KAMAITACHI ♥ คาไมทาจิ ความรักของภูติลม

10.0

เขียนโดย เมอิ

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.45 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  12.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) [KAMAITACHI 1 ร้านหนังสือท้ายซอย]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทนำ แนะนำให้ไปอ่านก่อนน๊า 
เพราะเดี๋ยวกลัวว่าจะงง แหะๆ 
 
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...เริ่มอ่านนิยายกันเลย!!
 
 
 
 
(( กริ๊งงงง ...กริ๊งงงงง ...กริ๊งงงง... ))
….
…….
……….
เสียงออดหลังเลิกเรียนดังก้องกังวานไปทั่วโรงเรียนอยู่หลายครั้ง นักเรียนชายและหญิงต่างพากันเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับบ้าน...จะมีก็แต่บางกลุ่มที่ยังต้องอยู่ทำหน้าที่ของตัวเองที่โรงเรียน
 
...พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปทุกที  แต่โรงเรียนที่เลิกเรียนไปแล้ว ก็ยังคงมีเสียงของนักเรียนหลายคนที่เพิ่งทำความสะอาดชั้นเรียนของตัวเองเสร็จและกำลังเดินออกจากรั้วโรงเรียน  ไปทีละกลุ่ม  ทีละคน  มองดูแล้วทำให้รู้สึกว่า   การที่ต้องมาทำความสะอาดชั้นเรียนหลังเลิกเรียน  มันเป็นอะไรที่ดูน่าเบื่อหน่ายชอบกล
 
“วันนี้กลับดึกกว่าทุกวันเลยเนอะ...ยังไงก็กลับดีๆนะจ๊ะ ไอกะจัง”
“อื้ม...แต่วันหลัง  ยูนะต้องหัดปฏิเสธคนอื่นบ้างนะ...ชั้นไปล่ะนะ”
เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งพูดตำหนิเพื่อนของเธอเล็กน้อยก่อนจะกล่าวร่ำรากันและเดินแยกทางกันที่หน้าโรงเรียน...
 
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนร่างเล็กที่ดูกล้าๆกลัวๆ  เธอเดินกลับบ้านของเธอตามปกติเหมือนกับทุกวัน  ต่างก็ตรงที่ว่า  วันอื่นๆไม่ได้มืดและดึกขนาดนี้  เพราะวันนี้เป็นเวรทำความสะอาดห้องเรียนของเธอและไอกะเพื่อนสนิท  เธอต้องทำความสะอาดกันอยู่สองคน  คนอื่นๆพากันหนีกลับบ้านกันไปหมด  แต่จะทำยังไงได้  คนขี้อายและกล้าๆกลัวๆอย่าง  ยูนะ แค่มีคนมาขอร้องให้ช่วย  ด้วยหน้าตาที่ดูน่าสงสาร  เธอก็ปฏิเสธไม่ลงทุกที
 
ตึก  ตึก  ตึก
 
ยูนะเดินไปตามทางกลับบ้านของเธอที่มีแสงไฟตามทางเล็กน้อย  ใกล้ถึงทางเลี้ยวไปยังบ้านของเธออยู่แล้ว  แต่เธอกลับสังเกตเห็นแสงไฟส่องสลัวอยู่ไกลๆ  แสงไฟนั้นดึงดูดเธอให้ก้าวเท้า   เข้าไปใกล้เรื่อยๆ  ซึ่งเป็นคนละทางกับทางกลับบ้านของเธอ... รู้ตัวอีกที ยูนะก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายซอย  หน้าร้านมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่  เป็นโคมไฟที่ดูเก่าแก่  ตรงโคมมีตัวอักษรแปลกๆเขียนติดอยู่  และโคมไฟนั้นเป็นที่มาของแสงสลัวที่  ยูนะเดินตามมา  ยูนะค่อยๆเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านป้ายของร้าน
“ร้านหนังสือ โยวไค...อย่างงั้นเหรอ...ชื่อดูแปลกดีจัง”
เมื่ออ่านป้ายชื่อร้านเสร็จ  เธอก้าวเท้าไปที่หน้าประตู  มือเรียวเล็กของเธอค่อยๆเอื้อมไปเปิดประตูและแง้มประตู       ทีละน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆ
“สวัสดีค่ะ  มีใครอยู่  ม่ะ มั้ยคะ?”
ยูนะพูดและกลืนน้ำลายพร้อมกับมองซ้ายมองขวาเพื่อรอคำตอบจากเจ้าของร้าน  เธอค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาในร้านพร้อมกับมีลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านไปหน้าเธอไป  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวอะไรมากมาย  เธอมองไปรอบๆร้าน  สิ่งที่เธอเห็นคือภายในร้านดูเก่าแก่  ส่วนใหญ่ของในร้านทำจากไม้ทั้งนั้น  รวมไปถึงชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบก็ทำจากไม้เช่นกัน  แสงไฟสลัวภายในร้านกับภาพวาดธรรมชาติทำให้ดูสงบ  แต่ภายในร้านกลับเงียบเชียบผิดปกติ  ไม่มีเสียงคน  แม้แต่เสียงของเจ้าของร้านก็ตาม  และที่แปลกอีกอย่างคือ  ไม่มีเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ภายในร้าน  ยูนะเห็นว่าเงียบผิดปกติ  จึงเรียกหาเจ้าของร้านขึ้นอีกครั้ง
“มีใครอยู่มั้ยคะ  คือ...หนูจะมาซื้อหนังสือน่ะค่ะ”
 
!!!!!!
“ร้านนี้ไม่ขายหนังสือ!!!...อยากได้เล่มไหนก็บอกละกัน”
เสียงที่แหบแห้งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคน  ทำให้ยูนะตกใจและหันกลับไปมองตามเสียงนั้น  เมื่อ ยูนะหันกลับไปก็พบชายแก่คนหนึ่ง  สวมชุดยูกาตะสีเทาเข้ม  หน้าตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่  กำลังยืนจ้องมองเธออยู่  ซึ่งดูแล้วคงจะเป็นเจ้าของร้านนี้แน่ๆ
 
“ที่นี่แจกหนังสือฟรีเหรอคะ?...คุณปู่คงจะไม่ได้...”
ยูนะที่กำลังจะพูดถามคุณปู่เจ้าของร้านว่าเขาคงไม่ได้ล้อเล่นอะไรหรือเห็นยูนะเป็นเด็กจึงพูด อำเล่นอะไรใช่ไหม   ก็มีเสียงพูดขัดขึ้นมาซะก่อนเหมือนรู้ทัน
!!!!!
“คนอย่างข้าไม่โกหกหรอก!...รีบๆเลือกซักเล่มเถอะ  ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้”
 
เธอได้แต่พยักหน้ารับกับคำพูดของคุณปู่เจ้าของร้านที่ยังไงก็ดูไม่เป็นมิตรกับเธอเท่าไหร่อยู่ดี เธอเดินไปเลือกหนังสือตามชั้นหนังสือต่างๆอย่างกล้าๆกลัวๆ   ซึ่งตู้หนังสือมีอยู่ด้วยกันสามตู้ แต่ละตู้มีอักษรบางอย่างติดอยู่ตรงชั้นวางทุกตู้  ตู้แรกมีอักษรคำว่า ‘โอบาเกะ’ ส่วนตู้ที่สองมีอักษรคำว่า ‘โอะนิ’ และตู้ที่สามมีอักษรคำว่า ‘สึคุโมะงามิ’  
 
ยูนะไม่รู้ว่าความหมายของคำพวกนี้ว่าคืออะไร จึงเดินไปหยิบหนังสืออย่างมั่วๆก่อนจะเดินไปถามเจ้าของร้าน   เกี่ยวกับความหมายของคำพวกนั้น และก็ได้คำตอบมาว่า
“มันเป็นประเภทของโยวไคน่ะ...เจ้าก็ลองเอาไปอ่านซักเล่มแล้วกัน  มันจะดีต่อตัวเจ้าเอง”
ยูนะสงสัยว่าทำไมเจ้าของร้านถึงพูดภาษาที่ดูเป็นคนเก่าคนแก่  อย่างคำว่า ข้ากับเจ้า  สมัยนี้ไม่น่าจะใช้กัน  แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ  จนเมื่อยูนะได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง  เธอไม่ได้สนใจเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นมากมาย  แต่เธอกลับสนใจเกี่ยวกับความหมายของสิ่งที่คุณปู่คนนั้นพูดตอนได้หนังสือเล่มนี้มาซะมากกว่า 
 
 
จนกระทั่งกลับถึงบ้าน  เธอค่อยๆเปิดประตูเข้าบ้าน  เพราะกลัวพ่อกับแม่จะดุเรื่องไปเถลไถล ที่อื่นจนต้องกลับบ้านดึก  ตอนนี้ก็เวลาเกือบสองทุ่มแล้ว  จึงเป็นอะไรที่พ่อกับแม่ต้องดุเอาเป็นแน่  เธอจึงค่อยๆก้าวเท้าอย่างเบาที่สุดเพื่อเข้ามาในห้องรับแขก  แต่ภายในบ้านดูเงียบผิดปกติ  เพราะปกติเวลานี้  พ่อกับแม่น่าจะดูทีวีด้วยกันอยู่  และเมื่อเดินมาถึงห้องรับแขก  กลับพบว่าพ่อกับแม่ของเธอที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว  ทั้งสองมีสีหน้าดูเป็นกังวลเอามากๆทำให้ยูนะอดที่จะถามไม่ได้
 
“มีอะไรรึเปล่าคะ?...ร่ะ หรือว่าหนูกลับดึกเลยทำให้พ่อกับแม่ต้องกังวล...น่ะ หนูขอโทษนะคะ”
ยูนะโค้งตัวลงเพื่อที่จะขอโทษพ่อกับแม่ของเธอด้วยความรู้สึกผิด  ปกติพ่อกับแม่จะเฮฮาด้วยกันมากกว่านี้  หรือคงเป็นเพราะเธอแน่ๆที่ทำให้พ่อกับแม่มีสีหน้าที่ดูเป็นกังวลแบบนั้น
 
“ไม่ใช่เพราะแกหรอก...แต่เป็นเพราะ พ่อ! แกต่างหาก!”
ผู้เป็นแม่พูดขึ้นด้วยความโมโห  ส่วนพ่อที่นั่งก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดอยู่  ก็เอ่ยปากพูดบางอย่างขึ้นมา
...
 
“พ่อถูกย้ายงานกระทันหันน่ะ...เพราะงั้น...ลูกคงต้องย้ายกลับไปดูแลย่าที่บ้านนอก  ส่วนพ่อกับแม่จะมารับลูกเมื่อพร้อมนะ”
 
!!!!
 
ยูนะตกใจกับคำว่า  ย้ายกลับไป  ของผู้เป็นพ่อ  ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก  ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า  แต่เพราะมันเป็นการตัดสินใจของพ่อกับแม่แล้ว  และนิสัยขัดใจหรือพูดเถียงคนอื่น  ก็ไม่ใช่นิสัยของเธอเท่าไหร่  เธอจึงจำเป็นต้องเดินขึ้นห้องไปเตรียมตัวที่จะเก็บข้าวของเพื่อที่จะย้ายกลับไปที่บ้านนอกอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
 
 
*****
 
เช้าตรู่ของวันถัดมา  ณ  สถานีรถไฟ
 
 
แดดยามเช้าที่ดูสดชื่น  เหมาะสำหรับการไปเรียนในตอนเช้า  แต่สำหรับยูนะแล้ว  เธอกลับทำหน้าเศร้าเหมือนกับว่าอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องออกมาไม่ได้  เพราะถ้าทำแบบนั้นแล้ว  พ่อกับแม่คงเป็นห่วงและคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ  ตอนนี้ยูนะก็ใกล้จะขึ้นม.6 แล้ว  ถ้าร้องไห้เป็นเด็กคงจะดูไม่เหมาะเท่าไหร่
“แม่กับพ่อจัดการเรื่องโรงเรียนให้ลูกแล้วนะ...ส่วนไอกะ  แม่โทรไปบอกให้แล้ว  ถ้าลูกโทรไปเองคงร้องไห้คิดถึงกันแย่”
มือบางๆของผู้เป็นแม่เอื้อมมาลูบหัวของยูนะอย่างแผ่วเบา  พร้อมกับสวมกอด  ราวกับว่า    ไม่อยากจากกัน  แต่เพราะมันจำเป็นจึงต้องทำใจ  ส่วนผู้เป็นพ่อที่กำลังช่วยขนของต่างๆลงจากรถก็หันมามองยูนะและเดินมาสวมกอดเช่นกัน
“พ่อคงคิดถึงลูกมาก...แต่ไม่เป็นไรนะลูก  พ่อจะกลับมารับ  ดูแลคุณย่าดีๆนะ”
ยูนะได้แต่พยักหน้าตอบรับเพราะกลัวน้ำตาที่อดกลั้นไว้จะไหลออกมาถ้าหากพูดอะไรออกไป 
 
เสียงประกาศถึงเวลาที่ต้องขึ้นรถไฟ  ยูนะก้าวเท้าขึ้นไปบนรถไฟอย่างช้าๆและได้แต่โบกมือให้กับพ่อและแม่ ที่มองอยู่ข้างล่างด้วยท่าทางที่ดูไม่ร่าเริงเท่าไหร่นัก  
ระหว่างทางเธอก็ได้แต่นั่งมองวิวรอบๆข้างจนกระทั่งนึกอะไรบางอย่างออก  จึงพยายามค้นหาของบางอย่างในเป้ที่สะพายมา
….
“เจอแล้ว!!...โชคดีที่หยิบมาด้วย”
สิ่งที่เธอค้นหาในกระเป๋านั้น  ก็คือหนังสือจากร้านหนังสือท้ายซอยที่เธอได้ฟรีมาจากคุณปู่เจ้าของร้าน  ตั้งแต่เจอเรื่องเมื่อคืน  เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเปิดอ่านมันแม้แต่หน้าเดียว  แม้กระทั่งหน้าปกเธอก็ยังไม่ได้อ่านมัน ได้แต่เอาวางไว้ข้างๆเตียง  จนเมื่อหัวสมองโล่งมาบ้าง   ยูนะจึงนึกขึ้นได้ว่ายังเผลอหยิบหนังสือเล่มนี้ติดใส่เป้มาด้วย  ยูนะ   ก้มมองหนังสือในมือที่ดูโทรมและเก่าเอามากๆ  ตัวหนังสือตรงหน้าปกแทบจะมองไม่เห็น  เธอค่อยๆสะกดอ่านหน้าปกในใจทีละตัว
‘ “คา...ไม...ทาจิ  โยวไค”…เอ๋!?...โยวไคนี่แปลว่า  ภูติ ผี ปีศาจ สินะ...น่าอ่านดีเหมือนกันแฮะ’
 
ยูนะไม่รีรอที่จะพลิกเปิดอ่านหน้าต่อไป  เมื่อเปิดมาเจอหน้าแรก  รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานๆของเธอทันที  โดยหน้าแรกของหนังสือนั้น  เป็นรูปภาพของสามพี่น้องคาไมทาจิซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นตัววีเซิล(ตัวเพียงพอน) ถือเคียวคู่  มีอยู่ด้วยกันสามตัว  และรอบกายรายล้อมไปด้วยภาพของควันสีขาวที่ดูคล้ายเมฆหรือลม  ส่วนพื้นหลังของภาพนั้นเป็นป่าและภูเขา 
รูปภาพของตัววีเซิลสามพี่น้องเป็นสาเหตุที่ทำให้รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยูนะทันทีที่เห็นภาพนั้น
“น่ารักจัง...ว่าแต่...มาอยู่ในหนังสือที่เกี่ยวกับโยวไคได้ไงเนี่ย?”
ยูนะพูดจบจึงพลิกเปิดหนังสือหน้าต่อไป  ในหน้านั้นมีตัวหนังสือแปลกตาอยู่สามสี่บรรทัด    ซึ่งยูนะไม่เคยเห็นตัวอักษรแบบนี้มาก่อน  แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นตัวอักษรโบราณ  เธอจึงเปิดข้ามกระดาษหน้านั้นไป  หน้าต่อไปเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาต่างๆของคาไมทาจิที่เป็นภาษาปกติ  ยูนะเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อยๆด้วยความเพลิดเพลิน  จนมาถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือ  ยูนะค่อยๆก้มหน้าเข้าไปใกล้เพื่ออ่านข้อความในหน้าสุดท้าย  ด้วยความสงสัย
 
ข้อความนั้นมีใจความว่า  ' ริน เบียว โต ฉะ ไค จิน เรทสึ ไซ เซ็น ' 
 
ยูนะไม่เข้าใจกับความหมายของอักษรดังกล่าวเธอจึงได้แต่เพียงจ้องมองอักษรนั้นเท่านั้น
 
…..
 
“หนังสือเก่าๆแบบนี้  ก็สนุกดีเหมือนกันนี่นา”
เธอปิดหนังสือลงโดยไม่ได้คิดอะไร  เธอคิดว่าเป็นเพียงหนังสือนิทานทั่วไปเท่านั้น 
 
ยูนะหันไปมองวิวข้างนอกหน้าต่างเพื่อผ่อนคลายสายตา  เธอสังเกตเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกที่มีภูเขามากมายและเกิดเอะใจเล็กน้อย  เธอจึงหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าแรกเพื่อดูว่าสิ่งที่เธอสงสัย  เธอไม่ได้คิดไปเอง  และมองภาพวิวสลับกับมองหนังสือเล่มนั้น
“เอ๊ะ!?...ใช่แน่ๆ...มันคือภาพเดียวกันนี่”
ยูนะจ้องมองภาพของสามพี่น้องคาไมทาจิอย่างไม่ละสายตา  และเกิดรอยยิ้มบางๆขึ้นบนใบหน้าหวานของเธออีกครั้ง พลางพึมพำออกมาเบาๆ
 
“ยังไงพวกเธอก็ดูน่ารักอยู่ดีแหละนะ...ไม่เหมาะกับนิทานภูติ ผี หรอก...เนอะ”
 
....
......
 
 
เสียงประกาศของรถไฟดังขึ้น  เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกกับยูนะว่า  เธอต้องย่างก้าวเข้าไปสู่โลกใบใหม่  และมัน เริ่มต้นขึ้นในชนบทแห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอเอง...
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา