Zodiac Fate I (ภาคเปิดตำนานสิบสองราศี)
9.8
เขียนโดย esther
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.20 น.
10 ตอน
5 วิจารณ์
13.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Fidello:เหตุผลที่ทนอยู่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ เมืองลาโบน่าสร้างขึ้นบนแอ่งภูเขาขนานไปกับเทือกเขา ทอร์
ท้องฟ้าอึมครึมไปด้วยเมฆหมอก มีแสงแดดส่องลงมาเล็กน้อยในบางบริเวณ
ลมหนาวพัดมาเป็นระยะ นับเป็นอีกวันที่อากาศสดใส
สำหรับเมืองที่อยู่ทางเหนือ ผู้คนต่างออกมาจับจ่ายหาสิ่งของเตรียมไว้ในวันที่มีพายุเข้า
สำหรับเมืองที่อยู่ทางเหนือ ผู้คนต่างออกมาจับจ่ายหาสิ่งของเตรียมไว้ในวันที่มีพายุเข้า
มองขึ้นไปบนอาคารที่สร้างขึ้นด้วยลวดลายในแบบคลาสสิคสมัยยุโรปกลาง
ทางด้านทิศใต้ของเมืองลาโบน่า ในห้องอาหารชั้นสามของโรงแรมนั้นเอง
ภาย ในห้องอาหารที่กำแพงเป็นกระจกใสล้อมรอบเพื่อให้มองเห็นความสวยงามของตัว เมืองต้นแบบของสถาปัตย์กรรมยุโรปยุคกลางอีกทั้งยังมีเสียงเพลงจากไวโอลินให้ ฟังอยู่ตลอดการรับ
ประทานอาหารของแขกอีกด้วยสำหรับกลิ่นหอมๆของอาหารที่เตรียมไว้ให้แขก
ประทานอาหารของแขกอีกด้วยสำหรับกลิ่นหอมๆของอาหารที่เตรียมไว้ให้แขก
ล้วนแต่เป็นเมณูที่ได้ รับการการันตีจากเซฟมือทองแล้วทั้งนั้น
จึงไม่น่าแปลกเลยที่โรงแรมแห่งนี้จะมีผู้มาเข้าพักกันอย่างไม่ขาดสาย
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของบรรดาแขกที่เข้ามาพักวันนี้ไม่ใช่ ดนตรี รึอาหาร
กลับเป็นหนุ่มสาวรูปงามสามคนที่นั่งรับ ประทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะริมสุด
ฟิลเดลโด่นั่งเงียบๆถอนหายใจออก ยาวๆจ้องมองสาวผมทองดวงตาสีฟ้าใส
กำลังนั่งทานอาหารบนจานของเธออย่าง ปราณีต มันช่างยากที่จะให้เชื่อว่าหญิงสาวที่ดูธรรมดานี้คือ
นางฟ้า กาบริเอล ที่ลงมายังโลกมนุษย์ที่เพิ่งจะสยายปีกลอยอยู่บนห้องของเขาเมื่อครู่
จึงไม่น่าแปลกเลยที่โรงแรมแห่งนี้จะมีผู้มาเข้าพักกันอย่างไม่ขาดสาย
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของบรรดาแขกที่เข้ามาพักวันนี้ไม่ใช่ ดนตรี รึอาหาร
กลับเป็นหนุ่มสาวรูปงามสามคนที่นั่งรับ ประทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะริมสุด
ฟิลเดลโด่นั่งเงียบๆถอนหายใจออก ยาวๆจ้องมองสาวผมทองดวงตาสีฟ้าใส
กำลังนั่งทานอาหารบนจานของเธออย่าง ปราณีต มันช่างยากที่จะให้เชื่อว่าหญิงสาวที่ดูธรรมดานี้คือ
นางฟ้า กาบริเอล ที่ลงมายังโลกมนุษย์ที่เพิ่งจะสยายปีกลอยอยู่บนห้องของเขาเมื่อครู่
และชายหนุ่มผมแดงที่นอกจากจะก้มหน้าก้มตากิน แล้วยังสั่งอาหารเข้ามาอยู่ เรื่อยๆจนมีจานหลายใบที่ซ้อนกันอยู่ด้านข้างของเขา
'ข้ารู้ว่า มันทำใจให้เชื่อลำบาก ตัวข้าเองยังต้องคิดอยู่นานเลยทีเดียว'
หนุ่มผมแดงพูดขึ้นทั้งที่อาหารยังเต็มปากทำให้มีเศษเล็กเศษน้อยกระเด็นออกมาบ้างประปราย
'เอ่อ...อืม ข้าฟิลเดลโล่ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ...Aries'
ฟิลเดลโล่ตอบรับคำพูดของเอรอสด้วยยิ้มแบบฝืนๆ
'ไม่ไม่เรียกข้าเอรอส ดีกว่าขอบคุณเจ้ามากสำหรับอาหารมื้อนี้ ถูกปากข้าทุกจานเลย'
เอรอสแนะนำตัวเองยิ้มยิงฟันเป็นการทักทายเพื่อนร่วมทาง
เอรอสแนะนำตัวเองยิ้มยิงฟันเป็นการทักทายเพื่อนร่วมทาง
'หากเจ้าชื่นชอบก็สั่งมาได้อีกเพราะข้าไม่จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายใดๆในการอยู่เมืองนี้นะเอรอสมือสังหาร'
ฟิลเดลโล่เอยขึ้น ซึ่งประโยคสร้างความสนใจให้วงสนทนาอยู่ไม่น้อย
'ท่านรู้จักเอรอสแล้วงั้นหรอกรึ'
กาบริเอลวางช้อนซ้อมของเธอลงเบาๆ หยิบผ้าที่ว่างอยู่หน้าตักขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก
กาบริเอลวางช้อนซ้อมของเธอลงเบาๆ หยิบผ้าที่ว่างอยู่หน้าตักขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก
'เปล่า ข้าเพียงแต่ได้ยินชื่อนี้มานาน เพิ่งมีโอกาศได้เห็นตัวจริง'
ชายหนุ่มพูดพร้อมชำเลืองตามองไปที่เอรอส
ชายหนุ่มพูดพร้อมชำเลืองตามองไปที่เอรอส
'ข้าก็ได้ยินชื่อทหารรับจ้างที่ฝีมือดีที่สุดแต่หาเจอตัวได้ยากก็เห็นจะมีเพียงเจ้าเนี่ยแหละฟิลเดลโล่'
เอรอสพูดจบก็หยิบขวดไวน์ขึ้นมากรอกใส่ปาก
เอรอสพูดจบก็หยิบขวดไวน์ขึ้นมากรอกใส่ปาก
'ท่านกาบริเอล...หากข้าตามท่านไปข้าจะได้ พบกับสิ่งที่ข้าตามหารึไม่'
ดวงตาอันมุ่งมั่นของชายหนุ่มจดจ้องไปที่หญิงสาว
ดวงตาอันมุ่งมั่นของชายหนุ่มจดจ้องไปที่หญิงสาว
'เจ้าปรารถณาในสิ่งใดกันเล่า...ฟิลเดลโล่ '
'...ความตาย'
ประโยคที่พูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ทำให้เอรอส สำลักไวน์ที่ตนกรอกใส่ปากอยู่
รี่ตาเบะปากมองผู้พูดพลางกระเดือกอาหารกลืนลงคอ
รี่ตาเบะปากมองผู้พูดพลางกระเดือกอาหารกลืนลงคอ
'สิ่งนั้นเป็นไปมิได้หรอก...ฟิลเดลโล่'
กาบริเอลเ่อยปากบอกชายหนุ่มด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง
'ทำไมกัน...ข้าอยู่มานานเกินทนก้อนเนื้อนี้สมควรเน่าเปื่อยไปเสียตั้งนานแล้ว'
ชายหนุ่มถามพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยหน่าย
'เพราะพวกท่าน ล้วนถูกสร้างมาจากชิ้นส่วนต่างๆของพระผู้เป็นเจ้า'
ไม่มีเสียงใดเอยแทรกขึ้นชายหนุ่มทั้งสองได้แต่นั่งเงียบมองหญิงสาว
'พระบิดา ได้นำเลือดเนื้อของพระองค์มาสร้างเป็นพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านทั้งสิบสองจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์
หากสังหารพวกท่านก็เท่ากับสังหารตัวพระองค์ไปด้วย
และทราบที่ พระองค์ทรงยังอยู่ กายของพวกท่านก็ยังคงไว้เช่นนั้น'
'งั้นควรทำเช่นไรจึงจะยุติเสียงที่ดังก้องในความฝันที่สร้างความทรมาณให้ในทุกค่ำคืนที่พลันหลับตาลง'
ฟิลเดลโล่พูดแทรกขึ้น ด้วยสีหน้าท่าท่างที่ไม่สู้ดีนักความวิตกกังวลเริ่มเข้าครอบง่ำเข้าอย่างเงียบๆ
'สิ่งเกิดขึ้นกับ ท่านมิใช่ความทรมาณของการมีชีวิตอยู่
แต่เป็นความทรมาณที่อีกครึ่งหนึ่งของดวง วิญญาณถูกพรากไปต่างหากเล่า...ฟิลเดลโล่'
'อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ...ข้า'
หลังจากฟังประโยคนั้นแล้ว มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของชายหนุ่ม
หลังจากฟังประโยคนั้นแล้ว มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของชายหนุ่ม
'เสียงที่ท่านได้ยินยามหลับไหล...จำได้ไหมรึไม่
นางคือ พันธนาการแห่งความตาย Scorpio ผู้ปกครองหมู่ดาวแมงป่อง'
เพียงแค่ได้ยินชื่อของหญิงสาวเสียงในความฝันก็ดังก้องขึ้นภายในหัวของชายหนุ่ม
'Taurus ข้าใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เงียบและมืดมิด มายาวนาน ต้องทนฝันร้าย ใจข้าที่ว่างเปล่า
ไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาได้อีกแล้ว ขอ..อธิษฐานในกาลนิรันดร์
อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ ข้ารออยู่ศรัทธาซักวันคงได้พบกัน'
ความ เศร้าที่เออล้นขึ้นมานี้คืออะไรชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปิดลงบนดวงตาของตัวเอง ทั้งสองข้าง หายใจเบาๆเกินความทุกข์ความกังวลขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ถึงชื่อนี้จะดังก้องขึ้นมาจากภายในแต่เขาพยายามจะไม่ขานชื่อนางออกมาเพราะ หากทำเช่นนั้นแล้วเค้าคงไม่อาจตีสีหน้าปกติอยู่ได้
'กาบริเอลท่านรู้ไหมว่า
มนุษย์นั้นเปราะบางเกินกว่าที่จะทนอยู่คนเดียวไปชั่วนิรันดิ์'
มนุษย์นั้นเปราะบางเกินกว่าที่จะทนอยู่คนเดียวไปชั่วนิรันดิ์'
ฟิลเดลโล่เอ่ยขึ้นก่อนจะก้มหน้านิ่งจิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"เป็นอย่างไรบ้างท่าน?มีความทรงจำใดๆพอระลึกได้บ้างรึไม่"
"ไม่มีเพียงแต่ข้ารู้สึกว่าข้าเจ็บปวด...รู้ลึกว่านางมีเรื่องที่ปิดบังข้าไว้"
"เป็นเช่นไร?ท่านพอจะสื่อออกมาได้บ้างรึไม่"
นาง ฟ้ารีบทักทวงอย่างรวดเร็วเพราะนั้นอาจแผนการลอบสังหารพระเจ้าซึ่งเป็นอีก หนึ่งภาระกิจที่เธอได้รับมาจากเบื้องบน ทว่าชายหนุ่มคิดทบทวนจนหลับตาแน่นก่อนจะเอ่ย
"ขออภัยยามนี้ข้าเพียงได้ยินเสียงและรู้สึกถึงนาง...รู้สึกถึงความลับที่นางไม่ยอมเอ่ย"
"เป็นอย่างไรบ้างท่าน?มีความทรงจำใดๆพอระลึกได้บ้างรึไม่"
"ไม่มีเพียงแต่ข้ารู้สึกว่าข้าเจ็บปวด...รู้ลึกว่านางมีเรื่องที่ปิดบังข้าไว้"
"เป็นเช่นไร?ท่านพอจะสื่อออกมาได้บ้างรึไม่"
นาง ฟ้ารีบทักทวงอย่างรวดเร็วเพราะนั้นอาจแผนการลอบสังหารพระเจ้าซึ่งเป็นอีก หนึ่งภาระกิจที่เธอได้รับมาจากเบื้องบน ทว่าชายหนุ่มคิดทบทวนจนหลับตาแน่นก่อนจะเอ่ย
"ขออภัยยามนี้ข้าเพียงได้ยินเสียงและรู้สึกถึงนาง...รู้สึกถึงความลับที่นางไม่ยอมเอ่ย"
'หากท่านพบนาง พวกท่านจะอยู่ด้วยกันด้วยร่างกายที่เป็นอมตะ เป็นความสุขที่นิรันดิ์
พวกท่านจะได้กลับไปอยู่เคียงข้างพระบิดาบนสรวงสวรรค์'
นางฟ้าสาวพูดพร้อมส่งยิ้มให้ชายหนุ่มกับการส่งมอบความหวังใหม่ให้ผู้มีกาลนิรันดิ์
เห็นทีคงต้องถามเรื่องนี้โดยตรงหลังจากพบScorpio
พวกท่านจะได้กลับไปอยู่เคียงข้างพระบิดาบนสรวงสวรรค์'
นางฟ้าสาวพูดพร้อมส่งยิ้มให้ชายหนุ่มกับการส่งมอบความหวังใหม่ให้ผู้มีกาลนิรันดิ์
เห็นทีคงต้องถามเรื่องนี้โดยตรงหลังจากพบScorpio
'เราจะเริ่มออกเดินทางกันเมื่อไหร่ ท่านกาบริเอล?'
ฟิลเดลโล่ถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ฟิลเดลโล่ถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน
'ได้ทุกเมื่อ...ยามที่ท่านพร้อม'
หญิงสาวตอบและจ้องมองไปที่ดวงตาสีเขียวอมฟ้าคู่นั้น
"...ท่านกาบริเอล ข้ามีเรื่องหนึ่งคิดว่าต้องอยู่รอสะสางให้เสร็จสิ้นไว้
จึงจะร่วมทางไปกับท่านได้อย่างสบายใจ"
"มีเรื่องขัดข้องแต่ประการใดขอให้ท่านกล่าวมา"
"ไม่ นานมานี้ ข้าได้ทำการสังหารอรูสกายกลุ่มหนึ่ง...ซึ้งข้าคิดว่าแม่ทัพของมันอาจจะบุกมา ที่นี่ในไม่ช้านี้ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเดือดร้อนเนื่องจากข้าเป็นต้นเหตุ"
"เฮ...ขอร่วมวงด้วยสิข้าน่ะกำลังคันไม้คันมือเลย อ๊ะ!
แต่หากแม่ทัพถูกสังหารไป พวกมันจะไม่เคลื่อนพลบุกมาที่นี่เหรอ"
เอรอสก็กล่าวขึ้นมากลางวงเสนอความเห็น
"ข้าว่าขอเพียงไม่มีใครไปรายงานให้ฐานทัพมันรู้ก็เพียงพอ เบลเฟกอร์ เป็นปีศาจแห่งความเกียจครานข้าคิดว่าไม่น่าจะทำการโจมตีหากไม่มีอะไรฟังแลดูผิดแปลก"
กาบริเอลกล่าวเสียงเรียบอธิบายภาพรวมของเรื่องทั้งหมดที่รับฟัง
"เช่นนั้น..."
ฟิลเดลโล่ยังคงสงสัยในข้อความที่นางฟ้ากล่าว
"เมืองนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะมีเพียงฤดูหนาว ปีศาจที่ท่านสังหารเป็นเพียงชั้นปลายแถว
ข้าคิดว่ากองทัพนั้นอาจมิได้ใส่อะไรมากมาย แต่หากแม่ทัพนั้นถูกสังหารไปยอมส่งผลเสียหาย"
"สรุปคือ ไม่ต้องทำอะไรสินะ เฮ้อ ไม่มีคิวบู้เลยน่าเบื่อชะมัด"
เอ รอสกล่าวสรุปตามความเข้าใจด้วยใบหน้าเซ็งๆ จากนั้นทั้งสามพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณตกลงใจเข้าร่วมกับฟิลเดลโล่เตรียม พร้อมการโจมตีของแม่ทัพที่กำลังจะมาถึงเมืองนี้ ก่อนที่ทั้งสามกำลังจะลุกขึ้นจากที่นั้งเอรอสก็เหมือนฉุกคิดอะไรออกมาได้ บ้างอย่าง
'เดี๋ยวๆ นี่ที่มีเมณูไหนที่ได้ชื่อว่ารสเลิศหากไม่ได้ลิ้มลองแล้วนับว่ายังมาไม่ถึงเมืองลาโบน่าไหม'
คำถามนี้ทำให้ฟิลเดลโล่เหลือบตาขึ้น ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอยู่ซักพักก่อนจะตอบว่า
'คงจะเป็น พอกชูมี่ มั้งที่ไม่ว่าโต๊ะไหนๆหากมาที่นี่แล้วก็ต้องสั่งจานนี้'
'โอเค ข้าเอา พอกชูมี่ มาเป็นจานสุดท้ายละกัน'
เอรอสปิดเมณูทันทีหลัง จากกล่าวจบ ฟิลเดลโล่ก็เรียกพนักงานมาสั่งอาหาร
'ข้าไม่เข้าใจเอรอส ท่านกินเข้าไปได้อย่างไรตั้งมากมายขนาดนี้'
นางฟ้าสาวกล่าวขึ้นส่ายหน้าไปมา
'ไม่เอาน่าเกบบี้ เดี๋ยวก็ต้องเดินทางอีกไม่รู้ว่าจะมีโอกาศได้ กินดี ขนาดนี้อีกเมื่อไหร่
บอกตามตรงอยู่กับเจ้านอนกลางดินกินกลางทรายชัดๆ '
เอรอสส่งสีหน้ายียวนไปให้ นางฟ้าสาว ที่ต้องถอนหายใจออกยาวๆเมื่อได้เห็น
เวลาผ่านไปได้ซักพัก พนักงานก็ยกจานอาหารถาดเงินออกมาเสริฟบนโต๊ะ
เอรอสก็ต้องตกใจเมื่อพนักงานคว้าฝาครอบเมณูเด็ดนี้ออกมาให้เชยชมพบว่า
พอกชูมี่ ที่ตนสั่งนั้นคือ
พอกชูมี่ ที่ตนสั่งนั้นคือ
ไส้กรอกดุ้นใหญ่วาง เรียงกันสามอันบนถาดเงินที่ จัดมาอย่างสวยงาม
หนุ่มผมแดงมองดูเมณูจานดังด้วยสีหน้าพะอืดพะอม
ใบหน้าเริ่มซีดเผือกลง หลับตาแน่น ยกมือขึ้นป้องปากตน
'เออ ฟิลเดลโล่ ข้ารู้สึกอิ่มกะทันหัน จานนี้ขอผ่านได้รึเปล่า..ฮะฮะ'
จ้องมองอย่างวิงวอนด้วยแววตาเป็นประกาย อย่างน่าสงสาร
'ฮะฮะ ได้สิเอรอส งั้นข้าขอตัวไปเตรียมการบ้างอย่างก่อนนะ พวกท่านพักที่ห้องข้าได้ตามสบาย"
ฟิลเดลโล่ หัวเราะเล็กน้อยก่อนเก็บของและลุกออกไปจากโต๊ะ
มีเพียงกาบริเอลที่หันมามอง เอรอสด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยไม่ค่อยแสดงอาการใดๆ
'นี่เป็นเมณูลือชื่อ ของที่นี่ ตามที่ท่านต้องการเหตุใดจึงปฏิเสธ ข้าไม่เข้าใจ'
ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะยืนมองชายหมุ่นที่หน้าซีดเผือกอีก ครั้งด้วยคำถามนางฟ้าเอรอสยืนขึ้น
ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะยืนมองชายหมุ่นที่หน้าซีดเผือกอีก ครั้งด้วยคำถามนางฟ้าเอรอสยืนขึ้น
ยื่นหน้าเข้าใกล้กาบริเอลที่รอฟังคำตอบ เอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา
'จะให้กินลงได้ยังไง
ภาพที่มันเดินแก้ผ้าโทงๆออกมา มันติดตาข้าเหลือเกิน'
.
..
...
ไกลออกไปไม่มากนัก ณ เหมืองทางนักทางด้านทิศตะวันตกของเมืองลาโบน่า
บริเวณหน้าทางเข้า พบนักขุดแร่จำนวนสิบกว่าคนยืนเรียงรายกัน
ร่วมถึงนายกเทศมนตรี บิล ด้วยใบหน้าที่รื่นรมต้อนรับ ฟิลเดลโล่ที่เพิ่งจะเดิน
มาถึงหน้าเหมืองของเหล่าบรรดานักขุดแร่และชายชราวิ่งมาหาชายหนุ่ม
'ท่านฟิลเดลโล่ขอรับ นี่เป็นผลงานชิ้นโบแดงที่พวกเราชาวลาโบน่าร่วมกันสร้างให้ท่าน'
สิ้นเสียงที่บิลพูดเหล่านักขุดแร่ก็ช่วยกันยกอาวุธชิ้นใหญ่ที่ห่อด้วยหนังสัตว์ยื่นให้ชายหนุ่ม
'รบกวน พวกท่านซะมากมาย บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืมเลย ขอบคุณทุกท่านมาก'
ฟิลเดลโล่กล่าวขึ้นพร้อมโน้มศรีษะตัวเองลง
'ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับท่านฟิลเดลโล่'
นักขุนแร่คนหนึ่งเอยขึ้นและรีบก้มศรีษะตัวเองลงพร้อมกับเพื่อนๆ
นักขุนแร่คนหนึ่งเอยขึ้นและรีบก้มศรีษะตัวเองลงพร้อมกับเพื่อนๆ
'ในเมื่อสิ่งที่พวก เราทำให้ท่านพึงพอใจได้คงมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น'
บิลพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ฟิลเดลโล่รับอาวุธนั้น มาพร้อมคลีหนังสัตว์ออก
ขวานที่ตีจากแร่หลายชนิดจน เปล่งประกายเงางามเป็นสีขาวทั่วทั้งเล่ม
ด้ามจับและลวดลายของขวานที่เป็นสีน้ำเงินเข้มอีกทั้งน้ำหนักที่เบากว่าขวานเงินเล่มเดิมหลายเท่า
ด้ามจับและลวดลายของขวานที่เป็นสีน้ำเงินเข้มอีกทั้งน้ำหนักที่เบากว่าขวานเงินเล่มเดิมหลายเท่า
ชายหนุ่มได้แต่เพียงมองไปยังชาวเมืองลาโบน่ายากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด
'ข้า...เออ ..มันช่าง...ข้า'
เหล่านักขุดแร่และบิลนายยกเทศมนตรีต่างส่งเสียงหัวเราะในท่าทางของชายหนุ่ม
เหล่านักขุดแร่และบิลนายยกเทศมนตรีต่างส่งเสียงหัวเราะในท่าทางของชายหนุ่ม
'ไปเถิดท่านฟิลเดลโล่นี่ตะวันก็ใกล้จะลาลับแล้วนะขอรับ'
ชายชราแตะไปที่แขนฟิลเดลโล่
ชายชราแตะไปที่แขนฟิลเดลโล่
'ข้าขอลาทุกท่านแล้ว หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้โปรดบอกข้าด้วย'
ชายหนุ่มยื่นลูกแก้วรูนสำหรับติดต่อตนไปให้บิล
ชายหนุ่มยื่นลูกแก้วรูนสำหรับติดต่อตนไปให้บิล
'ขอให้ท่านพบนางผู้นั้นโดยเร็ววันนะขอรับในนามของชาวเมืองลาโบน่ายินดีต้อนรับท่านทุกเมื่อ'
พร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับชายหนุ่ม
พร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับชายหนุ่ม
'ข้ามาอีกแน่ๆยามใดก็ตามที่ลาโบล่ามีภัยรึขาดตกบกพร่องในสิ่งใดโปรดติดต่อมายังข้า
ไม่ว่าอยู่ที่ใดข้าจะรีบมาที่นี่โดยไม่รังรอ ในยามนี้ข้านัดหมายสหายไว้คงต้องขออำลาทุกท่านข้าต้องขอตัวแล้ว'
ฟิลเดลโล่วิ่งออกจากเหมืองไปเมื่อกล่าวจบเขายังหันหลังกลับไปมองบิลและชาวเมือง
ที่ โบกมือล่ำลาให้เขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ชายหน้าหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดขนสัตว์สีดำวิ่งตรงไปที่ประตูเมืองยามเย็น เช่นนี้กลับ มีเพียงเมฆหมอกที่ก่อตัวรวมกันอย่างหนาแน่น
หิมะ เริ่มร่วงลงมาจากฟ้าทีละน้อยชายหนุ่มยังคงรักษาความเร็วของตัวเองวิ่งมาด้วย
ความเร็วปกติเข้าไปยังเมืองด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหวัง
ที่ โบกมือล่ำลาให้เขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ชายหน้าหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดขนสัตว์สีดำวิ่งตรงไปที่ประตูเมืองยามเย็น เช่นนี้กลับ มีเพียงเมฆหมอกที่ก่อตัวรวมกันอย่างหนาแน่น
หิมะ เริ่มร่วงลงมาจากฟ้าทีละน้อยชายหนุ่มยังคงรักษาความเร็วของตัวเองวิ่งมาด้วย
ความเร็วปกติเข้าไปยังเมืองด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหวัง
"Scorpio ตัวข้าที่ไม่เคยเปิดใจรับรักผู้ใด อยู่กับความเหงา
และความ เดียวดายนี้มากนานเกินนับ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าใจของข้าที่ด้านชา กลับเต้นระทึกเพียงแค่ได้ยินชื่อของเจ้า
เจ้าบอกกับข้าว่า
เจ้าอยู่ในที่ที่เงียบและมืดมิดถ้าเช่นนั้นข้าจะนำพาเจ้าขึ้นมาอยู่กับข้า
บนพื้นดินที่อบอุ่นจากแสงตะวันไปตลอดกาล"
เจ้าอยู่ในที่ที่เงียบและมืดมิดถ้าเช่นนั้นข้าจะนำพาเจ้าขึ้นมาอยู่กับข้า
บนพื้นดินที่อบอุ่นจากแสงตะวันไปตลอดกาล"
เสียงฝีเท้าชายหนุ่มหยุดลงที่ประตูโรงแรมลาโบน่า
ตามด้วยเสียงกระดิ่งประตูที่ดังขึ้นกาบริเอลและเอรอสที่นั่งอยู่ที่ลอบบี้โรงแรมก็หันมามองที่ชายหนุ่ม
ตามด้วยเสียงกระดิ่งประตูที่ดังขึ้นกาบริเอลและเอรอสที่นั่งอยู่ที่ลอบบี้โรงแรมก็หันมามองที่ชายหนุ่ม
'ออกเดินทางกันได้เลย...ข้าพร้อมแล้ว'
กาบริเอลยืนขึ้น เดินไปหาฟิลเดลโล่ ยื่นผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่เหมือนกับที่ให้เอรอสไป
'ข้าบอกให้ทาง โรงแรมเตรียมม้าไว้ให้แล้วส่วมสิ่งนี้แล้วออกเดินทางกัน'
'สิ่งนี้ คือ....'
ชายหนุ่มรับมาสวมใส่ด้วยท่าทีที่สงสัย
'ผ้า คลุมรัตติกาล นี้จะทำให้ตัวท่านน้ำหนักเบาเช่นเดียวกับผ้าผืนนี้ทำให้การเดินทางบน หลังม้านั้นจะเร็วขึ้นอีกทั้งม้าก็ไม่ต้องเหนื่อยมากการหยุดพักจึงน้อยลงไป อีกด้วย'
'ไปกันเถอะตะวันตกดินแล้ว'
สิ้นเสียงของเอรอสฟิลเดลโล่และกาบริเอลพยักหน้าแทนการรับคำ
เสียงกระดิ่งประตูโรงแรมลาโบน่าดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงกระดิ่งประตูโรงแรมลาโบน่าดังขึ้นอีกครั้ง
ระฆังเมืองลาโบน่าดังขึ้นอีกครั้งที่ประตูเมือง ดังสี่ทิศส่งสัญญาณเตือนพายุหิมะ
ชาวเมืองต่างเดินทางกลับเข้าบ้านของตน ยามนี้ที่เห็นจึงมีเพียง
ชาวเมืองต่างเดินทางกลับเข้าบ้านของตน ยามนี้ที่เห็นจึงมีเพียง
เสียงควบม้าวิ่งออกไปทาง ประตูทิศเหนือของเมือง
และค่อยๆหายไปท่ามกลางสายหมอกและลมหนาว
และค่อยๆหายไปท่ามกลางสายหมอกและลมหนาว
.
..
...
ขณะที่แสงไฟจากกองทัพอรูสนั้นค่อยๆคลืบคลานเข้ามาใกล้ลาโบน่าอย่างเงียบๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ