ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งเช้าอาคมขับรถยนต์ยุโรปคันใหญ่มาส่งลูกสาวด้วยตัวเอง แม้ว่าจะมีเสียงแว่วประชดประชันของภรรยาตามมาให้ได้ยิน แต่ก็ไม่สามารถทำลายความตั้งใจของอาคมได้ เมื่อถึงสนามบิน อาคมก็จัดการยกกระเป๋าใส่รถเข็นแล้วเดินนำหน้าลูกสาวเข้าไปในตัวอาคารทันที

“คุณพ่อกลับเลยก็ได้นะคะ” ปานชีวาบอก หากแต่คนเป็นพ่อกลับหันมาตอบด้วยคำพูดที่ทำให้เธอเงียบกริบ ไม่คิดคิกหาข้อโต้แย้ง

“ให้พ่อได้ทำอะไรเพื่อลูกปัดบ้างเถอะนะ”

ปานชีวายิ้มออกมาด้วยความเบิกบานใจ เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นแล้วสอดมือเข้าไปคล้องแขนท่านอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน วางศีรษะลงบนต้นแขนของท่านอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งเยาว์วัย

การกระทำเช่นนั้นทำให้อาคมสะท้อนใจ รู้ว่าที่ผ่านมานั้นตัวเองก็ไม่ต่างจากคนขี้ขลาด ลูกสาวคนนี้ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายสักเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนคนน้ำท่วมปาก เกรงใจภรรยาที่มีฐานะดีกว่าตน “พ่อขอโทษ...”

น้ำเสียงสั่นที่ปลายประโยคเบาหวิวจนแทบจะหายลงไปในลำคอ ทำให้ปานชีวากอดแขนท่านแน่นขึ้น ส่ายหน้าคลอเคลียไม่ยอมรับคำขอโทษ “ไม่มีอะไรให้ขอโทษนี่คะ หนูดีใจที่ได้อยู่กับพ่อ”

อาคมยิ้มรับพลางบังคับรถเข็นให้หยุด เมื่อเดินมาถึงจุดส่งผู้โดยสารขาออกนอกประเทศ “รู้ใช่ไหมว่าทำไมพ่อถึงอยากให้ลูกปัดไปอยู่ที่แอลเมเรีย”

“ค่ะ” ปานชีวารับคำ

“ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะลูกปัด ความจริงพ่อน่าจะให้หนูไปอยู่กับอายาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว” อาคมกล่าวถึงอารยา น้องสาวแท้ๆของตนที่แต่งงานกับชาวแอลเมเรีย และเคยออกปากขอปานชีวาไปอุปการะเพราะไม่มีทายาท แต่ครั้งนั้นตนดึงดันที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง “ดูแลตัวเองให้ดีนะลูกปัด ไปถึงแล้วอย่าลืมโทรกลับมาหาพ่อด้วย”

“ค่ะ หนูจะโทรหาพ่อบ่อยๆนะคะ” ปานชีวาบอกพลางโผเข้าสู่อ้อมกอดของท่าน อ้อมกอดอันอบอุ่นที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมแต่กลับน้อยครั้งนักที่จะได้รับสัมผัสอบอุ่นนี้

อาคมลูบศีรษะลูกสาวพลางหลับตาลงอย่างตัดใจ สักพักจึงดันร่างบอบบางออกแล้วพินิจใบหน้าของลูกสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ไปเถอะ ได้เวลาแล้ว”

“รักษาสุขภาพนะคะ หนูรักพ่อที่สุด” ปานชีวาบอกพลางยิ้มทั้งน้ำตาที่มันไหลออกมาโดยไม่สามารถห้ามได้เลย

อาคมพยักหน้ารับพลางมองร่างของลูกสาวที่เดินห่างออกไป เฝ้ามองจนตรวจเช็คเอกสารต่างๆเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มและโบกมืออำลาเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อร่างของลูกสาวลับตาจึงเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางไว้เป็นระยะๆ คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต การเริ่มชีวิตคู่ใหม่กับจรรยาดูราบรื่น มองเห็นอนาคตอันสดใสด้วยฐานะลูกสาวคหบดีเก่าที่มีที่ดินเป็นมรดกตกทอด ความเกรงใจที่มีทำให้ละเลยลูกสาวผู้น่ารัก หลายครั้งที่เกิดความลำเอียงขึ้นตนก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้จรรยาจัดการเรื่องภายในบ้านตามอำเภอใจ

ลูกสาวคนแรกจึงเป็นเหมือนผู้เสียสละตลอดมา แตกต่างกับลูกสาวอีกคนเป็นเหมือนเจ้าหญิงที่ถูกตามใจจนเคยตัว ผลก็ปรากฏให้เห็นชัดแล้วว่า โศรยา ไม่ได้มีความสามารถเทียบกับพี่สาวได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรียน เรื่องเล็กน้อยรอบตัวที่ไม่สามารถจัดการด้วยตนเองได้มีแม่คอยให้ท้ายและเกลี่ยทางให้เดินเสมอ ในขณะที่ปานชีวาต้องทำทุกอย่างตามบัญชาของแม่เลี้ยง มีความอดทนเป็นเลิศ มุมานะตั้งใจเล่าเรียนและไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำตัวให้เสื่อมเสีย สร้างความหนักใจจนตนรู้สึกละอายใจที่ปล่อยปะละเลยลูกสาวให้โตขึ้นมาอย่างพลเมืองชั้นสองของบ้าน

อาคมหลับตาพลางถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินทางกลับบ้าน อดคิดประชดตัวเองไม่ได้ว่า พ่อที่ไม่เอาไหนอย่างตนก็สมควรแล้วที่ต้องมีชีวิตผูกติดอยู่กับความเรื่องมาก เจ้ายศเจ้าอย่างของภรรยาที่เลือกได้ด้วยเอง

 

เวลาเช้าตรู่ซึ่งการจราจรยังบางตานัก ทำให้อาคมเดินทางจากสนามบินกลับมาถึงบ้านในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ความเสียใจในการกระทำของตัวเองทำให้ต้องนั่งหลับตานิ่งบนโซฟาตัวใหญ่ โดยที่ไม่รู้ว่าบัดนี้มีสายตาของภรรยากำลังจ้องมองอย่างไม่พอใจ

จรรยามองภาพของสามีที่ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาแล้วเอามือก่ายหน้าผากอย่างคนคิดหนัก “ทำไมคะ คิดถึงลูกสาวคนโปรดมากขนาดต้องมานั่งทำท่าหมดอาลัยอย่างนี้เชียว”

เธอได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาสักพักใหญ่แต่กลับไม่เห็นร่างของสามีเข้าไปในห้องนอนเสียที ทั้งที่ความจริงแล้วเหลือเวลาอีกชั่วโมงเศษกว่าฟ้าจะสาง เขาควรกลับขึ้นไปพักผ่อนไม่ใช่มานั่งทำท่าอยากลาโลกเช่นนี้

“อย่าชวนทะเลาะได้ไหม” อาคมด้วยน้ำเสียงระอาใจทั้งที่หลับตาเช่นเดิม

“ใครกันแน่ชวนทะเลาะ เดี๋ยวนี้ฉันพูดอะไรคุณเคยฟังบ้างไหม อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว อดหลับอดนอนฝืนขับรถไปส่งยัยลูกปัดทำไม ให้คนขับรถไปส่งก็ได้” จรรยาเดินลงบันไดมาหยุดตรงหน้าสามี “รู้ทั้งรู้ว่าถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอ ความดันจะสูง”

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก” อาคมบอกพลางเลื่อนมือที่ก่ายหน้าผากมาคลึงขมับ ชันตัวลุกขึ้นเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับภรรยา “ลูกปัดจะจากบ้านจากเมืองไปเป็นปี ผมเป็นพ่อจะไม่ไปส่งลูกด้วยตัวเอง มันก็เกินไปหน่อย”

“หึ! ค่า... คุณพ่อดีเด่นแห่งปี หวังว่าคงไม่คิดจะส่งเสียลูกสาวที่เรียนจบ มีงานทำ แถมฮุบเอามรดกของคุณแม่ไปครองคนเดียวหรอกนะ” จรรยาอดที่จะกระแทกแดกดันไม่ได้เพราะยังเสียดายทรัพย์สมบัติของแม่สามีที่ยกสร้อยแหวนเงินทองให้ปานชีวาเพียงคนเดียว

อาคมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากที่แม่ของตนล่วงลับแต่ภรรยาก็ยังพูดถึงเรื่องทรัพย์สมบัติไม่หยุดหย่อน ทั้งที่ความจริงแล้วท่านก็โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้เป็นของโศรยา “ขอร้องล่ะ ไม่ว่าคุณจะพอใจหรือไม่พอใจในการตัดสินใจของท่าน แต่ท่านก็จากเราไปแล้ว อย่าเอาท่านมาพูดถึงแบบนี้อีก ผมไม่ชอบ!”

จรรยาคอแข็ง รู้ตัวว่าตนเองผิดที่ไปเอ่ยถึงแม่สามีในทำนองนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าท่านลำเอียง รักหลานไม่เท่ากันและเป็นครั้งแรกที่สามีขึ้นเสียงกับตนเช่นนี้ “อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ เห็นไหมว่าลูกสาวคุณเห็นแก่ตัวแค่ไหน หอบเอาสมบัติไปถลุงใช้ที่ต่างประเทศคนเดียว รู้ทั้งรู้ว่าที่บ้านกำลังขัดสน...”

“หยุดพูดสักทีได้ไหม” อาคมโต้กลับโดยไม่รอฟังภรรยาพูดจนจบ “คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจว่าลูกปัดเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด ลูกแก้วได้ที่ดินผืนนี้ผมคิดว่ามูลค่ามันมากกว่าที่ลูกปัดได้ทรัพย์สินของคุณแม่ด้วยซ้ำ”

แน่ล่ะว่าแก้วแหวนของมีค่าเมื่อตีราคาแล้วมันคงไม่เท่าราคาที่ดินผืนนี้ แต่นั่นมันไม่ได้รวมถึงเงินสดในบัญชี “โกหก! เงินสดในบัญชีคุณแม่มีเกือบสองล้าน ลูกปัดได้ไปคนเดียว”

“คุณรู้ได้ยังไง” อาคมถามอย่างประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าภรรยาจะล่วงรู้ความลับนี้

“ฉันไม่ได้โง่อย่างที่คุณคิด ที่เห็นว่าฉันเงียบไม่ตีโพยตีพายเพราะสงสารลูกแก้ว คุณลองคิดดูซิว่าถ้าลูกแก้วรู้ว่าตัวเองซึ่งเป็นน้อง แต่กลับได้สมบัติน้อยกว่าคนเป็นพี่ ลูกแก้วจะเสียใจแค่ไหน” จรรยาถามด้วยสายตาเจ็บปวด

อาคมส่ายหน้า ไม่ตอบคำถามใดๆ ตั้งใจจะเดินหนีหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตึงเครียดแต่ภรรยากลับไม่ยอม ก้าวมาดักหน้าไว้อย่างไม่ยอม

“อย่ามาเดินหนีฉันไปดื้อๆอย่างนี้นะ ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง อย่างน้อยคุณก็ต้องให้ยัยลูกปัดโอนเงินกลับมาคืนครึ่งหนึ่ง รู้ไหมว่าตอนนี้ครอบครัวกำลังแย่” จรรยาหนักใจกับสถานภาพทางการเงินของครอบครัวมาหลายเดือน ตัวเลขในบัญชีที่ลดลงเรื่อยๆสวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ เงินในบัญชีก้อนใหญ่ที่อยู่ในครอบครองของปานชีวาเท่านั้นที่จรรยาเห็นว่าจะต่อลมหายใจไปได้สักพัก

“เหลวไหล เงินนั่นเป็นของลูกปัด”

“แต่มันก็ควรเป็นของลูกแก้วครึ่งหนึ่งเหมือนกัน ทำไมคุณถึงเห็นแก่ตัว ส่งลูกตัวเองไปอยู่อย่างสุขสบายแล้วทิ้งให้พวกเราต้องมาอยู่อย่างอดๆอยากๆแบบนี้” จรรยาขึ้นเสียง ยังไงเสียลูกสาวของเธอก็ควรจะมีส่วนในเงินก้อนนั้น

“อดๆอยากๆ” อาคมทวนคำถามพลางชักสีหน้าที่ทำให้คนเป็นภรรยาเดือดดาลมากกว่าเดิม “ถามหน่อยเถอะว่ารายจ่ายในบ้านหลังนี้มันมากมายมหาศาล จนเงินเดือนผู้พิพากษาอย่างผมไม่พอเลยหรือไง?”

“อย่ามาใช้คำถามเหมือนฉันเอาเงินเดือนของคุณไปถลุงเล่นนะ เงินเดือนแม่บ้าน เงินเดือนคนขับรถ ค่างวดผ่อนรถยุโรปคันใหญ่ให้คุณขับไปเชิดหน้าชูตาในสังคม ค่าใช้จ่ายภายในบ้านอีกเป็นกอง รู้ไหมว่าที่ผ่านมาฉันเหนื่อยกับภาระทั้งหมดนี้แค่ไหน คุณเคยสนใจถามฉันบ้างรึเปล่าว่าเงินที่ให้มาทุกเดือนมันพอไหม ถ้าเงินเก็บส่วนตัวฉันยังเหลือทุกคนในบ้านก็ไม่เดือดร้อนอย่างนี้หรอก” จรรยาบอกอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ

อาคมหลับตาแน่นอย่างคนกำลังระงับอารมณ์ ปัญหาการเงินที่รุมเร้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ทุกอย่างดูตึงเครียดไปหมด “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องรัดเข็มขัด ใช้จ่ายอย่างประหยัด อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดทิ้ง”

จรรยาหัวเราะพรืดออกมาราวกับไม่เชื่อหู “อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันทำงานบ้าน ซักผ้ารีดผ้าเอง?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แม่บ้านก็จ้างไว้ ส่วนคนขับรถก็ให้เงินเขาไปสักก้อน ยังไงเสียผมก็ขับรถไปทำงานเองอยู่แล้ว เราอาจต้องขายรถยนต์ออกแล้วหารถญี่ปุ่นมาใช้สักคัน”

“คุณไม่เดือดร้อน และฉันอาจจะอดทนได้แต่ไม่สงสารลูกแก้วบ้างเหรอ ลูกจะมีชีวิตแร้นแค้นอย่างนั้นได้ยังไง”

อาคมถอนหายใจพลางเอื้อมมือไปประคองหัวไหล่ทั้งสองข้างของภรรยา “คนที่เขาแร้นแค้นจริงๆ น่าสงสารกว่าเราเยอะ ความเป็นอยู่ของเราทุกวันนี้จัดอยู่ในขั้นที่ดีจนเกือบจะฟุ่มเฟือยเสียด้วยซ้ำ”

“แต่ฉันไม่ยอม! ลูกแก้วเคยขับรถสปอร์ตไปเรียนแล้วจู่ๆจะให้เปลี่ยนมาเป็นรถคันเล็กๆได้ยังไง ทำไมคุณถึงได้ลำเอียง รักลูกไม่เท่ากันอย่างนี้” จรรยาสะบัดตัวหนีจากการเกาะกุมของสามี

“ลูกปัดขึ้นรถเมล์ไปเรียนตลอด ไม่เคยเรียกร้องในสิ่งฟุ่มเฟือยจากผมเลยสักครั้ง ที่ลูกปัดไปเรียนต่างประเทศก็เพราะความสามารถของแก ส่วนเงินในบัญชีนั่นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวเพราะมันเป็น...” อาคมชะงัก เกือบหลุดปากออกไปด้วยความโมโห

“เป็นอะไร พูดมาให้จบสิ อย่ามาทำอ้ำอึ้ง มีความลับกับฉันนะ” จรรยาขยุ้มเข้าที่แขนเสื้อของสามี เมื่อเห็นว่าจะหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถาม

“ก็บอกว่าไม่มีอะไร เงินก้อนนั้นคือสมบัติส่วนตัวของลูกปัด”

จบคำพูดของสามี จรรยาก็จ้องหน้านิ่ง สมองประมวลคำพูดแล้วนำมาประติดประต่อกันได้อย่างรวดเร็ว “อ่อ... จะบอกฉันว่าเงินก้อนนั้นเป็นเงินที่เมียเก่าคุณส่งมาให้อย่างนั้นเหรอ?!”

“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้าคะ เสียงดังขึ้นไปถึงข้างบน” โศรยาอยู่ในชุดนักศึกษายืนอยู่หน้าบันได ทำให้พ่อและแม่หันไปมองลูกสาวที่ปั้นหน้าบึ้ง “ครอบครัวเรายากจนถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณแม่?”

“ลูกแก้ว...” จรรยาถามด้วยน้ำเสียงเบาโหวงเพราะไม่คิดว่าลูกสาวจะได้ยิน ไม่เคยต้องการให้มารับรู้เรื่องสถานะการเงินอันขัดสนของครอบครัว

“แล้วทำไมคุณย่าถึงลำเอียง ลูกปัดก็นิสัยแย่ หอบเงินไปใช้คนเดียว” โศรยาต่อว่าอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะมีอายุห่างกับพี่สาวถึงเจ็ดปีแต่ก็ไม่เคยเรียกว่าปานชีวาว่าพี่ แม้ว่าอาคมจะพร่ำสอนเมื่อมีจรรยาคอยให้ท้าย โศรยาเลยไม่เคยเกรงกลัว

“อย่ามาก้าวร้าวถึงคุณย่านะลูกแก้ว” อาคมดุ ทั้งน้ำเสียงและแววตาจนจรรยาร้อนตัว ทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาตำหนิลูกสาว

“นั่นมันคือเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นก็ต้องบอกให้ลูกสาวคุณโอนเงินกลับมาคืนครึ่งหนึ่ง” จรรยายืนยันคำเดิม

“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นเงินแม่ของลูกปัดที่โอนมาให้ทุกเดือน มันไม่ใช่เงินเก็บของคุณแม่ผม เพราะฉะนั้นเราทุกคนไม่มีสิทธิ์ในเงินก้อนนั้น เข้าใจรึยัง” อาคมบอกออกมาในที่สุด ก่อนจะแกะมือของภรรยาออกแล้วเดินไปยังบันไดอย่างคนอารมณ์เสีย แต่เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กยืนทำหน้าไม่พอใจก็อดที่จะสั่งสอนไม่ได้ “เราเหมือนกันนะลูกแก้ว โตจนเรียนมหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เด็กๆ น่าจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร หัดเตือนแม่ด้วยก็ดี ตัวอย่างดีๆมีให้เห็นแล้วต้องปฏิบัติตาม อันไหนไม่ดีก็ลดๆลงเสียบ้าง อย่าเอาแต่ใจตัวเองนักเลย”

พูดจบอาคมก็เดินขึ้นชั้นบนอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจกับเสียงกรีดร้องของภรรยาที่ดังไล่หลังด้วยความโกรธ

“อย่าเดินหนีฉันอย่างนี้นะ พูดมาให้ชัดๆใครดีใครเลว อย่าบังอาจเอาฉันไปเปรียบเทียบกับนังเมียเก่าของคุณนะ”

โศรยาเดินน้ำตาคลอมาหาแม่ ไม่ชอบใจที่ได้ยินเรื่องกระทบใจตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอเป็นกังวลมากที่สุดคงเป็นเรื่องฐานะที่เปลี่ยนไป “คุณแม่คะ... บ้านเราจนแล้วเหรอคะ?”

จรรยาเงียบเสียงเมื่อได้ยินคำถามของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจึงรีบตอบพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ “มะ...ไม่ใช่สักหน่อย แม่ก็พูดไปอย่างนั้น เอ่อ! แม่กลัวว่าคุณพ่อจะแอบส่งเงินให้ยัยลูกปัด”

“จริงๆนะคะ อย่าโกหกลูกแก้วนะ ถ้าลูกแก้วขับรถคันเล็กๆไปเรียน เพื่อนๆในกลุ่มต้องหัวเราะเยาะแน่” โศรยาบอกพลางทำสีหน้าขยาด เพื่อนๆในกลุ่มมีแต่ทายาทเศรษฐี ขับสปอร์ตคาร์สุดหรูไปเรียนทั้งนั้น

จรรยาถอนหายใจพลางกางแขนรับร่างของลูกสาวเข้ามากอด ปลอบประโลม “ทูนหัวของแม่ ครอบครัวเราไม่ได้ลำบากอย่างนั้นสักหน่อย ลูกแก้วมีหน้าที่เรียนต้องเรียนให้เก่ง เรียนให้ได้ดีกว่ายัยลูกปัด ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ลูกแม่ต้องมีทุกอย่างไม่น้อยกว่าเดิม เชื่อแม่นะ”

โศรยาพยักหน้าเร็วๆ พลางดันศีรษะออกจากอก ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ไหนคุณแม่เคยบอกว่าแม่ของลูกปัดจน ต้องทิ้งลูกปัดไว้กับคุณพ่อไปมีสามีใหม่ไงคะ?”

“สามีใหม่ก็คงจะรวยล่ะมั้ง” จรรยาตอบไม่เต็มเสียงนัก ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าบุษบามีสามีเป็นถึงมาเฟียแห่งอิตาลี

“แล้วทำไมเขาไม่มารับเอาลูกปัดไปเลี้ยงล่ะคะ ทำไมต้องทำให้กลายมาเป็นภาระของครอบครัวเรา” โศรยาที่ถูกแม่กรอกหูมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยคิดว่าพี่สาวร่วมบิดาเป็นคนในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย

“ก็เพราะคุณพ่อทิฐิสูง อยากอวดว่าตัวเองก็เลี้ยงดูลูกสาวได้ เขามาขอไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ยอม”

“แล้วทำไมถึงต้องปิดเรื่องเงินที่แม่ของลูกปัดส่งมาให้ด้วย มีเงินเยอะๆน่าจะดีใจ” โศรยาถาม

“ก็เพราะยัยลูกปัดถูกป้อนข้อมูลให้เกลียดแม่ของตัวเองมาตลอด แต่ความจริงก็คงไม่เกลียดหรอก แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทิ้งลูกไว้อย่างนี้ ลูกปัดเลยต่อต้าน ไม่ยอมพบหน้าแม่ ไม่ยอมรับเงินและการดูแลทุกอย่าง” จรรยายังจำความเด็ดเดี่ยวของปานชีวาได้เป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่บุษบากลับมาแล้วตั้งใจจะรับลูกสาวไปอยู่อิตาลี เด็กหัวรั้นคนนั้นไม่ยอมออกมาพบหน้าแม่ แม้จะร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดก็ขังตัวเองอยู่ในห้องและแง้มประตูแอบดูเท่านั้น!

“แปลกคน ทำไมถึงได้ไม่ชอบความสบาย” โศรยาเปรยขึ้นมาพลางนึกถึงเมื่อครั้นที่มีผู้หญิงวัยกลางคน แต่งตัวภูมิฐาน ขับรถคันใหญ่มารับปานชีวาเมื่อราวสองปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเธอคิดว่าพี่สาวต่างมารดาจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศเป็นการถาวรเสียอีก แต่ราวสิบวันต่อมาก็เห็นกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

แต่มันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ชอบความลำบากอย่างปานชีวา ขนาดทำงานมีเงินเดือน ยังนั่งรถเมล์ไปทำงาน โศรยาพลางส่ายหน้าไม่เข้าใจความคิดประหลาดของปานชีวาเท่าใดนัก

“หึ! คุณย่ากับพ่อของลูกแก้วนี่แผนสูงจริงๆ ปิดบังเรื่องนี้แม่มาเสียนาน มิน่าล่ะ พักหลังมานี้คุณย่าถึงได้ไม่สนใจคำพูดของแม่เวลาที่แม่เอ่ยถึงบุษบา ที่แท้ก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับเงินก้อนนี้นี่เอง” จรรยาคิดอย่างเจ็บใจ “แม่ไม่น่าปากหนัก น่าจะถามถึงเงินก้อนนี้ตั้งแต่ลูกปัดยังไม่เดินทาง”

“แม่คิดว่าถ้าลูกปัดรู้จะไม่ยอมรับเงินก้อนนั้นเหรอคะ”

“ใช่จ้ะ บางทีอาจจะเลิกล้มโครงการไปเรียนที่แอลเมเรียก็เป็นได้”

“ไม่น่าใช่นะคะ ก็ลูกปัดสอบชิงทุนไปเรียน” โศรยาแย้ง

“เด็กหนอเด็ก ถึงแม้ว่าสอบชิงทุนไปเรียน แต่ถ้าไม่มีทุนรอนของตัวเองก็อยู่ต่างประเทศลำบากนะลูก ไม่อย่างนั้นนักเรียนนอกทั้งหลายจะนิยมทำงานพาร์ทไทม์เหรอ” จรรยาตอบพลางลูกศีรษะลูกสาวช้าๆ

โศรยาทำท่าคิดก่อนจะแสดงความคิดเห็นออกมา “ไม่แน่หรอกค่ะ ลูกปัดไปพักอยู่กับอายาที่แอลเมเรียนี่คะ อายาเขารักลูกปัดออกจะตาย คงไม่ปล่อยให้หลานรักลำบากหรอกค่ะ”

น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของลูกสาวทำให้จรรยาอดสงสารไม่ได้ “อย่าไปสนใจ ในโลกนี้มีแม่รักลูกแก้วคนเดียวพอแล้ว”

“ค่ะ... ลูกแก้วก็รักคุณแม่ที่สุด” โศรยากอดเอวมารดาแน่น

“จำไว้นะลูกแก้ว ต้องตั้งใจเรียน เรียนให้ได้คะแนนสูงๆ เอาให้เก่งให้ดีกว่าลูกปัด ถึงวันที่ลูกแก้วทำสำเร็จ วันนั้นแม่จะภูมิใจ ใครๆก็จะหันมาชื่นชมลูกสาวของแม่” จรรยาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับลูกสาวเพียงคนเดียว พลางคิดในใจว่า ให้มันรู้กันไปว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาใจใส่ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่เคยได้ขาดตกบกพร่องในสิ่งใดจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่เท่าลูกกาฝากที่เธอแสนเกลียด!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา