ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 5 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันที่สี่ของการใช้ชีวิตในประเทศแอลเมเรีย และเป็นวันแรกที่ปานชีวาขออนุญาตอารยาเดินทางไปมหาวิทยาลัยด้วยตนเอง เพราะสามวันที่ผ่านมาศึกษาเส้นทางของรถไฟใต้ดินหรือแอลเมเรีย มีโตร ไลน์ มาเป็นอย่างดี แม้ตอนแรกท่านจะไม่เห็นดีด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะจนใจที่จะหาเหตุผลมาถกเถียงกับเธอ

                มหาวิทยาลัยแอลเมเรีย เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุด มหาวิทยาลัยแห่งนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาที่มีมันสมองระดับอัจฉริยะ ซึ่งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาปริญญาโทเป็นชาวแอลเมเรีย ที่เหลือเป็นนักศึกษาต่างชาติที่ได้ทุนจากรัฐบาลเข้ามาศึกษา ว่ากันว่าประชากรหนึ่งในสามของแอลเมเรียมีไอคิวสูงเกินคนทั่วไป ขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูงหรือเทคโนโลยีอันน่าทึ่งของโลกก็เกิดจากมันสมองของชาวแอลเมเรีย จึงไม่น่าแปลกที่ประเทศเล็กๆนี้จะมีเสถียรภาพสูงจนประเทศมหาอำนาจอยากผูกสัมพันธไมตรี

                ปานชีวาใช้มีโตร ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนหลักของชาวแอลเมเรีย ใช้เวลาเพียงสิบนาที เดินขึ้นมาจากสถานีไม่กี่เมตรก็ถึงหน้ามหาวิทยาลัย อาคารขวางสีน้ำตาลอมเหลืองทรงคลาสสิกที่ทอดตัวยาวแต่กระนั้นจุดที่สูงที่สุดก็ยังเป็นทรงโดมมียอดสูงเสียดฟ้า มองจากจุดที่เธอยืนอยู่นี้ยอดโดมจะตรงกับเสาธงที่มีธงชาติของแอลเมเรียโบกสะบัดตามแรงลม หญิงสาวเดินเข้าไปในอาคารพลางกวาดสายตามองสถาปัตยกรรมรอบตัว ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็แตกต่างจากบ้านเรือนที่เคยเห็นจนชินตา การใช้มีโตรทำให้เธอเหลือเวลาก่อนคลาสเรียนเริ่มมากกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ด้วยซ้ำ

                “ไฮ... ปานชีวา” เสียงทักทายที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ปานชีวาหันกลับมาตามเสียง และคลี่ยิ้มให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มาจากอเมริกาอย่างเป็นมิตร

                “ไฮ... อดัม วันนี้มาแต่เช้าเลย” ปานชีวาถามพลางแปลกใจเพราะสองวันที่ผ่านมา อดัมจะมาสายทุกวันทุกคลาส จนเพื่อนๆต่างจดจำหนุ่มอเมริกันผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

                “ถามอะไรอย่างนั้น วันนี้ผมต้องตั้งใจเป็นพิเศษเพราะเป็นวิชาของศาสตราจารย์เลริค รู้ไหมว่าเขาเนี้ยบมาก” หนุ่มอเมริกันบุคลิกขี้เล่นหันซ้ายหันขวาแล้วก้มลงไปกระซิบข้างหูสาวสุดสวย “ผมมีความลับเกี่ยวกับเขา”

                จบคำพูดปานชีวาก็ก้าวถอยหลังเพราะไม่อยากใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามจนเกินงาม แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “ศาสตราจารย์เลริคเป็นเกย์ มีลูกนอกสมรสหรือเป็นผู้นำพวกหัวรุนแรง ถ้าเป็นเรื่องพวกนี้ ฉันไม่อยากรู้”

                อดัมทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ ดูเหมือนว่าสาวเอเชียสุดสวยคนนี้จะไม่ให้ความสนใจกับผู้คนรอบกาย แม้ว่าเธอจะมีภาพลักษณ์ที่อ่อนหวาน สดใส แต่จากที่ได้พูดคุยกันมาสองสามวันก็รู้ว่าเธอไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่ แล้วท่าทีหวงเนื้อหวงตัวของเธอแม้จะไม่ได้แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมาแต่เขาก็รู้สึกได้

                โอ...ก็อด! เธอคงไม่ใช่เลสเบียนหรอกนะ!?

                อดัมรีบเร่งฝีเท้าให้ทันกับร่างกะทัดรัดของเพื่อนร่วมชั้นเรียน “มารยาทดีเป็นบ้า ผมอุตส่าห์จะบอกความลับสุดยอด”

                “ฉันตอบไปแล้วว่าไม่อยากรู้” ปานชีวาบอกพลางเดินเข้าไปในห้องเรียนที่มีนักศึกษาเข้ามานั่งรออยู่ส่วนหนึ่ง เลือกที่นั่งด้านหน้าริมหน้าต่าง พลางลอบถอนหายใจเมื่อหนุ่มอเมริกันทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้แถวถัดไป

                “ทำไมไม่อยากรู้ น่าแปลก?”

                ปานชีวาทำหน้าหน่ายใจเมื่อได้ยินคำถามและเห็นท่าทางแปลกใจของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เข้ามาตีสนิทตั้งแต่วันแรกที่พบหน้า “ปกติของฉันเลย”

                “เธอน่าจะไปเรียนด้านมนุษย์สัมพันธ์มากกว่าที่จะมาเรียนนิติศาสตร์” หนุ่มอเมริกันออกความคิดเห็น

                “นั่นสิ ฉันออกจะประหลาดใจที่เห็นคุณในคลาส ทั้งที่ความจริงน่าเบนเข็มไปเข้าคอร์สอบรมมารยาทในการเข้าสังคม อะไรทำนองนั้น” ปานชีวาโต้กลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                “โอ! คุณมันแม่มดชัดๆ” อดัมหน้าหงายเมื่อถูกสาวท่าทางอ่อนหวานตอกกลับจนหน้าหงาย แต่ยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่คุยสนุกเหลือเกิน

                “ถ้ามีเวทมนตร์ก็คงเข้าท่า ฉันคงจัดการกับอะไรที่ขวางหูขวางตาได้ง่ายขึ้น” ปานชีวาต่อให้ทว่าปฏิกิริยาของเธอทำให้อดัมคิดว่าเธอเป็นอย่างที่เข้าใจจริงๆ

                ‘เลสเบียนแหงๆ มีผู้หญิงที่ไหนจะคิดว่าผู้ชายเฟรนด์ลี่อย่างเขาเป็นอะไรที่ขวางหูขวางตา’ อดัมคิดในใจ อันที่จริงแล้วออกจะเสียดายเธอมากเพราะน้อยนักที่จะเจอผู้หญิงสวย เงียบแต่คำพูดไม่กี่คำกลับสร้างความน่าสนใจได้เพียงนี้ “ไม่เอาน่า... ถึงคุณจะไม่ชอบผู้ชายแต่ผมอยากเป็นเพื่อนคุณจริงๆนะ ดูท่าว่าผมคงฉลาดขึ้น ไม่สิ ผมคงมีสมบัติผู้ดีขึ้น”

                ปานชีวายิ้มเมื่อหนุ่มอเมริกันเริ่มยอมรับตัวเอง แต่ยังมีบางคำพูดที่ติดใจอยู่ ก็ที่เขาพูดว่าเธอไม่ชอบผู้ชายนี่หมายความว่าอย่างไร? แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเมื่อศาสตราจารย์เลริค เดินเข้ามาในชั้นเรียนเสียก่อน

                ชั่วโมงแรกหมดไปกับการแนะนำตัวให้เพื่อนร่วมชั้นและศาสตราจารย์เลริคได้รู้จัก จากนั้นเขาก็แนะนำตัวเองอย่างคร่าวๆ เพิ่งรู้ว่าเขาลาออกจากราชการนานแล้วและรับบรรยายพิเศษเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญชั้นสูงและสถาบันการเมืองตามมหาวิทยาลัยชั้นนำ สิ่งที่ศาสตราจารย์เลริคสอนในชั่วโมงแรกคือ การแจกกระดาษเปล่าให้นักศึกษาทุกคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองในแอลเมเรีย

                ก่อนนักศึกษาทุกคนจะลงมือ ศาสตราจารย์เลริคกล่าวติดตลกเพื่อลดความกดดันในการแสดงทัศนวิสัยส่วนตัว “ไม่ว่าอยากปลดท่านประธานาธิบดีแล้วลงโทษด้วยวิธีใดก็ตาม สิ่งที่พวกคุณเขียนรับรองว่าจะไม่หลุดรอดไปเป็นหลักฐานในชั้นศาลแน่นนอน”

                จบคำพูดในชั้นเรียนก็เกิดเสียงหัวเราะครื้นเครง ในขณะที่ศาสตราจารย์เลริคเดินอมยิ้มออกไปจากห้อง และกลับมาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงซึ่งเหลืออีกราวสิบนาทีจะจบชั่วโมงเรียน

                “พบกันอีกครั้งสัปดาห์หน้า”

                จบคำพูดของศาสตราจารย์เลริค นักศึกษาก็ทยอยกันเดินออกจากชั้นเรียน อดัมจึงหันมาถามปานชีวาที่กำลังเก็บของลงในกระเป๋าสะพายใบใหญ่

                “ทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม” อดัมถามพลางลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้าหญิงสาว

                “วันนี้ที่บ้านฉันจัดงานเลี้ยง คงไม่สะดวก เอาไว้วันหลังแล้วกัน” ปานชีวาตอบพลางลุกขึ้นเดิน เมื่อผ่านหน้าศาสตราจารย์เลริคปานชีวาก็ก้มตัวเล็กน้อย ท่าทีอ่อนน้อมที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำให้ชายวัยกลางคนมองท่าทีนั้นลอดแว่นตา

                “นักศึกษาจากประเทศไทย ใช่คนเดียวกันกับหลานสาวของประธานศาลปกครองสูงสุดรึเปล่า”

                คำถามที่ดังขึ้นทำให้ปานชีวาชะงักการก้าวเดินแล้วหมุนตัวกลับมายิ้มรับ “ใช่ค่ะศาสตราจารย์ ดิฉันเป็นหลานสาวภรรยาของท่านค่ะ”

                อดัมมองหน้าสาวเอเชียร่างกะทัดรัดด้วยความอัศจรรย์ใจ ที่แท้เธอก็มีญาติเป็นถึงคนใหญ่คนโต

                “ท่านกลับจากราชการวันนี้สินะ ฉันก็ได้รับเชิญเหมือนกัน” ศาสตราจารย์เลริคถามพลางหอบกระดาษปึกหนาและหนังสืออีกสามเล่มขึ้นไว้แนบอกมันดูหนักหนาและพะรุงพะรังจนอดัมต้องเข้าไปช่วย

                “น่าจะถึงบ่ายวันนี้ค่ะ” ปานชีวาตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือสองเล่มจากอดัมแล้วเดินตามหลังศาสตราจารย์เลริคไปติดๆ

                “ขอบใจพวกเธอมากแต่ยังไงเสียฉันก็ต้องแบกมันติดตัวไปทำเนียบประธานาธิบดีอยู่ดี” เลริคบอกกับนักศึกษาทั้งสองเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของตึกขวางอันเก่าแก่ของมหาวิทยาลัย หากสีหน้าของหนุ่มอเมริกันที่แสดงออกมาทำให้ เลริคอธิบายต่อราวกับอ่านใจของเขาได้อย่างง่ายดาย “ฉันเอารถไปเช็ค วันนี้เลยต้องพึ่งมีโตร”

                “อย่าบอกนะครับว่าต้องหอบเอกสารพวกนี้ไปถึงทำเนียบฯ ทำไมไม่เก็บไว้ที่นี่ก่อน” อดัมถามเพราะเดาได้ไม่ยากว่าหากต้องแบกมันเอาไว้กับตัวสักครึ่งวัน คนหนุ่มอย่างเขาคงต้องเคล็ดขัดยอกเป็นแน่แล้วนับประสาอะไรกับชายวัยกลางคนอย่างศาสตราจารย์เลริค

                “ทิ้งไว้ไม่ได้เพราะคืนนี้ฉันต้องอ่านให้จบ อีกอย่างคำนวณเวลาแล้วฉันคงจะเดินทางย้อนกลับไปกลับมาไม่ได้” เลริคบอกพร้อมถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่อนาฬิกาที่ข้อมือใกล้จะถึงเวลานัดหมายเต็มที “ส่งมันมาให้ฉันเถอะ ต้องรีบไปแล้ว”

                “เอาอย่างนี้ดีไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะหอบเอกสารพวกนี้ไปส่งศาสตราจารย์ที่ทำเนียบฯ” ปานชีวาอาสา

                “รบกวนเธอมากไปรึเปล่า” เลริคถามอย่างเกรงใจ แต่ต้องยิ้มกว้างเมื่อหญิงสาวส่ายหน้าเร็วๆ

                “ไม่รบกวนอะไรหรอกค่ะ วันนี้ดิฉันไม่มีเรียนแล้ว อีกอย่างใช้มีโตรก็ประหยัดเวลามาก” ปานชีวาบอกพลางตั้งใจจะหยิบเอกสารจากอดัม

                “งั้นผมไปด้วย ไหนๆวันนี้ผมก็ฟรีเหมือนกัน” อดัมบอกพลางเดินนำหน้าทั้งคู่ “เร็วสิครับ ศาสตราจารย์รีบไม่ใช่เหรอครับ”

                เลริคหันมายิ้มให้ปานชีวาและรีบเดินตามหนุ่มอเมริกันร่างสูงใหญ่ไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทันที ทว่าเมื่อเข้ามาในขบวนรถไฟทุกคนก็ต้องเงียบกริบ ไม่ส่งเสียงใดๆให้เล็ดลอดออกมา ดูเหมือนจะเป็นมารยาทในการใช้ระบบขนส่งมวลของชาวแอลเมเรีย ผู้คนที่มีใบหน้าเรียบเฉยจนบางครั้งดูเหมือนบึ้งตึง ไม่มีรอยยิ้มหรือท่าทางถ้อยทีถ้อยอาศัย และปานชีวาก็ได้รู้ธรรมเนียมปฏิบัติอีกข้อว่าการใช้สื่อออนไลน์บนรถไฟใต้ดินเป็นการกระทำที่เสียมารยาทอย่างมาก การก้มหน้าจ้องจอโทรศัพท์จึงไม่มีให้เห็นเช่นในหลายประเทศเพราะชาวแอลเมเรียจะนั่งนิ่งสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

 

                ราวสิบห้านาทีต่อมาทั้งหมดก็เดินทางมาถึงสถานีจัตุรัสตอลสตอย ซึ่งต้องเดินอ้อมไปยังประตูด้านทิศตะวันตกเพื่อเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดี

                “อยากเข้าไปข้างในไหม?” เลริคถามทั้งคู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเดินถึงหน้าประตูที่มีทหารเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด

                “ได้เหรอคะ ดิฉันเคยได้ยินมาว่าห้ามไม่ให้คนนอกเข้าไปนี่คะ?” ปานชีวาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย

                “ก็ถ้าเป็นผู้ช่วยของฉัน พวกเธอก็ไม่ใช่คนนอกแล้ว นอกเสียจากว่าจะมีธุระอื่น” เลริคถามและต้องหัวเราะร่วนเมื่อหนุ่มสาวทั้งสองรีบรับคำราวกลับกลัวว่าตนจะเปลี่ยนใจ “อย่างนั้นก็ตามฉันมา”

                เมื่อทำการแลกบัตรและตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว ปานชีวาและอดัมก็ได้รับบัตรผู้มาเยือนมาติดไว้ที่หน้าอกตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ปานชีวามองอาคารสีสันฉูดฉาด ยอดเป็นทรงโดมอันเป็นเอกลักษณ์ของแอลเมเรียด้วยความตกตะลึง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าด้านตะวันตกของทำเนียบจะมีสิ่งก่อสร้างอันตระการตาเช่นนี้ เมื่อครั้งที่นั่งรถผ่านก็นึกแปลกใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้มีผ้าใบสีขาวกางสูง บดบังความงดงามส่วนหนึ่งของทำเนียบประธานาธิบดี

                “มันคืออะไรกันครับ ศาสตราจารย์?” อดัมถามออกมาราวละเมอ

                “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของแอลเมเรีย ท่านประธานาธิบดีแอนทอนต้องการให้สร้างขึ้น ตั้งใจจะให้เป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งของแอลเมเรีย” เลริคตอบพลางเดินนำหน้าทั้งคู่เข้าไปด้านใน

                “ถ้าเป็นพิพิธภัณฑ์ก็ต้องเปิดให้คนได้เข้าชม อย่างนี้ก็แปลว่าอนาคตจะเปิดทำเนียบฯให้เข้าชมได้เหรอคะ?” ปานชีวาถามด้วยความอยากรู้ หากแต่ศาสตราจารย์เลริคกลับหันมายกนิ้วขึ้นจรดที่ริมฝีปาก ส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม

                “ชู่ว... เงียบเอาไว้ก่อนแม่หนู หยุดความคิดเธอไว้ตรงนี้ด้วย นั่นมันคือความลับของประเทศ” เลริคดักคอเพราะรู้ดีว่าคนฉลาดย่อมคิดอะไรได้ไกลและก่อนคนอื่นเสมอ “เธอคงต้องคิดว่าหากเปิดทำเนียบฯ คงต้องมีการสร้างทำเนียบฯแห่งใหม่ ซึ่งใช้งบประมาณของประเทศอย่างมหาศาล เกี่ยวพันไปถึงงบของกระทรวงการคลังที่ต้องจัดสรร”

                ปานชีวาอมยิ้มมองศาสตราจารย์ที่เปรยออกมาอย่างรู้ทันความคิด “ดิฉันไม่ได้คิดไกลอย่างนั้นหรอกค่ะ”

                “น้อยไปน่ะสิ” เลริคเคยได้ยินหัวหน้าผู้พิพากษาอีวาน เปรยถึงหลานสาวที่จะมาเรียนในแอลเมเรีย คืนนี้เมื่อได้อ่านความคิดเห็นส่วนตัวของเธอก็คงได้รู้กันว่าเธอจะน่าสนใจแค่ไหน

                “ศาสตราจารย์เป็นคนพูดเรื่องพวกนี้ออกมาเองนะครับ ผมเป็นพยานให้เธอได้” อดัมเล่นตามน้ำ

                “ไม่ควรจะท้าทายกฎบางอย่างในประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะพวกเรามีการลงโทษเชลยอย่างป่าเถื่อนโดยเฉพาะเชลยผู้ชาย”

                จบคำพูดของศาสตราจารย์เลริคทั้งหมดก็หัวเราะครื้นเครง จนไม่รู้ตัวว่ากำลังความรื่นเริงที่เกิดขึ้นทำให้ร่างสูงใหญ่ของรัฐมนตรีกลาโหมแห่งแอลเมเรีย เดินหน้าตึงออกมาจากมุมห้อง

                “ศาสตราจารย์เลริคนี่เอง” ลาโคลอฟก้าวออกมาจากมุมตึก และชะงักงันไปชั่วอึดใจเมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่หันกลับมาเต็มตา

                เสียงเข้มที่ดังขึ้นทำให้วงสนทนาที่กำลังครื้นเครงเงียบกริบลงทันที อดัมและปานชีวาก้าวมายืนอยู่ด้านหลังของศาสตราจารย์เลริค พร้อมมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่กะพริบตา

                “ท่านรัฐมนตรี” เลริคทักทายพลางโค้งศีรษะลงเล็กน้อย “ขออภัยที่ส่งเสียงดังรบกวน พอดีผู้ช่วยทั้งสองของผมมีอารมณ์ขันจนอดหัวเราะไม่ได้”

                ลาโคลอฟเลิกคิ้ว ยิ้มที่มุมปาก สบสายตากับศาสตราจารย์เลริคเพียงแวบเดียวแล้วกลับมาจดจ้องที่ใบหน้าของปานชีวาไม่วางตา “ดูเหมือนในแต่ละวันของผมจะขาดเรื่องขบขันไปมากโข คงไม่รังเกียจหากผมอยากร่วมวงสนทนาด้วย”

                ปานชีวาลอบถอนหายใจเมื่อร่างองอาจเดินใกล้เข้ามา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเมื่อสบสายตาเขาเพียงชั่วขณะถึงได้ใจเต้นระรัว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรรอบตัวของบุรุษท่าทีสง่าผ่าเผยนี้ก็ยังคงแผ่รังสีน่าเกรงขาม ที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่พบกันเมื่อสองปีที่ผ่านมา หญิงสาวก้มหน้าพลางคิดในใจว่า... ผ่านไปนานถึงสองปี เขาคงจำไม่ได้กระมังว่าเคยแสดงความสนใจในตัวเธอ ก็เขามันเพลย์บอยเต็มขั้น!

                “พูดอะไรอย่างนั้นท่านรัฐมนตรี ผมเคยแต่ได้ยินว่ามีคนอยากทำให้ท่านสำราญใจกันค่อนโลก” เลริคพูดด้วยความสัตย์จริง มีใครไม่รู้บ้างว่าเขาคือรัฐมนตรีเพลย์บอยที่สาวๆทั่วโลกฝันถึง หนุ่มโสดที่เพียบพร้อมทุกด้าน

                “นั่นออกจะเกินความจริงไปสักนิด แล้วจะไม่แนะนำผู้ช่วยให้ผมรู้จักหน่อยเหรอ?” ทุกครั้งที่เขาหันไปพูดกับศาสตราจารย์เลริค ก็จะหันกลับมาจดจ้องที่หญิงสาวเพียงคนเดียวในวงสนทนา แน่นอนว่าทั้งเลริคและอดัมต่างก็สังเกตได้ถึงปฏิกิริยาที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา

                “นี่... อดัม ส่วนนี่ปานชีวา เป็นนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแอลเมเรีย”

                เลริคแนะนำทั้งคู่ให้รู้จัก อดัมยื่นมือไปสัมผัสกับรัฐมนตรีหนุ่มก่อน จากนั้นลาโคลอฟก็ยื่นมือมารอสัมผัสกับหญิงสาว แต่ท่าทางละล้าละลังของเธอทำให้เขาคิดในใจว่า เธอไม่เคยเปลี่ยนท่าทีหวงเนื้อหวงตัวที่มีต่อเขาเลย แต่กลับยืนติดไอ้อดัมที่ส่งยิ้มบ่อยอย่างไร้เหตุผล

                หรือมันจะยิ้มเยาะเย้ยเขา น่าจับมันโยนออกไปด้านนอกทำเนียบนัก เผื่อบางทีเธอจะยอมมายืนติดตนอย่างนั้นบ้าง ลาโคลอฟคิดในใจ หากแต่กลับเลือกใช้คำพูดที่สุภาพที่สุดทักทายเธอ “ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้ง ปานชีวา”

                ความดีใจที่เกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าเขายังจดจำตนเองได้ทำให้ปานชีวาเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาคู่คมทันที แต่เสียงของศาสตราจารย์เลริคที่ดังขึ้นอย่างแปลกใจทำให้ทั้งคู่ปล่อยมือ ละสายตาจากกันและกัน

                “น่าขายหน้าจริงๆ ผมแนะนำให้คนที่รู้จักกันมาก่อนได้รู้จักกัน” เลริคเย้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ อะ...เอ่อ” ปานชีวาไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร

                “ถ้าอย่างนั้น ศาสตราจารย์คงไม่ขัดข้อง ถ้าผมอยากจะคุยกับคนรู้จักเป็นการส่วนตัว” น้ำเสียงราบเรียบที่แฝงไว้ด้วยอำนาจในการออกคำสั่งดังขึ้น ศาสตราจารย์เลริคจึงหันไปส่งสัญญาณให้อดัมเดินตามไปอีกห้องหนึ่ง

                “ทำไมไม่เห็นมีใครบอกผมว่าคุณมาเรียนที่นี่” เมื่ออยู่ตามลำพังลาโคลอฟก็ปรับเสียงให้นุ่มขึ้นถามด้วยประหลาดใจระคนดีใจ ซึ่งปานชีวาก็ได้เห็นความดีใจส่งผ่านมาทางสายตา

                “เอ่อ... ก็ ทำไมต้องบอกด้วยคะ?” จบคำตอบก็เห็นดวงตาคู่คมขุ่นมัวขึ้น จริงอยู่ว่าเธอเองก็อดปลาบปลื้มใจไม่ได้ที่เขายังจดจำได้อย่างแม่นยำ แต่เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องส่งข่าวให้กับเขาเพราะไม่ได้รู้จักมักคุ้นกัน ก็แค่เคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว

                ให้ตายเถอะแม่คุณ อย่างน้อยเธอน่าจะแสดงความดีใจที่ได้เจอหน้าเขาอีกครั้งบ้าง รู้ล่ะ! ว่าหญิงไทยมารยาทงามต้องสงวนท่าที แต่แค่ยิ้มให้เขานิดๆหน่อยๆมันจะเสียหายตรงไหนกัน

                “เฮ้อ... อันที่จริงผมอยากให้คุณพูดว่า ดีใจที่ได้พบคุณนะคะลุค” ลาโคลอฟบีบเสียงให้เล็กลงจนคนฟังต้องกลั้นหัวเราะ “แต่ก็รู้ว่านั่นมันออกจะหวังเกินไปสักหน่อย แต่แค่รอยยิ้มคุณยังไม่มีให้ผมเลยนะ เบบี้คริสตัล”

                จบคำพูดของเขาปานชีวาก็ฉีกยิ้มให้ราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ “แต่ถ้าจะให้ดิฉันเรียกท่านด้วยชื่อสนิทสนมอย่างนั้นคงไม่เหมาะมั้งคะ”

                บอกไม่ถูกว่าทั้งหมั่นไส้ทั้งเอ็นดูกับการวางตัวของเธอ ใจจริงแล้วอยากจะดึงเธอมากอด จูบทั้งตัวให้สมกับความคิดถึง แค่เพียงคิดเนื้อตัวก็ร้อนรุ่มราวกับหนุ่มเพิ่งริรัก

                “แล้วพักที่ไหน?”

                “แถว... ค่ะ” ปานชีวาตอบที่ตั้งของบ้านพักไปคร่าวๆ “ท่านมีอะไรจะถามดิฉันอีกไหมคะ พอดีว่าดิฉันมากับศาสตราจารย์เลริค คงไม่ดีแน่หากแยกตัวออกมาอย่างนี้”

                เมื่อไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรกับเขาก็หาข้ออ้างหลบเลี่ยง คงจะเป็นการดีที่สุด

                “ไหนว่ามาเรียนต่อโท แล้วมาทำงานกับศาสตราจารย์เลริคได้ยังไง” ลาโคลอฟถามพลางสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กางขาออกเล็กน้อยราวกับว่าจะไม่ยอมหลีกทางให้เธอง่ายๆ

                “พอดีว่าศาสตราจารย์เอารถเข้าศูนย์ค่ะ ดิฉันกับเพื่อนก็เลยอาสาถือเอกสารมาส่ง...”

                “อ่อ... ตอนแลกบัตรเลยต้องโกหกว่าเป็นผู้ช่วยของเขา” ลาโคลอฟต่อให้อย่างแม่นยำ

ทำเนียบประธานาธิบดีคือเขตหวงห้าม นอกเสียจากว่าจะมีโอกาสพิเศษเปิดให้คนได้เข้าชม และแอลเมเรียก็เป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีโอกาสพิเศษเช่นนั้นนักเพราะเป็นประเทศที่ยังมีประชากรแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งยากจะคาดเดาได้ว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นแฝงตัวอยู่ที่ใดบ้าง การตรวจตราและกฎอันเข้มงวดของทำเนียบฯแห่งนี้จึงไม่ค่อยได้รับข้อยกเว้นบ่อยนัก

ปานชีวาหน้าถอดสีเพราะรู้ดีถึงกฎอันเข้มงวดนั้นและไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้กับศาสตราจารย์เลริค “ไม่ได้โกหกนะคะ”

“ก็เห็นๆกันอยู่” ลาโคลอฟว่าพลางเอียงหน้ามองเธอด้วยสายตาเป็นต่อ

ปานชีวาอึกอักพลางถอนหายใจ ปฏิเสธไปก็ความผิดก็ยิ่งมัดตัว กล้าทำแล้วก็ต้องกล้ารับผิดสิ นักกฎหมายสาวคิด “ทำไปแล้วค่ะ ถ้ามันเป็นความผิดร้ายแรงดิฉันก็ขอรับไว้คนเดียว ศาสตราจารย์เลริคกับอดัมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

“อา... ผู้ต้องหาให้การสารภาพทั้งยังไม่ยอมซัดทอด จะรับโทษคนเดียวเสียด้วย ไหวเหรอจ๊ะ?...” ปลายประโยคถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

ปานชีวางุนงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่เขาเพิ่งขู่ถามอย่างเอาเรื่องแต่สุดท้ายก็ทำท่าราวกับมันเป็นเรื่องล้อกันเล่น ชัดล่ะว่าเขาแค่ปั่นหัวเธอเล่นสนุกๆเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“จะรีบไปไหน อยู่เป็นเพื่อนคุยกันก่อนสิ ยังไม่รู้เรื่องกันเลยว่าพักกับใคร มาเรียนที่นี่นานรึยัง แล้วจะกลับยังไง ผมไปส่งให้ไหม?” ลาโคลอฟถามยืดยาว หากแต่ปานชีวากลับไม่เต็มใจตอบคำถามสักข้อ ปกติเธอไม่ค่อยเจอคนที่ทำให้ขาดความมั่นใจหรือไม่เคยมีปัญหากับการรับมือคนที่มองเธอเป็นตัวตลกมาก่อน แต่ยอมรับว่าผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เธอขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

“ถึงแม้ดิฉันจะเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องนักแต่ก็ไม่ได้คิดจะมาทำอะไรไร้สาระ หมดธุระแล้วดิฉันก็คิดว่าควรจะกลับ อีกอย่างคงไม่เหมาะถ้าคิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนคุยของท่านรัฐมนตรี” ปานชีวาโต้กลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าจริงจัง และลาโคลอฟก็จับกระแสเสียงที่เจือความไม่พอใจของเธอได้เป็นอย่างดี

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเข้าไปรับบทลงโทษของคุณด้านใน” ลาโคลอฟบอกพลางผายมือเชิญให้หญิงสาวเดินนำหน้า ทว่าเธอยังนิ่งจึงก้าวนำมายังห้องจัดแสดงห้องทำงานของตอลสตอย ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของแอลเมเรีย แต่ตอนนี้ยังตกแต่งภายในไม่เรียบร้อย

ปานชีวาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เดินตามร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังเปิดประตูกว้างรอให้เธอเดินตามเข้าไปในห้อง เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องโล่งกว้าง ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือใครสักคนที่จะตัดสินความผิด เธอก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน “จะลงโทษยังไงก็บอกมาเลยค่ะ”

“ทำไมเรื่องแค่นั้นถึงได้คิดว่าผมอยากจะลงโทษคุณ หรือต่อให้ทำผิดมากกว่านั้น คุณคิดว่าผมจะลงโทษอะไรคุณได้” เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังลาโคลอฟก็ถามเธอจากใจ เมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบเอาแต่จ้องหน้าราวกับไม่เข้าใจในคำพูด ลาโคลอฟก็หมดความอดทน ดึงเอาร่างอ้อนแอ้นเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน

ปานชีวาตกใจสุดชีวิต ตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้เพราะไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะจู่โจมเช่นนี้ ทว่าวงแขนแกร่งที่รัดรอบตัวนี้กลับแผ่ความอุ่นซ่านไปทั่วร่างจนไม่รู้ตัวว่าตกอยู่อ้อมกอดเขานานเท่าใด

ลาโคลอฟยิ้มพรายกับท่าทีตกใจของเธอ แต่ก็ดีใจยิ่งนักเมื่อเธอไม่ได้ขัดขืนยอมอยู่นิ่งๆในอ้อมกอดของเขา จ้องมองดวงตาเป็นประกายราวกับคริสตัลชั้นดี แววตาคู่นี้ ร่างนุ่มนิ่มนี้ที่ทำให้เขามีคำเรียกขานเธอได้อย่างสุดพิเศษ และไม่เคยลืมเบบี้คริสตัล แม้เวลาจะผ่านมาถึงสองปี

เมื่อสำรวจส่วนประกอบที่รับกับใบหน้ารูปหัวใจแล้ว ลาโคลอฟก็ก้มลงสูดเอาความหอมของแก้มนุ่มเข้าเต็มปอดราวกับห้ามใจตัวเองไม่ได้ “คิดถึงที่สุด”

“ปล่อยนะ! อย่ามาทำตัวรุ่มร่ามกับดิฉันนะ” ด้วยความตกใจปานชีวาผลักหน้าอกเขาออกไปสุดแรง ถอยหลังห่างจากเขาไปสองสามก้าวแล้วยกมือลูบแก้มตัวเองราวกับจะลบรอยปากและจมูกของเขา

ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นกลับทำให้ลาโคลอฟหัวเราะร่วน “ลบไม่ออกหรอกน่า... หอมไปแล้ว ถ้าอยากได้คืนก็ต้องมาหอมผมกลับสิ”

อี๋... น่าไม่อาย! ฉันคงไม่บ้าทำตามคำพูดของตัวอันตรายอย่างคุณหรอก ปานชีวาคิดในใจพลางมองค้อนเขาอย่างโกรธๆ

“ไม่เอาน่า อย่ามองผมอย่างนั้นสิ ก็บอกแล้วว่าคิดถึง ไม่เจอกันตั้งนาน” ลาโคลอฟลากเสียงราวกับพอใจนักหนา ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสะบัดหน้าหนี หมุนตัวเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวสิ จะไปไหนล่ะเบบี้คริสตัล?!”

ปานชีวาเจ็บใจตัวเองนักที่เสียรู้เขานักผู้ชายบ้าอะไรอย่างนี้ ฉวยโอกาสที่สุด ต่อไปนี้เธอคงต้องหลีกหนีให้พ้นตัวอันตรายอย่างเขา

เมื่อออกมาเจอกับศาสตราจารย์เลริคและอดัม ปานชีวาก็ยิ้มอย่างโล่งอก ไม่สนใจว่ารัฐมนตรีหนุ่มผู้น่าเกรงขามรีบเดินตามออกมาและจ้องมองเธอด้วยสายตาขุ่นมัว เมื่อเห็นเธอให้ความสนิทสนมกับผู้ชายอีกคน

“ศาสตราจารย์ ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“อ้าว... เดินดูทั่วแล้วเหรอ ทำไมจะกลับไวนัก?” อดัมถามอย่างแปลกใจ

“เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระสำคัญ หรือเธอจะอยู่ต่อ”

ใจจริงอดัมก็อยากอยู่ชื่นชมความงามของพิพิธภัณฑ์นี้ให้ทั่วเสียก่อน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนจ้องด้วยสายตาไม่พอใจ ก็รู้ตัวว่าต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด จึงรีบปฏิเสธและกล่าวลาศาสตราจารย์เลริคทันที ก่อนเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ อดัมหันมาก้มศีรษะให้ลาโคลอฟเล็กน้อย ในขณะที่ปานชีวาเดินตัวปลิวออกไปก่อนแล้ว

 

 “ทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆล่ะว่าคุณมีรสนิยมแบบไหน” เมื่อเดินพ้นจากรั้วทำเนียบฯ อดัมก็เอ่ยถามหญิงสาวขึ้นมาทันที

“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” ปานชีวาละสายตาจากน้ำพุที่อยู่กลางจัตุรัสตอลสตอย มองเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างไม่เข้าใจ

“อย่ามาทำไก๋น่า... เด็กประถมยังรู้ว่าท่านรัฐมนตรีสนใจคุณ”

ปานชีวากลอกสายตาไปมาอย่างระอาใจ นึกโมโหคนที่ทำอะไรไม่รู้จักคิดแต่ก็ยังไม่เข้าใจในคำถามของอดัมอยู่ดี “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับรสนิยมของฉัน”

“นี่ เบบี๋! ผมยอมรับนะว่าสนใจคุณเป็นพิเศษ แต่ผมอยู่ในประเทศเสรีที่เปิดรับทุกเพศอย่างเต็มที่ ท่าทางที่คุณแสดงออกมาผมเดาได้ไม่ยากหรอก ถ้าคุณมัวแต่ปิดบังสิ เขาจะตามตื้อไม่เลิก ได้ยินว่ารัฐมนตรีกลาโหมคนนี้บริหารผู้หญิงเก่งพอๆกับบริหารงานเชียวนะ” อดัมบอกพลางขยิบตา

บริหารผู้หญิงเก่ง!? โอ... ก็รู้ล่ะว่าเขาใช้ผู้หญิงเปลืองแต่เรื่องแบบนี้ มันใช่เรื่องที่ต้องมาคุยกับเธอตรงๆหรือเปล่า ปานชีวาถอนหายใจหนักๆ ไม่ผิดสักนิดที่อดัมควรไปเข้าคอร์สอบรมมารยาท

“เข้าประเด็นดีกว่า ฉัน” ปานชีวาถามพลางชี้นิ้วเข้าที่กลางหว่างอกตัวเอง “ปิดบังอะไร หรือคุณคิดว่าฉันควรต้องเปิดเผยอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

“เลสเบียน บอกเขาไปสิว่าคุณเป็นเลสเบียน”อดัมเฉลยออกมาเสียงไม่เบานัก จนหลายคนที่เดินผ่านไปมามองมายังเธอแล้วอมยิ้ม

“คุณนี่มันสุดจะทนจริงๆ” ปานชีวาตวาดออกมาไม่เบาเช่นกัน

“อ้าว หรือไม่จริง”

“จริง ถ้าคุณเป็นเกย์ ฉันก็คงเป็นเลสเบียนได้ อีกกรณีคือถ้าในโลกนี้เหลือคุณคนเดียวแล้วฉันต้องแต่งงานด้วย ฉันคงเลือกจะรักผู้หญิงด้วยกัน”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงและท่าทางโกรธจัดของสาวสวยหวาน อดัมก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดถนัด “ขอโทษก็ได้ อย่าโกรธเลยนะ ผมยอมรับผิด ก็เมื่อเช้าคุณเห็นผู้ชายเป็นอะไรที่ขวางหูขวางตา ผมก็เลยเข้าใจไปอย่างนั้น”

“เหลือเชื่อเลย ย้ำตอนนี้อีกครั้งก็ได้ ฉันบอกว่าคุณเป็นอะไรที่ขวางหูขวางตา ไม่ใช่ผู้ชาย โอเค้?” ปานชีวาเดินหนีด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ต้องชะงักการก้าวเดินเมื่อเขาสาวเร่งฝีเท้ามาดักหน้าเอาไว้

“ขอโทษหลายๆครั้งก็ได้อย่าโกรธเลยนะ นะ... นะ... พลีส...” อดัมร้องขออย่างสำนึกผิดจริงๆ

“เฮ้อ... อย่าให้ถึงคราวฉันบ้างก็แล้วกัน จะเอาคืนให้แสบกว่าสายตาของคนที่เดินผ่านไปมามองฉันเลย ระวังตัวเอาไว้”

“โล่งอก แปลว่าคุณยกโทษให้ผมแล้ว” อดัมบอกทั้งยังส่งแววตาลิงโลด “ผมดีใจที่สุดที่คุณชอบผู้ชาย”

“อย่าแม้แต่จะคิด ฉันบอกไปแล้วว่าคุณเป็นอะไรที่ขวางหูขวางตา” ปานชีวาดักคอไว้ก่อน

“ไม่ยุติธรรมเลย ดูสิ” อดัมทำหน้าเซ็งโลกแล้วกางแขนตัวเองออกทั้งสองข้าง ให้เธอได้เห็นอย่างเต็มตา “ผมนี่เฟรนด์ลี่สุดๆ มีตรงไหนที่ไม่ดีไม่ถูกใจคุณ”

“ทุกตรงเลย” ปานชีวาตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ใจร้ายจริงๆ ให้เวลาคิดทบทวนหนึ่งคืน”

ปานชีวาส่ายหน้า ไม่มีทางรับข้อเสนอนั้นแน่นอน “ฉันอนุญาตให้จีบส่วนจะตกลงเป็นแฟนไหมนั่นก็อีกเรื่อง แต่ถ้าอยากเป็นเพื่อนก็จงสัญญามาว่าจะไม่คิดเลยเถิดกับฉันอีก แล้วเราจะเป็นเพื่อนกัน” ปานชีวายื่นคำขาดที่ทำให้หนุ่มอเมริกันรู้คำตอบเป็นอย่างดี

“ผมเฮิร์ตนะเนี่ย ทำไมโลกนี้มันโหดร้ายเหลือเกิน” อดัมคอตก ลดแขนทั้งสองข้างมาประสานมือไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย ปานชีวาส่ายหน้ากับท่าทางที่หนุ่มอเมริกันขี้เล่นแสดงออกมา

“โอเวอร์แอคติ้งจริงๆ เราแยกกันตรงนี้เลยนะอดัม ฉันมีธุระนิดหน่อย” จบคำพูดปานชีวาก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง ปล่อยให้อดัมนั่งเล่นอยู่บริเวณจัตุรัสตอลสตอย ซึ่งเป็นลานกว้างมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่

 

ชั่วโมงต่อมา... ปานชีวาก็เลือกซื้อกระดุมเสื้อพร้อมเข็มกลัดเนกไทซึ่งเข้าชุดกัน ตั้งใจจะมอบให้เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดของอาเขย ด้วยความที่เป็นลิมิเต็ดเอดิชั่นและมีวางจำหน่ายไม่ถึงสิบยี่สิบชุด ทั้งยังมีวางจำหน่ายในแอลเมเรียเพียงชุดเดียว ราคาของมันทำเอาเธอเข่าอ่อน แต่สุดท้ายก็ยอมจ่ายเพราะคิดว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกที่มีโอกาสมอบให้ท่าน เมื่อได้ของขวัญที่ถูกใจแล้วปานชีวาก็ออกจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ใช้มีโตรในการเดินทางกลับบ้านเช่นเดิม แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนเส้นทางแต่ก็ไม่ได้เสียเวลามากนักเพราะทางเดินเชื่อมของสถานีรถไฟใต้ดินนั้นไม่ได้อยู่ไกลกันเหมือนในกรุงเทพมหานคร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา