ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 4 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปานชีวากะพริบตาถี่ๆปรับสายตามองปุยเมฆซึ่งให้ความรู้สึกนุ่มริมหน้าต่างบนเครื่องบินลำใหญ่ หลังจากหลับไปราวสี่ชั่วโมง แม้จะรู้สึกโล่งอกที่ต่อไปนี้จะไม่ได้เห็นสายตาเย้ยหยันและคำพูดประชดประชันจากแม่เลี้ยง แต่ก็อดใจหายไม่ได้ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปใช้ชีวิตในต่างแดน หญิงสาวตัดสินใจลาราชการเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

ตั้งแต่เรียนจบนิติศาสตร์บัณฑิตด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าศึกษาหลักสูตรเนติบัณทิตทันที ทั้งยังสามารถสอบได้คะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น ผลการเรียนอันยอดเยี่ยมสร้างความภูมิใจให้กับตนเอง ผู้เป็นพ่อและคุณย่าเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะทำให้แม่เลี้ยงเริ่มพูดจากระแทกแดนดันเธอมากขึ้นเช่นกัน

จากนั้นเธอจึงเข้าสอบเข้าทำงานเป็นนิติกรประจำศาลแห่งหนึ่ง เงินเดือนครึ่งหนึ่งนั้นมอบให้แม่เลี้ยงเป็นค่าน้ำค่าไฟฟ้าของเรือนหลังเล็กที่ตนอยู่อาศัย ที่เหลือก็เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวซึ่งนับว่าน้อยนิดนัก แต่ด้วยความมัธยัสถ์จึงเก็บหอมรอมริบเงินได้ส่วนหนึ่ง ประกอบกับเงินก้อนโตในบัญชีที่คุณย่ามอบให้หลังจากที่ท่านเสียชีวิต ท่านย้ำนักหนาว่าให้นำเงินก้อนนี้มาเป็นทุนการศึกษา เพราะการศึกษาจะเป็นความรู้ที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต ความจริงแล้วเธอคิดจะมอบเงินจำนวนนี้ให้ผู้เป็นพ่อ เพราะรู้ว่าพักหลังมานี้ท่านมักมีปากเสียงกับแม่เลี้ยงในเรื่องการเงินอยู่บ่อยครั้ง แต่ท่านก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ทั้งยังย้ำว่าให้เธอนำเงินก้อนนี้มาใช้ตามจุดประสงค์ของคุณย่า

เมื่อสามารถสอบชิงทุนศึกษาในระดับปริญญาโทได้สำเร็จ แอลเมเรียเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ ขึ้นชื่อเรื่องวิชากฎหมายที่เข้มข้นไม่แพ้ประเทศแม่แบบกฎหมายในยุโรป อีกเหตุผลหนึ่งคือคุณอาอารยา ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆของพ่อ ได้แต่งงานกับชาวแอลเมเรียและย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในแอลเมเรียเป็นการถาวร ซึ่งจะทำให้ปานชีวาประหยัดค่าที่พักไปได้มากโข

                “ขอโทษค่ะ คุณผู้หญิงจะรับอาหารเลยไหมคะ?” เสียงแอร์โฮสเตสสาวสวยดังขึ้น ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากห้วงความคิด

                “ค่ะ ขอกาแฟด้วยนะคะ” นิติกรสาวผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวบอกความต้องการของตน พลางรับเอาหนังสือพิมพ์รายวันพร้อมเอ่ยคำขอบคุณเมื่อได้ทุกสิ่งตามที่ขออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อาหารมื้อแรกบนเครื่องบินนั้น ปานชีวาทานได้ไม่มากนักเพราะมื้อเช้าจะแวะรับประทานข้าวต้มหรือโจ๊กหน้าปากซอยก่อนไปทำงานเสมอ อาหารเช้าตามแบบสากลจึงดูจะหนักหน่วงไปสำหรับความเคยชินของร่างกาย

                แอลเมเรียดินแดนในฝันของสาวๆหลายคนเพราะเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของเมืองเก่า อากาศอันหนาวเย็นเกือบทั้งปี ทิศตะวันออกมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศรัสเซีย ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับประเทศฟินแลนด์ ส่วนทิศตะวันตกของประเทศเป็นชายฝั่งทะเลบอลติก

                ปานชีวาฟังกัปตันรายงานสภาพอากาศระหว่างบินซึ่งแจ้งว่าจะใช้เวลาเดินทางจากนี้อีกหกชั่วโมงจะถึงสนามบินแอลเมเรีย นับว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าการเดินทางไปสเปนเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของดอนอีไลย์ มาเฟียเฒ่าแห่งอิตาลี สามีใหม่ของแม่

                เมื่อนึกถึงความเจ็บปวด อ้างว้างในวัยเยาว์ เด็กหญิงอายุแปดขวบที่ต้องรับรู้ว่าแม่ของตนนั้นหนีตามผู้ชายต่างชาติโดยทิ้งตัวเองไว้ให้อยู่กับพ่อ สองปีต่อมาคุณพ่อของเธอก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่และมีลูกสาวอีกคนทันที เธอจึงต้องไปอยู่บ้านหลังเล็กกับคุณย่าเพราะต้องสละห้องนอนให้น้องสาว แท้จริงแล้วแม่เลี้ยงมักพูดจาถากถาง คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเสมอ ทั้งยังถูกตราหน้าว่ามีแม่เป็นผู้หญิงไม่ดี ยังไงเสียก็ไม่มีทางเรียนจบ มีการมีงานดีๆทำเป็นแน่ โชคดีที่ยังมีคุณย่าคอยปลอบ ให้กำลังใจ แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ของเธอแล้ว คุณย่าจะเงียบ ปล่อยให้แม่เลี้ยงพูดจาถึงอย่างเสียๆหายๆ เพราะท่านยังโกรธในการกระทำของแม่อยู่เสมอมา

                มันจึงเป็นปมในใจอันเจ็บปวด ปานชีวาจึงตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งที่สุดเพื่อลบคำสบประมาทของแม่เลี้ยง แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีของตนกับแม่เลี้ยงก็เริ่มเลวร้ายขึ้นหลังจากที่คุณย่าเสียชีวิต สองปีที่ท่านจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ปานชีวาต้องรับมือกับแม่เลี้ยงทุกรูปแบบ จนบางครั้งรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร การเดินทางมาศึกษาต่อต่างประเทศเช่นนี้คงทำให้สถานการณ์ในบ้านดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดเธอก็หวังว่าผู้เป็นพ่อคงจะมีความสุขขึ้น

               

                สนามบินแอลเมเรีย

                ปานชีวาชะเง้อมองตรงประตูทางออกซึ่งมีคนยืนรออยู่มากมาย ดวงตากลมโตกวาดสายตามองหาผู้เป็นอา

                “ลูกปัด... ลูกปัด อาอยู่ทางนี้”

                ปานชีวาหันไปตามเสียงเรียกที่ดังขึ้นและได้พบว่าอารยายืนโบกมืออยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวจึงรีบบังคับรถเข็นที่บรรทุกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าไปหาทันที

                “สวัสดีค่ะอายา” ปานชีวายกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย งดงาม

                “จ้า... เป็นยังไงบ้างลูกปัด” อารยารับไหว้พลางเอื้อมมือไปจับมือของหลานสาว กวาดสายตามองเด็กสาวในวันก่อนที่โตเป็นสาวสะพรั่ง งดงาม ผิดจากรูปที่มีเก็บไว้ราวกับคนละคน “โตเป็นสาวแล้วหลานอา ตัวจริงสวยกว่าในรูปตั้งเยอะ”

                “แปลว่ารูปที่อายามีต้องน่าเกลียดมากๆแน่เลย” ปานชีวาถามพลางทำสีหน้าไม่ไว้ใจ เพราะไม่รู้ว่ารูปที่กล่าวถึง ตนเองจะอยู่ในท่าทางใด

“ก็รูปที่ลูกปัดร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่อยากมาอยู่กับอาที่แอลเมเรียไงล่ะ” อารยาตอบพลางหัวเราะร่วน ใช้มือแตะที่แผ่นหลังบอบบางของหลานสาวให้เดินตามชายร่างสูงคนหนึ่งซึ่งเข้ามาจูงรถเข็นไปขึ้นรถคันหรูที่จอดรออยู่ด้านหน้า

“ว้า... ส่งมาให้ตั้งหลายรูปทำไมดูแต่รูปน่าเกลียดล่ะคะ” ปานชีวาถามพลางนึกถึงวัยเด็กที่ใครๆก็มักจะมาขอเธอไปอุปการะ แต่เธอก็ยืนยันจะอยู่กับคุณพ่อ คุณย่า แม้ว่าจะมีแม่เลี้ยงใจร้ายอยู่ก็ตามที

                “เป็นยังไงบ้าง นั่งเครื่องบินมาตั้งหลายชั่วโมงเหนื่อยไหม?” อารยาเอ่ยถามหลานสาวคนสวยเมื่อทั้งคู่นั่งอยู่ในรถซึ่งกำลังเคลื่อนที่ออกจากสนามบินมาอยู่บนท้องถนนอันสะอาดตาของประเทศแอลเมเรีย

                “เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ แล้วอายาสบายดีนะคะ”

                “จ้ะ สบายดี” อารยาตอบพลางมองดูอากัปกิริยาของหลานสาวที่มองออกไปตามถนนหนทางอย่างชื่นชม “รถไม่ติดเหมือนกรุงเทพใช่ไหม”

                “ค่ะ... ผิดจากเมืองท่องเที่ยวที่น่าจะรถเยอะ คนแยะ ถนนก็สะอาดสะอ้าน บ้านเรือนที่อยู่ตามถนนหนทางก็เป็นระเบียบมากค่ะ” ปานชีวาเอ่ยตามความเป็นจริง

                “ที่นี่เวลาจะช้ากว่าเมืองไทยอยู่สี่ชั่วโมง ตอนนี้เมืองไทยน่าจะสามทุ่มแล้วมั้ง ที่นี่ก็เพิ่งจะห้าโมงเย็น อาว่าพักซักสามสี่วันก็น่าจะปรับเวลาได้” อารยาบอกหลานสาวพลางลูบเส้นผมยาวสลวยอย่างเอ็นดู ความจริงแล้วเธอเคยเอ่ยปากขอปานชีวาแต่พี่ชายของเธอยืนยันว่าจะเลี้ยงดูลูกสาวด้วยตัวเอง ทั้งเจ้าตัวยังร้องไห้โยเย ไม่ยอมให้แตะต้องตัวด้วยซ้ำ

                “อีวานสบายดีรึเปล่าคะ” ปานชีวาเอ่ยถามถึงอาเขย ที่ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดของแอลเมเรีย

ตอนแรกที่อารยาแนะนำให้ทุกคนในครอบครัวรู้จักสามี ทุกคนจะเรียกตามศักดิ์เป็นการแสดงความเคารพ แต่สามีของเธอนับญาติผิดๆถูกๆจนเป็นเรื่องตลกขบขัน สุดท้ายเลยต้องลงความเห็นให้เรียกเพียงชื่อตามความเคยชินของสามี

                “ไปราชการประเทศแถบยุโรป อีกสี่ห้าวันถึงจะกลับจ้ะ”

                ปานชีวาพยักหน้ารับ เมื่อมาถึงแอลเมเรียตั้งใจว่าจะลงมือทำน้ำพริกกะปิให้อาเขยรับประทาน

“ปัดพกกะปิมาหลายกระปุกเลยค่ะ ตั้งใจจะทำน้ำพริกกะปิสูตรคุณย่าให้ทาน” หญิงสาวมักแทนตัวเองสั้นๆกับคนในครอบครัว

                “โอ้โห... พูดถึงน้ำพริกกะปินี่น้ำลายสอทันที” อารยายังจำรสมือการทำอาหารของแม่ตนเองได้เป็นอย่างดี ท่านเปิดร้านขายข้าวแกงส่งเสียตนกับพี่ชายให้เล่าเรียน

                “งั้นเดี๋ยววันนี้ปัดทำให้อายาทานก่อนดีไหมคะ อีวานมาแล้วค่อยทำใหม่อีกที”

                อารยาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “พ่อครัวทำอาหารเย็นไว้รอแล้วจ้ะ อีกอย่างอาว่าลูกปัดต้องพักผ่อนเยอะๆ อีกสองวันต้องไปรายงานตัวแล้วไม่ใช่เหรอ”

                “ค่ะ มะรืนไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นปัดคงทราบว่าต้องเริ่มเรียนเมื่อไหร่ แต่ถ้าคุณอาอยากทานอาหารไทย บอกได้เลยนะคะ ปัดไม่เหนื่อย” ปานชีวาอาสาด้วยท่าทางกระตือรือร้น

                “อยากทานมากจ้ะ แต่ยังไงก็ไม่อนุญาตให้ทำอยู่ดี” อารยาบอกพลางลอบถอนหายใจ อดสงสารหลานสาวไม่ได้ ครั้งล่าสุดที่คุณแม่เสียชีวิตเมื่อสองปีที่แล้ว หญิงสาวรูปร่างบอบบางคนนี้ก็เป็นแม่งานในการจัดหาข้าวปลาอาหารต้อนรับแขกเหรื่อ ไม่ว่าเรื่องน้อยใหญ่ก็เรียกหาปานชีวาทั้งสิ้นจนตนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเตือนสติพี่สะใภ้จนปั้นหน้าไม่ถูก “มาทำความเข้าใจกันหน่อยนะลูกปัด อยู่ที่บ้านอาต้องปฏิบัติตามกฎ”

                ปานชีวาขยับตัวตั้งใจฟังเมื่อได้ยินน้ำเสียงจริงจัง

                “ข้อแรกห้ามคิดว่าตัวเองเป็นผู้อาศัยเด็ดขาด ให้คิดว่าเป็นบ้านของตัวเอง ข้อสองที่บ้านอามีแม่บ้าน พ่อครัวอยู่แล้วห้ามลูกปัดไปแย่งหน้าที่พวกเขาเด็ดขาด ให้คิดเสมอว่าถ้าจะทำงานพวกนี้ด้วยตัวเอง พวกเขาคงต้องตกงาน”

                ปานชีวาทำหน้ามุ่ย มองผู้เป็นอาที่ดักทางไว้ตั้งแต่แรก

                “ข้อสุดท้าย... ห้ามทำท่าเจียมเนื้อเจียมตัวเหมือนตอนอยู่เมืองไทยเด็ดขาด อาอยากเห็นลูกปัดทำตัวสบายๆ เป็นธรรมชาติ กิน เล่น เที่ยวตามใจคิด ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ที่กล้าพูดอย่างนี้เพราะอารู้ว่าลูกปัดไม่คิดทำอะไรที่เสียหายแน่นอน” อารยาบอกหลานสาวอย่างมั่นใจ “รับปากอาสิ”

                “รับปากค่ะ แต่ปัดไม่ได้เป็นเด็กดีขนาดนั้น” ปานชีวาแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตคุณย่าก็สอนว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวควายให้ลูกท่านเล่น งานบ้าน การเข้าครัวทำอาหารจึงเป็นสิ่งที่ปานชีวาคิดไว้แต่แรกว่าสมควรต้องกระทำ

                “ถ้าจะเกเร ลูกปัดคงทำไปนานแล้ว” อารยาบอกพลางยิ้มให้หลานสาวอย่างเอ็นดู น้อยคนนักที่จะยึดถือเอาการเรียนเป็นที่พึ่ง ทุกครั้งที่ติดต่อกลับเมืองไทยก็จะได้ยินคุณแม่เอ่ยชื่นชมถึงผลการเรียนอันยอดเยี่ยมของปานชีวาเสมอ “รับปากอาแล้วต้องทำให้ได้ด้วยนะ”

                “ค่ะ” ปานชีวารับคำพร้อมก้มกราบลงช่วงอกด้วยความซาบซึ้ง

                ราวยี่สิบนาทีรถคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าในรั้วสูงสีดำสลับน้ำตาล ซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนยืนอยู่ตรงประตู ปานชีวาก้าวลงจากรถที่จอดสนิทหน้าบันไดหน้าตึกสูงสองชั้นสีน้ำตาล เป็นอาคารทรงนีโอคลาสสิกผสม เพราะหลังคาเป็นยอดโดมน้อยใหญ่ตามแบบมัสโควี ซึ่งส่วนใหญ่บ้านเรือนของชาวแอลเมเรียจะเป็นเช่นนี้

                อารยาแนะนำคนในบ้านที่ยืนต้อนรับให้รู้จักกับหลานสาวของตน ปานชีวายิ้มและสัมผัสมือทักทายกับทุกคนอย่างเป็นมิตร

                “รุสซา ให้คนยกกระเป๋าขึ้นไปในห้องที่เตรียมไว้ แล้วตั้งโต๊ะอาหารได้เลย” อารยาสั่งพ่อบ้านก่อนที่จะพาหลานสาวเดินเข้าไปด้านใน “ลูกปัดอย่าลืมโทรหาพ่อนะ เดี๋ยวอาจะขึ้นไปดูความเรียบร้อยอีกสักหน่อย”

                ปานชีวามองผู้เป็นอาที่เดิมตามแม่บ้านซึ่งกำลังยกกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นไปชั้นบน เป็นครั้งแรกที่มีคนอำนวยความสะดวกในเรื่องส่วนตัว ที่ผ่านมาเธอมักจะเป็นคนยกกระเป๋าเดินทางของแม่เลี้ยงและน้องสาวตลอด หญิงสาวส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเองแล้วกดโทรศัพท์ถึงบิดาทันที

                เมื่อส่งข่าวให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้ว่าตนนั้นเดินทางมาถึงบ้านของอารยาอย่างปลอดภัย ทั้งยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ท่านก็ดูเหมือนจะโล่งอกทั้งน้ำเสียงที่ไถ่ถามยังดูสบายใจ ไม่ห่วงกังวลเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกัน ปานชีวาจึงย้ำให้ท่านรักษาสุขภาพและสัญญาว่าจะโทรกลับมาหาท่านบ่อยๆ ก่อนที่จะวางสาย เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านร่างท้วมเข้ามาเชิญไปยังห้องอาหาร

 

                เวลาราวชั่วโมงครึ่งที่รับประทานอาหาร อารยากล่าวถึงวิถีชีวิตของชาวแอลเมเรียคร่าวๆ นอกจากผู้คนส่วนใหญ่จะหน้าตาบึ้งตึง พูดจาด้วยน้ำเสียงห้วนๆราวกับโกรธกันมาสักร้อยชาติ แต่ปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวจะสวนทางกันโดยสิ้นเชิง ปานชีวาฟังด้วยความเพลิดเพลิน และเห็นว่าวิถีชีวิตของชาวแอลเมเรียนั้นแทบจะไม่แตกต่างกับชาวรัสเซีย ฤดูหนาวที่ยาวนานและโหดร้าย นิยมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่สิ่งที่แอลเมเรียเหนือกว่านั้นคือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะกฎหมายตลอดถึงบทลงโทษนั้นรุนแรงเหลือเกิน

                นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นักกฎหมายจากหลายประเทศเลือกเข้ามาศึกษาวิชากฎหมายในประเทศนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แน่นอนว่าเคยปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์มาก่อน แต่กลับไม่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ทั้งยังสามารถเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยได้ก่อนที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเสียอีก

                จากนั้นสองอาหลานก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกันก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ปานชีวามองห้องส่วนตัวของตนเองแล้วต้องอมยิ้ม ห้องกว้างที่ตกแต่งในโทนสีครีมตัดกับสีน้ำตาลดำ ทำให้ห้องดูอบอุ่น เตียงไม้มีเสาสี่ด้านพันผ้าลูกไม้สีขาวสะอาดตาปล่อยชายลงมาระพื้น บนโต๊ะเครื่องแป้งมีของใช้ส่วนตัวของเธอวางอย่างเป็นระเบียบ แน่นนอนว่าของทั้งหมดในกระเป๋าถูกจัดเรียงไว้เรียบร้อย ปานชีวาจึงเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายแม้จะได้คำแนะนำว่า ชาวแอลเมเรียไม่นิยมอาบน้ำเช้าเย็นด้วยสภาพอากาศที่หนาวจัด แต่สาวอนามัยจัดก็นึกกระดากใจที่จะเข้านอนโดยไม่อาบน้ำ อีกทั้งในห้องยังเปิดฮีตเตอร์ปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะกับสภาพร่างกายแล้ว การอาบน้ำชำระร่างกายจึงเป็นสิ่งที่เธอทำตามปรกติ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา