แค้นรักแค้นเสน่หา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 5 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรุ่งเช้าอภินราเดินเข้าห้องอาหารพร้อมหลานชายที่แต่งตัวเตรียมไปเรียนเปียโนระหว่างปิดภาคเรียน อานันท์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นตรงหัวโต๊ะอาหารยื่นกล่องของขวัญให้ซีโล เมื่อทั้งคู่นั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“สุขสันต์วันเกิดนะหลานปู่ โตเร็วๆ ว่านอนสอนง่าย เข้าใจไหม” อานันท์ยิ้มเมื่อหลานชายกล่าวขอบคุณและพนมมือไหว้ด้วยความนอบน้อม
“เมื่อวานคุณหมอว่าไงบ้างคะ” อภินราถามพลางเติมครีมและน้ำตาลลงในกาแฟของตน
“ก็ปกติดี จัดยาบำรุงเพิ่มมาให้ตัวหนึ่ง แล้วอีกสองอาทิตย์ก็นัดตรวจอีกเหมือนเดิม” อานันท์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เพราะไม่เคยยินดียินร้ายในสุขภาพของตัวเองมานานแล้ว หากลูกสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝา มีคู่ครองที่ช่วยเกื้อหนุนกันได้ ก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง ส่วนซีโลก็ยังเล็กนัก ตนคงไม่มีโอกาสอยู่จนถึงวันที่เขาเติบโตประสบความสำเร็จหากมั่นใจว่าอภินราจะดูแลซีโลเป็นอย่างดี
“อ้อ... เมื่อวานฉันไปกินข้าวกับพ่อแม่ของตฤณ”
อภินราแทบจะสำลักกาแฟเมื่อได้ยินคำพูดประโยคถัดไปของผู้เป็นพ่อ
“พวกเขามาสู่ขอแกให้กับตฤณ ฉันก็รับปากไปแล้ว พวกเขาดีใจกันยกใหญ่ที่ฉันไม่ขัดข้อง ดูเหมือนจะชื่นชมในความสามารถของแกมากบอกว่าจะรีบไปหาฤกษ์ดีให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องสินสอดก็ตามแต่เราจะเรียกร้อง แกอยากได้เครื่องเพชรชุดไหน บ้านใหม่ รถยี่ห้อไหนก็บอกไป พวกเขาคงไม่ขัดข้อง” อานันท์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ หากแต่คนฟังกลับอ้าปากค้าง ตกใจสุดขีดเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินเรื่องสำคัญเช่นนี้
“คุณพ่อ! แต่หนูกับตฤณยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับหนูมาก่อน จริงๆแล้วเราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ” อภินราพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ
“ฉันก็คุยให้แล้วนี่ไง” อานันท์บอกพลางมองหน้าลูกสาวด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
“แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตหนู คุณพ่อควรปรึกษาเรื่องนี้กับหนูก่อน ไม่ใช่ไปตกปากรับคำเขาแบบนั้น”
อานันท์วางช้อนข้าวต้มลงไม่เบานัก เสียงดังที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนในห้องอาหารเงียบกริบ “ฉันก็เห็นแกกับตฤณรักใคร่ให้ความช่วยเหลือกันดี แล้วก็ไม่เห็นว่าแกจะมีผู้ชายคนไหนเข้ามาข้องเกี่ยว แล้วมันจะมีปัญหาตรงไหนถึงได้มาตำหนิฉันปาวๆแบบนี้”
“หนูกับตฤณแค่เริ่มทำความรู้จักกัน ยังไม่ได้รักใคร่หรือมีความรู้สึกพิเศษกับเขาจนถึงขั้นแต่งงานนะคะ” อภินราลดเสียงกว่าครึ่ง อธิบายให้ท่านเข้าใจในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับตฤณ
“ก็ดีแล้วที่ไม่ได้รังเกียจเขา ฤกษ์ดีก็ไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย ยังไงเสียก็คงร่วมเดือน จากนี้แกก็ทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น เริ่มคุยเริ่มมองตฤณให้เหมือนคนรัก พอถึงฤกษ์งามยามดีจริงๆ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา”
“แต่...”
“เอาตามที่ฉันว่า” อานันท์สรุปในทันที เพราะรู้ว่าหากตนยืนกรานเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งอยู่แล้ว “แล้วแคมเปญเปิดตัวคอนโดมิเนียมที่บางใหญ่ไปถึงไหนแล้ว”
“หนูชะลอไว้ก่อนค่ะ เพราะยังต้องเอากลับมาทบทวนเรื่องราคา หนูคิดว่าเราตั้งราคาสูงเกินไป ซึ่งฝ่ายขายและการตลาดก็เห็นด้วย”
“แกจะรู้อะไร ฉันสั่งให้ทำอะไรก็รีบๆทำ แกเห็นแบบที่อินทีเรียเสนอมารึยังถึงได้พูดว่ามันแพง ในแต่ละยูนิตตบแต่งอย่างสุดหรู อาจจะดูว่าแพงแต่ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นโครงการที่น่าซื้อน่าอยู่อาศัยที่สุดในละแวกนั้น” อานันท์หัวเสียมากขึ้นเมื่อลูกสาวมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับตน
“แต่เราไม่มีเงินทุนหมุนเวียนพอที่จะทำอย่างนั้นนะคะ ตึกสูงขนาดนั้น ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างก็สูงมากพออยู่แล้ว” อภินราแสดงความคิดเห็นจากประสบการณ์ของตน นี่ไม่ใช่การลงทุนก่อสร้างคอนโดมิเนียมขายเป็นครั้งแรก เธอย่อมคำนวณต้นทุนที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นฉันเตรียมการไว้แล้ว ฉันให้คนเอาโครงการนี้ไปเสนอกับนายทุนต่างชาติแล้ว เขาก็ตอบรับมาว่าน่าสนใจมาก อีกสามวันเขาจะบินมาไทย เขาอยากพูดคุยกับเราถึงโครงการนี้ และนั่นก็เป็นหน้าที่ที่แกต้องโน้มน้าวใจเขาให้สำเร็จ”
“เขาเป็นใครคะ?” อภินราถามอย่างแปลกใจ
“ลินเนอุส คอนราดสัน นักลงทุนชาวสวีเดน แกคงเคยได้ยินประวัติของเขามาบ้าง” อานันท์เฉลยด้วยใบหน้าพึงใจ เมื่อมีโอกาสได้รู้ว่านักลงทุนแถวหน้าของโลกสนใจในโครงการของตน “อ้อ... วันนี้แกต้องไปยื่นแบบที่กระทรวงฯใช่ไหม”
“ค่ะ... คราวนี้หนูคงต้องไปยื่นซองด้วยตัวเองเพราะเป็นงานใหญ่ อีกอย่างเห็นว่าคนมาซื้อแบบการประมูลเยอะมาก คงจะหั่นลงจากราคากลางน่าดู” อภินราบอกพลางจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองอย่างเนือยๆ
“อย่าให้พลาดก็แล้วกัน” อานันท์บอกพลางหันไปมองซีโลที่จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว และคิดได้ว่าวันนี้อภินราคงไม่สามารถไปรับที่โรงเรียนได้ “อย่าลืมคุยกับซีโลด้วยว่าวันนี้ใครจะไปรับ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วจะมาอาละวาดอีก”
อภินราได้แต่พยักหน้ารับและมองผู้เป็นพ่อที่บังคับรถเข็นอัตโนมัติออกไปจากห้องอาหารทั้งที่ทานข้าวต้มไปแค่ไม่กี่คำ จึงสั่งให้แม่บ้านยกข้าวต้มพร้อมด้วยยาหลังอาหารตามเข้าไปให้ท่านในห้องทำงาน
“วันนี้เอลก้ามีงานสำคัญเหรอฮะ?” ซีโลถามขึ้นเมื่อร่างของคุณปู่ลับตา
“จ้ะ... อาจะให้คนรถไปรับที่โรงเรียน แล้วเย็นนี้ก็ไม่ต้องรอทานข้าว อาน่าจะกลับมาถึงบ้านสักสามทุ่ม ซีโลอย่างอแง ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังคุณปู่นะจ๊ะ”
“คร้าบ... คุยกันก่อนแบบนี้ ซีโลไม่งอแง จะเล่นของเล่นที่ฮาร์คิฟซื้อมาให้รอ” จบคำพูดก็เลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ หยิบเป้ใบโปรดมาสะพายไว้ข้างหลังในขณะที่คนเป็นอารู้สึกเบาโหวงเมื่อได้ยินชื่อของผู้ชายที่ทำให้เธอนอนตาค้างอยู่ครึ่งคืน อีกทั้งลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้บอกให้ท่านทราบเรื่องที่ฮาร์คิฟมาเยี่ยม แต่ดูจากสีหน้าของท่านแล้วคงไม่อยากรับรู้เรื่องรอบกายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจสินะ!
ห้องเพนนินซูลา สูท
อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว แต่ฮาร์คิฟยังคงอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดตาของโรงแรม ยืนจิบเอสเพรสโซ่ทริปเปิ้ลช็อต มองออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่ว่ากันว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาวเมืองหลวง
“เรียบร้อยแล้วนะคะ ดิฉันจัดการเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่ให้ทั้งหมดตามความของมิสเตอร์แล้วค่ะ” แม่บ้านวัยกลางคนเรียนให้แขกระดับวีวีไอพีทราบ
เธอออกจะประหลาดใจไม่น้อยที่ต้องกลับเข้ามาทำความสะอาดห้องอีกครั้ง ซึ่งได้รับแจ้งว่าลูกค้าต้องการให้เปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฟูกหนานุ่มขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พนักงานชายถึงสี่คน หมอน หมอนข้าง แต่พนักงานก็ทำตามความต้องการอย่างทันท่วงที ปราศจากข้อโต้แย้ง แน่นอนว่าผลตอบแทนในคำสั่งต้องมากพอที่จะทำให้ผู้จัดการฝ่ายสั่งเธอให้กลับเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง
ฮาร์คิฟหมุนตัวจากกระจกบานใหญ่ แล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ เขาหยิบธนบัตรที่มีมูลค่ามากที่สุดสองใบออกมายื่นให้แม่บ้านแล้วเดินผ่านเข้าไปในห้องนอนที่มีเครื่องนอนใหม่แกะซีลทุกชิ้น
สายน้ำเย็นที่ไหลลงมาปะทะกายแกร่งทำให้เขาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้เพียงร่างกาย ทว่าภายในจิตใจยังเต็มไปด้วยความสับสน จากที่เคยคิดว่าเมื่อได้ปลดปล่อยความต้องการในร่างกายกับผู้หญิงสักคนแล้วเขาคงจะลบภาพเรือนร่างของอภินราออกไปได้ แต่ผู้หญิงสวย ผิวขาวราวน้ำนม รูปร่างสะโอดสะองที่เยื้อย่างเข้ามาในห้องนี้ไม่ได้ทำให้เขาคึกคักอยากฟัดหล่อนแต่อย่างใด
หล่อนเปิดข้างบนนิด ปิดข้างล่างหน่อย เต้นแยกขาให้เขาเห็นไปถึงไหนต่อไหนยังไม่ทำให้เขามีเกิดอารมณ์ได้เท่ากับเห็นเรียวขาของอภินราผ่านแสงไฟในคืนนั้น ยังจำความรู้สึกเปรี้ยวปาก น้ำลายแห้งผากในตอนที่เห็นมือของหลานชายซุกอยู่กลางหว่างอกอภินรา และตั้งใจว่าจะบีบเคล้น ฟอนเฟ้นให้หายอยาก แต่เขากลับห่อเหี่ยวไม่ต่างจากไอ้แก่เซ็กซ์เสื่อม ไม่ว่าหล่อนจะเล้าโลมหนักข้ออย่างไร
สายตาของแม่สาวจอมยั่วที่มองเขาอย่างเห็นใจ หลังจากที่ใช้เวลาเล้าโลมอยู่นานนับชั่วโมงแต่กลับไม่คึกคักมันทำให้เขาอยากกลั้นใจตาย รู้สึกสมเพชตัวเองแม้ว่าหล่อนจะพูดอย่างเข้าใจว่า เขาคงเครียดจากการทำงานมากเกินไปถึงได้ไม่มีอารมณ์ร่วมเช่นนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด หากต้องตกใจกับปฏิกิริยาของร่างกายตัวเอง เมื่อทำตามคำแนะนำขั้นสุดท้าย
‘คุณอย่ามองฉันนะคะ แค่หลับตาแล้วรู้สึกเท่านั้น’ จบคำพูดแม่สาวเจนสังเวียนก็ปรนเปรอกลางกายเขาด้วยปากและลิ้น
หากเพียงแค่หลับตา... ใบหน้า เรือนร่าง และกลิ่นหอมเฉพาะตัวของอภินราก็เกิดขึ้นอย่างเด่นชัด เพียงแค่เงาของขาเรียวที่เห็นไม่นานก็ทำให้เขากำลังคิดว่าเธอใช้มันเกี่ยวกระหวัดสะโพกสอบ เนินเนื้อที่ดันขึ้นมาให้เห็นเพียงน้อยนิดยังทำให้เขาไพล่คิดไปว่าได้ดื่มชิม ฟอนเฟ้นมันอย่างเต็มที่ ฉุดรั้งให้พวยพุ่งสู่จุดแตกดับได้ในเวลาต่อมา
ฮาร์คิฟส่ายหน้าให้กับตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหน่ายใจและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกแบบนั้นได้ รังเกียจแม้กระทั่งเครื่องนอนที่ใช้ร่วมกับหล่อนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง จนต้องรีบแต่งตัวและสบถกับตัวเองออกมาอย่างแค้นใจ “สักวันเถอะเอลก้า ผมต้องได้คุณเพื่อลบความรู้สึกบ้าๆนี่ออกไปเสียที!”
ในขณะที่อภินราเดินทางมาถึงกระทรวงแห่งหนึ่งในช่วงบ่ายจัดของวัน ซึ่งเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการปิดรับการยื่นแบบประมูลงาน พนักงานของบริษัทที่เดินทางมาสำรวจลาดเลาตั้งแต่เช้ารีบเดินเข้ามาสมทบ เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวเดินทางมาถึง
“สถานการณ์เปลี่ยนไปนะครับ เมื่อชั่วโมงที่แล้วมีบริษัท... มาซื้อแบบและผมคิดว่าต้องฟันราคาลงมามากกว่ายี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์” พนักงานชายซึ่งมีหน้าที่ยื่นแบบประมูลงานของวรโชติ คอนสตรักชั่นรายงาน การฟันราคาเป็นคำศัพท์ที่ใช้กันในการยื่นแบบประมูลถนนหรือโครงการก่อสร้างต่างๆ เป็นการเสนอต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดราว 20-30%
“ทำไมเป็นอย่างนั้น ปกติเรากับบริษัท... ไม่เคยล้ำเส้นกัน” อภินรายังถามไม่จบประโยค ก็มองเห็นชายร่างกำยำราวสี่คน มองมายังเธอด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร แต่เธอก็ยังไม่หวั่นเกรงเพราะไม่คิดว่าจะได้รับอันตรายในสถานที่ราชการ ทั้งยังเป็นเวลากลางวันเช่นนี้
“กลิ่นไม่ดีนะครับ พาคนมาด้วยแบบนี้ ผมคิดว่าพวกมันต้องการแย่งงานนี้จากเราแน่ๆ” กระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน ในขณะที่เดินผ่านหน้ากลุ่มชายดังกล่าวขึ้นไปยังอาคาร
แน่นอนว่า... นิติบุคคลองค์กรใหญ่อย่างวรโชติ คอนสตรักชั่น ย่อมมีผลงานและชื่อเสียงดีกว่าบริษัทเล็กน้อยซึ่งสืบรู้มาก่อนว่าเป็นคู่แข่งในครั้งนี้ หากบริษัท... ใหญ่ที่เสนอตัวเข้าร่วมอย่างกะทันหันย่อมทำให้รัฐมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น
“ผมคิดว่าเราน่าจะฟันราคาลงมาสู้กับพวกมัน ไม่งั้นเราชวดงานนี้แน่ครับ” วิเคราะห์จากประสบการณ์ตรงซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการนี้หลายปี หากท้ายที่สุดเขาก็ต้องรอการตัดสินใจของเจ้านายสาวที่มีสีหน้ากังวลใจยิ่งนัก
อภินราพยักหน้ารับและเดินหมุนตัวกลับไปกลับมาอยู่สองสามรอบ เธอกำลังชั่งใจว่าจะกรอกราคาในเอกสารที่อยู่ในมือนี้เท่าเดิมหรือจะลดราคาลงมาอีก หากสายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของฮาร์คิฟที่เดินใกล้เข้ามา เธอยังไม่ได้เอ่ยว่าอย่างไร เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“อันตรายแบบนี้ทำไมถึงได้มาคนเดียวนะเอลก้า”
อภินรามองมือใหญ่ที่แตะเข้าหัวไหล่ทั้งสองข้างของตน สายตาคมกริบกวาดมองราวกับสำรวจว่าเธอได้รับอันตราย น้ำเสียงเอื้ออาทรทำให้เธออุ่นซ่านไปทั้งร่าง หากไม่รู้ว่าจะตอบในสิ่งที่เขาถามอย่างไรเพราะเธอทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน “คุณ... มาได้ยังไงคะ?”
“ผมเข้าไปหาที่บริษัท เลขาฯบอกว่าคุณออกมายื่นซอง ผมเลยรีบตามมา” ฮาร์คิฟบอกแล้วย้ำถามอีกครั้ง มองเธออย่างไม่พอใจ “ทำไมต้องออกมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้?”
“ก็... ฉันทำมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยเจอแบบนี้สักทีนี่คะ”
“แล้วคราวนี้เป็นไง” พูดพลางบุ้ยใบ้ไปยังกลุ่มชายดังกล่าวซึ่งมองจากตรงนี้ยังเห็นเดินป้วนเปี้ยนอยู่ด้านหน้าอาคาร ทั้งอีกสองคนยังเดินไปใกล้รถของเธออีกด้วย “ถ้าพวกมันหิ้วคุณขึ้นรถแล้วจับไปฆ่าถ่วงน้ำจะทำยังไง ใครจะมาช่วยทัน”
“ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ คุณก็พูดเกินไป”
“ยังจะมาเถียงอีก พวกมันขนกันมาแบบนี้คุณต้องระวังตัวไว้ก่อน อย่าประมาทสิ”
หากไม่มีเวลาโต้แย้งเขาอีกแล้วเพราะเหลืออีกไม่ถึงสิบนาที เจ้าหน้าที่จะปิดการยื่นแบบประมูล “ตัดสินใจเถอะครับท่านรองฯ เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
อภินราพยักหน้าแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อนำเอกสารในซองออกมากรอกราคา หากอาการที่เธอถือปากกาไว้ในมือนิ่งๆเช่นนั้นก็ทำให้ฮาร์คิฟเข้าใจสถานการณ์ยากลำบากของเธอได้เป็นอย่างดี เขาเองก็ทำธุรกิจเดียวกันนี้พบเจอปัญหาเช่นนี้ไม่วายเว้น
“กรอกราคาที่คิดเอาไว้เลยเอลก้า เชื่อผม” ฮาร์คิฟย้ำ
“แต่.../ไม่ได้นะครับ” อภินราและพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลแย้งขึ้นพร้อมๆกัน แต่ฮาร์คิฟกลับไม่สนใจ จ้องมองเข้าไปในดวงตาซึ่งฉายแววลังเลใจ บอกเธอด้วยคำพูดหนักแน่น
“กรอกราคาที่คิดเอาไว้ อย่าไปลดราคาแข่งกับพวกมัน คุณรู้ว่าจุดคุ้มทุนอยู่ตรงไหน ได้งานมาทำแต่ไม่มีกำไรหรืออาจจะขาดทุน จะเอามาให้เป็นภาระทำไม เขียนลงไปที่รัก คุณต้องชนะแน่ๆ” ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เชื่อผมเอลก้า ไม่มีเวลาแล้ว”
จบคำพูดนั้นอภินราก็กรอกตัวเลขที่คิดเอาไว้ในใจลงไปในช่องว่างที่เหลือนั้นทันที ไม่นานนักเธอก็ยื่นซองสีน้ำตาลให้เจ้าหน้าที่ในนาทีสุดท้ายก่อนที่จะปิดการยื่นแบบประมูล ทันทีที่เธอหมุนตัวออกจากเคาน์เตอร์ด้วยความหวั่นใจ ก็มีฝ่ามืออบอุ่นข้างหนึ่งคว้าเอามือของเธอไว้และบีบกระชับเป็นจังหวะอย่างให้กำลังใจ
“คุณต้องชนะแน่ อย่ากังวลไปเลย ยิ้มหน่อยสิคนดี” ไม่พูดเปล่าแต่ยังใช้มืออีกข้างคลึงบริเวณหว่างคิ้วได้รูป จนสายตาหลายคู่มองมาอย่างสนใจ หากมันไม่ได้น่าเกลียดหรือประเจิดประเจ้อ แต่มันชวนฝันอยากได้ผู้ชายมาดเข้มแข็งทว่าปกป้องทะนุถนอมเราเช่นนี้ไว้ข้างกาย เสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังขึ้นทำให้อภินราหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอรีบเดินออกจากอาคารหากแต่ฮาร์คิฟกลับรั้งหัวไหล่ของเธอเอาไว้ เมื่อทั้งคู่เดินลงมาแล้วยังเห็นชายกลุ่มดังกล่าว
หนึ่งในชายสี่คนก้าวออกมาขวางทางทั้งคู่ไว้ หากแต่ฮาร์คิฟกลับเดินไปเรื่อยๆ จนร่างซีกซ้ายของเขาปะทะเข้ากับชายร่างกำยำอย่างแรง ในขณะที่ยังโอบหัวไหล่เธอไว้เช่นเดิม “อยากลองกับกูก็ตามมาเลย”
อภินราหน้าถอดสีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “อย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ ขอร้อง”
“เรื่องมาถึงที่จะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว” พูดพลางเปิดประตูรถแล้วดันแผ่นหลังบอบบางให้เธอเข้าไปในนั่งในรถของตัวเอง หากดวงตาหวานที่มองมาอย่างเป็นห่วง ก็ทำให้เขาเผลอยิ้มอย่างพึงใจ รู้สึกดีที่ได้เห็นเช่นนั้น “ถ้าคุณทำแผลเป็น ก็ไม่ต้องห่วงผมมากหรอกเอลก้า”
อภินรามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินออกไปประจันหน้ากับชายอีกสี่คน หากในที่นั่งคนขับด้านหน้ายังมีคนของเขานั่งอยู่อย่างไม่ไหวติง ไม่คิดจะลงไปช่วยเหลือเจ้านายสักนิด “คุณน่าจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้านายบ้าง”
“ผมไม่ห่วงท่านหรอกครับ” รามานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนคนฟังนึกฉุน “ต่อให้ดวลกันอีกสักสิบคน ก็ไม่มีทางล้มท่านได้แน่”
อภินราแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อชายกลุ่มดังกล่าวถอยห่างจากเขาไปยังรถกระบะแล้วบึ่งออกไปด้วยความเร็ว ในขณะที่ฮาร์คิฟเดินไปสั่งให้คนขับรถของเธอกลับไปแล้วจึงเดินมากลับเข้ามานั่งในรถของตน
“คุณพูดอะไรกับพวกเขาคะ?...” อภินราถามคนที่ขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆในขณะที่รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอดหน้ากระทรวงฯ
“ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่พวกมันนัดผมออกไปดวลกันที่อื่น แต่ผมยืนยันว่าจะเอามันตรงนี้ อีกคนเลยพูดขึ้นทำนองว่าสถานที่ราชการ กลัวเจ้านายจะเดือดร้อน” บอกพลางลูบท้องตัวเอง “หิวข้าวจัง ผมรีบตามคุณมาจนลืมทานเที่ยงไปเลย”
“พูดแค่นั้นพวกมันก็ยอมกลับไปง่ายๆเหรอคะ?” ถามต่อด้วยความข้องใจ
“ก็ผมไม่ต้องกลัวใครเดือดร้อนนี่ ถ้าจะต่อยก็ต่อยมันตรงนี้ เสียค่าปรับไม่กี่บาทหรอกมั้ง ขนหน้าแข้งผมไม่ร่วงหรอกทูนหัว อีกอย่างผมคิดว่าพวกันคงแค่มาข่มขวัญคู่ต่อสู้เท่านั้น”
คำตอบพร้อมด้วยท่าทางผยองของเขาทำให้อภินราค้อนขวับ แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาช่วยเธอเอาไว้ “ขอบคุณมากๆนะคะที่ช่วยฉัน อ้อ... แถวนี้มีร้านอาหารอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง เลยไฟแดงนี้ไปสักสองร้อยเมตร เดี๋ยวคุณจอดให้ฉันลงตรงนั้นเลยก็ได้”
“อ้าว แล้วไม่ทานข้าวด้วยกันก่อน” ฮาร์คิฟเลิกคิ้วถาม หากมองเธอไม่วางตาเพราะแก้มเธอไม่ได้แดงก่ำในยามที่เขินอายเท่านั้น แต่แค่ถูกแสงแดดในตอนบ่ายลามเลียก็แดงระเรื่อ น่ามอง
“เย็นมากแล้วค่ะ ฉันยังต้องเข้าบริษัทเพราะมีงานค้างอยู่”
ฮาร์คิฟโคลงศีรษะรับและสั่งให้คนของตนมุ่งหน้าไปยังบริษัทของเธอ “สั่งอาหารไปทานในห้องทำงานคุณได้ใช่ไหม ผมไม่ชอบทานอาหารคนเดียว นะ... ถือว่าผมทวงคำขอบคุณก็แล้วกัน”
อภินราลอบถอนหายใจ ไม่สามารถปฏิเสธได้ ความจริงแล้วเธอไม่อยากอยู่ใกล้ชิดเขาเลยสักนิด ยิ่งรู้ว่าผู้เป็นพ่อตกปากรับคำกับฝ่ายตฤณเอาไว้แล้ว เธอยิ่งไม่อยากทำให้ตัวเองต้องไขว้เขว แต่ก็จนใจจะปฏิเสธ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ