In There World
เขียนโดย Migel
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.11 น.
แก้ไขเมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 09.41 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Black Horse
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[Ken said]
บ้านเด็กกำพร้าของผมมีเด็กอยู่ประมาณ10คนรวมผมด้วย ทุกคนล้วนไม่มีพ่อแม่และญาติพี่น้องเลย พวกเรามีคนอุปการะแค่คุณแมรี่คนเดียว เธอเป็นคนใจดีที่ช่วยเหลือโบสถ์เป็นประจำ
หลวงพ่อกับคุณแมรี่ช่วยดูแลพวกเราด้วยเงินบริจาคของโบสถ์ แต่พวกเด็กๆในนี้ก็รู้ว่าจะเป็นภาระให้พวกเขาไมได้ จึงออกไปทำงานกัน จนตอนนี้เหลือคนที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแค่3คน นั่นคือผมและน้องชายฝาแฝดอีกสองคน พวกเขาอายุน้อยกว่าผม2ปีเลยยังทำงานไม่ได้
ตอนนี้ผม16แล้วแต่ก็หางานยากอยู่ดีเพราะว่ายังเรียนไม่จบ ส่วนพวกพี่ๆที่เหลือน่ะ ออกจากบ้านนี้ไปแล้วคอยส่งเงินมาให้ แต่ก็อย่างว่า ที่ไมอามี่ที่ผมอยู่ ในปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว บางวันมีพายุเข้า โบสถ์ก็จะพัง หลวงพ่อก็เอาเงินบริจาคไปซ่อมแซมและถ้าบางวันไม่พอก็ต้องพึ่งเงินจากพวกพี่ๆแทน ก็ตอนนี้น่ะ ปีค.ศ.ที่3500แล้วนี่นา พายุจะมาเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้
ในบ้านผม ถึงใครจะออกไปก็ไม่แปลกเลย เพราะเราเป็นเด็กกำพร้า เคยคิดว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆซักหน่อย แต่คุณแมรี่บอกเสมอว่าถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ก็เชื่อเสมอมาว่าพระเจ้าท่านส่งพวกเรามาให้คุณแมรี่ เพราะเธอมีลูกไม่ได้...
“ยืนเหม่ออะไรอยู่ รีบจัดของได้แล้วเจ้าหนูน้อย”
“หา... เดี๋ยวนะ นายบอกว่าใครคือหนูน้อย?”
“แล้วฉันกำลังพูดกับใครอยู่ล่ะ? ถ้าไม่ใช่นาย ผีหรอ?” เอ๊ะ มันกวนตีน เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวสวย
“จะรีบไปไหน นายเองก็ว่างอยู่มาช่วยกันหน่อยสิ แล้วยังไม่เห็นบอกเลยว่าจะไปกันกี่วัน”
“เวลาเป็นสิ่งมีค่า ถ้านายคิดว่าเอาเวลา5วิที่มาพูดกับฉันคืนมาเพื่อจัดส่วนที่เหลือได้ล่ะก็ ฉันจะตอบคำถามนายทั้งหมดเลย” มะหมอนี่มันพูดอะไรเนี่ย ฟังไม่เห็นจะเข้าใจ
ผมก้มลงจัดของต่อ ส่วนเจ้านั่นก็เดินไปเดินมาในห้องของผมพร้อมกับจับนู่นจับนี่ ชาติก่อนเป็นลิงใช่มั้ยเนี่ย สงสัยจะไม่เคยเรียนมารยาท ในห้องเรียนก็มีนะแต่ไม่ตั้งใจเรียนแน่ๆ
“เสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้วก็ตามมา เราจะขึ้นรถไฟจากไมอามี่ไปแอตแลนต้า”
“จากไมอามี่เนี่ยนะ!! มันไกลเกินไปป่าว?” ผมยกสัมภาระขึ้นบ่าพร้อมกับเดินตามเขาไป ว่าแต่เขาสะพายแค่กระเป๋าใบเล็กๆเองนะเอาไรไปบ้างเนี่ย
“ใช้เวลาประมาณ9-10ชั่วโมง ถ้าใช้รถไฟล่ะนะ”
“แล้วทำไมนายถึงมาอยู่นี่ล่ะในเมื่อเพื่อนนายอยู่ที่นั่น?” ผมถามด้วยความใสซื่อ
“ไม่ใช่เพื่อน... นายไม่รู้อะไรเลยนั่นแหล่ะดีแล้ว ตายไปจะได้ไม่ต้องติดค้างอะไร”
“นั่นปาก....?”
“ฉันไม่ชอบให้ใครถามเซ้าซี้ มีเวลา10ชั่วโมงบนรถไฟนั่นนายอยากรู้อะไรฉันจะบอกนายเอง”
“แล้วฉันต้องรู้อะไรบ้างอะ?” เขาหยุดเดินแล้วหันมาทุบกำแพงข้างๆดังปังผมก็สะดุ้งสิรออะไร
“ฉันให้เวลานาย3วิ ตั้งสมาธิแล้วเงียบซะ...” ผมกั้นหายใจด้วยความตกใจก่อนจะผ่อนออกช้าๆ หมอนี่มันโรคจิตหรือว่าเป็นพวกขี้หงุดหงิดกันแน่นะ หรือว่าทั้งสองอย่างเลย จะอะไรก็ช่างแต่ผมคิดว่าถ้าหากพูดไปตอนนี้ล่ะก็ ผมได้เป็นแบบเศษปูนจากกำแพงซีเมน ข้างๆแน่
ผมเงียบ เขาก็เงียบ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะ5ทุ่มแล้ว อย่าถามว่าทั้งวันเราไปทำไรมา กิจกรรมครับผม แถมผมยังต้องคอยทำนู่นนี่แทนหมอนั่นอีกด้วย แต่ดูสิไอหัวดำนั่นบอกให้ผมเงียบไม่สำนึกบุญคุณกันมั่งเลย กลางดึกสงัดแบบนี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของเรา2คนพร้อมกับเสียงลมที่ลู่กับใบไม้แห้งดังมากเลยล่ะ ว่าแต่เขาจะไปไหนกันนะผมยังไม่มีโอกาสได้ถามเขาเลย ก็เขาเอาแต่เงียบ ผมไปทำให้หงุดหงิดตั้งแต่เมื่อไรกัน
“เคร้ง!!” เสียงเหล็กกระทบกับพื้นดังสนั่นเลย ผมหันไปก็เจอกับมีดเล็กๆปักอยู่ที่พื้นและเงาดำ3คนที่กระโดดเข้ามาหาผมพร้อมกัน!
“ว๊า.....!!” ผมยังไม่ทันได้เอ่ยเสียง พวกนั้นก็ปิดปากผมสนิด
“ตามมาตั้งแต่เมื่อไร?” เอ็นแอนด์บีถาม นี่ผมกำลังตกอยู่ในอันตรายนะ อยู่ในแขนของใครก็ไม่รู้เนี่ยมันจะหักคอผมมั๊ย อย่านะผมยังไม่อยากตาย อย่าฆ่าผมเลย ผมพยายามแกะมือของเจ้าคนชุดดำออกเพื่อเปิดทางหายใจ
“ตั้งแต่ที่แกเดินออกจากบ้านเด็กนั่นแหล่ะ” เสียงนี้มัน...
“อ่าวที่แท้ก็พวกลูกน้องปลายแถวของตาแก่นั่น นั่นเอง” ดรูอิส!!
“อย่าทำปากดีหน่อยเลย ฉันจะยังไม่ทำร้ายเจ้าเด็กนี่ ถ้าแกรับปากว่าจะมากับพวกเราโดยดี” เออ นายไปกับมันเถอะ ฉันจะมีชีวิตอยู่ในส่วนของนายเองนะไม่ต้องห่วง Good job
“ฉันไม่ไปกับแกหรอก จะเอาหมอนั่นไปทำอะไรก็เชิญ หมอนั่นก็แค่ตัวถ่วงฉันเท่านั้นเอง”
“ว่าไงนะ!! ไหนแกบอกว่าจะปกป้องฉันไงเล่า!” นี่มันทิ้งกันนี่นา
“ฉันบอกไปก่อนจะเดินออกมาว่ายังไง เจ้าหนู....” เอ็นแอนด์บีพูด เขาชำเลืองตามาทางผมช้าๆ เขาบอกอะไร ... ให้ผมเงียบๆน่ะหรอ ก็นายพูดงั้นฉันก็ต้องถามเส่ะ
“... อ่าว ว่าไง? นายจะรับเจ้านี่ไปแล้วทิ้งไว้ที่ข้างทางรึไง?”
“ใช่ ตามที่แกคิดนั่นแหล่ะ”
“โทษทีนะ ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอก ฉันมีคำสั่งมาใหม่จากคนระดับสูง ว่าให้พาแกไปส่งแบบเป็นๆ”
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็มาจับฉันให้ได้สิ” เขายกมือจับที่ปลายหูของตัวเอง
“ลูกไม้เดิมน่ะใช้ไมได้ผลหรอกนะ ปืนตาข่ายเตรียมพร้อม!” ดรูอิสยกปืนกระบอกใหญ่ขึ้นบ่าพร้อมเล็งไปที่เอ็นทันที อย่าบอกนะว่าเขาจะยิงเพื่อไม่ให้เอ็นบินขึ้นฟ้าได้ แย่แล้ว ผมรีบใช้จังหวะที่เกือบจะวุ่นวายกัดแขนของเจ้าชายชุดดำนั่นอย่างเต็มแรง
“อ๊ากกกกก” แหวะ มีเลือดด้วย
ผมวิ่งไปทางดรูอิสแล้วผลักร่างของเขาล้มลงไปกองกับพื้นทันที ส่วนเจ้าเอ็นก็กลิ้งตัวพร้อมกับ....
“เห้ย!! ปล่อยฉันลงไป!!” อุ้มผมวิ่งไปที่มอไซต์บิ๊กไบต์สีดำคันนึงที่จอดอยู่ข้างๆ
“เงียบๆแล้วเกาะให้แน่นๆ” เจ้าม้าดำคันนี้แล่นด้วยความเร็วสูง ผมเกือบจะร้องเสียงหลงออกมา
พวกดรูอิสก็ลุกขึ้นแล้วขึ้นรถตามมาอีกครั้ง เอ็นขับมันวิ่งไปบนถนนที่เงียบสงัด ดรูอิสทำหน้าโกรธจัดและยกปืนตาข่ายขึ้นมาจะยิงพวกเราอีกครั้ง ผมกอดรัดเอวเขาแน่นขึ้นแล้วก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของหมอนี่กำยำจริงๆ
“แว๊กกกกก!!” มันเร็วไม่พอแถมยังหลบซิกแซกด้วย ผมจะหล่นอยู่แล้วนะร่างกายมันเกร็งไปหมดแล้ว
ระยะห่างจากพวกเราเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของพวกดรูอิสบนถนนอีกเลย
“ทำได้ดี” หะ? ผมได้ยินเสียงแว่วๆดังมาจากข้างหน้า
“ว่าไรนะ?”
“ป่าว”
เจ้านี่... ช่างเถอะ ถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ