ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.54K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 7 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ของขวัญเล็กๆน้อยๆค่ะ ส่วนของคุณพ่อท่านบอกว่าจะเอามามอบให้ด้วยตัวเองนะคะ ฝากบอกด้วยว่าจะมาช้าสักหน่อยเพราะเพิ่งออกจากห้องประชุมเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เองค่ะ” ตาทาเนีย มอบกล่องของขวัญให้ทั้งอีวานและอารยา

                “ขอบคุณมากครับ/ขอบคุณมากค่ะ” สองสามีภรรยากล่าวโดยพร้อมเพรียง ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาท

                “เกรงใจท่านจริงๆครับ ผมพอรู้ว่าท่านงานรัดตัวนัก แค่ตาทาเนียให้เกียรติมางานในครั้งนี้ก็ดีใจมากแล้วครับ” อีวานกล่าวอย่างเกรงใจ พลางผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวเข้าไปพบปะพูดคุยกับแขกสำคัญที่มาร่วมงานในครั้งนี้

ตาทาเนียก้าวเข้าไปอยู่เคียงข้างร่างสูงใหญ่ของลาโคลอฟ ความจริงแล้วทั้งคู่ไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน แต่บังเอิญมาถึงงานในเวลาไล่เลี่ยกัน วงสนทนาที่มีแต่บุคคลสำคัญระดับประเทศ ต่างก็ควงภรรยาของตนมาร่วมงานด้วย และเป็นธรรมดาของบรรดาผู้หญิงที่จะเอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ของคู่หนุ่มสาวที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้

                “ควงกันออกงานบ่อยแบบนี้ คงจะได้ยินข่าวดีเร็วๆนี้ใช่ไหมคะ?”

                “ทั้งคู่เหมาะสมกันมาก ดิฉันยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครคู่ควรกับรัฐมนตรีหนุ่มอนาคตไกลของเราเท่าตาทาเนียเลยนะคะ!”

                หากมีเพียงแค่ตาทาเนียเท่านั้นที่เชิดหน้ายิ้มรับกับเสียงของบรรดาสตรีในกลุ่มสนทนา แต่ฝ่ายชายกลับมีใบหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายสักนิด เขาวางแก้วคอกเทลลงบนถาดเครื่องดื่มของบริกรแล้วหยิบแก้วบรั่นดีขึ้นจิบทีละน้อย สายตาคู่คมมองไปยังวงดนตรีคลาสสิกที่กำลังบรรเลงเพลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังดื่มด่ำสุนทรีย์ในเสียงเพลง

ท่าทางทั้งหมดของลาโคลอฟนั้นหาได้รอดพ้นจากสายตาของอารยาที่อยู่ในวงสนทนา เธอเพียงแค่ยิ้มรับกับคำเยินยอตาทาเนียที่ออกจะเกินจริง แม้ในใจจะรู้ว่าภรรยาข้าราชการเหล่านี้จะปั้นแต่งคำพูดเพื่อนเอาใจเท่านั้นแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางขัดแย้งแต่อย่างใด ซึ่งการวางตัวของภรรยาท่านผู้พิพากษาศาลสูงสุดนี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่างดงามยิ่งนัก

                วงสนทนาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆแต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากลาโคลอฟแม้เพียงน้อย เพราะร่างของผู้หญิงที่เพิ่งได้กอดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กำลังเดินป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกล และเขาก็แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดเพียงแค่แปลกใจว่าเธอมาปรากฏกายในงานเลี้ยงนี้ได้อย่างไร

ลาโคลอฟเผลอยิ้มเมื่อมองผู้หญิงกะทัดรัดอยู่ในชุดผ้าพลิ้วไหวสีชมพูอ่อน ซึ่งกระโปรงอัดพลีตเป็นชั้นๆลงมาถึงหัวเข่า เกล้าผมมวยต่ำโชว์ลำคอระหง ลูกผมที่ตกรุ่ยร่ายลงมาอย่างตั้งใจทำให้เธอสวยหวานมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อเธอหมุนตัวกลับก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ อยากถอดเสื้อสูทของตัวเองไปคลุมแผ่นหลังเนียนนั้นไว้ให้มิดชิดจากสายตาผู้คน!

หากนั่นคงเป็นเพียงแค่ความคิด แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจตัวเองก็คือความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เวลาสองปีที่ไม่ได้พบหน้ามันทำให้เขาคิดว่าความต้องการเหล่านั้นจะจางหาย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อบัดนี้มันเด่นชัดจนไม่อาจปฏิเสธหรือปล่อยให้เธอหลุดลอยไปเช่นที่ผ่านมา

                อารยามองตามสายตาของรัฐมนตรีหนุ่มก็รู้ว่าเขากำลังจ้องมองที่หลานสาวของตนอยู่ครู่ใหญ่แล้ว จึงไหว้วานให้เจตน์ไปตามปานชีวามาพบ เพราะคิดว่าหากปล่อยไว้ให้ตาทาเนียสังเกตได้เอง เรื่องยุ่งยากอาจเกิดขึ้นก็เป็นได้

                ไม่กี่นาทีต่อมาปานชีวาเดินเข้าไปยืนข้างๆผู้เป็นอา แล้วสัมผัสมือกับแต่ละคนที่ท่านได้แนะนำให้รู้จัก เมื่อแนะนำมาถึงลาโคลอฟ เขาก็ยื่นมือมาสัมผัสและยิ้มให้ตามมารยาท วางท่าได้นิ่งเฉยราวกับเป็นคนละคนที่เคยทำตัวรุ่มร่ามกับเธอจนนึกหมั่นไส้ แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งและยิ้มทักทายสุภาพสตรีคนสุดท้ายในวงสนทนา

                “มาต่อโทจริงๆน่ะเหรอ?” ตาทาเนียเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เมื่ออารยาแนะนำว่าเป็นหลานสาวที่เดินทางมาเรียนต่อปริญญาโทในแอลเมเรีย

                “ค่ะ” ปานชีวารับคำ

                “ล้อเล่นรึเปล่า อายุเท่าไหร่กันถึงมาเรียนต่อโท?” ตาทาเนียขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ

                “ดิฉันอายุยี่สิบหกปีแล้วค่ะ”

                “จริงค่ะ หลานสาวดิฉันคงหน้าเด็ก แขกในงานก็ออกจะแปลกใจตั้งคำถามอย่างตาทาเนียทั้งนั้น” อารยากล่าวสำทับให้ทุกคนมั่นใจในคำพูดของปานชีวา

                ทว่าวงสนทนากลับเงียบไปชั่วขณะ เมื่อเลขานุการของท่านผู้พิพากษาสูงสุดรายงานว่า อิกอร์ ซียานอฟ เดินทางมาถึงแล้ว ปานชีวาจึงรอดตัวจากการเป็นหัวข้อสนทนา

อีวานเดินเข้าไปต้อนรับบุคคลสำคัญของรัฐบาลหน้าประตู พร้อมกล่าวขอบคุณเมื่อได้รับของขวัญชิ้นโต ทั้งคู่ทักทายกันด้วยอัธยาศัยอันดี จากนั้นอีวานจึงผายมือเชิญอิกอร์ ซียานอฟ เข้าไปสังสรรคกับบุคคลสำคัญของประเทศที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง แน่นอนว่าตาทาเนียเดินเข้าไปคล้องแขนคนเป็นพ่อในทันที

สองพ่อลูกซียานอฟกำลังถูกห้อมล้อมจากผู้คน วงสนทนาที่มีแต่คำเยินยอทำให้ตาทาเนียลำพองใจและมีความสุขไปกับคำพูดหวานหูทั้งหลาย โดยลืมคู่หมายของตัวเองไปเสียสนิท

“ทำไมเมื่อกลางวันถึงได้เดินหนีผมออกมาแบบนั้น ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” ลาโคลอฟถามพลางรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อภาพที่เธอให้ความสนิทกับชายคนหนึ่งแจ่มชัดในความทรงจำ

“ก็ท่านพูดเองว่ามันเป็นสถานที่ที่บุคคลภายนอกไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม” ปานชีวาตอบ

“จำได้ว่าผมไม่เคยพูดอย่างนั้น” ลาโคลอฟส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ได้พูดออกมาตรงๆหรอกค่ะ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านหมายความอย่างที่ดิฉันเข้าใจ”

“ทำไมไม่บอกผมว่าคุณเป็นหลานสาวภรรยาของอีวาน” ลาโคลอฟเปลี่ยนเรื่องถาม

“ดิฉันไม่ทราบว่ามันเป็นเรื่องที่ควรต้องเรียนให้ท่านทราบ ขอโทษค่ะ”

“จำเป็นมากเลยล่ะ ถ้าบอกผมตั้งแต่แรกว่าพักอยู่ที่นี่ก็คงไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะไปหาที่พักคุณที่ไหน” ลาโคลอฟบอกเพราะหลายชั่วโมงที่ผ่านมากำลังคิดว่าที่พักที่เธอบอกกล่าวนั้น มันอยู่ส่วนใดของแอลเมเรีย “แล้วทำไมถึงทำหน้าบึ้งอย่างนั้น ใครทำให้อารมณ์เสีย”

ประหลาดดีแท้... ใครจะญาติดีกับคนที่ลวนลามตัวเอง แล้วเขายังทำหน้าตายราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้นคงต้องเสียสติแน่ ปานชีวาคิดพลางลอบถอนหายใจ เพราะคิดได้ว่าเพลย์บอยอย่างเขาคงถนัดที่จะทักทายผู้หญิงในทำนองนั้นจนเคยชิน “ก็คนแถวนี้ล่ะค่ะ เห็นหน้าแล้วพาลให้อารมณ์ขุ่นมัว ถ้าท่านไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

ปานชีวาเดินเลี่ยงเขาไปอีกทางแล้วไปยืนอยู่ด้านหลังของเจตน์ ที่ยืนไม่ห่างจากเจ้านายเท่าไหร่

“เป็นอะไรไปลูกปัด ทำไมทำหน้าเบื่อโลกอย่างนั้น” เจตน์ถามเพื่อนสาว เมื่อเธอก้าวมายืนเบียดตนราวกับหาที่หลบภัย ปานชีวาไม่ตอบแต่กลับคว้ามือของเจตน์ดึงเขาให้เดินเข้าไปใกล้ๆกับอาเขยที่กำลังสนทนากับแขกเหรื่ออย่างออกรส

“ยืนใกล้ๆสิ ยืนไกลอย่างนั้นเดี๋ยวอีวานก็มองหาไม่เจอ”

เจตน์มองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจ ความจริงจุดที่เขายืนก็พอเหมาะแล้ว แต่เธอยังรั้งให้เข้ามายืนใกล้ๆจนได้ยินประโยคสนทนา ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำเช่นนี้ แต่ไม่นานเลขานุการหนุ่มก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครอีกคน จึงค่อยๆกวาดสายตาไปรอบตัว และต้องตกใจเมื่อพบว่ามีสายตาคุกรุ่นกำลังจ้องมองตนอย่างคุกคาม!

คุณพระ! นี่เขาคงไม่ได้ไปทำอะไรให้ท่านรัฐมนตรีขุ่นข้องหมองใจหรอกนะ เจตน์กะพริบตาถี่ๆ มั่นใจว่าต่างฝ่ายต่างมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน ทว่าเขายังไม่ยอมละสายตาสักนิด ยิ้มทักก็ไม่ยิ้มตอบทั้งที่ปกติก็ไม่ได้มีความบาดหมางเป็นการส่วนตัว

เจตน์มองตามสายตาคู่คมแล้วจึงพบว่า เขาจ้องที่มือของตนซึ่งมีมือของเพื่อนสาวกุมไว้แน่น! จึงรีบแกะมือของปานชีวาออกทันที แต่แม่ตัวดีกลับไม่ยอม ซ้ำร้ายยังเลื่อนฝ่ามืออีกข้างมาเกาะที่แขนของตนเสียด้วย

เลขานุการหนุ่มยกมือตบหน้าผากของตัวเองไม่เบานักเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่ายืนนิ่งๆ ให้ท่านรัฐมนตรีมองด้วยสายตาคุมคาม ข่มขู่

 

                ราวสิบห้านาทีต่อมา หลังจากที่อีวานกล่าวต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานคล้ายวันเกิดนี้อย่างเป็นทางการ งานเลี้ยงแบบคอกเทลซึ่งเจ้าของงานตั้งใจจัดขึ้นเพื่อขอบคุณในไมตรีจิตที่หลายคนมอบให้ และไม่ได้พิธีเป็นทางการแต่อย่างใด

ดูเหมือนว่าการเปิดฟลอร์เต้นรำจะเป็นธรรมเนียมในงานเลี้ยงคล้ายวันเกิดของหัวหน้าผู้พิพากษาสูงสูดไปแล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เจ้าของวันเกิดกล่าวขอบคุณเรียบร้อยก็เดินไปเข้าไปโค้ง ตาทาเนีย ออกมาเปิดฟลอร์เต้นรำ จากนั้นอิกอร์ก็เชิญอารยาออกมาเต้นรำ เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

                ลาโคลอฟเดินตรงเข้าไปหาปานชีวาที่ยังเกาะแขนเลขานุการหนุ่มทันที

“ให้เกียรติเต้นรำกับผมซักเพลงนะครับ”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงวางอำนาจดังขึ้น เจตน์ก็รีบวางมือของเพื่อนสาวลงบนฝ่ามือหนาของท่านรัฐมนตรี โดยไม่สนใจว่าเพื่อนของตนนั้นมองตามด้วยความไม่พอใจ ถึงกระนั้นเมื่อชายหนุ่มยิ้มอย่างเกรงใจ ลาโคลอฟยังไม่มีปฏิกิริยาเป็นมิตรตอบโต้เลยสักนิด

                “หวังว่าคงไม่ได้แย่งคู่เต้นรำของคุณหรอกนะ?” ลาโคลอฟย้ำถามพลางกระชับผ่ามือนุ่มไว้อย่างแนบแน่น แต่เจ้าตัวกลับยืนขาตายไม่ยอมเดินตามออกไปยังฟลอร์เต้นรำ

“ปะ... เปล่าครับ อ...เอ่อ เชิญท่านรัฐมนตรีครับ” เจตน์บอกพลางใช้สองมือดันร่างของเพื่อนสาวออกไปจากข้างตัว ดูแล้วแทบจะเหมือนประเคนเธอใส่มือเขาด้วยซ้ำ

                “ตะ...แต่” ปานชีวามองคนที่คิดว่าคุ้มกันภัยให้ตนได้ โค้งคำนับให้อย่างสุภาพและหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยความเจ็บใจ เพื่อนทรยศคนนี้ผลักไสให้เธอตกอยู่ในอ้อมขนของตัวอันตรายโดยไม่หันมาเหลียวแลสักนิด

                หากลาโคลอฟไม่เปิดโอกาสให้เธอได้คิดมากนัก เขากระชับร่างกะทัดรัดไว้หลวมๆ แล้วเริ่มพาเธอเคลื่อนไหวไปตามเสียงเพลงเมื่อเริ่มเข้ามาอยู่ในฟลอร์เต้นรำ

                “ยิ้มหน่อยสิ เดี๋ยวคนอื่นเขาก็หาว่าผมบังคับใจสาวมาเต้นรำ”

                ปานชีวาช้อนสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ “คนอื่นเขาก็คิดถูกแล้วนี่คะ ไม่จำเป็นที่ต้องกลับถูกให้เป็นผิด”

                “ทำไมต้องตั้งแง่รังเกียจผมแบบนี้ ผมขอคุณเต้นรำอย่างสุภาพชนแล้วนะ” ลาโคลอฟถามข้อข้องใจอย่างตรงไปตรงมา

                “เรียกว่าสั่งจะถูกต้องกว่านะคะ เพราะถ้าขอจริงๆ ท่านต้องรอคำตอบจากดิฉันก่อน”

                ลาโคลอฟเลิกคิ้วมองพลางยิ้มอย่างยั่วเย้า นอกจากจะเล่นตัวจนน่าประหลาดใจแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจกว่าคือตัวเอง แผ่นหลังเนียนนุ่มที่สัมผัสได้อยู่นี้มันความรู้สึกวิเศษกว่าซาตินเนื้อดี แล้วถ้าได้เล่นตัวของเธอขึ้นมาจริงๆ ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเลิศเลอขนาดไหน

                “ถ้ารอคำตอบก็กลัวว่าต้องผิดหวังเหมือนสองปีที่แล้วน่ะสิ” คำตอบของเขาทำให้เธอจ้องตานิ่งอยู่ชั่วขณะ “ไม่เอาน่า... เราน่าจะสนุกกันดีกว่า ทำไมต้องทำตัวแข็งเหมือนท่อนไม้”

                “ดิฉันเต้นรำไม่ได้เรื่อง ท่านต้องทำใจหน่อยนะคะ” ตอบพร้อมหลบตามองไปรอบๆตัว เพราะคิดว่ายิ่งได้เห็นหน้าเขาใกล้ๆ ใจยิ่งเต้นระรัว

                “อยู่กับผมไม่ต้องถ่อมตัวหรอกเบบี้คริสตัล ปล่อยตัวตามสบายเต็มที่” เธอจับจังหวะได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะเป็นคู่เต้นรำที่ไม่ได้เรื่องอย่างไร

                ได้... จะให้ปล่อยตัวตามสบายใช่ไหม ปานชีวาเกิดความคิดสนุกขึ้นมาในทันใด เธอแกล้งก้าวผิดจังหวะเหยียบปลายเท้าเขา ครั้งแรกก็อุทานอย่างตกใจ ครั้งที่สองก็แสร้งทำหน้าเศร้าพร้อมกล่าวคำขอโทษ

“ขอโทษนะคะ ดิฉันรู้สึกประหม่า คนมองเยอะเหลือเกิน” ในระหว่างที่ขอโทษก็เหยียบเท้าเขาอยู่บ่อยครั้ง

                “จ้ะ... ขึ้นมายืนบนเท้าผมก็ได้นะ คุณตัวเล็กนิดเดียว ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมแน่” ลาโคลอฟบอกและโต้กลับการกลั่นแกล้งของเธอเล็กๆน้อยๆ ด้วยการกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นจนร่างนุ่มแนบสนิทกับเขา

ปานชีวาช้อนตาขึ้นมองด้วยความไม่พอใจ วงหน้ารูปหัวใจรับกับตากลมเป็นประกาย จมูกโด่งรั้นปลายเล็กน้อยบ่งบอกนิสัยดื้อเงียบ ริมฝีปากได้รูปจิ้มลิ้มส่งผลให้เธอน่าทะนุถนอมหากแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นอยู่ในที ความขัดแย้งกับความอ่อนหวานที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวเช่นนี้ ที่ทำให้เขาลืมเธอได้สักที

                “ดิฉันหายใจไม่ออกค่ะ” ปานชีวาประท้วง

“อย่าขี้โกงสิ เมื่อกี้นี้ยังเล่นเกมแกล้งผมอยู่เลย พอเห็นลางแพ้แล้วจะชิ่งง่ายๆอย่างนี้เหรอ” ลาโคลอฟกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า จากที่ตั้งใจจะแกล้งเขาเอาคืนที่บังอาจฉวยโอกาสเมื่อตอนสายกลับเป็นฝ่ายจนมุมอยู่ในอ้อมแขนแน่นหนาของเขา แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาด้วยความสนใจ

“ปล่อยเถอะค่ะ คนอื่นกำลังมองด้วยสายตาแปลกๆ”

                “แปลกยังไงล่ะ?”

                คิ้วได้รูปขมวดมุ่น ละสายตาจากคนรอบข้างขึ้นมองคนที่กอดตัวเองแน่นจนเกินความจำเป็น! “ก็แปลกค่ะ ดิฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ถ้าท่านจะกรุณาหันไปมองสายตาของพวกเขาสักนิด คงจะทราบถึงความแปลกที่ดิฉันสัมผัสได้”

                “ไม่ล่ะ... ผมมองเฉพาะคนที่อยากมอง” ปฏิเสธทั้งที่ไม่ยอมละสายตาจากเธอ “แล้วไม่ต้องใช้คำพูดที่เป็นทางการกับผมนักได้ไหม บอกแล้วว่าอยู่กับผมให้ทำตัวสบายๆ”

                ปานชีวาไม่ตอบหากแต่ถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ได้ทำตามที่เธอร้องขอสักนิดยังกระชับกอดแน่นเพาเคลื่อนไหวไปตามเสียงเพลงราวกับอยู่ด้วยกันเพียงสองคน เมื่อเห็นว่ามีคนบางกลุ่มเริ่มซุบซิบปานชีวาก็ขอร้องเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “ปล่อยค่ะ คนมองกันใหญ่แล้ว”

                “วันหยุดที่จะถึงนี้ เราบินไปเที่ยวที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก3กันไหม ค้างสักคืนแล้ววันจันทร์ค่อยบินกลับมาตอนเช้า รับรองว่าไม่ทำให้คุณเสียการเรียน”

ไม่เพียงไม่ปล่อยแต่กลับถามไปอีกอย่าง ชวนเธอไปค้างอ้างแรมทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงชั่วโมงอย่างนั้นน่ะหรือ ขอโทษเถอะ ท่าทางเธอมันเหมือนผู้หญิงใจง่ายตรงไหน?

                “ไม่ไปค่ะ” ปานชีวาข่มอารมณ์ ตอบกลับสั้นๆ

                “งั้น... เที่ยวในแอลเมเรียนี่ก็ได้ หรือคุณมีที่เที่ยวในใจไหม ผมจะพาไป”

                “ไม่ไปไหนทั้งนั้นค่ะ เราไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมากพอที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน หรือพักค้างอ้างแรมได้ ดิฉันว่าท่านคงต้องหาเพื่อนเที่ยวคนใหม่” ปานชีวาอธิบายอย่างชัดเจน ตอนนี้อยากให้เขาคลายอ้อมแขนออกบ้างเพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นจุดสนใจของคนในงานมากขึ้น

                “ผมกำลังเริ่มทำความรู้จักมักคุ้นกับคุณอยู่ไง และถ้าคุณตั้งแง่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราจะมีวันเริ่มต้นกันได้ยังไง เบบี้คริสตัล”

                โอ... วันเริ่มต้นของเราอย่างนั้นหรือ?! ความกังวลใจที่เกิดจากสายตาของคนรอบข้างมลายหายไปทันตาเมื่อได้ยินคำพูดน่าฟังนั้น ใครนะบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้โหดร้าย เย็นชา แล้วทำไมเธอถึงสัมผัสได้แต่ความอบอุ่น น่าพึ่งพาอาศัย

                “อะ...เอ่อ คือ เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่คะ ท่านอย่าพูดในทำนองนี้อีกเลย”

                “แปลว่าเป็นอะไรกันแล้วพูดได้ใช่ไหม” ลาโคลอฟถามและต้องหัวเราะร่วนเมื่อเธอมองค้อนตาเขียวปัด ทว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของท่านรัฐมนตรีกลาโหมที่น้อยครั้งจะมีผู้คนได้เห็น แต่กับหญิงสาวร่างกะทัดรัดนี้เขากลับแสดงออกมาบ่อยจนหลายคนนึกอยากรู้ว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกัน

                เช่นเดียวกับตาทาเนีย ซียานอฟ ที่สังเกตได้ถึงความแปลกประหลาดของคู่หมายตนเอง หากแต่ไม่เชื่อว่าผู้หญิงที่ดูเรียบร้อย สงบเสงี่ยมจะถูกตาต้องใจลาโคลอฟ

                “นี่ถ้าไม่ได้ยินภรรยาของท่านแนะนำหลานสาวให้ลุครู้จัก ดิฉันคงคิดว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนแล้ว” ตาทาเนียเรียกผู้ชายเพียงคนเดียวที่เหมาะสมกับตนอย่างสนิทสนม น้อยคนนักที่จะมีสิทธิ์เรียกเขาเช่นนี้ และคนที่ให้สิทธิ์นี้กับเธอก็คือท่านประธานาธิบดีแอนทอน พาวินเชนโก นั่นเอง

                อีวานยิ้มแห้งๆเมื่อเห็นสายตาของคู่เต้นรำ มันเป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความริษยาระคนสับสน “หลานสาวของผมเป็นเด็กคุยสนุกครับ นี่ก็คงจะเล่าเรื่องตลกให้ท่านรัฐมนตรีได้หัวเราะเป็นแน่”

                “อายุยี่สิบหกปี สวยหวานอย่างนั้นคงไม่เรียกว่าเด็กแล้วมั้งคะ” ตาทาเนียแย้ง

                อีวานรู้ดีว่าตาทาเนียกำลังเกิดความอิจฉาจึงพูดกลบเกลื่อนให้เธอได้วางใจ “ผมติดความคิดแนวนี้มาจากภรรยาครับ ลูกหลานเราถ้าไม่แต่งงานมีครอบครัวก็ยังดูเด็กในสายตาเราทั้งนั้น อีกอย่างผมคิดว่าหลานสาวคงมีคนรักที่รออยู่เมืองไทยแล้ว”

                มันคงจะเป็นคำโกหกที่คลี่คลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจนี้ได้ รู้ว่ามันเป็นการกระทำที่เข้าท่าแต่เป็นที่รู้กันดีว่า ตาทาเนียจัดการกับผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันกับท่านรัฐมนตรีได้อย่างดี และตนก็ไม่ต้องการให้ปานชีวาต้องกลายไปเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ตาทาเนียต้องจัดการ!

                “ท่านพูดจริงเหรอคะ?” ตาทาเนียถามด้วยน้ำเสียงและแววตาดีใจ

                “ครับ จริงที่สุด” อีวานรีบตอบให้คู่เต้นรำได้วางใจ หากไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมา เสียงสปาร์กของสายไฟในสนามหญ้าก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงระเบิดของหม้อแปลงไฟฟ้าที่ดูเหมือนว่าจะใช้ไฟเกินอัตรา

                บึ้ม... บึ้ม...

                ความมืดมิดที่เกิดขึ้นจากสนามหญ้า คืบคลานเข้ามาในส่วนที่จัดรับรองแขก ทำให้คนเกือบร้อยชีวิตต่างตกอยู่ในความมืดมิด เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของผู้คนในงานเริ่มลดลงเรื่อยๆ เมื่อพ่อบ้านส่งเสียงให้แขกเหรื่อทั้งหลายทราบว่าหม้อแปลงไฟฟ้าภายในบ้านระเบิดและช่างกำลังแก้ไข

                เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลายคนจึงถอนหายใจอกมาอย่างโล่งอก ทว่าไม่ถึงนาทีจากนั้น เสียงกรีดร้องของหญิงคนหนึ่งที่ดังขึ้นก็ทำให้ผู้คนที่อยู่ในความมืดตกใจ ต่างพากันหาแหล่งกำเนิดของเสียง

                ตั้งแต่อยู่ในความมืดมิด ลาโคลอฟก็ยิ่งกระชับอ้อมกอดของตัวเองแน่นขึ้น ด้วยความที่ถูกฝึกมาไม่ให้ประมาทในทุกสถานการณ์ ปานชีวาจึงจมอยู่ในอกกว้างของเขาแม้ว่าผู้คนในงานกำลังเกิดความระส่ำระสายเพราะเสียงกรีดร้องที่ดูเหมือนว่าเธอกำลังได้รับความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา