แค้นรักแค้นเสน่หา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  17.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 6 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อาหารมื้อเที่ยงของฮาร์คิฟกลายเป็นมื้อเย็นในทันที เพราะกว่าจะฝ่าการจราจรอันติดขัดมาถึงบริษัท ทั้งยังต้องรออีกร่วมชั่วโมงกว่าอาหารที่สั่งหลายเมนูจะมาเสิร์ฟถึงที่

ในระหว่างที่รออาหารนั้น เขามีโอกาสได้สำรวจอาณาจักรของวรโชติ คอนสตรักชั่น แน่นอนว่ามันเทียบไม่ได้กับธุรกิจที่เขามี แต่เขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบคนที่รัก เช่นที่อานันท์ทำกับมาร่าและวาเรียอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าสิ่งที่มองเห็นอยู่รอบตัวนี้ เงินและทรัพย์สมบัติของวาเรียที่ทิ้งไว้ อาจจะต่อแขนต่อขาให้วรโชติมีหน้ามีตาเช่นทุกวันนี้ก็เป็นได้

อาหารหลากหลายเมนูถูกยกเข้ามาและฮาร์คิฟไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาคงกลายเป็นไอ้แก่อ้วนฉุแน่ ถ้าได้ทานข้าวพร้อมเธอแล้วมันจะอร่อยไปเสียทุกอย่าง บางอย่างที่เผ็ดยังทำให้เขาตักเข้าปากอยู่บ่อยๆเพราะชอบใจที่ได้เห็นเธอหัวเราะ เอาใจใส่ด้วยการยื่นน้ำให้ เสียงหวานที่คอยแนะนำให้รู้จักกับบางอย่างที่เพิ่งลิ้มลองยิ่งทำให้เจริญอาหาร สุดท้ายยังมีทับทิมกรอบที่เธออธิบายขั้นตอนการทำจนเขาไม่อยากเชื่อว่า... ผู้หญิงอะไรจะเก่งรอบด้าน ทำธุรกิจก็ดี เข้าครัวก็เก่ง เลี้ยงหลานยังได้!

โอ... เมื่อไหร่จะลบภาพเรือนร่างของเธอออกไปได้นะ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งคิดถึงความรู้สึกที่ฝ่ามือได้เคล้นคลึงทรวงอกอวบของเธอ

“คุณจะกลับเลยไหมคะ?” อภินราถามเมื่อเห็นว่านั่งนิ่งอยู่บนโซฟา หลังจากที่ทานข้าวไปสามจาน

“ทำไมต้องไล่กันด้วย ผมเสียใจนะ”

“ไม่ได้ไล่นะคะ” อภินราส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน “ฉันแค่เห็นว่าคุณเหนื่อยมามากแล้ว และถ้ากลับตอนนี้รถก็คงไม่ติดเท่าไหร่”

“ผมพักที่โรงแรม... ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แล้วคุณล่ะ เมื่อไหร่จะกลับ?”

“ฉันต้องอ่านรายละเอียดโครงการใหม่อีกน่ะค่ะ อีกสักชั่วโมงถึงจะกลับแล้ว” บอกพร้อมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของตน

“งั้นผมอยู่เป็นเพื่อน จะได้ไปส่งคุณที่บ้านด้วย”

“อย่าเลยค่ะ ฉันขับรถกลับเองได้”

“อย่าปฏิเสธเลยน่า... วันนี้น่าจะตามใจผมหน่อย ค่าที่ช่วยเหลือคุณจากไอ้พวกกุ๊ยนั่น” บอกพลางเดินล้วงกระเป๋าเข้ามายืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน แล้วพิงสะโพกสอบเข้ากับขอบโต๊ะ ชะโงกหน้ามองเอกสารที่เธออ่านอย่างตั้งใจตั้งแต่มาถึงในตอนบ่าย “ผมว่าคุณทำงานหนักไปนะเอลก้า ไหนต้องกลับไปดูแลซีโลอีก”

“งานนี้เลี่ยงไม่ได้ค่ะ มันสำคัญกับพวกเราจริงๆ ฉันต้องทำการบ้านไปให้ดีเพราะถ้าตอบคำถาม อธิบายให้เขาร่วมทุนด้วยไม่ได้ นั่นแหละ ลำบากแน่ๆ”

ฮาร์คิฟยักไหล่ราวกับเรื่องสำคัญของเธอเป็นเรื่องขี้ผงสำหรับเขา “แล้วกลับบ้านดึกๆแบบนี้ซีโลไม่โวยวายเหรอจ๊ะ ดูแกติดหนึบคุณยังกับอะไรดี”

“ถ้าอธิบายให้แกเข้าใจว่าจะกลับดึก แกก็ไม่มีปัญหาค่ะ จริงสิคะ ฉันยังไม่ได้เล่าให้คุณพ่อฟังเลยว่าคุณมาเยี่ยม แล้วจะกลับเมื่อไหร่คะ หรือจะให้ฉันโทรฯไปบอกท่านก่อนไหมว่าคุณจะไปหา” อภินราระรัวคำถามเข้าใส่ แต่ชายหนุ่มกลับสนใจอยู่ที่เอกสารในมือของเธอ

“เอาไว้วันหลังดีกว่า ดึกแล้วไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนพ่อบุญธรรม”

อภินราพยักหน้ารับพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อจู่ๆเขา แบมือมาตรงหน้าราวกับจะขออะไรสักอย่าง “คะ?...”

“ขออ่านหน่อย เดี๋ยวผมช่วยเทรนให้ว่าจะต้องไปคุยกับพวกนายทุนพวกยังไง รับรองไม่พลาดแน่” หากเธอปั้นหน้ายาก ท่าทางกระอักกระอ่วนใจ “น่า... รับรองว่าไม่คิดฮุบหรือเอาความลับของบริษัทคุณไปเปิดเผยแน่”

“แต่...” หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความลังเลใจ

ความจริงแล้วเมื่อเช้าเธอแอบอู้งานราวสิบนาทีเพื่อค้นประวัติเขาในอินเทอร์เนต และเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของโลก ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่จะเปิดเผยความลับของบริษัทให้บุคคลภายนอกล่วงรู้

“ผมรวยจนเอียนแล้วล่ะเอลก้า สาบานว่าไม่อยากได้อะไรที่เป็นของคุณเหมือนที่พะ...” ฮาร์คิฟเกือบหลุดปากเอ่ยถึงพ่อของเธอ แต่ก็ยังดีที่ยั้งไว้ได้เสียก่อน

“เหมือนอะไรคะ?...” เอียงคอถามอย่างสงสัย หากมันเป็นกิริยาน่ารักในสายตาของคนมองยิ่งนัก

ฮาร์คิฟส่ายหน้าและยิ้มไปกับภาพที่เห็น “เปล่าจ้ะ ตกลงว่าจะให้ผมช่วยไหม”

“ความจริงแล้วอยากให้ช่วยค่ะ ฉันพอรู้มาบ้างว่าคุณเป็นนักธุรกิจที่เก่งและร่ำรวยเอามากๆ แต่มันเป็นเรื่องไม่เหมาะที่ฉัน อุ้ย!...” อภินราอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่ออีกฝ่ายถือวิสาสะฉวยเอาเอกสารตรงหน้าเธอไปอ่านหน้าตาเฉย

“ข้อแรก... การตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ต้องยึดเอาความคิดแรกเพราะมันมักจะทำให้เราประสบความสำเร็จเกินกว่าครึ่ง” นั่นคือความจริงที่เขาใช้ในการตัดสินใจเรื่องสักอย่างเสมอ หากแท้จริงแล้วกลับสนใจในคำพูดที่ว่า เธอพอรู้ว่าเขาร่ำรวย!

นั่นไงล่ะ เธอเริ่มเผยธาตุแท้ให้เห็นทีละนิดแล้ว ทั้งที่ยืนยันว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนแต่แค่คืนเดียวเธอยังรู้ว่าเขาทำมาหากินอะไร ร่ำรวยแค่ไหน คุณมันปีศาจชัดๆ อภินรา!

เมื่อต่างคนต่างอ่านเอกสารในมือความเงียบก็เข้าครอบงำ หากไม่ถึงสิบนาทีอภินราก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่วางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมายืนข้างๆ มือใหญ่หมุนเก้าอี้ให้หันหน้าไปหาเขาพร้อมกับฉวยเอาข้อมือ รั้งเธอให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“เดี๋ยวค่ะ จะไปไหน?”

“กลับบ้านได้แล้วเอลก้า คุณควรพักผ่อนได้แล้วที่รัก”

แม้จะตะขิดตะขวงใจกับคำว่า ‘ที่รัก’ แต่เธอก็รู้สึกแช่มชื่นหัวใจที่ได้ยินเช่นนั้น “กลับได้ไงคะ ฉันต้องอ่านเอกสารพวกนั้นให้จบก่อน”

เมื่อเธอรั้นทั้งยังทิ้งน้ำหนักตัวต่อต้านเขามากขึ้น ฮาร์คิฟก็วาดแขนอีกข้างไปคว้าที่เอวคอดกิ่ว พาเธอเดินออกจากห้องราวกับไร้น้ำหนัก หากโชคดีที่ไม่มีใครอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นพนักงานน้อยใหญ่คงซุบซิบเรื่องนี้กันสนุกปากแน่

“เดี๋ยวค่ะ ปล่อยก่อนได้ไหม เจ็บนะ!”

เขายังเดินไม่หยุด ไม่ได้ปล่อยตามที่เธอร้องขอ หากก้มลงมาหาพลางเลิกคิ้วถามราวกับว่าเธอกำลังโป้ปดมดเท็จ ยิ่งทำให้อภินราไม่พอใจที่เขาถือวิสาสะทำให้เธอเสียการเสียงานเช่นนี้

“ฉันเจ็บสีข้างจริงๆ คุณกำลังยกฉันเดินอยู่นะ” เขาทำอย่างนั้นจริงๆเพราะสองเท้าของเธอแทบไม่สัมผัสพื้นแต่ตอนนี้กลับเข้ามาอยู่ในลิฟต์  เขาถึงได้ยอมปล่อยมือจากเธอ “ฉันต้องทำงานนะคะ ไม่มีเวลามาเล่น...”

“ผมจริงจังนะ ไม่เคยคิดเล่นๆกับคุณ” โต้กลับทันควันพร้อมก้าวไปประชิดเธอ ผนังของลิฟต์เป็นกำแพงกักขังเธอให้อยู่ในวงแขนของเขา

“คุณไม่รู้สึกพิเศษกับผมบ้างเหรอเอลก้า”

อภินราแหงนหน้ามองเขาอย่างนิ่งงัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร “ฉัน... ไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ อีกอย่างเราเป็นเหมือนญาติกัน”

“ข้ออ้างทั้งเพ มันมีกฎหรือประเพณีของบ้านเมืองไหนที่ห้ามไม่ให้ผมกับคุณคบกัน หืม?...”

คำพูดรุกหนัก ตรงไปตรงมาของเขายิ่งทำให้เธอจับต้นชนปลายไม่ถูก จริงอยู่ว่าเธอก็เองรู้สึกกับเขาพิเศษเอามากๆ แต่มันคงเป็นเรื่องประหลาดที่จะตกปากรับคำคบกับเขาทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมง

โอ!... เขาเรียกกันว่าผู้หญิงใจง่ายสินะ อภินราตกใจกับความจริงที่เกิดขึ้น

เธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง คำพูดของผู้เป็นพ่อที่ตกปากรับคำเรื่องแต่งงานไปแล้ว ย้อนกลับเข้ามาในความคิด เสียงลิฟต์ที่ดังขึ้นเมื่อถึงชั้นล่างก็ไม่ได้ทำให้เธอดึงสติกลับมาได้ กระทั่งเขาพาเธอเดินขึ้นมานั่งบนรถ เสียงปิดประตูที่ดังขึ้นถึงทำให้เธอสะดุ้งและหันไปมองหน้าเขาด้วยความว้าวุ่นใจ

“คุณแค่กำลังรู้สึกพิเศษกับผมเท่านั้นนะเอลก้า โลกไม่ได้แตกสลาย โอบามาไม่ได้คบชู้กับปูติน อย่าทำหน้าเหมือนถึงวันสิ้นโลกอย่างนั้นสิคนสวย” หากการตั้งใจทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นกลับทำให้อภินราเห็นว่าเขากำลังปั่นหัวเธอเล่น

ผู้ชายที่มีทุกสิ่งเพียบพร้อมอย่างเขา จะมารักใคร่ใยดีหรือคิดจริงจังอย่างที่เขาพูดเมื่อครู่ได้เช่นไร ก็เมื่อเช้าประวัติส่วนตัวเรื่องผู้หญิงของเขามันไม่ต่างจากการเปลี่ยนคอนดอม ใช้แล้วทิ้ง ไม่เคยเก็บมาใช้ซ้ำ ผู้ชายอายุ 33 ปี ควรตกล่องปล่องชิ้นกับใครสักคนตั้งนานแล้ว หรือไม่ที่เขาพูดจาหว่านล้อมเธออย่างนั้นก็อาจจะเป็นเพราะต้องการเพียงแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยเพียงชั่วคืน หากไม่รู้ว่าผีสางตนใดเข้าสิงให้เธอพูดโพล่งออกไปเช่นนั้น

“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนต์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว” เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ

“เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”

อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้ “คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”

ฮาร์คิฟไหวไหล่และขยับตัวเข้าไปใกล้เธอจนหัวไหล่มนชนกับต้นแขนของตน “คุณก็รู้ว่าภาษาไทยผมไม่เอาไหน จะให้ประดิษฐ์คำพูดหวานๆเลี่ยนๆ ก็ทำไม่ได้ พอพูดตรงๆคุณก็มองผมเป็นไอ้หื่นกาม แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฮึ? บอกมาสิคนสวย ถ้าผมทำได้รับรองว่าจะท่องมันให้ฟังทุกวันเลย”

ไม่พูดเปล่าแต่ยังโน้มตัวลง เกยปลายคางไว้กับบ่าของเธอจนปลายจมูกแทบจรดกับแก้มนวล

“อื้อ... ถอยไปนะคะ อย่าทำตัวรุ่มร่าม” อภินราเอนตัวหนีจนแทบติดกับประตูรถอีกฝั่ง หากเขายังตื้อไม่หยุด ซ้ำร้ายยังฉวยโอกาสวางทั้งศีรษะลงบนหัวไหล่ของเธออีกด้วย “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ”

“สบายจัง ง่วงนอนแล้วด้วย” ฮาร์คิฟบอกความรู้สึกที่แท้จริง ไม่สนใจกับเสียงเขียวที่สั่งดุๆนั่น

“เอ๊ะ! ฉันบอกให้ถอยไป พูดไม่รู้ฟัง ฉันชักจะระอาใจกับคุณแล้วนะ จะเอาอะไรกับฉันกันแน่” อภินราพูดพร้อมใช้มือดันศีรษะของเขาออกจากหัวไหล่ตัวเอง “รู้ไหมว่าคุณทำให้ฉันเสียงาน”

ฮาร์คิฟหัวเราะร่วน ชักสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเธอ ยอมลุกขึ้นนั่งหันข้าง มองเธอขันๆทั้งที่จริงแล้วการได้ซบบนบ่าเธอมันดีกว่าเป็นไหนๆ “ก็บอกแล้วว่าจะเทรนให้ เดี๋ยวผมเขียนสคริปต์ให้ไปพูดเลย รับรองว่าคุณไม่พลาดงานนี้แน่”

“อย่ามาโอ่หน่อยเลย ฉันรู้ว่าคุณเก่งแต่คงไม่เก่งขนาดรู้ใจนักลงทุนระดับโลกอย่างลินเนอุสแน่” อภินราชักฉุนเมื่อเห็นเขาทำเป็นเล่นไปเสียทุกเรื่อง

“นักลงทุนที่ไหนก็ตาลุกเห็นแก่ผลกำไรทั้งนั้นล่ะเอลก้า ต่อให้คุณสาธยายว่าโครงการนี้มีดีแค่ไหน เขาก็ไม่ชายตาแลจนกว่าคุณจะชี้ให้เห็นว่าได้กำไรจากโครงการนี้เท่าไหร่ คิดเฉลี่ยออกมาเป็นนาทีละกี่ล้านยูโร”

“ขนาดนั้นเชียว?”

“จริงแท้ แน่นอน”

“แล้วถ้าไม่สำเร็จ?” อภินราท้าทายเมื่อเห็นว่าเขามั่นใจอย่างเต็มที่

“ผมควรถามมากกว่า ว่าถ้าสำเร็จ คุณจะให้อะไร?”

หากอภินราก็ฉลาดพอที่จะไม่ท้าทายเขาต่อด้วยการถามว่า เขาต้องการอะไร เพราะรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงลิบลิ่ว หากยังด้อยกว่าเขาทุกทางอย่างหวังว่าจะเอาชนะกลุ่มคนจำพวกนี้ได้ “เลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ”

“จิ๊บจ้อย เสนอใหม่ซิ”

อภินราส่ายหน้า “คุณมีทุกอย่างแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะเสนอให้หรอกค่ะ”

“คุณรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่เอลก้า ว่าผมอยากได้อะไร” ฮาร์คิฟบอกอย่างรู้ทัน หากเธอก็ฉลาดทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถามถึงเรื่องงานเสียดื้อๆ

“แค่ฉันคำนวณกำไรที่เขาควรจะได้ คุณคิดว่าเขาจะยอมลงทุนเลยเหรอคะ”

“เราคุยกันเรื่องค่าตอบแทนค้างอยู่นะจ๊ะ อย่าเฉไฉผมกำลังจะบอกว่าต้องการอะไรจากคุณ” ฮาร์คิฟยังลากเธอมาอยู่ที่เรื่องเดิม

“คุณรู้จักหรือเคยร่วมงานกับลินเนอุสเหรอคะ ถึงเดาได้ว่าเขาสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ” เธอยังถามไปอีกเรื่อง

“เอลก้า... คุณกำลังโกงผมอยู่” เตือนพร้อมมองเธอด้วยสายตาคาดโทษ หากเธอยังทำเมินเฉย ชะเง้อมองแล้วยิ้มอย่างดีใจเมื่อรถกำลังเลี้ยวเข้าปากซอย ไม่กี่นาทีต่อมารถยนต์สุดหรูก็จอดอยู่หน้าบันไดใหญ่ของคฤหาสน์วรโชติ

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง แล้วก็ขอบคุณเรื่องในวันนี้ที่ช่วยฉันด้วย” อภินราบอกพลางเปิดประตูรถออก หากยังไม่ทันได้ก้าวขาลงจากรถ เขาก็คว้าเข้าที่ข้อมือของเธอทันที

“ผมอยากจูบคุณเอลก้า จูบแบบที่ผู้ชายอยากจูบผู้หญิงของตัวเอง” บอกไปตรงๆนี่แหละ ยังไงเสียเขาก็ต้องได้จูบเธอ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“คะ...คุณ คนหื่นกาม”

เขาโคลงศีรษะรับกับคำต่อว่าที่เธอพูดออกมาอย่างเหลืออด “คืนนี้นอนหลับให้สบาย เรื่องงานปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมหรือถ้าคุณอยากจะอ่านเอกสารพวกนั้นให้รกสมอง ผมคงห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่คุณจะพูดกับพวกนักลงทุนต้องเป็นสิ่งที่ผมคิดให้เท่านั้น และ... แค่จูบเดียวกับความสำเร็จนั่น”

อภินราวาบหวามไปทั้งร่างกับความต้องการที่เขาเปิดเผยให้ได้รู้อย่างชัดเจน เธอรีบเดินเข้าบ้านในขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะอันพึงใจของเขาดังไล่หลัง เพียงชั่วอึดใจที่ได้ยินเสียงรถแล่นห่างออกไปก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาทำให้เธอหัวใจสั่นไหว ทำให้เธอยิ้ม หัวเราะ เขินอาย โกรธงอน ทุกความรู้สึกที่ต้องเกิดขึ้นหากเผลอใจให้ใครสักคน แต่เมื่อเทียบกับตฤณในระยะเวลาเกือบสี่เดือนที่รู้จักกันแล้ว เธอแทบจะไม่ได้เฉียดใกล้กับความรู้สึกวิเศษเหล่านั้นเลย

 

 “ใครมาส่งถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนั้น?” เสียงราบเรียบทว่าเฉียบขาดของอานันท์ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกสาวเดินขึ้นมาถึงชั้นบน แล้วยังอมยิ้ม ใบหน้าแช่มชื่นราวกับคนกำลังมีความรัก ซึ่งไม่ได้เห็นมานานเต็มที

“คุณพ่อ ยังไม่หลับอีกเหรอคะ”

“จะหลับลงได้ยังไง ในเมื่อฉันรอฟังข่าวจากแกอยู่”

อภินรารู้ดีว่าพนักงานชายต้องโทรฯเข้ามารายงานความคืบหน้าให้ท่านทราบแล้ว และท่านคงแค่อยากทราบว่าเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งที่วรโชติไม่เคยก้าวล่วงการทำงานของอีกบริษัทที่เข้าเสนอตัวเป็นคู่แข่งในวันนี้มาก่อน “หนูยืนยันราคาเดิมไปค่ะ เพราะงานนี้เราก็ไม่ได้มีกำไรมากมายอะไร ถ้าให้ฟันราคาลงตามที่คนสังเกตการณ์บอก ก็รังแต่จะขาดทุนเปล่าๆ”

“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าแกจะฟันราคาลงสู้กับพวกมันอย่างนั้น แล้วทำไมไม่โทรฯมาบอกพ่อว่าพวกมันส่งอันธพาลไปก่อกวน”

“ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันรุนแรงหรอกค่ะ คงถูกส่งมาให้ข่มขวัญหนูมากกว่า อีกอย่างพี่ชายของวาเรียก็มาช่วยไว้ได้ทัน หนูเลยไม่ได้โทรฯบอกพ่อค่ะ” อภินราบอกตามความจริง

“หึ! นึกว่าจะปิดไว้เป็นความลับ แล้วมันมาทำไม ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมาแสดงตัว” อานันท์รู้เรื่องจากการสอบถามซีโล เพราะสงสัยว่าของเล่นที่เพิ่มขึ้นมากมายหลานชิ้นมาจากไหน

“หนูตั้งใจจะบอกตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ แต่เห็นว่าคุณพ่ออารมณ์ไม่ค่อยดี เมื่อวานเขามาหาหลังจากที่คุณพ่อออกไปไม่ถึงชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้มาเรียกร้องอะไรนะคะ เขาบอกว่าแค่เยี่ยมซีโล”

“แน่ล่ะสิ! มันจะมาเรียกร้องอะไรจากฉัน ในเมื่อมันก็เป็นแค่พี่คนละแม่กับวาเรีย ไอ้หมอนี่มันจองหองจะตาย ที่มันเรียกฉันว่าพ่อบุญธรรมก็เพราะไม่อยากขัดใจมาร่า” อานันท์ยังจำความจองหองของลูกติดวิกตอร์ได้เป็นอย่างดี

“คุณพ่อเคยเจอเขาแล้วเหรอคะ?”

“ก็สักสองครั้ง ตั้งแต่มันยังเป็นวัยรุ่น อีกครั้งก็ตอนที่ฉันไปรับวาเรียมาเรียนที่นี่” อานันท์บอกลูกสาว หากในใจรู้ดีว่า มาร่าอาจจะส่งฮาร์คิฟมารับตัวซีโลไปเลี้ยงดู แต่ฝันไปเถอะว่าเขาจะยอมให้เป็นอย่างนั้น รอให้แผนการที่วางเอาไว้สำเร็จเสียก่อน พวกมันต้องพบกับความเสียใจอีกครั้งแน่ “อ้อ... พรุ่งนี้ตฤณจะกลับจากไต้หวัน ฉันคิดว่าแกน่าจะไปรับเขาที่สนามบิน”

“แต่พรุ่งนี้ช่วงเช้าหนูต้องไปฟังผลการเปิดซองที่กระทรวงฯ”

“ไม่ต้อง มอบหมายให้ใครไปแทน” อานันท์แก้ปัญหาอย่างง่ายดาย

“ถึงอย่างนั้นช่วงบ่ายหนูก็ต้องไปพบมิสเตอร์ลินเนอุส แล้วยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาคุยกับเขานานแค่ไหน"

“งั้นก็นัดทานข้าวเย็นกับเขา แกอย่าเกี่ยงที่ต้องทำความรู้จักกับตฤณ พอใกล้ถึงฤกษ์แต่งงานขึ้นมาจริงๆแล้วจะมาหาว่าฉันคลุมถุงชนไม่ได้นะ” พูดดักคอพร้อมหาทางออกให้อย่างเสร็จสรรพ

อภินราลอบถอนหายใจเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีก จึงได้แต่รับคำท่านด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “ค่ะ งั้นหนูขอตัวไปดูซีโลก่อนนะคะ”

“ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนเถอะ รายนั้นหลับไปได้สักพักแล้ว” อานันท์บอกพร้อมมองตามร่างของลูกสาวที่เปิดประตูเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ซึ่งเป็นห้องที่มีประตูเชื่อมด้านในทะลุกับห้องของซีโล

ความจริงแล้วห้องของซีโลอยู่อีกฝั่งซึ่งติดกับห้องนอนของตน แต่เมื่อเดือนที่แล้วทั้งซีโลและอภินราต้องย้ายข้าวของมาอยู่ในห้องที่จัดไว้รับแขกที่เปิดทะลุถึงกันได้ เพราะอภินรายืนยันว่าเป็นวิธีการปรับเปลี่ยนให้ซีโลแยกห้องนอน ซึ่งตนคิดว่ามันกินเวลานานเกินไปและไม่ได้ผล แต่สุดท้ายก็จนใจเพราะอดทนต่อเสียงร้องไห้โยเยของหลานชายไม่ได้

เห็นทีจากนี้เขาคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจัดการกับหลานชาย เพราะหากอภินราแต่งงานกับตฤณแล้วก็คงต้องย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ หรือไม่ก็คงต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชาย อานันท์คิดถึงปัญหานี้ด้วยความหนักใจพลางกดปุ่มบังคับรถเข็นอัตโนมัติกลับเข้าห้องนอนของตน

 

เมื่อรามานบังคับรถยนต์เลี้ยวออกจากรั้วคฤหาสน์วรโชติไปได้ไม่ไกล เขาก็ให้สัญญาณไฟเข้าจอดข้างทางและยื่นซองสีน้ำตาลให้กับเจ้านายที่นั่งอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าท่าทางรื่นรมย์ใจ

“อะไร?”

“ข้อมูลส่วนที่เหลือ นักสืบเพิ่งส่งให้ผมเมื่อตอนที่ท่านอยู่ในออฟฟิศกับคุณเอลก้าครับ” รามานรายงานและหันกลับมาขับรถ ทำหน้าที่ของตนต่อ

ฮาร์คิฟเอื้อมมือขึ้นไปเปิดไฟหลอดเล็กบริเวณเหนือศีรษะก่อนที่จะดึงเอกสารในซองออกมาอ่าน มันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับจิดาภา ผู้หญิงที่อังเดรจะแต่งงานด้วยก็ที่จะเกิดโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า หากในรายงานระบุว่า หลังจากเกิดเรื่องเมื่อสามปีที่แล้วขึ้น เธอก็หายไปจากวงสัมคมชั้นสูงของประเทศไทย ใช้ชีวิตในประเทศแคนนาดาและเพิ่งกลับมาเปิดร้านสปาในห้างสรรพสินค้าแห่งในเมื่อสามเดือนที่แล้ว

เอกสารหน้าถัดไปเป็นแผนที่แสดงผับสุดหรูสองสามแห่ง ซึ่งบรรดาหนุ่มสาวในวงสังคมชั้นสูงชอบไปรวมตัวสังสรรค์กันอยู่เสมอและเขาก็รู้ได้ในทันทีว่า จะพบและเริ่มตีสนิทกับจิดาภาได้จากผับในแผนที่ที่บอกเอาไว้อย่างละเอียดยิบนี้ ฮาร์คิฟยื่นแผนที่ให้คนสนิท

“ไปผับ... ตามที่เห็นในแผนที่” บอกด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เขาเริ่มสนุกกับแผนการที่วาเอาไว้อีกทั้งทุกอย่างยังเป็นไปตามที่คาดการเอาไว้ จิดาภาจะเป็นหมากชั้นเยี่ยมที่ยืนยันความผิดที่พวกวรโชติได้ทำร้ายจิตใจวาเรีย จนต้องฆ่าตัวตาย!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา