KAMAITACHI ♥ คาไมทาจิ ความรักของภูติลม
10.0
เขียนโดย เมอิ
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.45 น.
8 ตอน
1 วิจารณ์
12.34K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) [KAMAITACHI 1 ร้านหนังสือท้ายซอย]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความใครที่ยังไม่ได้อ่านบทนำ แนะนำให้ไปอ่านก่อนน๊า
เพราะเดี๋ยวกลัวว่าจะงง แหะๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...เริ่มอ่านนิยายกันเลย!!
(( กริ๊งงงง ...กริ๊งงงงง ...กริ๊งงงง... ))
….
…….
……….
เสียงออดหลังเลิกเรียนดังก้องกังวานไปทั่วโรงเรียนอยู่หลายครั้ง นักเรียนชายและหญิงต่างพากันเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับบ้าน...จะมีก็แต่บางกลุ่มที่ยังต้องอยู่ทำหน้าที่ของตัวเองที่โรงเรียน
...พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปทุกที แต่โรงเรียนที่เลิกเรียนไปแล้ว ก็ยังคงมีเสียงของนักเรียนหลายคนที่เพิ่งทำความสะอาดชั้นเรียนของตัวเองเสร็จและกำลังเดินออกจากรั้วโรงเรียน ไปทีละกลุ่ม ทีละคน มองดูแล้วทำให้รู้สึกว่า การที่ต้องมาทำความสะอาดชั้นเรียนหลังเลิกเรียน มันเป็นอะไรที่ดูน่าเบื่อหน่ายชอบกล
“วันนี้กลับดึกกว่าทุกวันเลยเนอะ...ยังไงก็กลับดีๆนะจ๊ะ ไอกะจัง”
“อื้ม...แต่วันหลัง ยูนะต้องหัดปฏิเสธคนอื่นบ้างนะ...ชั้นไปล่ะนะ”
เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งพูดตำหนิเพื่อนของเธอเล็กน้อยก่อนจะกล่าวร่ำรากันและเดินแยกทางกันที่หน้าโรงเรียน...
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนร่างเล็กที่ดูกล้าๆกลัวๆ เธอเดินกลับบ้านของเธอตามปกติเหมือนกับทุกวัน ต่างก็ตรงที่ว่า วันอื่นๆไม่ได้มืดและดึกขนาดนี้ เพราะวันนี้เป็นเวรทำความสะอาดห้องเรียนของเธอและไอกะเพื่อนสนิท เธอต้องทำความสะอาดกันอยู่สองคน คนอื่นๆพากันหนีกลับบ้านกันไปหมด แต่จะทำยังไงได้ คนขี้อายและกล้าๆกลัวๆอย่าง ยูนะ แค่มีคนมาขอร้องให้ช่วย ด้วยหน้าตาที่ดูน่าสงสาร เธอก็ปฏิเสธไม่ลงทุกที
ตึก ตึก ตึก
ยูนะเดินไปตามทางกลับบ้านของเธอที่มีแสงไฟตามทางเล็กน้อย ใกล้ถึงทางเลี้ยวไปยังบ้านของเธออยู่แล้ว แต่เธอกลับสังเกตเห็นแสงไฟส่องสลัวอยู่ไกลๆ แสงไฟนั้นดึงดูดเธอให้ก้าวเท้า เข้าไปใกล้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นคนละทางกับทางกลับบ้านของเธอ... รู้ตัวอีกที ยูนะก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายซอย หน้าร้านมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ เป็นโคมไฟที่ดูเก่าแก่ ตรงโคมมีตัวอักษรแปลกๆเขียนติดอยู่ และโคมไฟนั้นเป็นที่มาของแสงสลัวที่ ยูนะเดินตามมา ยูนะค่อยๆเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านป้ายของร้าน
“ร้านหนังสือ โยวไค...อย่างงั้นเหรอ...ชื่อดูแปลกดีจัง”
เมื่ออ่านป้ายชื่อร้านเสร็จ เธอก้าวเท้าไปที่หน้าประตู มือเรียวเล็กของเธอค่อยๆเอื้อมไปเปิดประตูและแง้มประตู ทีละน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆ
“สวัสดีค่ะ มีใครอยู่ ม่ะ มั้ยคะ?”
ยูนะพูดและกลืนน้ำลายพร้อมกับมองซ้ายมองขวาเพื่อรอคำตอบจากเจ้าของร้าน เธอค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาในร้านพร้อมกับมีลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านไปหน้าเธอไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวอะไรมากมาย เธอมองไปรอบๆร้าน สิ่งที่เธอเห็นคือภายในร้านดูเก่าแก่ ส่วนใหญ่ของในร้านทำจากไม้ทั้งนั้น รวมไปถึงชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบก็ทำจากไม้เช่นกัน แสงไฟสลัวภายในร้านกับภาพวาดธรรมชาติทำให้ดูสงบ แต่ภายในร้านกลับเงียบเชียบผิดปกติ ไม่มีเสียงคน แม้แต่เสียงของเจ้าของร้านก็ตาม และที่แปลกอีกอย่างคือ ไม่มีเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ภายในร้าน ยูนะเห็นว่าเงียบผิดปกติ จึงเรียกหาเจ้าของร้านขึ้นอีกครั้ง
“มีใครอยู่มั้ยคะ คือ...หนูจะมาซื้อหนังสือน่ะค่ะ”
!!!!!!
“ร้านนี้ไม่ขายหนังสือ!!!...อยากได้เล่มไหนก็บอกละกัน”
เสียงที่แหบแห้งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคน ทำให้ยูนะตกใจและหันกลับไปมองตามเสียงนั้น เมื่อ ยูนะหันกลับไปก็พบชายแก่คนหนึ่ง สวมชุดยูกาตะสีเทาเข้ม หน้าตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ กำลังยืนจ้องมองเธออยู่ ซึ่งดูแล้วคงจะเป็นเจ้าของร้านนี้แน่ๆ
“ที่นี่แจกหนังสือฟรีเหรอคะ?...คุณปู่คงจะไม่ได้...”
ยูนะที่กำลังจะพูดถามคุณปู่เจ้าของร้านว่าเขาคงไม่ได้ล้อเล่นอะไรหรือเห็นยูนะเป็นเด็กจึงพูด อำเล่นอะไรใช่ไหม ก็มีเสียงพูดขัดขึ้นมาซะก่อนเหมือนรู้ทัน
!!!!!
“คนอย่างข้าไม่โกหกหรอก!...รีบๆเลือกซักเล่มเถอะ ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้”
เธอได้แต่พยักหน้ารับกับคำพูดของคุณปู่เจ้าของร้านที่ยังไงก็ดูไม่เป็นมิตรกับเธอเท่าไหร่อยู่ดี เธอเดินไปเลือกหนังสือตามชั้นหนังสือต่างๆอย่างกล้าๆกลัวๆ ซึ่งตู้หนังสือมีอยู่ด้วยกันสามตู้ แต่ละตู้มีอักษรบางอย่างติดอยู่ตรงชั้นวางทุกตู้ ตู้แรกมีอักษรคำว่า ‘โอบาเกะ’ ส่วนตู้ที่สองมีอักษรคำว่า ‘โอะนิ’ และตู้ที่สามมีอักษรคำว่า ‘สึคุโมะงามิ’
ยูนะไม่รู้ว่าความหมายของคำพวกนี้ว่าคืออะไร จึงเดินไปหยิบหนังสืออย่างมั่วๆก่อนจะเดินไปถามเจ้าของร้าน เกี่ยวกับความหมายของคำพวกนั้น และก็ได้คำตอบมาว่า
“มันเป็นประเภทของโยวไคน่ะ...เจ้าก็ลองเอาไปอ่านซักเล่มแล้วกัน มันจะดีต่อตัวเจ้าเอง”
ยูนะสงสัยว่าทำไมเจ้าของร้านถึงพูดภาษาที่ดูเป็นคนเก่าคนแก่ อย่างคำว่า ข้ากับเจ้า สมัยนี้ไม่น่าจะใช้กัน แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ จนเมื่อยูนะได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เธอไม่ได้สนใจเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นมากมาย แต่เธอกลับสนใจเกี่ยวกับความหมายของสิ่งที่คุณปู่คนนั้นพูดตอนได้หนังสือเล่มนี้มาซะมากกว่า
จนกระทั่งกลับถึงบ้าน เธอค่อยๆเปิดประตูเข้าบ้าน เพราะกลัวพ่อกับแม่จะดุเรื่องไปเถลไถล ที่อื่นจนต้องกลับบ้านดึก ตอนนี้ก็เวลาเกือบสองทุ่มแล้ว จึงเป็นอะไรที่พ่อกับแม่ต้องดุเอาเป็นแน่ เธอจึงค่อยๆก้าวเท้าอย่างเบาที่สุดเพื่อเข้ามาในห้องรับแขก แต่ภายในบ้านดูเงียบผิดปกติ เพราะปกติเวลานี้ พ่อกับแม่น่าจะดูทีวีด้วยกันอยู่ และเมื่อเดินมาถึงห้องรับแขก กลับพบว่าพ่อกับแม่ของเธอที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองมีสีหน้าดูเป็นกังวลเอามากๆทำให้ยูนะอดที่จะถามไม่ได้
“มีอะไรรึเปล่าคะ?...ร่ะ หรือว่าหนูกลับดึกเลยทำให้พ่อกับแม่ต้องกังวล...น่ะ หนูขอโทษนะคะ”
ยูนะโค้งตัวลงเพื่อที่จะขอโทษพ่อกับแม่ของเธอด้วยความรู้สึกผิด ปกติพ่อกับแม่จะเฮฮาด้วยกันมากกว่านี้ หรือคงเป็นเพราะเธอแน่ๆที่ทำให้พ่อกับแม่มีสีหน้าที่ดูเป็นกังวลแบบนั้น
“ไม่ใช่เพราะแกหรอก...แต่เป็นเพราะ พ่อ! แกต่างหาก!”
ผู้เป็นแม่พูดขึ้นด้วยความโมโห ส่วนพ่อที่นั่งก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดอยู่ ก็เอ่ยปากพูดบางอย่างขึ้นมา
...
“พ่อถูกย้ายงานกระทันหันน่ะ...เพราะงั้น...ลูกคงต้องย้ายกลับไปดูแลย่าที่บ้านนอก ส่วนพ่อกับแม่จะมารับลูกเมื่อพร้อมนะ”
!!!!
ยูนะตกใจกับคำว่า ย้ายกลับไป ของผู้เป็นพ่อ ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า แต่เพราะมันเป็นการตัดสินใจของพ่อกับแม่แล้ว และนิสัยขัดใจหรือพูดเถียงคนอื่น ก็ไม่ใช่นิสัยของเธอเท่าไหร่ เธอจึงจำเป็นต้องเดินขึ้นห้องไปเตรียมตัวที่จะเก็บข้าวของเพื่อที่จะย้ายกลับไปที่บ้านนอกอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
*****
เช้าตรู่ของวันถัดมา ณ สถานีรถไฟ
แดดยามเช้าที่ดูสดชื่น เหมาะสำหรับการไปเรียนในตอนเช้า แต่สำหรับยูนะแล้ว เธอกลับทำหน้าเศร้าเหมือนกับว่าอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องออกมาไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นแล้ว พ่อกับแม่คงเป็นห่วงและคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ ตอนนี้ยูนะก็ใกล้จะขึ้นม.6 แล้ว ถ้าร้องไห้เป็นเด็กคงจะดูไม่เหมาะเท่าไหร่
“แม่กับพ่อจัดการเรื่องโรงเรียนให้ลูกแล้วนะ...ส่วนไอกะ แม่โทรไปบอกให้แล้ว ถ้าลูกโทรไปเองคงร้องไห้คิดถึงกันแย่”
มือบางๆของผู้เป็นแม่เอื้อมมาลูบหัวของยูนะอย่างแผ่วเบา พร้อมกับสวมกอด ราวกับว่า ไม่อยากจากกัน แต่เพราะมันจำเป็นจึงต้องทำใจ ส่วนผู้เป็นพ่อที่กำลังช่วยขนของต่างๆลงจากรถก็หันมามองยูนะและเดินมาสวมกอดเช่นกัน
“พ่อคงคิดถึงลูกมาก...แต่ไม่เป็นไรนะลูก พ่อจะกลับมารับ ดูแลคุณย่าดีๆนะ”
ยูนะได้แต่พยักหน้าตอบรับเพราะกลัวน้ำตาที่อดกลั้นไว้จะไหลออกมาถ้าหากพูดอะไรออกไป
เสียงประกาศถึงเวลาที่ต้องขึ้นรถไฟ ยูนะก้าวเท้าขึ้นไปบนรถไฟอย่างช้าๆและได้แต่โบกมือให้กับพ่อและแม่ ที่มองอยู่ข้างล่างด้วยท่าทางที่ดูไม่ร่าเริงเท่าไหร่นัก
ระหว่างทางเธอก็ได้แต่นั่งมองวิวรอบๆข้างจนกระทั่งนึกอะไรบางอย่างออก จึงพยายามค้นหาของบางอย่างในเป้ที่สะพายมา
….
“เจอแล้ว!!...โชคดีที่หยิบมาด้วย”
สิ่งที่เธอค้นหาในกระเป๋านั้น ก็คือหนังสือจากร้านหนังสือท้ายซอยที่เธอได้ฟรีมาจากคุณปู่เจ้าของร้าน ตั้งแต่เจอเรื่องเมื่อคืน เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเปิดอ่านมันแม้แต่หน้าเดียว แม้กระทั่งหน้าปกเธอก็ยังไม่ได้อ่านมัน ได้แต่เอาวางไว้ข้างๆเตียง จนเมื่อหัวสมองโล่งมาบ้าง ยูนะจึงนึกขึ้นได้ว่ายังเผลอหยิบหนังสือเล่มนี้ติดใส่เป้มาด้วย ยูนะ ก้มมองหนังสือในมือที่ดูโทรมและเก่าเอามากๆ ตัวหนังสือตรงหน้าปกแทบจะมองไม่เห็น เธอค่อยๆสะกดอ่านหน้าปกในใจทีละตัว
‘ “คา...ไม...ทาจิ โยวไค”…เอ๋!?...โยวไคนี่แปลว่า ภูติ ผี ปีศาจ สินะ...น่าอ่านดีเหมือนกันแฮะ’
ยูนะไม่รีรอที่จะพลิกเปิดอ่านหน้าต่อไป เมื่อเปิดมาเจอหน้าแรก รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานๆของเธอทันที โดยหน้าแรกของหนังสือนั้น เป็นรูปภาพของสามพี่น้องคาไมทาจิซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นตัววีเซิล(ตัวเพียงพอน) ถือเคียวคู่ มีอยู่ด้วยกันสามตัว และรอบกายรายล้อมไปด้วยภาพของควันสีขาวที่ดูคล้ายเมฆหรือลม ส่วนพื้นหลังของภาพนั้นเป็นป่าและภูเขา
รูปภาพของตัววีเซิลสามพี่น้องเป็นสาเหตุที่ทำให้รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยูนะทันทีที่เห็นภาพนั้น
“น่ารักจัง...ว่าแต่...มาอยู่ในหนังสือที่เกี่ยวกับโยวไคได้ไงเนี่ย?”
ยูนะพูดจบจึงพลิกเปิดหนังสือหน้าต่อไป ในหน้านั้นมีตัวหนังสือแปลกตาอยู่สามสี่บรรทัด ซึ่งยูนะไม่เคยเห็นตัวอักษรแบบนี้มาก่อน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นตัวอักษรโบราณ เธอจึงเปิดข้ามกระดาษหน้านั้นไป หน้าต่อไปเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาต่างๆของคาไมทาจิที่เป็นภาษาปกติ ยูนะเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อยๆด้วยความเพลิดเพลิน จนมาถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือ ยูนะค่อยๆก้มหน้าเข้าไปใกล้เพื่ออ่านข้อความในหน้าสุดท้าย ด้วยความสงสัย
ข้อความนั้นมีใจความว่า ' ริน เบียว โต ฉะ ไค จิน เรทสึ ไซ เซ็น '
ยูนะไม่เข้าใจกับความหมายของอักษรดังกล่าวเธอจึงได้แต่เพียงจ้องมองอักษรนั้นเท่านั้น
…..
“หนังสือเก่าๆแบบนี้ ก็สนุกดีเหมือนกันนี่นา”
เธอปิดหนังสือลงโดยไม่ได้คิดอะไร เธอคิดว่าเป็นเพียงหนังสือนิทานทั่วไปเท่านั้น
ยูนะหันไปมองวิวข้างนอกหน้าต่างเพื่อผ่อนคลายสายตา เธอสังเกตเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกที่มีภูเขามากมายและเกิดเอะใจเล็กน้อย เธอจึงหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าแรกเพื่อดูว่าสิ่งที่เธอสงสัย เธอไม่ได้คิดไปเอง และมองภาพวิวสลับกับมองหนังสือเล่มนั้น
“เอ๊ะ!?...ใช่แน่ๆ...มันคือภาพเดียวกันนี่”
ยูนะจ้องมองภาพของสามพี่น้องคาไมทาจิอย่างไม่ละสายตา และเกิดรอยยิ้มบางๆขึ้นบนใบหน้าหวานของเธออีกครั้ง พลางพึมพำออกมาเบาๆ
“ยังไงพวกเธอก็ดูน่ารักอยู่ดีแหละนะ...ไม่เหมาะกับนิทานภูติ ผี หรอก...เนอะ”
....
......
เสียงประกาศของรถไฟดังขึ้น เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกกับยูนะว่า เธอต้องย่างก้าวเข้าไปสู่โลกใบใหม่ และมัน เริ่มต้นขึ้นในชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอเอง...
เพราะเดี๋ยวกลัวว่าจะงง แหะๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...เริ่มอ่านนิยายกันเลย!!
(( กริ๊งงงง ...กริ๊งงงงง ...กริ๊งงงง... ))
….
…….
……….
เสียงออดหลังเลิกเรียนดังก้องกังวานไปทั่วโรงเรียนอยู่หลายครั้ง นักเรียนชายและหญิงต่างพากันเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับบ้าน...จะมีก็แต่บางกลุ่มที่ยังต้องอยู่ทำหน้าที่ของตัวเองที่โรงเรียน
...พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปทุกที แต่โรงเรียนที่เลิกเรียนไปแล้ว ก็ยังคงมีเสียงของนักเรียนหลายคนที่เพิ่งทำความสะอาดชั้นเรียนของตัวเองเสร็จและกำลังเดินออกจากรั้วโรงเรียน ไปทีละกลุ่ม ทีละคน มองดูแล้วทำให้รู้สึกว่า การที่ต้องมาทำความสะอาดชั้นเรียนหลังเลิกเรียน มันเป็นอะไรที่ดูน่าเบื่อหน่ายชอบกล
“วันนี้กลับดึกกว่าทุกวันเลยเนอะ...ยังไงก็กลับดีๆนะจ๊ะ ไอกะจัง”
“อื้ม...แต่วันหลัง ยูนะต้องหัดปฏิเสธคนอื่นบ้างนะ...ชั้นไปล่ะนะ”
เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งพูดตำหนิเพื่อนของเธอเล็กน้อยก่อนจะกล่าวร่ำรากันและเดินแยกทางกันที่หน้าโรงเรียน...
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนร่างเล็กที่ดูกล้าๆกลัวๆ เธอเดินกลับบ้านของเธอตามปกติเหมือนกับทุกวัน ต่างก็ตรงที่ว่า วันอื่นๆไม่ได้มืดและดึกขนาดนี้ เพราะวันนี้เป็นเวรทำความสะอาดห้องเรียนของเธอและไอกะเพื่อนสนิท เธอต้องทำความสะอาดกันอยู่สองคน คนอื่นๆพากันหนีกลับบ้านกันไปหมด แต่จะทำยังไงได้ คนขี้อายและกล้าๆกลัวๆอย่าง ยูนะ แค่มีคนมาขอร้องให้ช่วย ด้วยหน้าตาที่ดูน่าสงสาร เธอก็ปฏิเสธไม่ลงทุกที
ตึก ตึก ตึก
ยูนะเดินไปตามทางกลับบ้านของเธอที่มีแสงไฟตามทางเล็กน้อย ใกล้ถึงทางเลี้ยวไปยังบ้านของเธออยู่แล้ว แต่เธอกลับสังเกตเห็นแสงไฟส่องสลัวอยู่ไกลๆ แสงไฟนั้นดึงดูดเธอให้ก้าวเท้า เข้าไปใกล้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นคนละทางกับทางกลับบ้านของเธอ... รู้ตัวอีกที ยูนะก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายซอย หน้าร้านมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ เป็นโคมไฟที่ดูเก่าแก่ ตรงโคมมีตัวอักษรแปลกๆเขียนติดอยู่ และโคมไฟนั้นเป็นที่มาของแสงสลัวที่ ยูนะเดินตามมา ยูนะค่อยๆเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านป้ายของร้าน
“ร้านหนังสือ โยวไค...อย่างงั้นเหรอ...ชื่อดูแปลกดีจัง”
เมื่ออ่านป้ายชื่อร้านเสร็จ เธอก้าวเท้าไปที่หน้าประตู มือเรียวเล็กของเธอค่อยๆเอื้อมไปเปิดประตูและแง้มประตู ทีละน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆ
“สวัสดีค่ะ มีใครอยู่ ม่ะ มั้ยคะ?”
ยูนะพูดและกลืนน้ำลายพร้อมกับมองซ้ายมองขวาเพื่อรอคำตอบจากเจ้าของร้าน เธอค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาในร้านพร้อมกับมีลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านไปหน้าเธอไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวอะไรมากมาย เธอมองไปรอบๆร้าน สิ่งที่เธอเห็นคือภายในร้านดูเก่าแก่ ส่วนใหญ่ของในร้านทำจากไม้ทั้งนั้น รวมไปถึงชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบก็ทำจากไม้เช่นกัน แสงไฟสลัวภายในร้านกับภาพวาดธรรมชาติทำให้ดูสงบ แต่ภายในร้านกลับเงียบเชียบผิดปกติ ไม่มีเสียงคน แม้แต่เสียงของเจ้าของร้านก็ตาม และที่แปลกอีกอย่างคือ ไม่มีเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ภายในร้าน ยูนะเห็นว่าเงียบผิดปกติ จึงเรียกหาเจ้าของร้านขึ้นอีกครั้ง
“มีใครอยู่มั้ยคะ คือ...หนูจะมาซื้อหนังสือน่ะค่ะ”
!!!!!!
“ร้านนี้ไม่ขายหนังสือ!!!...อยากได้เล่มไหนก็บอกละกัน”
เสียงที่แหบแห้งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคน ทำให้ยูนะตกใจและหันกลับไปมองตามเสียงนั้น เมื่อ ยูนะหันกลับไปก็พบชายแก่คนหนึ่ง สวมชุดยูกาตะสีเทาเข้ม หน้าตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ กำลังยืนจ้องมองเธออยู่ ซึ่งดูแล้วคงจะเป็นเจ้าของร้านนี้แน่ๆ
“ที่นี่แจกหนังสือฟรีเหรอคะ?...คุณปู่คงจะไม่ได้...”
ยูนะที่กำลังจะพูดถามคุณปู่เจ้าของร้านว่าเขาคงไม่ได้ล้อเล่นอะไรหรือเห็นยูนะเป็นเด็กจึงพูด อำเล่นอะไรใช่ไหม ก็มีเสียงพูดขัดขึ้นมาซะก่อนเหมือนรู้ทัน
!!!!!
“คนอย่างข้าไม่โกหกหรอก!...รีบๆเลือกซักเล่มเถอะ ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้”
เธอได้แต่พยักหน้ารับกับคำพูดของคุณปู่เจ้าของร้านที่ยังไงก็ดูไม่เป็นมิตรกับเธอเท่าไหร่อยู่ดี เธอเดินไปเลือกหนังสือตามชั้นหนังสือต่างๆอย่างกล้าๆกลัวๆ ซึ่งตู้หนังสือมีอยู่ด้วยกันสามตู้ แต่ละตู้มีอักษรบางอย่างติดอยู่ตรงชั้นวางทุกตู้ ตู้แรกมีอักษรคำว่า ‘โอบาเกะ’ ส่วนตู้ที่สองมีอักษรคำว่า ‘โอะนิ’ และตู้ที่สามมีอักษรคำว่า ‘สึคุโมะงามิ’
ยูนะไม่รู้ว่าความหมายของคำพวกนี้ว่าคืออะไร จึงเดินไปหยิบหนังสืออย่างมั่วๆก่อนจะเดินไปถามเจ้าของร้าน เกี่ยวกับความหมายของคำพวกนั้น และก็ได้คำตอบมาว่า
“มันเป็นประเภทของโยวไคน่ะ...เจ้าก็ลองเอาไปอ่านซักเล่มแล้วกัน มันจะดีต่อตัวเจ้าเอง”
ยูนะสงสัยว่าทำไมเจ้าของร้านถึงพูดภาษาที่ดูเป็นคนเก่าคนแก่ อย่างคำว่า ข้ากับเจ้า สมัยนี้ไม่น่าจะใช้กัน แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ จนเมื่อยูนะได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เธอไม่ได้สนใจเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นมากมาย แต่เธอกลับสนใจเกี่ยวกับความหมายของสิ่งที่คุณปู่คนนั้นพูดตอนได้หนังสือเล่มนี้มาซะมากกว่า
จนกระทั่งกลับถึงบ้าน เธอค่อยๆเปิดประตูเข้าบ้าน เพราะกลัวพ่อกับแม่จะดุเรื่องไปเถลไถล ที่อื่นจนต้องกลับบ้านดึก ตอนนี้ก็เวลาเกือบสองทุ่มแล้ว จึงเป็นอะไรที่พ่อกับแม่ต้องดุเอาเป็นแน่ เธอจึงค่อยๆก้าวเท้าอย่างเบาที่สุดเพื่อเข้ามาในห้องรับแขก แต่ภายในบ้านดูเงียบผิดปกติ เพราะปกติเวลานี้ พ่อกับแม่น่าจะดูทีวีด้วยกันอยู่ และเมื่อเดินมาถึงห้องรับแขก กลับพบว่าพ่อกับแม่ของเธอที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองมีสีหน้าดูเป็นกังวลเอามากๆทำให้ยูนะอดที่จะถามไม่ได้
“มีอะไรรึเปล่าคะ?...ร่ะ หรือว่าหนูกลับดึกเลยทำให้พ่อกับแม่ต้องกังวล...น่ะ หนูขอโทษนะคะ”
ยูนะโค้งตัวลงเพื่อที่จะขอโทษพ่อกับแม่ของเธอด้วยความรู้สึกผิด ปกติพ่อกับแม่จะเฮฮาด้วยกันมากกว่านี้ หรือคงเป็นเพราะเธอแน่ๆที่ทำให้พ่อกับแม่มีสีหน้าที่ดูเป็นกังวลแบบนั้น
“ไม่ใช่เพราะแกหรอก...แต่เป็นเพราะ พ่อ! แกต่างหาก!”
ผู้เป็นแม่พูดขึ้นด้วยความโมโห ส่วนพ่อที่นั่งก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดอยู่ ก็เอ่ยปากพูดบางอย่างขึ้นมา
...
“พ่อถูกย้ายงานกระทันหันน่ะ...เพราะงั้น...ลูกคงต้องย้ายกลับไปดูแลย่าที่บ้านนอก ส่วนพ่อกับแม่จะมารับลูกเมื่อพร้อมนะ”
!!!!
ยูนะตกใจกับคำว่า ย้ายกลับไป ของผู้เป็นพ่อ ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า แต่เพราะมันเป็นการตัดสินใจของพ่อกับแม่แล้ว และนิสัยขัดใจหรือพูดเถียงคนอื่น ก็ไม่ใช่นิสัยของเธอเท่าไหร่ เธอจึงจำเป็นต้องเดินขึ้นห้องไปเตรียมตัวที่จะเก็บข้าวของเพื่อที่จะย้ายกลับไปที่บ้านนอกอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
*****
เช้าตรู่ของวันถัดมา ณ สถานีรถไฟ
แดดยามเช้าที่ดูสดชื่น เหมาะสำหรับการไปเรียนในตอนเช้า แต่สำหรับยูนะแล้ว เธอกลับทำหน้าเศร้าเหมือนกับว่าอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องออกมาไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นแล้ว พ่อกับแม่คงเป็นห่วงและคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ ตอนนี้ยูนะก็ใกล้จะขึ้นม.6 แล้ว ถ้าร้องไห้เป็นเด็กคงจะดูไม่เหมาะเท่าไหร่
“แม่กับพ่อจัดการเรื่องโรงเรียนให้ลูกแล้วนะ...ส่วนไอกะ แม่โทรไปบอกให้แล้ว ถ้าลูกโทรไปเองคงร้องไห้คิดถึงกันแย่”
มือบางๆของผู้เป็นแม่เอื้อมมาลูบหัวของยูนะอย่างแผ่วเบา พร้อมกับสวมกอด ราวกับว่า ไม่อยากจากกัน แต่เพราะมันจำเป็นจึงต้องทำใจ ส่วนผู้เป็นพ่อที่กำลังช่วยขนของต่างๆลงจากรถก็หันมามองยูนะและเดินมาสวมกอดเช่นกัน
“พ่อคงคิดถึงลูกมาก...แต่ไม่เป็นไรนะลูก พ่อจะกลับมารับ ดูแลคุณย่าดีๆนะ”
ยูนะได้แต่พยักหน้าตอบรับเพราะกลัวน้ำตาที่อดกลั้นไว้จะไหลออกมาถ้าหากพูดอะไรออกไป
เสียงประกาศถึงเวลาที่ต้องขึ้นรถไฟ ยูนะก้าวเท้าขึ้นไปบนรถไฟอย่างช้าๆและได้แต่โบกมือให้กับพ่อและแม่ ที่มองอยู่ข้างล่างด้วยท่าทางที่ดูไม่ร่าเริงเท่าไหร่นัก
ระหว่างทางเธอก็ได้แต่นั่งมองวิวรอบๆข้างจนกระทั่งนึกอะไรบางอย่างออก จึงพยายามค้นหาของบางอย่างในเป้ที่สะพายมา
….
“เจอแล้ว!!...โชคดีที่หยิบมาด้วย”
สิ่งที่เธอค้นหาในกระเป๋านั้น ก็คือหนังสือจากร้านหนังสือท้ายซอยที่เธอได้ฟรีมาจากคุณปู่เจ้าของร้าน ตั้งแต่เจอเรื่องเมื่อคืน เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเปิดอ่านมันแม้แต่หน้าเดียว แม้กระทั่งหน้าปกเธอก็ยังไม่ได้อ่านมัน ได้แต่เอาวางไว้ข้างๆเตียง จนเมื่อหัวสมองโล่งมาบ้าง ยูนะจึงนึกขึ้นได้ว่ายังเผลอหยิบหนังสือเล่มนี้ติดใส่เป้มาด้วย ยูนะ ก้มมองหนังสือในมือที่ดูโทรมและเก่าเอามากๆ ตัวหนังสือตรงหน้าปกแทบจะมองไม่เห็น เธอค่อยๆสะกดอ่านหน้าปกในใจทีละตัว
‘ “คา...ไม...ทาจิ โยวไค”…เอ๋!?...โยวไคนี่แปลว่า ภูติ ผี ปีศาจ สินะ...น่าอ่านดีเหมือนกันแฮะ’
ยูนะไม่รีรอที่จะพลิกเปิดอ่านหน้าต่อไป เมื่อเปิดมาเจอหน้าแรก รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานๆของเธอทันที โดยหน้าแรกของหนังสือนั้น เป็นรูปภาพของสามพี่น้องคาไมทาจิซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นตัววีเซิล(ตัวเพียงพอน) ถือเคียวคู่ มีอยู่ด้วยกันสามตัว และรอบกายรายล้อมไปด้วยภาพของควันสีขาวที่ดูคล้ายเมฆหรือลม ส่วนพื้นหลังของภาพนั้นเป็นป่าและภูเขา
รูปภาพของตัววีเซิลสามพี่น้องเป็นสาเหตุที่ทำให้รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยูนะทันทีที่เห็นภาพนั้น
“น่ารักจัง...ว่าแต่...มาอยู่ในหนังสือที่เกี่ยวกับโยวไคได้ไงเนี่ย?”
ยูนะพูดจบจึงพลิกเปิดหนังสือหน้าต่อไป ในหน้านั้นมีตัวหนังสือแปลกตาอยู่สามสี่บรรทัด ซึ่งยูนะไม่เคยเห็นตัวอักษรแบบนี้มาก่อน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นตัวอักษรโบราณ เธอจึงเปิดข้ามกระดาษหน้านั้นไป หน้าต่อไปเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาต่างๆของคาไมทาจิที่เป็นภาษาปกติ ยูนะเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อยๆด้วยความเพลิดเพลิน จนมาถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือ ยูนะค่อยๆก้มหน้าเข้าไปใกล้เพื่ออ่านข้อความในหน้าสุดท้าย ด้วยความสงสัย
ข้อความนั้นมีใจความว่า ' ริน เบียว โต ฉะ ไค จิน เรทสึ ไซ เซ็น '
ยูนะไม่เข้าใจกับความหมายของอักษรดังกล่าวเธอจึงได้แต่เพียงจ้องมองอักษรนั้นเท่านั้น
…..
“หนังสือเก่าๆแบบนี้ ก็สนุกดีเหมือนกันนี่นา”
เธอปิดหนังสือลงโดยไม่ได้คิดอะไร เธอคิดว่าเป็นเพียงหนังสือนิทานทั่วไปเท่านั้น
ยูนะหันไปมองวิวข้างนอกหน้าต่างเพื่อผ่อนคลายสายตา เธอสังเกตเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกที่มีภูเขามากมายและเกิดเอะใจเล็กน้อย เธอจึงหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าแรกเพื่อดูว่าสิ่งที่เธอสงสัย เธอไม่ได้คิดไปเอง และมองภาพวิวสลับกับมองหนังสือเล่มนั้น
“เอ๊ะ!?...ใช่แน่ๆ...มันคือภาพเดียวกันนี่”
ยูนะจ้องมองภาพของสามพี่น้องคาไมทาจิอย่างไม่ละสายตา และเกิดรอยยิ้มบางๆขึ้นบนใบหน้าหวานของเธออีกครั้ง พลางพึมพำออกมาเบาๆ
“ยังไงพวกเธอก็ดูน่ารักอยู่ดีแหละนะ...ไม่เหมาะกับนิทานภูติ ผี หรอก...เนอะ”
....
......
เสียงประกาศของรถไฟดังขึ้น เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกกับยูนะว่า เธอต้องย่างก้าวเข้าไปสู่โลกใบใหม่ และมัน เริ่มต้นขึ้นในชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอเอง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ