ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 6 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                บ่ายวันเดียวกัน ปานชีวาเดินทางมาถึงบ้านซึ่งเป็นแหล่งที่พักอาศัยของข้าราชการชั้นสูงในแอลเมเรีย ในบริเวณบ้านเต็มไปด้วยชายหญิงหลายคนกำลังช่วยกันจัดสถานที่ ประดับประดาดอกไม้และไฟสำหรับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ทว่าสายตากลมโตเหลือบไปปะทะเข้ากับร่างท้วมของอาเขยที่ยืนยิ้มกว้างอยู่หน้าประตู กางแขนทั้งสองข้างออก ปานชีวาจึงรีบเดินเข้าไปหา พนมมือไหว้ก่อนที่จะเข้าไปสวมกอดอาเขย

                “คงไม่ช้าไปถ้าจะกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับสู่แอลเมเรีย” อีวานบอกพลางตบแผ่นหลังบางเบาๆด้วยความเอ็นดู

                “สุขสันต์วันเกิดนะคะอีวาน” ปานชีวาบอกด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนที่จะล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของตนแล้วยื่นของขวัญกล่องเล็กให้อาเขย

                “โอ... ขอบใจมากสาวน้อย” อีวานบอกพลางแตะแผ่นหลังให้หลานสาวของภรรยาเดินเข้าไปในบ้าน

“มาถึงนานรึยังคะ” ปานชีวาถามพลางทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวตรงกันข้ามกับอาเขย

“สักสองชั่วโมงที่แล้ว ตอนแรกนึกว่าหนูจะกลับเย็นๆเสียอีก” อีวานบอก เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินภรรยาบ่นกระปอดกระแปดกลัวว่าหลานสาวจะหลงทาง

“วันนี้หนูมีเรียนของศาสตราจารย์เลริควิชาเดียวค่ะ เขาพาหนูกับเพื่อนอีกคนเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ที่กำลังสร้างในทำเนียบด้วย”

คำบอกกล่าวของปานชีวาทำให้อีวาน เลิกคิ้วอย่างแปลกใจในการกระทำของเลริค นักเรียนกฎหมายรุ่นน้อง แม้ว่าการสร้างพิพิธภัณฑ์ตามความประสงค์ของท่านประธานาธิบดีจะไม่ได้เป็นความลับสุดยอด แต่ก็มีเพียงผู้เกี่ยวข้องและข้าราชการชั้นสูงเท่านั้นที่รับรู้

เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของอาเขย ปานชีวาก็รีบเล่าต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้นทันที เพราะไม่อยากให้ศาสตราจารย์เลริคถูกมองไม่ดี แต่ก็ไม่ได้เล่าละเอียดถึงเรื่องที่เธอถูกรัฐมนตรีเพลย์บอยปล้นกอด แล้วยังหอมแก้มฟอดใหญ่เสียด้วย!

“อ่อ... อย่างนี้นี่เอง” อีวานพยักหน้ารับพลางเอ่ยถึงรุ่นน้อง “เลริคเป็นที่ปรึกษาหลักในการคัดสรรเรื่องราวของแอลเมเรียที่จะจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เขาเป็นคนเก่งแต่บางครั้งก็ชอบทำตัวประหลาด”

“ประหลาดยังไงคะ?” ปานชีวาถามอย่างอยากรู้

“ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจหลายอย่างของท่านประธานาธิบดี บางครั้งการบรรยายพิเศษของเขาก็วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเสียเละเทะ แต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับการสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ซึ่งไม่ต้องอธิบาย หนูก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นการเริ่มต้นปูทางที่จะสร้างทำเนียบประธานาธิบดีแห่งใหม่ และค่าเหนื่อยของเลริคมันทำให้ฝ่ายงบประมาณปวดหัวอยู่หลายวัน” อีวานบอก “เอาเป็นว่าสักพักก็คงรู้เองว่าเขาเป็นยังไง เลือกเอาแต่สิ่งที่ดีๆในตัวเขาก็แล้วกัน”

“ค่ะ แล้วอายาหายไปไหนคะ” ปานชีวารับคำพลางถามถึงอารยา

“คงเข้าไปดูความเรียบร้อยเรื่องอาหาร ตอนที่ฉันมาถึงเห็นบ่นว่าหนูไม่ยอมให้รถไปส่งที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นห่วงกลัวว่าหนูจะหลงทาง”

“โธ่... หนูศึกษาเส้นทางมาสองวันเต็มๆ จากบ้านไปมหา’ลัย จากทำเนียบไปห้างสรรพสินค้าแล้วกลับมาบ้านนี่ไม่หลงทางนะคะ”

“รายนั้นคงนึกว่าหนูเป็นเด็กประถมล่ะมั้ง คงเห่อหลานสาว” อีวานแอบนินทาภรรยา การใช้ชีวิตคู่กับเธอมาหลายสิบปีทำให้รู้ว่านิสัยใจคอของเธอแตกต่างจากผู้หญิงในประเทศของตนมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในครอบครัวที่ให้ความเคารพผู้อาวุโส ความห่วงใยที่มีให้กับลูกหลานนั้นออกจะมากมายเมื่อเทียบกับประเทศตน แต่ความเอาใจใส่ อ่อนหวาน ถ่อมตัวเป็นเสน่ห์มัดใจเขาแม้ว่าจะต้องผ่าตัดเอามดลูกออก เป็นเหตุให้ไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลก็ตามที

จบคำพูดของปานชีวาทั้งคู่ก็หัวเราะกันครื้นเครง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อารยาเดินออกมาสมทบ “หัวเราะอะไรกันคะ กำลังนินทาฉันอยู่รึเปล่า”

“ใครจะกล้านินทาคุณล่ะที่รัก” อีวานตอบอย่างเอาใจ

อารยายิ้มพลางเหลือบสายตามองกล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง “ได้ของขวัญแล้วเหรอคะ”

“จ้ะ สาวสวยให้มา” อีวานตอบยิ้มๆ เหลือบสายตามองคนให้และภรรยาสลับกัน “แกะตอนนี้เลยได้ไหม อยากรู้ว่าปีนี้จะได้ของขวัญชิ้นแรกเป็นอะไร”

“ได้สิคะ แกะเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า” ปานชีวาบอก

อารยาหยิบของขวัญให้สามีเป็นคนแกะ แล้วหันไปถามหลานสาวด้วยความแปลกใจ “ลูกปัดไปห้าง... มาเหรอ?”

“ค่ะ นั่งมีโตรไปต่อที่สถานี... ใช้เวลานิดเดียวแถมไม่ต้องเดินไกลเหมือนอยู่บ้านเรานะคะ”

อารยาพยักหน้ารับ พลางคิดในใจว่าเด็กคนนี้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง มีน้ำใจกับคนอื่น แตกต่างกับหลานสาวอีกคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ เมื่อกลางวันจรรยาก็เพิ่งจะโทรมาปรึกษาเรื่องส่งลูกสาวมาเรียนที่แอลเมเรีย และอยากให้ตนเป็นธุระจัดการเรื่องการโอนย้ายหน่วยกิต ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จึงตอบไปว่าให้เรียนจบปริญญาตรีแล้วค่อยมาเรียนต่อก็ยังไม่สาย

“สวย น่าใช้มากๆ ขอบใจนะสาวน้อย” อีวานบอกพร้อมโชว์ของขวัญให้ภรรยาดู

“ใส่คืนนี้เลยนะคะ” อารยาบอกพลางยื่นมือไปรับกล่องกระดุมและเข็มกลัดเนกไทจากสามี จากนั้นจึงหันมาบอกกับหลานสาว “เราขึ้นไปดูชุดกันเถอะ อาเตรียมชุดสำหรับงานคืนนี้ให้ลูกปัดแล้ว ไม่รู้ว่าจะพอดีตัวรึเปล่า”

ปานชีวาปั้นหน้ายากแต่ยังไม่ได้ตอบว่าอย่างไร ลุกขึ้นพร้อมยื่นมือไปจับมือของอารยาที่ลุกขึ้นก่อนแล้วและยังหันมาสั่งสามีด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คุณเหมือนกัน อีกสักสองชั่วโมงก็ขึ้นไปแต่งตัวได้แล้วนะคะ งานที่ค้างอยู่ก็ปล่อยไว้ก่อน ถ้าลงมารับแขกไม่ทัน ฉันไม่ออกหน้าแทนอีกแล้วนะ” อารยาบอกพลางมองสามีด้วยสายตาคาดโทษ

งานคล้ายวันเกิดนี้จัดขึ้นทุกปี ซึ่งความจริงแล้วต้องจัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่สามีของเธอส่งข่าวให้ทราบว่าการประชุมในต่างประเทศนั้นยืดเยื้อออกไปอย่างไม่มีกำหนด จึงต้องเลื่อนงานที่เตรียมการไว้รออยู่แล้วออกไป เดือดร้อนเธอต้องแจ้งกับผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน วุ่นวายกันไปทั้งบ้าน

 

ปานชีวาเดินตามแรงจูงเข้ามาในห้องส่วนตัวของตนเอง ชุดสีชมพูอ่อนซึ่งแขวนไว้บนขาตั้งไม้ที่วางอยู่มุมห้อง แต่มันถูกย้ายมายังหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

“อย่าบอกนะคะว่าจะให้ปัดใส่ชุดนี้?” ปานชีวาถาม

                อารยาพยักหน้ารับพลางเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะเดาอารมณ์หลานสาวไม่ถูก “ทำไมเหรอ ไม่ชอบหรือไง?!!”

                “ชอบค่ะ มันสวยมาก...” ปานชีวาหันมาปั้นหน้ายากเพราะไม่ได้คิดว่าจะต้องออกไปรับแขก ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องมีแต่บุคคลสำคัญของประเทศ “คือปัดขอหยิบโน่นจับนี่ ดูแลความเรียบร้อยให้ได้ไหมคะ เพราะคิดว่าคงไม่เหมาะที่จะออกไปรับแขก กลัวจะทำให้อีวานกับอายาขายหน้าเอา”

                “ทำไมถึงคิดอย่างนั้น มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ลูกปัดตกลงกับอาแล้วว่าจะไม่ทำตัวเหมือนอยู่ที่เมืองไทย”

                เด็กที่ถูกกดให้อยู่ในโอวาทตั้งแต่อายุแปดขวบ ทำงานบ้าน เข้าครัว ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง เจียมตัวราวกับเป็นลูกของผู้อาศัยทั้งที่เป็นลูกของเจ้าของบ้าน ถึงแม้ว่าจะมีมันสมองอันชาญฉลาด มีหน้าที่การงานอันมั่นคง แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวก็เป็นธรรมดาที่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวจนน่าสงสาร

                อารยาถอนหายใจอย่างสะท้อนในอก ยกมือลูบศีรษะหลานสาวอย่างปลอบประโลม นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองและชี้ทางให้เด็กคนนี้โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

                เวลาที่ล่วงเลยมานานทำให้ไม่อยากเอ่ยถึงอดีตวัยเยาว์อันไม่น่าพิสมัย จึงพูดติดตลกเพื่อให้หลานสาวคลายกังวลใจ “อย่าห่วงเรื่องนั้นเลย... ลูกปัดไม่ใช่ซินเดอเรลล่าที่ต้องหมกตัวอยู่ในครัวนี่นา”

“อย่าแซวสิคะ ปัดพูดจริงๆนะคะ”

“อาก็พูดจริง ถ้าคืนนี้เกิดมีเจ้าชายมาร่วมงาน แล้วไม่มีซินเดอเรลล่า เจ้าชายไม่ต้องคอยเต้นรำเก้อรึ?” อารยายิ้มมองหลานสาวอย่างเอ็นดู “อีกอย่างอาไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้าย ชีวิตจริงก็ไม่มีนางฟ้าแสนใจดี อย่าเก็บตัวเหมือนที่ผ่านมาเลยนะ นึกเสียว่ามันเป็นฝันร้ายในชีวิต ตอนนี้ลูกปัดผ่านมันมาได้แล้วก็ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุข”

ปานชีวาเข้าใจในคำพูดที่ผู้เป็นอาต้องการจะสื่อ จึงยิ้มรับและตั้งมั่นว่าจะทำเช่นนั้นให้ได้

“อ้อ... แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่า ป่านนี้แม่เลี้ยงใจร้ายคงจะอาละวาดยกใหญ่เพราะไม่มีใครคอยรองรับคำสั่ง” จบคำพูดทั้งคู่ก็หัวเราะ พลางรั้งร่างปานชีวาให้มายืนตรงหน้ากระจกบานใหญ่แล้วหยิบเดรสสีหวานมาทาบบนร่างหลานสาว “คิดว่าพอดีเป๊ะนะ”

ปานชีวาเบิกตากว้างสบสายตากับผู้เป็นอาผ่านกระจกเงา เมื่อเห็นด้านหลังของชุดเพียงแวบเดียว และหยิบมันขึ้นมาสำรวจชัดๆอีกครั้ง ชุดสีหวานที่ด้านหน้าดูเรียบร้อยน่ารัก แต่ด้านหลังกลับใช้ผ้าไขว้กันเป็นรูปตัววี ซึ่งส่วนปลายของมันน่าจะลึกกว่ากลางแผ่นหลัง “คะ...คือ ปัดว่ามันโป๊ไปหน่อยนะคะ”

                อารยาหัวเราะชอบใจ นับว่าคุณแม่ของเธอปลูกฝังให้หลานสาวคนนี้หวงเนื้อหวงตัวได้ไม่ต่างจากตน แต่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนและเป็นประเทศที่เปิดกว้างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชายหญิง จึงค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสังคม “ไม่โป๊หรอก ใส่ซิลิโคนบราเอาไว้ แต่ถ้าไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างในเลยสิ เขาถึงจะเรียกว่าโป๊”

                “เอาอย่างนั้นเหรอคะ” ปานชีวาเหลือบสายตามองไปยังซิลิโคนบราที่วางอยู่ปลายเตียงแล้วทำหน้าเมื่อย

                “น่า... เชื่ออาสักครั้ง เผื่อมีเจ้าชายมาตกหลุมพราง” อารยาตะล่อมบอกพลางส่ายหน้าให้สาวหัวโบราณ “เอาล่ะ รออยู่ในห้องก่อนนะ รอช่างแต่งหน้าทำผมให้อาเรียบร้อยแล้วจะให้พวกเขาเข้ามาหา ลูกปัดแต่งตัวไว้รอได้เลย”

                “ค่ะ” ปานชีวารับคำมองตามร่างของผู้เป็นอาที่เดินออกไปจากห้อง จากนั้นจึงหยิบกล่องซิลิโคนบราขึ้นมา เมื่ออ่านคำแนะนำในการใช้จบถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าซิลิโคนหยุ่นๆที่อยู่ในมือนี้จะปกปิดเนื้อตัวของเธอได้ตลอดงานจริงหรือ?!

 

                เมื่อช่างแต่งหน้าจัดการลงลิปกลอสทับลิปสติกอีกครั้งหนึ่งก็เป็นอันเรียบร้อย ปานชีวาลุกขึ้นจากเก้าอี้สตูหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วสวมรองเท้าส้นสูงที่วางไว้อยู่ไม่ไกล ช่างแต่งหน้าที่ได้รับคำสั่งให้ดูความเรียบร้อยเธอเป็นพิเศษ เดินรอบตัวหญิงสาว กวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางส่งยิ้มให้กับสาวเอเชียรูปร่างกะทัดรัดทว่ามีส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามองยิ่งนัก

                ปานชีวาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง ค่อยๆก้าวลงบันไดทีละขั้นแม้มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างให้ความสนใจ บางคนถึงกับหันไปซุบซิบกันยิ่งทำให้เกิดความประหม่า โชคดีที่ผู้เป็นอาเดินมารอที่หน้าบันไดแล้วแนะนำให้ได้รู้จักกับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน รอยยิ้มสดใสและกิริยาอันอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอเรียกเสียงชมจากแขกเหรื่อในงานได้เป็นอย่างดี บางคนถึงกับอ้าปากค้างและอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อว่าเด็กสาวผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์นี้จะมีอายุครบยี่สิบหกปี ทั้งยังมีประวัติการศึกษาอันยอดเยี่ยม บางคนยังคิดว่าเธอมาเรียนต่อปริญญาตรีด้วยซ้ำ

                “อายาคะ ปัดว่าไม่ต้องแนะนำประวัติละเอียดขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ บางคนอาจหมั่นไส้เอาได้” ปานชีวากระซิบบอกผู้เป็นอาเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน

                “น้อยไปน่ะสิ เราอยู่ในสังคมที่ชอบสวมหน้ากากเข้าหากัน ถ้ามีอะไรน้อยไป พวกเขาอาจจะมองลูกปัดไม่ดีเอาได้ และอาก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น” พูดจบอารยาก็ทำหน้าที่พรีเซ็นหลานสาวคนสวยให้เพื่อนๆในวงสังคมรู้จักกันถ้วนหน้า

                บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยแขกเหรื่อซึ่งมีท่าทีภูมิฐาน ต่างถือแก้วเครื่องดื่มในมือจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส ด้านหน้าเวทีจัดวางเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ ถัดไปเป็นวงออสเคสตร้าขนาดย่อมบรรเลงเพลงคลาสสิกให้แขกในงานได้เพลิดเพลิน

                หากมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นไม่วางตา ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาทันทีเมื่อเห็นว่าหญิงสาวแยกตัวออกจากกลุ่มสนทนาไปยังมุมอาหารที่จัดวางอาหาร

                “ลูกปัด ใช่ลูกปัดรึเปล่า?”

                ปานชีวาเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายสวมสูทสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงข้ามตัวเองพลางคลี่ยิ้มสดใสเพราะจำชายหนุ่มตรงหน้าได้ในทันที “เจตน์! เธอจริงๆด้วย!!”

                สองหนุ่มสาวยิ้มกว้างให้กันอย่างประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าจะพบกันในต่างแดนเช่นนี้ จากนั้นทั้งคู่จึงออกมาหาที่นั่งในมุมที่ผู้คนไม่พลุกพล่านไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน

“ไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่” เจตน์บอก

                “คาดไม่ถึงเหมือนกัน ฉันเพิ่งจะมาถึงแอลเมเรียได้ราวสัปดาห์” ปานชีวาบอกเพื่อนนักศึกษาที่ไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีเพราะต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน รู้จากเพื่อนอีกคนว่าเจตน์เดินทางมาเรียนต่อปริญญาโทที่แอลเมเรียซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยินข่าวของเขา

                “แล้วมาอยู่ที่บ้านท่านหัวหน้าผู้พิพากษาได้ไง รู้จักท่านเหรอ??” เจตน์ถามอย่างสงสัย

                “ภรรยาท่านเป็นคุณอาของฉันเอง ฉันพักอยู่ที่นี่ ดีใจจริงๆนะที่ได้พบเธอ” ปานชีวาบอกด้วยน้ำเสียงสดใส

                เจตน์ เลขานุการของอีวานพยักหน้ารับ “บังเอิญจังเลยนะ ฉันเป็นเลขาฯท่านมาปีกว่า รู้แค่เพียงว่าภรรยาของท่านเป็นหญิงไทยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นคุณอาของเธอ ดูๆไปหน้าก็คล้ายกันอยู่มากเลยนะ”

                ปานชีวาหัวเราะชอบใจ “แล้วพักอยู่แถวไหน ตั้งแต่มาที่นี่ได้กลับเมืองไทยบ้างรึยัง?”

                “ไม่ได้กลับเมืองไทยมาสี่ปีแล้วเรียนจบก็หางานทำที่นี่เลย เช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสองบล็อก เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว แล้วทำไมถึงเลือกมาเรียนต่อที่นี่ล่ะ?” เจตน์ถามเพื่อนสาวบ้าง

                “เหตุผลเดียวกันกับเธอมั้ง”

                “จะเป็นอัยการหรือเบนเข็มไปทางอื่น” เจตน์ถามเพราะยังจำได้ดีว่าเธออยากเป็นอัยการ

                “ตั้งใจจะไปสอบอัยการนะ แต่เมื่อสองปีที่แล้วคุณย่าไม่สบายมาก แล้วท่านก็มาเสีย ตอนนั้นชั่งใจอยู่นานว่าจะมาเรียนต่อหรือว่าจะสอบอัยการเลย แต่ฉันมีเวลาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบอัยการน้อยมาก เลยตัดสินใจว่าพักเรื่องอัยการไว้ก่อน ก็เลยสอบชิงทุนมาเรียนที่นี่” ปานชีวาตอบ

                “โอ๊ย... เรียนเก่งอย่างเธอไม่อ่านหนังสือก็คงสอบได้อยู่แล้ว”

                ปานชีวาทำตาโตส่ายหน้าดิกเพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น “เธอก็พูดไปเรื่อย”

                เจตน์ยิ้มพลางถามต่อ “แล้วอยู่ที่ไทยทำงานอะไร”

                “เป็นนิติกรประจำศาล...”

                จบคำพูดของปานชีวาผู้คนในงานก็กรูกันไปออที่ประตูทางเข้า จนทั้งคู่หยุดสนทนากันชั่วครู่แล้วมองตามด้วยความสนใจ ปานชีวาเห็นว่าอาเขยของตนเดินไปยืนตรงราวกับรอรับบุคคลสำคัญที่เพิ่งเดินทางมาถึง

                ร่างสูงใหญ่ของลาโคลอฟ พาวิลเชนโก ในชุดสูทแบล็กไทสีดำสนิทก็ปรากฏให้ทุกคนได้เห็นที่ประตู ใบหน้าคร้ามคม รับกับจมูกโด่งเป็นสัน โหนกแก้มสูงกับริมฝีปากบางเฉียบ จัดผมเนี้ยบส่งผลให้เขาดูเป็นคนหยิ่งทะนง เฉยชายิ่งนัก ทว่ารูปร่างอันสง่าผ่าเผย หัวไหล่ตั้งตรง อกกว้างเฉกเช่นชายชาติทหารกลับเป็นสิ่งดึงดูดให้ไม่สามารถละสายตาจากเขาได้

                ปานชีวามองบุรุษที่ได้ยินสาวๆเรียกเขาว่า ‘ท่านรัฐมนตรี’ อย่างเพลินตา ท่วงท่าสง่างามที่จับมือแสดงความยินดีและมอบของขวัญวันเกิดให้อาเขยนั้นน่ามองยิ่งนัก รวมไปถึงท่าเดินที่ดูมั่นคง มีความเป็นผู้นำทำให้ลืมตัว ตรึงสายตาอยู่กับท่าทีสง่างามทว่าหยิ่งผยองอยู่ในที

                “นั่นน่ะคือนักการเมืองหนุ่มสุดฮอตของแอลเมเรียเชียวล่ะ เขาคือเพลย์บอยเต็มขั้นที่ชอบทำให้สาวๆมองตาค้างอย่างเธอ... สุดท้ายก็เต็มใจเดินเข้าสู่เตียงของเขาได้ทุกคนเชียวล่ะ” เจตน์แซวเพื่อนสาวที่ท่าทางเรียบร้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจ้องมองผู้ชายที่ขโมยหัวใจสาวๆค่อนโลกอย่างไม่วางตา! “มองเขาเคลิ้มอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าตกหลุมพรางหนุ่มแอลเมเรียเข้าให้แล้ว?”

                “บ้า!... พูดอะไรอย่างนั้น” ปานชีวากะพริบตาถี่ๆ หันมาปฏิเสธเป็นพัลวัน นี่ถ้าเพื่อนของเธอได้ล่วงรู้ว่ารัฐมนตรีเพลย์บอยปล้นกอดแถมหอมเธอฟอดใหญ่เมื่อช่วงสายของวัน คงต้องถูกล้อไปไม่น้อยกว่าสามปีแน่!

ทว่าผู้หญิงที่สวมชุดสีแดงเพลิง ซึ่งเดินตามเขามาด้านหลังนั้นกลับเรียกความสนใจของเธอได้มากกว่าและดูเหมือนว่าเจตน์จะเดาความคิดของเพื่อนสาวได้จึงอธิบายออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาเอ่ยถาม

                “ถ้าคิดจะจีบเขาคงต้องเหนื่อยหน่อยเพราะผู้หญิงชุดแดงคนนั้นคือตาทาเนีย ซียานอฟ ลูกสาวของอิกอร์ ซียานอฟ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของพรรคALDP ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล เป็นที่ปรึกษาที่ท่านประธานาธิบดีให้ความสำคัญ” เจตน์อธิบายอย่างละเอียดเพราะคลุกคลีอยู่ในวงการการเมืองนี้พอสมควร

พรรค Almeria Liberal Democratic Partyหรือเรียกสั้นๆว่าพรรคALDP ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลอันเก่าแก่ของแอลเมเรีย ปัจจุบันได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนเป็นจำนวนมาก จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ

“อืม... แล้วอิกอร์ ซียานอฟนี่ทำงานอะไร?” ปานชีวาถามเพราะคนที่จะก้าวมาเป็นที่ปรึกษาของนักการเมืองระดับประธานาธิบดีได้ คงต้องมีมากกว่าความสามารถและสมองอันเฉียบแหลม

“เขาเป็นประธาน ไอจีโอ ซีสเต็ม ผลิตยุทโธปกรณ์ทุกชนิด มีรายได้ติดหนึ่งในสิบของบริษัทผลิตยุทโธปกรณ์รายใหญ่ของโลก”

“นี่คงเป็นเหตุผลหลักที่ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองมากกว่า” ปานชีวาเปรยขึ้นมาทันที

เจตน์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นักการเมืองและนักธุรกิจดูจะเป็นอาชีพที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ใช่ว่าจะมีเฉพาะแอลเมเรีย มันเป็นเรื่องสามัญที่เกิดขึ้นแทบทุกประเทศ หากเจตน์ยังตั้งใจที่จะบอกเล่าข่าวดังที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนทั้งคู่มากกว่า “มีข่าวลือหนาหูว่าท่านประธานาธิบดีหมายมั่นปั้นมือให้ทั้งคู่ตกล่องปล่องชิ้น แม้ว่าท่านรัฐมนตรีจะมีข่าวมั่วกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า เขาเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้า ยิ่งทำงานหนักเท่าไหร่ มีผลงานให้ประชาชนประจักษ์มากแค่ไหน ในชีวิตส่วนตัวเขาก็สุดเหวี่ยงเท่านั้น แต่ผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาพัวพันก็รู้ดีว่าตาทาเนีย คือผู้หญิงที่เหมาะสมกับท่านรัฐมนตรีมากที่สุด”

                “ตกลงเขาเป็นนายพล นักการเมือง หรือเพลย์บอยกันแน่?” ปานชีวาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจนัก ทั้งยังสังเกตได้ว่าอาเขยสอดส่ายสายตาราวกับมองหาอะไรสักอย่าง

                “ก็เป็นทุกอย่างที่เธอพูดมานั่นแหละ... เขาได้ขึ้นเป็นนายพลในตอนที่ยังหนุ่มที่สุดของแอลเมเรีย แล้วก็ลาออกมาเล่นการเมืองเต็มตัว เพลย์บอยนี่ไม่ต้องอธิบายเพราะสายตาเขามันชัดเจนมาก ไม่อย่างนั้นตาทาเนียคงไม่เชื่องยังกับลูกแมวอย่างนั้น” เจตน์อธิบาย ส่วนประโยคหลังนี้ใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไปด้วย “อ้อ... บางคนซุบซิบว่าเป็นมาเฟียด้วยเพราะเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว มีวิธีจัดการกับพวกที่เข้ามาแส่แบบโหดๆด้วย”

                ปานชีวาลอบถอนหายใจ ไม่นึกอยากซักถามต่อว่าวิธีโหดๆนั้นเป็นเช่นไร ว่าที่พ่อตาเป็นถึงคนขายอาวุธสงคราม ก็แน่นอนว่า ว่าที่ลูกเขยจะมีวิธีกำจัดคนที่ไม่พึงประสงค์แบบมาเฟีย

                “งั้น... ฉันจะหาผู้ชายแอลเมเรียคนใหม่ก็แล้วกันเพราะโปรไฟล์ส่วนตัวคงสู้กับผู้หญิงชุดแดงไม่ได้” ปานชีวาปฏิเสธติดตลกเรียกเสียงหัวเราะของเจตน์ได้ทันที “อีกอย่างนะ ฉันว่าผู้ชายแอลเมเรียที่เป็นเจ้าของงานวันเกิด คงอยากตัดเงินเดือนเลขาฯน่าดู เพราะท่านเหลียวซ้ายแลขวา ชะเง้อหาคนสนิทหลายครั้งแล้ว!”

                เจตน์หน้าถอดสีเมื่อคิดได้ว่าตัวเองควรจะอยู่ข้างหลังเจ้านายเพื่ออำนวยความสะดวกตลอดเวลา แต่กลับลืมหน้าที่นี้ไปเสียสนิท เมื่อมีโอกาสได้พบปะเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน แน่ล่ะว่าเจตน์ไม่เคยลืมว่ามันสมองอันปราดเปรื่องของปานชีวานั้นน่าอัศจรรย์ใจเพียงใด

ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้มักนิ่งเงียบฟังคนอื่นพล่ามน้ำไหลไฟดับ ราวกับหาข้อมูลและเก็บเกี่ยวข้อผิดพลาดของคนรอบข้าง สุดท้ายเธอจะตอกกลับด้วยวาจาสุภาพหากทำให้คนฟังแดดิ้นไปกับคำพูดของเธอทุกครั้ง!!

“เธอมันยัยตัวร้าย!”

                ปานชีวาอมยิ้มพยักหน้ารับฉายาที่เจตน์พูดเสียงลอดไรฟันออกมา มองร่างของผู้ชายไทยที่คิดว่าสูงแล้วแต่เมื่อมาอยู่ท่ามกลางผู้ชายยุโรปกลับดูตัวเล็กไปถนัดตา เขาเดินอย่างรีบเร่งเข้าไปอยู่ด้านหลังเจ้านายซึ่งแสดงสีหน้าตำหนิอย่างชัดเจน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา