ ทว่าต้องประหลาดใจนักที่ท่านควรจะโมโหและตอกกลับเธออย่างไม่ไว้หน้าแต่คำพูดด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ทำให้รู้ตัวว่า ต้องปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพัง

“อู้ว... ผมคิดว่าเจอคนที่จะมายกเครื่องหน่วยข่าวกรองของผมแล้วล่ะ” ลาโคลอฟตอบพลางกอดอกมองเธอ หากท่าทางที่อัศจรรย์ใจเหลือคณากับคำพูดประชดประชัน ยิ่งทำให้ปานชีวาเห็นว่าเขากำลังมองทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก

“ดิฉันไม่อยากเสียเวลา ถ้าท่านไม่ยินดีหรือเต็มใจช่วยเหลือก็น่าจะพูดตรงๆมาตั้งแต่แรก” ปานชีวาพูดอย่างตรงไปตรงมา

“หลังจากที่เกิดเรื่อง ท่าทางหรือคำพูดไหนที่คุณเห็นว่าผมไม่เต็มใจ ฮึ... บอกมาซิ?”

ปานชีวายืนจ้องหน้าเขานิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเขาสาวเท้าเข้ามาหาจนอยู่ห่างกันแค่คืบ “ไม่ทราบค่ะ แต่คิดว่ามันต้องมีวิธีที่ดีกว่าการสืบเรื่องทุกอย่างตามหลังและรอให้กลุ่มLONA ติดต่อกลับมาแบบนี้”

“จะบอกอะไรให้นะเบบี้คริสตัล ถ้าเพียงแค่รู้พิกัดของอีวาน ผมจะถล่มพวกมันให้ราบเป็นหน้ากลองและชิงตัวอีวานมาวางไว้ตรงหน้าคุณ แต่... พวกมันไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายกระจอกๆ ไม่ได้แค่ต้องการแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระเท่านั้น พวกมันค้ายาเสพติด อาวุธสงคราม ที่สำคัญหน่วยข่าวกรองเส็งเคร็งของผมยังไม่สามารถสืบรู้ได้ถึงพันธะกิจสูงสุดที่พวกมันต้องการ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยอีวาน แต่อีวานคือคนที่พวกมันคิดว่าสำคัญกับพรรคALDP ของเรา”

ปานชีวาถอนหายใจรู้สึกผิดไม่น้อยที่ต่อว่าเขาเช่นนั้น “ขอโทษค่ะ แต่ดิฉันร้อนใจและไม่เห็นด้วยที่จะรอให้พวกเขาติดต่อกลับมา ถ้าอีวานเป็นอะไรไปล่ะคะ เขามีโรคประจำตัวนะ”                 “ผมรู้ๆ” ลาโคลอฟปลอบพลางเอื้อมมือตรึงที่หัวไหล่กลมกลึงทั้งสองข้าง ไม่น่าเชื่อว่าแค่เอ่ยคำขอโทษ ความขุ่นเคืองใจที่เกิดขึ้นก็มลายไปจนสิ้น “อีวานต้องไม่เป็นไร ผมจะพาเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย”

ปานชีวาจ้องตาดวงตาคู่คมที่ฉายแววแห่งความมุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “ท่านไม่ได้ล้อเล่นนะคะ”

“ผมให้สัญญา” ลาโคลอฟตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เกลียดเรื่องกังวลใจที่ทำให้เธอต้องมองเขาด้วยความหวาดระแวงเช่นนี้ ทว่าสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เธอต้องเชื่อใจ เชื่อมั่นในตัวเขา ความหวาดหวั่นในดวงตาเป็นประกายทำให้ลาโคลอฟดึงร่างกลมกลึงเข้าสู่อ้อมกอด “เชื่อใจผมนะคนดี ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่า... ผมเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่คุณควรไว้ใจ”

ปานชีวาหลับตานิ่งยอมให้เขากกกอด ฝ่ามือที่ลูบลงบนเส้นผม แผ่นหลังซ้ำไปซ้ำมา ช่างให้ความอบอุ่น รู้สึกได้ว่าเขาคือที่พึ่งพิงในยามทุกข์ยาก เขาย้ำคำพูดเมื่อสองปีที่แล้วออกมาอีกครั้งโดยที่ไม่ผิดเพี้ยนจากประโยคเดิมแม้แต่น้อย ดวงตาสองคู่สบสายตากันนิ่งนาน ต่างคนต่างจ้องมองกันราวกับจะค้นใจของอีกฝ่าย

“เชื่อมั่นในตัวผม” ลาโคลอฟย้ำอีกครั้ง

“ค่ะ”

เสียงตอบรับแผ่วเบาทำให้ความอดทนของเขาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อริมฝีปากสีสดของผู้หญิงที่อยู่ในห้วงความคิดตั้งแต่แรกพบ คือสิ่งเร้าให้เขาแสดงความต้องการของจิตใจออกมา จุมพิตที่เริ่มแตะลงบนกลีบปากนุ่ม แล้วค่อยๆและเล็มไปจนเธอเผลอตัว เผยอริมฝีปากให้เขาได้ล่วงล้ำเข้าไปเสาะหาความหวานด้านใน

ลาโคลอฟแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากหวาน เธอให้รสชาติยอดเยี่ยมกว่าในจินตนาการนัก เพียงแค่จูบแรกก็ทำให้เขารู้ว่าเธอด้อยประสบการณ์ ความนุ่มนวลหอมหวานที่รับรู้อยู่ในขณะนี้มันทำให้เขาลิงโลดราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นโปรด ท่าทางเงอะงะยิ่งทำให้ระมัดระวังเพราะรู้ดีว่านี่คือจูบแรกของสาวในอ้อมกอด หากไม่เคยคิดว่าต้องจูบผู้หญิงคนไหนด้วยอารมณ์ทั้งหมดเช่นนี้

ปานชีวาไร้ซึ่งการควบคุมตัวไปชั่วขณะ สัมผัสนุ่มละมุนทำให้เธอเผลอตัว ในขณะที่ความนุ่มละมุนค่อยๆเปลี่ยนเป็นรัญจวนใจ วาบหวิวจนเผลอใจให้เขาจุมพิต กอดรัดอย่างถนัดถนี่ ลิ้นร้อนๆค่อยๆละเลียดฟันแต่ละซี่อย่างหยอกล้อ เกี่ยวกระหวัดไปทั่วโพรงปาก บางครั้งก็ดูดดึงลิ้นของเธอจนเกิดความรู้สึกวาบหวาม จูบหวานละมุนที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อน ทำให้เธอตกใจกับความซ่านสยิวที่เกิดขึ้นทั่วสรรพางค์กาย

ลาโคลอฟเลื่อนฝ่ามือเข้าตรึงท้ายทอยได้รูป ไม่อยากรับรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เขายังไม่อิ่มในรสสัมผัสอันหอมหวานชวนให้หลงใหลนี้ให้ความรู้สึกยอดเยี่ยมกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ไม่ใช่สิ! ความจริงแล้วจูบของเธอทำให้เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าในชีวิตนี้เคยจูบผู้หญิงคนไหนมาบ้าง

“อื้อ...” ปานชีวาครางในลำคอ เบือนหน้าหนีจากปากและลิ้นที่จูบเอาๆจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน พลางคิดว่าหากยังปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจเช่นนี้ เธอคงต้องละลายไปกับจูบสูบวิญญาณของเขาเป็นแน่

ลาโคลอฟถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ไม่อยากคิดว่าตัวเองจะอดใจ เก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากเธอได้อย่างไร ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของร่างกายจะเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม แน่นอนว่ามันต้องดีขึ้นเรื่อยๆจนน่าอัศจรรย์ใจ! แน่นอนว่าเธอคงจะไม่ปฏิเสธความรู้สึกยอดเยี่ยมที่มีต่อกันอีก เธอหอบหายใจและทำตัวอ่อนได้น่ารักน่าชังนัก จึงกดจมูกเข้าที่แก้มนุ่มสูดเอาความหอมเข้าเต็มปอดพลางนึกในใจว่า เป็นค่าตัดใจจากจูบเมื่อครู่นี้

“ปล่อย นะ!” ปานชีวาดันตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่นเต็มแรง มนตร์สะกดอันรัญจวนใจเมื่อครู่เลือนหายไปเมื่อถูกขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ หากยิ้มเอ็นดูของเขายิ่งทำให้เธออายหนักมากขึ้นไปอีก สายตาสู่รู้ที่มองมาราวกับจะถามว่ารู้สึกอายเพราะถูกหอม แต่กลับปล่อยให้เขาจูบจนลืมเรื่องรอบตัวอย่างนั้นหรือ

“ไม่เอาน่า... คนเราก็ต้องมีเฟิร์สคิสกันทั้งนั้น ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย” ลาโคลอฟทั้งปลอบทั้งยั่วเย้าอยู่ในที

“ถ้าท่านยังฉวยโอกาสบ่อยๆ ดิฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะคะ” ปานชีวาโมโหกลบเกลื่อนความเขินอาย แต่จริงๆแล้วเธอโมโหตัวเองมากกว่าที่เผลอตัวให้เขาจูบอยู่นานสองนาน ทั้งที่ท่องมาเป็นอย่างดีว่าเขาคือตัวอันตรายที่ต้องอยู่ให้ห่าง

“ทำไมจ๊ะ... จะฉวยโอกาสจูบผมบ้างเหรอ ถ้าอย่างนั้นอย่าได้เกรงใจ รีบๆเข้า เบบี้คริสตัล”

ปานชีวาอยากร้องกรี๊ดให้กับผู้ชายทรงอิทธิพลซึ่งตอนนี้กลับกลายเป็นเพลย์บอยเต็มขั้น ล้วงมือเข้าที่กระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆแล้วทำปากจู๋ เสนอตัวให้เธอได้ฉวยโอกาสอย่างเต็มที่ หากท่าทางขี้เล่นเช่นนี้ทำให้เธอต้องกลั้นยิ้มจนปวดกราม “ไม่ตลกเลยนะคะ”

“แน่ล่ะสิ ความสัมพันธ์หญิงชายไหนเลยจะเป็นเรื่องตลก มันต้องสุขสม อิ่มเอมทั้งกายใจสิจ๊ะ”

“ดิฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่อยากจะบอกให้ท่านรับรู้เอาไว้ว่าดิฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ท่านจะมาทำตัวรุ่มร่าม ขโมยกอด ขโมยจูบได้ตามใจ แล้วถ้าทำอย่างนี้อีกดิฉันมีสิทธิ์แจ้งความข้อหาทำอนาจาร”

“กอดจูบกับคู่รักในประเทศของผมไม่ถือว่าเป็นความผิด แม้จะทำในที่สาธารณะ” รัฐมนตรีหนุ่มชี้แจงเพราะทราบดีถึงวัฒนธรรม ประเพณีที่แตกต่าง ย่อมทำให้ตัวบทกฎหมายที่บังคับใช้ในแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป

“นั่นหมายถึงคู่รัก แต่ถ้าเป็นคนแปลกหน้าดิฉันคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแน่ๆ”

ลาโคลอฟหัวเราะพรืดออกมา เมื่อได้ยินคำว่าคนแปลกหน้า “ให้ตายเถอะทูนหัว เฟิร์สคิสของเราออกจะร้อนแรงอย่างนั้น แน่นอนว่าเราต้องพัฒนาความสัมพันธ์ให้รุดหน้าจนถึงจุดเร่าร้อน ที่สำคัญหลังจากที่ผมเป็นเจ้าของจูบแรกของคุณแล้ว ผมยังคิดไม่ออกว่าจะปล่อยให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้าได้ยังไง”

ผู้ชายบ้าอะไรอย่างนี้! อย่าบอกนะว่านี่คือคำพูดของคนที่จะเป็นคู่รักกัน ปานชีวานึกฉุนขึ้นมาในทันที มันคงเป็นความคิดที่ออกจะเกินไปหน่อยสำหรับเพลย์บอยเต็มขั้น หากต้องการคำขอหวานหูหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เธอรู้สึกดีกว่าคำว่า ‘พัฒนาความสัมพันธ์ให้ถึงจุดเร่าร้อน’

แปลง่ายๆตรงตัว มันคงจะหมายความถึงเซ็กส์ที่ปราศจากความรักอันสวยงาม เต็มไปด้วยตัณหาราคะ ความพึงพอใจโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆสินะ!?

“แต่ดิฉันไม่คิดอย่างนั้นนะคะ บางทีเจ้าของที่แท้จริงอาจจะไม่ใช่ท่านหรือถ้าจะใช่ ดิฉันก็ไม่เคยคิดว่าคนแรกและคนสุดท้ายต้องเป็นคนๆเดียวกัน” ปานชีวากลั้นใจตอกกลับ และคิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้วเมื่อเห็นใบหน้าคร้ามคมบดกรามแน่น รู้สึกถึงโหนกแก้มที่ขยับสูงขึ้นอย่างคนกำลังระงับอารมณ์โกรธเต็มที่ “เหมือนกับท่านเองก็คงจะไม่ได้คิดว่า ต้องมอบตัวและหัวใจให้กับผู้หญิงที่ได้จูบคนแรก”

เยี่ยม! เธอทำให้เขาเกิดความหึงหวง จุดระเบิดในใจให้ลุกเป็นไฟด้วยคำพูดที่ไม่แยแสราวกับไม่ได้ทำตัวอ่อนในอ้อมกอดเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

“ประสบการณ์ชีวิตคนเรามันไม่เหมือนกันหรอกนะ ผมอาจจะเสาะหารสสัมผัสอันยอดเยี่ยมมาทั้งชีวิต และไม่รีรอที่จะหยุดเมื่อได้พบ ผิดกับคนขี้ขลาดบางคนที่ไม่กล้าแม้กระทั่งยอมรับใจตัวเอง” สองปีที่ผ่านมาเธอเล่นตัวยังไง ตอนนี้เธอก็ยังทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม ที่แก่กล้าขึ้นเห็นจะเป็นคารมซึ่งใช้ตอกกลับให้เขาหน้ามืดเช่นตอนนี้

หลังจากเสียจูบแรกให้เขา เธอยังกล้าดีประกาศว่าเจ้าของจูบแรกและจูบสุดท้ายอาจจะไม่ใช่คนเดียวกัน เอาสิ! ให้มันรู้กันไปว่าจะมีผู้ชายหน้าไหนมาแย่งเธอไปครอง เขาจะตามฆ่ามันล้างเผ่าพันธุ์ให้สาบสูญไปจากโลกใบนี้แน่

“ถ้าการที่ดิฉันไม่ยอมพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงจุดเร่าร้อน ซึ่งนั่นก็คงหมายถึงความสัมพันธ์บนเตียงแบบไร้ข้อผูกมัด แล้วท่านจะมองว่าดิฉันขี้ขลาดก็ตามใจเถอะค่ะ”

“คุณตีความเกือบจะถูกนะ แต่มันบิดๆเบี้ยวๆตรงไร้ข้อผูกมัด ซึ่งผมเห็นว่าควรต้องแก้ไขให้เข้าใจ ถ้าถึงเวลานั้นของเราจริงๆ คุณอยากลอง ‘ผูกหรือมัด’ ผมก็ยินดีเป็นหนูลองยา” บอกอย่างใจป้ำ เอาใจเธอที่สุดอย่างที่ไม่เคยให้สิทธิพิเศษนี้กับใครมาก่อน หวังว่าจะล่อลวง ‘คนขี้ขลาด’ ให้เคลิบเคลิ้มได้เหมือนจูบเมื่อครู่

อา... แค่เพียงคิดว่าต้องเป็นหนูทดลองให้เธอได้เฆี่ยนตี หรือมัดขึงกับเตียง เส้นประสาทในกายก็ลุกชัน  กระสันตอบรับสัมผัสราวกับพวกจิตวิปริต หากคำปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนงก็ดับความฝันเขาจนสิ้น

“ไม่ล่ะค่ะ ถึงจะมีข้อผูกมัดแต่มันก็ไม่ได้ช่วยการันตีอะไร เดี๋ยวนี้มีคู่รัก คู่แต่งงานมากมายที่เลิกราหย่าร้าง” ปานชีวาปฏิเสธทุกข้อเสนออันเร้าใจ

“เฮ้อ... เอาใจยากจริงๆ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา”

เสียงถอนหายใจออกมาราวกับเบื่อหน่าย ทำให้ปานชีวาใจเสีย เห็นได้ชัดว่าเขามีความอดทนในสัมพันธ์ละเอียดอ่อนต่ำ ไม่กี่นาทีที่ทำท่าเอือมระอาแล้วจะให้เธอตอบตกลงง่ายๆได้อย่างไร หากคบกันไปสักพักแล้วเขาเกิดเจอผู้หญิงถูกใจ เธอไม่ต้องเสียใจเพราะถูกเขี่ยทิ้งหรอกหรือ

“ค่ะ ชอบแบบง่ายๆก็ไปหาเอาจากที่อื่น” ปานชีวาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นใจระคนน้อยใจ ทว่าคนฟังกลับหัวหมุนที่เธอขับไสไล่ส่งเขาให้ห่างตัว

“ไม่เอา... ติดใจแบบยากๆคนนี้แล้วน่ะสิ” พูดพลางชี้นิ้วไปที่เธอและมันทำให้ได้เห็นท่าทางขวยเขิน กิริยาของหญิงสาวที่เคยคิดว่าได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว เธอกะพริบตาถี่ๆ เม้มริมฝีปากแน่น แก้มเนียนกลายเป็นสีชมพูจัดลามเลียไปถึงลำคอ

โอ... พระเจ้า! ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากร่างเปลือยสีชมพูจัดบิดเร่าๆอยู่ใต้ร่างของเขา เธอจะให้ความรู้สึกวิเศษ เลิศเลอขนาดไหนนะ

ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนเอง

“ท่านครับ เลขานุการของท่านผู้พิพากษารออยู่ในห้องโถงแล้วครับ” มารัตรายงานเจ้านายหลังจากหลบฉากออกมาให้ทั้งคู่ได้เวลาเป็นส่วนตัว

ปานชีวาส่ายหน้าให้กับตัวเอง สุดท้ายแรงดึงดูดของผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เธอเผลอตัวทั้งที่จริงแล้วควรต้องคิดถึงความปลอดภัยของอาเขยมาเป็นอันดับแรก รีบฉวยโอกาสที่เขากำลังนิ่งงันเดินไปเปิดประตูห้องและก้าวออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมามองเขาอีกเลย ทิ้งให้ลาโคลอฟอมยิ้มกับความคิดของตัวเอง

เธอจะปฏิเสธ ดื้อรั้นหรือแสร้งทำเมินเฉยอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ถือสาเพราะค้นพบแล้วว่าต้อง ‘ล่องลวง’ เธอด้วยวิธีการใด ทั้งในตอนนี้ยังหาวิธีที่จะดึงเธอเข้ามาใกล้ชิดเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ ‘ล่อลวง’ อย่างเต็มที่

มารัตเหลือบสายตามองเจ้านายที่เดินผ่านหน้าออกไปอย่างไม่เชื่อสายตา ตั้งแต่ติดตามท่านมาก็ไม่เคยเห็นว่าท่านอารมณ์ดีถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่รอยยิ้มแต่รวมถึงแววตา สีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังสำราญใจอย่างที่สุดทั้งที่ความจริงแล้ว เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในตอนนี้น่าจะทำให้ท่านนิ่งเฉย แววตาท่าทางเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะล้มล้างคู่ต่อสู้อย่างที่ผ่านมา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา