ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 10 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สายตาทุกคู่ของคนในบ้านต่างมองไปยังหลานสาวของเจ้าของบ้านและรัฐมนตรีหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้องโถง อลันจึงรีบรายงานเจ้านายถึงเลขานุการที่ตนพามาถึงเมื่อไม่กี่นาทีนี้

                “เจอตัวที่อพาร์ตเมนต์ ในห้องของเขาก็ไม่พบความผิดปกติอะไรครับ”

                เจตน์จ้องตาหนุ่มชาวแอลเมเรียที่บุกเข้าไปคุมตัวเขาและรื้อค้นห้องราวกับว่าเขาเป็นอาชญากร แต่เสียงไถ่ถามของเพื่อนสาวที่ดังขึ้นทำให้ต้องละสายตาจากบอดีการ์ดร่างสูง

                “เธอไม่เป็นไรใช่ไหมเจตน์?” ปานชีวาถามพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ๆ กวาดสายตามองทั่วร่างด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าเพื่อนจะได้รับอันตราย

                “เปล่า ฉันสบายดี” เจตน์ส่ายหน้าตอบพลางมองท่านรัฐมนตรีที่จ้องตนไม่กะพริบตา “คนของท่านบอกกับผมว่า ท่านมีเรื่องจะคุยกับผม”

                ลาโคลอฟไม่ได้ตอบหรือเอ่ยประโยคสนทนาใดๆในทันที แต่กลับเอื้อมมือไปรั้งต้นแขนเรียวของปานชีวาให้กลับมายืนที่ด้านหลังของตน “มี แต่ก่อนอื่นฉันน่าจะได้ยินเหตุผลดีๆของนาย ทำไมถึงได้ดูนิ่งนอนใจนักทั้งที่เจ้านายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

                “ผมไม่ได้นิ่งนอนใจนะครับ เพียงแค่ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร”

                “น่าปลื้มใจแทนท่านผู้พิพากษาเสียจริง เป็นคำตอบคุ้นหูของพวกสายลับ และฉันก็หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นสายลับพลีชีพ” ลาโคลอฟกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางข่มขู่ รอยยิ้มเย็นยะเยือกที่ทำให้เขาหล่อเหลากลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเสียวสันหลัง!

                “ท่านน่าจะฟังเหตุผลของเขาให้จบเสียก่อนนะคะ” ปานชีวาแย้ง จ้องคนที่หันหน้ามาหรี่ตามองตนด้วยสายตาคาดโทษ และต้องเดินตามแรงรั้งของฝ่ามือใหญ่ไปทรุดนั่งลงบนโซฟาข้างๆเขา

                “เชิญ... หวังว่าจะได้ยินเหตุผลดีๆที่ไม่ใช่ข้อแก้ตัว” ลาโคลอฟบอกในขณะไม่ยอมปล่อยมือออกจากต้นแขนของปานชีวา

                เจตน์กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แม้ท่านั่งแสนธรรมดาของเขาก็ยังคุกคามสวัสดิภาพทางความรู้สึก “หลังเกิดเหตุทุกคนก็ถูกกันให้ออกจากบริเวณนี้ แม้ตอนที่ถูกตรวจร่างกายผมแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นเลขาฯของท่าน แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องกลับบ้านไปครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องกลับอพาร์ตเมนต์ นั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักเดียวคนของท่านก็เข้าไปค้นห้องจนเละเทะไปหมด”

                “ก็ดีกว่าอย่างอื่นเละ” อลันตอบพลางตีคิ้วให้กับเลขานุการหนุ่มอย่างยั่วเย้า นึกถึงตอนที่เข้าค้นห้องแล้วพบกับหนังสือโป๊ที่มีแต่ผู้ชายโชว์รูปร่างตลอดจนความเป็นชายอยู่หลายเล่ม ทั้งเสียงหวีดแหลมที่ร้องห้ามอย่างลืมตัวก็ทำให้เขารู้แล้วว่า เลขานุการคนนี้มีรสนิยมทางเพศแบบใด

                เจตน์มองบอดีการ์ดหนุ่มอย่างคับแค้นใจ ความจริงแล้วเขามีความอดทนต่อสุภาพบุรุษได้อย่างมาก แต่กับบอดีการ์ดที่ชื่ออลันนี้กลับทำให้นึกอยากต่อยเข้าที่ปลายคางสักหมัดบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด ถึงอย่างไรแล้วก็คงไม่มีทางไปสู้รบปรบมือกับคนที่ถูกฝึกการต่อสู้มาอย่างช่ำชองได้

                “แล้วหลายวันที่ผ่านมา เธอสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบ้างไหม” ปานชีวาถามเพื่อน

                เจตน์ส่ายหน้าพลางตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่เลย ไม่ใช่ว่าฉันจะปัดความยุ่งยากให้พ้นจากตัวเองนะ แต่ตอนที่กลับถึงอพาร์ตเมนต์ ฉันนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดสังเกต”

                “ลองคิดดูอีกที ถึงยังไงเธอก็เป็นคนที่อยู่กับอีวานมากที่สุด” ปานชีวาบอกอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูด แต่เพราะรู้ดีว่าหากเจตน์ยังยืนยันเช่นนี้ ผู้ชายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ คงต้องออกคำสั่งจับตัวเขาไปสอบสวนด้วยตนเองเป็นแน่ และเธอยังไม่รู้ว่าวิธีการสอบสวนของเขานั้นจะเป็นเช่นไร

                “เอาล่ะ เมื่อทุกคนยังยืนยันว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีใครสามารถตอบคำถาม หรือชี้แจงตัวเองได้อย่างดีสักคน ฉันก็จำเป็นต้องทำทุกอย่างตามวิธีของตัวเอง” ลาโคลอฟพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหลือบสายตามองไปยังนายหญิงของบ้านที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงาน เมื่อเห็นเธอพยักหน้ารับจึงชี้แจงวิธีการของตนต่อ “ทุกคนในบ้านให้ทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจะผลัดเปลี่ยนเวรยาม ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ขอให้ทุกคนทำตามคำสั่งของฉันอย่างเคร่งครัด ภรรยาและหลานสาวของท่านผู้พิพากษาจะอยู่ในความดูแลของฉัน ในเซฟเฮาส์ที่เป็นความลับ”

                จบคำพูดปานชีวาก็มองหน้าของลาโคลอฟและผู้เป็นอาสลับกันไปมา แต่การพยักหน้ารับของผู้เป็นอาที่ยืนอยู่หน้าห้องทำงานก็ทำให้เธอลอบถอนหายใจ เพราะไม่รู้ว่าต้องอยู่ในความดูแลของเขาไปนานสักเท่าไหร่

                ในขณะที่ลาโคลอฟยังสั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดไปเรื่อยๆ “รุสซา ยังคงเป็นหัวหน้าพ่อบ้านเช่นเดิม หากใครมีเรื่องทุกข์ร้อนหรือมีข้อสงสัยใดให้แจ้งกับเขาเช่นเคย หากเรื่องนั้นเหนือบ่ากว่าแรงให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้ทุกคน ส่วนเลขาฯท่านผู้พิพากษา เชิญไปทบทวนความจำอีกครั้ง เผื่อว่าการได้อยู่ในสถานที่แปลกใหม่อาจจะทำให้จำอะไรๆขึ้นมาได้บ้าง”

                “ผมไม่ใช่ผู้ต้องหา ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะกักตัวผมไว้” เจตน์บอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เมื่ออลันเข้ามาล็อกแขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง

                “ใช่หรือไม่นั่นต้องหลังจากที่เราได้คุยกันก่อน และถึงแม้ว่าการคุยกันในครั้งนี้อาจจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ถ้านายอยากให้มันถูกต้อง ฉันก็ไม่มีปัญหา”

                เจตน์เงียบกริบ รู้ดีว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่ รัฐมนตรีหนุ่มผู้เงียบขรึม เย็นชาสามารถทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยได้ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ การคุยกับเขาในฐานะเลขานุการของท่านผู้พิพากษาดูจะปลอดภัยมากกว่าขัดขืนแล้วต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหา และที่ไม่ปรารถนามากที่สุดคือกลายเป็นกระสอบทรายให้เขาซ้อม!

                เขาอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่มีรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลไม่ต่างจากผู้นำเผด็จการ การทำเรื่องผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย หรือกลับขาวให้เป็นดำ มันง่ายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก เจตน์ทำใจยอมรับและเดินออกไปจากห้องโถงตามแรงผลักของบอดีการ์ดที่อยู่ด้านหลัง

                ปานชีวามองเพื่อนซึ่งถูกควบคุมตัวออกไปด้านนอกอย่างเห็นใจ “มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะที่ทำกับเขาแบบนั้น คุณมีหลักฐานอะไรถึงได้มีสิทธิ์ไปควบคุมตัวเขาเหมือนผู้ต้องหาแบบนั้น”

                “ไปเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น คุณกับอารยาต้องไปพักที่เซฟเฮาส์ชั่วคราว” ลาโคลอฟตอบไปอีกเรื่อง

                “ไม่!...”

                “ลูกปัด เชื่ออา” อารยารีบเอ่ยขึ้นก่อนที่หลานสาวจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้ จากนั้นจึงหันไปบอกกับลาโคลอฟด้วยความเกรงใจ “ขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่ช่วยจัดการทุกอย่างนะคะ รอดิฉันสักครู่”

                ปานชีวากัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น เมื่อเห็นเขาตีคิ้วใส่ตาอย่างผู้ชนะแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเดินไปตามผู้เป็นอาขึ้นไปชั้นบนของบ้าน หากเสียงวางอำนาจที่ดังขึ้นสั่งการคนในบ้านอย่างละเอียดก็ทำให้นึกหมั่นไส้ คิดอย่างค่อนขอดในใจเพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนถึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัดเช่นนั้น

 

                ราวสิบห้านาทีต่อมาคาดิแลคคันยาวก็เลี้ยวออกจากกำแพงสูงของบ้านหัวหน้าผู้พิพากษาสูงสุด ภายในรถกันกระสุนอันโอ่อ่าที่อารยาและปานชีวานั่งอยู่มีรัฐมนตรีกลาโหมหนุ่มนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

                “ความจริงแล้วให้เราสองอาหลานไปอยู่ที่เซฟเฮาส์ของรัฐบาลก็ได้นี่คะ รบกวนท่านแบบนี้ดิฉันเกรงใจจริงๆ” อารยาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินรัฐมนตรีหนุ่มบอกว่าจะให้พักที่บ้านของเขาจนกว่าอีวานจะกลับมาอย่างปลอดภัย พอทราบอยู่บ้างว่าเขาพักอยู่เพนต์เฮาส์เสียเป็นส่วนใหญ่ คฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งในแถบชานเมืองจึงมีเพียงผู้ดูแลอยู่อาศัย เพราะแอนทอนก็ย้ายไปพำนักในทำเนียบฯตั้งแต่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี

                “อย่าเกรงใจไปเลยครับ อยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดจะดีกว่า” ลาโคลอฟบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง อารมณ์แตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

                เมื่อได้ยินเช่นนั้นอารยาก็ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ รู้ดีว่าการยื่นมือเข้าช่วยเหลือครั้งนี้น่าจะเป็นความต้องการส่วนใหญ่ของคนในพรรคALDP ซึ่งเธอเคยได้ยินสามีเปรยว่า ท่านประธานาธิบดีแอนทอนอยากให้ลงเล่นการเมือง หากไม่อยากทำงานประจำแล้ว

                “ความจริงการอยู่เชฟเฮาส์ของรัฐบาลก็น่าจะปลอดภัยไม่ต่างกันนี่คะ” ปานชีวาแย้ง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงต้องทำตามคำสั่งของเขา เพราะจากคำอธิบายของผู้เป็นอาในตอนที่เก็บข้าวของเครื่องใช้นั้น ทำให้เธอเข้าใจได้ว่ารัฐบาลจะให้ความคุ้มครองข้าราชการทุกคนที่ถูกคุมคามจากกลุ่มก่อการร้ายจนกว่าตัวประกันจะปลอดภัย ซึ่งนั่นความเป็นจริงนั้นต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มากกว่ารัฐมนตรีกลาโหมอย่างเขา

                อีกนัยหนึ่ง เขาคือนักการเมืองย่อมต้องมีส่วนได้ส่วนเสียกับกลุ่มLONA ไม่มากก็น้อย ไม่มีใครการันตีได้ว่าเขาเป็นนักการเมืองใจซื่อมือสะอาด ที่คุณอาและเธอควรไว้ใจ ปานชีวาคิดอย่างเป็นกลาง

                “ก็คงใช่ แต่บ้านผมก็ยังปลอดภัยที่สุดอยู่ดี อีกอย่างเซฟเฮาส์ของรัฐบาลก็อยู่ลึกลับ ไม่มีคนคอยอำนวยความสะดวกเรื่องต่างๆ” ลาโคลอฟตอบพลางยิ้ม จ้องดวงตาเป็นประกายที่มีแววโทสะของเธอ “สรุปง่ายๆคืออยู่ในสายตาผมปลอดภัยที่สุด”

                “หลังจากที่เห็นท่านคุกคามสิทธิและเสรีภาพของเจตน์แล้ว ดิฉันไม่คิดว่าอยู่กับท่านจะปลอดภัยหรอกนะคะ”

                “มันไม่ตายหรอก อย่าห่วงนักเลย” ลาโคลอฟตอบด้วยท่าทางกวนอารมณ์ ซึ่งทำให้คนมองไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

                “ความจริงแล้วท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น ทำไมไม่ส่งเจตน์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวน เมื่อไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลอันสมควรก็ต้องปล่อยตัวให้กลับบ้านตามกฎหมาย”

                “ที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยนะจ๊ะ” ลาโคลอฟเตือนความจำของนิติกรสาว

                “ทราบค่ะ หลังจากที่เห็นว่าผู้ชายคนหนึ่งถูกควบคุมตัวทั้งที่ไร้ความผิด ดิฉันก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในแผ่นดินแม่ ทั้งยังไม่แน่ใจนักว่าอาศัยอยู่ในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยรึเปล่า”

                “ลูกปัด!” อารยาดุหลานสาวด้วยความตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดประชดประชันเช่นนั้น ความตกใจของเธอไม่ต่างจากคนสนิททั้งสองที่นั่งอยู่ด้านหน้าต่างหันหน้ามาสบสายตากัน เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวานเอ่ยตำหนิเจ้านายอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้ภายในรถเกิดความเงียบอยู่ครู่ใหญ่

                ลาโคลอฟระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ จนคนฟังก็ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ว่ากำลังหัวเราะกลบเกลื่อนอารมณ์อันคุกรุ่นหรือไม่ “ก็อย่างที่บอก ถ้ามันตอบคำถามผมได้อย่างน่าพอใจ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล”

                “ต้องกังวลสิคะ เพราะความจริงอาจจะเป็นเรื่องไม่น่าพอใจสำหรับท่านก็ได้” ปานชีวาโต้กลับอย่างไม่ลดละ นึกเป็นห่วงในความปลอดภัยของเพื่อนที่สุด

หากการโต้เถียงของทั้งคู่ทำให้อารยาเงียบ สังเกตท่าทีของทั้งคู่อย่างประหลาดใจ!

“ขอฟังของคำตอบก่อนแล้วกัน แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังว่าความจริงของมันขัดใจผมรึเปล่า” ลาโคลอฟตอบพลางยักคิ้วใส่ตาอย่างยั่วอารมณ์

“ขอฟังการสอบสวนของท่านด้วยได้ไหมคะ”

“เท่าที่ผมรู้... คุณมีเรียนทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์”

“แต่ดิฉันคงไม่มีใจทำอย่างอื่น ถ้าไม่รู้ว่าเจตน์ปลอดภัยรึเปล่า” ท้ายประโยคพูดอย่างอ้อนวอน หากต้องทำหน้ามุ่ยเมื่อเขาเบือนหน้าหนี แท้จริงแล้วเธอไม่รู้หรอกว่าเขาไม่ต้องการให้เธอได้ล่วงรู้ความลับว่า ต้องพ่ายแพ้ให้กับดวงตาเป็นประกายของเธออยู่ร่ำไป

“เหลวไหล หน้าที่ของคุณคือเรียนหนังสือก็เรียนไปสิ เรื่องอื่นปล่อยให้ผมจัดการ”

“แต่...”

“ลูกปัด อาว่าทำตามที่ท่านรัฐมนตรีบอกดีกว่านะจ๊ะ” อารยาเอ่ยขึ้นก่อนที่หลานสาวจะพูดจบประโยค ทั้งยังวางมือลงบนหลังมือนุ่มเป็นเชิงปราม

จากนั้นบรรยากาศภายในรถยนต์คันหรูก็เงียบกริบ ราวสิบห้านาทีต่อมาทั้งหมดก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์พาวิลเชนโก อาคารทรงนีโอคลาสสิกแต่หลังคายังเป็นสถาปัตยกรรมมัสโควีซึ่งเป็นความชื่นชอบของชาวแอลเมเรียส่วนมาก รถยนต์ค่อยๆจอดสนิทหน้าบันไดประตูใหญ่ของคฤหาสน์

ปานชีวาเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปภายในพร้อมกวาดสายตามองความงดงามของคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งใช้สีขาวเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ข้าวของเครื่องใช้ส่วนมากจะเป็นสีทองอร่ามตา ไม่เว้นแม้กระทั่งราวบันไดที่มีรูปปั้นม้าสีทองขนาดย่อมตั้งอยู่เป็นระยะๆ

“ผมเตรียมห้องไว้ที่ชั้นสองเป็นห้องที่มีประตูเชื่อมถึงกัน อยู่ที่นี่ทำใจให้สบายนะครับ ขอให้มั่นใจในตัวผม” ลาโคลอฟบอก ในขณะที่คนรับใช้ยกกระเป๋าเดินนำขึ้นไปยังชั้นบน

“ขอบคุณมากๆนะคะ ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง” อารยาตอบอย่างจริงใจ

“อย่าเกรงใจเลยครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ทำให้ต้องลำบากแบบนี้” ลาโคลอฟบอกเพราะรู้ดีว่า ไม่มีที่ใดในโลกจะน่าอยู่เท่าบ้านของตัวเอง “พักผ่อนเถอะนะครับ ผมต้องออกไปทำธุระต่อ ถ้าขาดเหลืออะไรก็สั่งแม่บ้านได้เลย”

อารยาก้มศีรษะให้รัฐมนตรีหนุ่มอย่างสุภาพ เป็นการขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่เขามอบให้ จากนั้นจึงจูงมือหลานสาวเดินตามสตรีวัยกลางคนที่ยืนรออยู่หน้าบันได ระหว่างที่ก้าวขึ้นบันไดปานชีวาก็หันไปมองร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังเดินไปยังห้องหนึ่ง ทว่าเขากลับไม่ได้เปิดประตูเข้าไปในทันทีแต่หันหลังกลับมามองเธอเช่นกัน เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบหลบสายตาและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทั้งที่ในใจคิดว่า ธุระของเขานั้นคงเป็นเรื่องของเจตน์แน่นอน

“เชิญค่ะ” แม่บ้านร่างท้วมกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมเปิดประตูห้องออกกว้างให้แขกพิเศษทั้งคู่ได้เดินเข้าไปด้านในซึ่งมีคนกำลังนำข้าวของเครื่องใช้ในกระเป๋าออกมาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย “คุณผู้หญิงทั้งสองต้องการอะไรเป็นพิเศษไหมคะ รับนมสดอุ่นหรือโกโก้ร้อนก่อนนอนไหมคะ?”

“ไม่จ้ะ ขอบคุณมาก” อารยาตอบด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ซึ่งความจริงแล้วเธอเหนื่อยใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงที่ถูกกลุ่มโลนจับไป ตัวประกันส่วนมากมักจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาพบครอบครัวและเธอก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นกับสามี

“อายาอย่าคิดไปไกลนักนะคะ อีวานต้องไม่เป็นอะไร” ปานชีวาเดินเข้าไปปลอบ เมื่อได้อยู่ในห้องกันตามลำพังและเห็นว่าผู้เป็นอาเดินไปทรุดตัวนั่งลงปลายเตียงนอนอย่างหมดกำลังใจ

“ต้องบอกให้อาเริ่มทำใจถึงจะถูก” อารยาหยุดพูดเมื่อหลานสาวยื่นนิ้วชี้มาจรดลงบนริมฝีปากพลางส่ายหน้า

“อย่าพูด อย่าคิดถึงเรื่องร้ายๆนะคะ เราต้องมีหวัง เราต้องได้พบอีวานอีกครั้ง ท่านรัฐมนตรีสัญญาแล้ว” ปานชีวาบอกด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงได้เอ่ยอ้างถึงเขาอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ

อารยายิ้มเศร้าเพราะรู้ว่านั่นคือคำปลอบใจ หากคำพูดของหลานสาวทำให้แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ปานชีวายังโต้เถียงกับเขาอยู่ “ลูกปัดเชื่อใจท่านรัฐมนตรีเหรอ?”

“เชื่อสิคะ ก็อายาพูดเองว่าเขาเป็นนักการเมืองประวัติดีถ้าไม่รวมเรื่องส่วนตัว เขาให้คำมั่นสัญญากับเราอย่างนั้น เราก็ต้องเชื่อเขาสิคะ” ปานชีวาตอบกลับอย่างรวดเร็ว ถือเอาคำพูดของอาในตอนที่ชี้แจงรายละเอียดให้ทราบมาย้ำให้ท่านได้มั่นใจอีกครั้ง แม้ใจจริงจะไม่ค่อยเชื่อนักก็ตาม “ปัดว่าอายาน่าจะแช่น้ำอุ่นๆ แล้วออกมาพักผ่อนสักหน่อยนะคะ ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมง ท่านรัฐมนตรีอาจจะพบเบาะแสของอีวานก็ได้”

อารยาพยักหน้ารับและยอมลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตามแรงรั้งของหลานสาวแม้จะรู้ดีว่าโอกาสพบเบาะแสของสามีนั้นมีน้อยมาก นอกเสียจากว่ากลุ่มLONA จะเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเอง หากการได้แช่น้ำอุ่นๆเรียกความสดชื่นให้ร่างกาย อาจจะทำให้เธอคลายความเมื่อยล้าลงได้บ้าง

ปานชีวาปิดประตูห้องน้ำและรีบเดินออกจากห้องเพราะกลัวว่า เขาจะเดินทางไปพบกับเจตน์เสียก่อน หากขอร้อง พูดจากับเขาดีๆ อาจจะทำให้เขาเห็นใจขึ้นมาก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นปานชีวาจึงรีบเดินกลับลงมาชั้นล่างอีกครั้ง

 

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องที่เห็นว่าเขาเดินเข้ามา ปานชีวาก็ยกมือขึ้นตั้งใจจะเคาะประตู แต่ประตูถูกเปิดออกจากด้านในในจังหวะเดียวกัน

“ว่าไงจ้ะ ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีก” ลาโคลอฟถามอย่างอารมณ์ดี

“เอ่อ... ดิฉันอยากตามไปพบเจตน์ด้วยได้ไหมคะ” ปานชีวาตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ

“ผมคิดว่าเราคุยเรื่องหมอนั่นจบไปแล้วเสียอีก ทำไมถึงได้เป็นห่วงมันนัก” ถามอย่างอยากรู้ เธอจะรู้บ้างไหมว่าเขาจะเผลอตัวทำร้ายร่างกายหมอนั่นได้ง่ายๆ เพราะท่าทีห่วงใยเช่นนี้ “อย่าตอบแบบกำปั้นทุบดินนะว่าเป็นคนไทยด้วยกัน”

“นั่นก็ใช่ค่ะ แต่เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ดิฉันรู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่ใช่คนที่คิดร้ายกับใครได้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” ปานชีวาพยายามอธิบายนิสัยโดยรวมของเจตน์ เพื่อนเพศชายที่ไม่เคยมีใจชอบผู้หญิง ทั้งยังเอาเรื่องของหนุ่มๆมาปรึกษาตนอยู่เป็นประจำ

“แฟนเก่า?” ลาโคลอฟให้คำจำกัดความที่ชัดเจนขึ้น หากต้องลอบถอนหายใจเมื่อเธอเบิกตากว้าง ส่ายหน้าปฏิเสธ

“เพื่อนค่ะ เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย”

“อ่อ... เข้าใจแล้ว ไปนอนซะเบบี้คริสตัล ผมต้องรีบไปทำงานต่อ”

“เดี๋ยวสิคะ” ปานชีวากางแขนออก ยืนขวางประตูเอาไว้ “ถ้าไม่ให้ดิฉันไปด้วย ท่านก็ต้องรับปากมาก่อนว่าเจตน์ต้องปลอดภัย”

“อืม... อะไรดีน้า...” ลาโคลอฟเปรยออกมาพร้อมทำท่าครุ่นคิด

“คะ?”

“ลุค คุณควรเรียกผมว่าอย่างนั้น แล้วเลิกแทนตัวเองว่าดิฉันสักที ไม่เห็นจะน่ารัก” ลาโคลอฟนึกถึงข้อแลกเปลี่ยนขึ้นมาได้อย่างทันท่วงที หากเสียงกับท่าทางกระเง้ากระงอดของเธอก็ทำให้อยากดึงร่างกะทัดรัดเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน

“ไม่ต้องมารักสิ” ปานชีวาตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก แต่เมื่อได้ยินเขาหัวเราะอย่างชอบใจก็รีบวางตัวเช่นเคย “ดิฉันคิดว่าเป็นคำพูดที่สุภาพและเหมาะสมที่สุดแล้ว”

ลาโคลอฟหมั่นไส้กับกิริยาที่เธอวางตัวราวกับเป็นแม่แก่ เชิดหน้าตรง คอแข็งจนนึกเมื่อยแทนแต่ดูยังไงเธอก็ยังน่ารักน่าชังในสายตาเขาอยู่ดี “รู้ว่าเหมาะสม แต่ทูนหัวจ๊ะ... ผมคงจะรู้สึกดีขึ้นถ้าคุณจะลดความเป็นทางการกับผู้ชายที่สอนจูบแรกให้ตัวเองบ้าง”

“นี่! คุณ” ปานชีวากลายเป็นคนติดอ่าง เมื่อได้ยินเขาล้อเลียนเช่นนั้น

“ช่าย... ว่าง่ายอย่างนี้เดี๋ยวจะสอนจูบที่สองให้” เรียกคุณก็ยังดีกว่าที่เรียกท่าน เดี๋ยวอีกหน่อยเธอคงต้องเรียกเขาว่า ลุค ที่รัก หรืออะไรทำนองนั้นเองล่ะน่า คิดอย่างเข้าข้างตัวเอง

ปานชีวาอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเขาจะตีขลุมเอาง่ายๆเช่นนี้ “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”

“ไม่เอาแล้วเหรอ คำสัญญาน่ะ ไหนว่าเป็นห่วงหมอนั่นนักหนา” ลาโคลอฟถามอย่างเป็นต่อ

“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะค่ะ ดิฉันคิดว่ามันไม่เหมาะที่จะเรียกท่านอย่างสนิทชิดเชื้ออย่างนั้น คนอื่นมาได้ยินเข้าจะตำหนิเอาได้” ปานชีวาบอกพลางปั้นหน้ายาก แต่ข้อต่อรองของเธอนั้นกลับทำให้เพลย์บอยเต็มขั้นตาลุกวาว

“งั้นเรามาเริ่มจูบที่สอง” พูดพลางเบี่ยงตัว หลีกทางให้เธอได้เดินเข้ามาในห้องแต่เมื่อเห็นท่าทางที่เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากทั้งยังส่ายหน้าจนผมเผ้ากระจาย ถลึงตามองเขาอย่างตำหนินั้นยิ่งชอบใจกับอาการหวงเนื้อหวงตัวของเธอ มันบ่งบอกให้รู้ว่า เธอจะไม่ยอมเฟิลร์ตกับผู้ชายมากหน้าหลายตาอย่างแน่นอน

“ฉวยโอกาส! บอกแล้วไงว่าอย่ามาทำตัวรุ่มร่ามกับดิฉันอีก ว้าย...”

ลาโคลอฟไม่ปล่อยให้เธอต่อว่าต่อขานจนจบประโยค เพราะในใจนึกอยากวุ่นวายกับเนื้อตัวเธอเป็นที่สุด ไม่สนว่าเธอจะมองเป็นคนฉวยโอกาสแต่อย่างใด จึงคว้าเข้าที่ต้นแขนเรียวออกแรงเพียงเล็กน้อย เธอก็เข้ามาอยู่ในห้องพร้อมกับใช้เท้าเขี่ยประตูให้ปิดสนิท

ปานชีวาเกร็งตัวพร้อมเบียดตัวเองเข้ากับผนังห้อง รู้สึกได้ถึงไออุ่นของร่างสูงใหญ่ที่แนบประชิดอยู่ตรงหน้า “อย่าทำบ้าๆนะ”

“จูบนี่เหรอที่เรียกว่าบ้า อา... งั้นผมยอมเป็นคนบ้าถ้าแลกกับการได้จูบคุณ เบบี้คริสตัล”

“หยุดเรียกดิฉันแบบนั้น แล้วดิฉันก็ไม่ยอมให้คุณได้จูบอีกแน่ ถอยออกไปนะ!” ปานชีวาเบี่ยงหน้าหนีในขณะที่ยังต่อว่าเขาไม่หยุด ท่าทีกล้าๆกลัวๆ ยิ่งทำให้เขาเอ็นดูเธอยิ่งนัก

“นั่นก็ไม่ได้ จูบก็ไม่เอา ทำไมคุณถึงได้โลภมากอย่างนี้นะ อยากได้อะไรจากคนอื่นมันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสิ จะมาขอกันง่ายๆอย่างนี้ผมก็เจ๊งแย่” พูดพลางกางขาออกกว้างเพื่อลดความสูงของตัวเองให้ไล่เลี่ยกับเธอมากที่สุด กระนั้นศีรษะเธอก็ยังอยู่แค่ช่วงปลายคางของเขา

“เพราะข้อแลกเปลี่ยนของคุณมันคือการฉวยโอกาส ลองเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เช่นว่าไหว้วานให้ดิฉันทำงานอย่างอื่นให้สิคะ”

“งานการมันเป็นหน้าที่ของผมและมีผู้ช่วยเป็นโขยง งานบ้านผมก็จ้างคนไว้เต็มบ้านและคุณก็ไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่นั้น” การต่อล้อต่อเถียงกับเรื่องไร้สาระกับผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อและไม่เคยอยู่ในสมอง แต่เขากำลังทำในสิ่งที่เคยคิดว่าน่าเบื่อกับเธอโดยไม่รู้ตัว

“แต่ฉันสามารถทำงานหนักได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานเอกสาร” ปานชีวายังเสนอตัวเองต่อไป หากแต่คนฟังกลับไม่ได้ต้องการให้เธอทำงานอะไรสักอย่าง นอกเสียจากว่า...

ทำงานบนเตียง ซึ่งมั่นใจว่าแรกๆเธอต้องเหน็ดเหนื่อยกับพละกำลังอันเหลือเฟือของเขา แต่รับรองได้ว่าเธอจะมีความสุข ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก วัดได้จากความร้อนแรงของจูบแรกที่เข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เพียงแค่คิดเขาก็ร้อนรุ่มจนแทบทะลุองศา แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆมีหวังชาตินี้คงไม่ได้เธอไปทำงานบนเตียงแน่!

“นั่นมันก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของผม ตอนนี้ผมอยากได้ข้อแลกเปลี่ยนอย่างที่บอกไป ถ้าคุณไม่ให้ก็ไม่ต้องเอาอะไรมาต่อรอง หรือที่ต่อรองนี่หมายความว่ากำลังตัดสินใจ” ลาโคลอฟถามพลางยิ้มที่มุมปาก เหลือบสายตามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมมีเวลาสักสองสามนาทีรอ... จูบที่สอง”

“ไม่ต้องเสียเวลาสองสามนาทีนั้นหรอกค่ะ เพราะยังไงดิฉันก็ไม่ให้” ปานชีวากระแทกเสียงตอบอย่างไม่พอใจ

“เกมโอเวอร์” เขาตอบเร็วด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จนคนฟังใจหายวาบ ในช่วงเวลาที่เธอนิ่งงันก็ถือโอกาสสอดมือเข้าไปประคองที่ข้างแก้มเนียน ไล้ข้างนิ้วโป้งเข้ากับความเนียนนุ่ม “เข้านอนซะเบบี้คริสตัล อย่าลืมว่าพรุ่งนี้มีเรียนตอนเช้า”

จบคำพูดเขาก็ก้มลงมาอย่างรวดเร็ว แตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเธอแล้วผละออกไปจากห้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาที หากไม่เข้าใจว่าเขาเบื่อกับการไล่ตามตื้อเธอแล้วสินะ!

จริงสิ เขาคือรัฐมนตรีเพลย์บอย ทั้งหล่อเหลา เพียบพร้อมด้วยเกียรติยศชื่อเสียง อำนาจบารมี นั่นย่อมทำให้มีผู้หญิงเข้าแถวเต็มใจที่จะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบที่เขาต้องการ ไม่มีความจำเป็นสักนิดที่ต้องมางอนง้อเธอ จบเกมล่าที่ทำให้โล่งอกแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ลึกๆในใจแล้วเกิดความรู้สึกเบาโหวง ผิดหวังไม่ต่างจากถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพัง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา