Zodiac Fate I (ภาคเปิดตำนานสิบสองราศี)

9.8

เขียนโดย esther

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.20 น.

  10 ตอน
  5 วิจารณ์
  13.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Fidello:เหตุผลที่ทนอยู่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ณ เมืองลาโบน่าสร้างขึ้นบนแอ่งภูเขาขนานไปกับเทือกเขา ทอร์
ท้องฟ้าอึมครึมไปด้วยเมฆหมอก มีแสงแดดส่องลงมาเล็กน้อยในบางบริเวณ
ลมหนาวพัดมาเป็นระยะ นับเป็นอีกวันที่อากาศสดใส

สำหรับเมืองที่อยู่ทางเหนือ ผู้คนต่างออกมาจับจ่ายหาสิ่งของเตรียมไว้ในวันที่มีพายุเข้า
มองขึ้นไปบนอาคารที่สร้างขึ้นด้วยลวดลายในแบบคลาสสิคสมัยยุโรปกลาง
 
ทางด้านทิศใต้ของเมืองลาโบน่า ในห้องอาหารชั้นสามของโรงแรมนั้นเอง

ภาย ในห้องอาหารที่กำแพงเป็นกระจกใสล้อมรอบเพื่อให้มองเห็นความสวยงามของตัว เมืองต้นแบบของสถาปัตย์กรรมยุโรปยุคกลางอีกทั้งยังมีเสียงเพลงจากไวโอลินให้ ฟังอยู่ตลอดการรับ 
ประทานอาหารของแขกอีกด้วยสำหรับกลิ่นหอมๆของอาหารที่เตรียมไว้ให้แขก
ล้วนแต่เป็นเมณูที่ได้ รับการการันตีจากเซฟมือทองแล้วทั้งนั้น
จึงไม่น่าแปลกเลยที่โรงแรมแห่งนี้จะมีผู้มาเข้าพักกันอย่างไม่ขาดสาย

แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของบรรดาแขกที่เข้ามาพักวันนี้ไม่ใช่ ดนตรี รึอาหาร
กลับเป็นหนุ่มสาวรูปงามสามคนที่นั่งรับ ประทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะริมสุด
ฟิลเดลโด่นั่งเงียบๆถอนหายใจออก ยาวๆจ้องมองสาวผมทองดวงตาสีฟ้าใส

กำลังนั่งทานอาหารบนจานของเธออย่าง ปราณีต มันช่างยากที่จะให้เชื่อว่าหญิงสาวที่ดูธรรมดานี้คือ
นางฟ้า กาบริเอล ที่ลงมายังโลกมนุษย์ที่เพิ่งจะสยายปีกลอยอยู่บนห้องของเขาเมื่อครู่
และชายหนุ่มผมแดงที่นอกจากจะก้มหน้าก้มตากิน แล้วยังสั่งอาหารเข้ามาอยู่ เรื่อยๆจนมีจานหลายใบที่ซ้อนกันอยู่ด้านข้างของเขา

'ข้ารู้ว่า มันทำใจให้เชื่อลำบาก ตัวข้าเองยังต้องคิดอยู่นานเลยทีเดียว'
หนุ่มผมแดงพูดขึ้นทั้งที่อาหารยังเต็มปากทำให้มีเศษเล็กเศษน้อยกระเด็นออกมาบ้างประปราย

'เอ่อ...อืม ข้าฟิลเดลโล่ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ...Aries'
ฟิลเดลโล่ตอบรับคำพูดของเอรอสด้วยยิ้มแบบฝืนๆ
'ไม่ไม่เรียกข้าเอรอส ดีกว่าขอบคุณเจ้ามากสำหรับอาหารมื้อนี้ ถูกปากข้าทุกจานเลย'
เอรอสแนะนำตัวเองยิ้มยิงฟันเป็นการทักทายเพื่อนร่วมทาง

'หากเจ้าชื่นชอบก็สั่งมาได้อีกเพราะข้าไม่จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายใดๆในการอยู่เมืองนี้นะเอรอสมือสังหาร'
ฟิลเดลโล่เอยขึ้น ซึ่งประโยคสร้างความสนใจให้วงสนทนาอยู่ไม่น้อย
'ท่านรู้จักเอรอสแล้วงั้นหรอกรึ'
กาบริเอลวางช้อนซ้อมของเธอลงเบาๆ หยิบผ้าที่ว่างอยู่หน้าตักขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก
'เปล่า ข้าเพียงแต่ได้ยินชื่อนี้มานาน เพิ่งมีโอกาศได้เห็นตัวจริง'
ชายหนุ่มพูดพร้อมชำเลืองตามองไปที่เอรอส


'ข้าก็ได้ยินชื่อทหารรับจ้างที่ฝีมือดีที่สุดแต่หาเจอตัวได้ยากก็เห็นจะมีเพียงเจ้าเนี่ยแหละฟิลเดลโล่'
เอรอสพูดจบก็หยิบขวดไวน์ขึ้นมากรอกใส่ปาก
'ท่านกาบริเอล...หากข้าตามท่านไปข้าจะได้ พบกับสิ่งที่ข้าตามหารึไม่'
ดวงตาอันมุ่งมั่นของชายหนุ่มจดจ้องไปที่หญิงสาว
'เจ้าปรารถณาในสิ่งใดกันเล่า...ฟิลเดลโล่ '



'...ความตาย'

ประโยคที่พูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ทำให้เอรอส สำลักไวน์ที่ตนกรอกใส่ปากอยู่
รี่ตาเบะปากมองผู้พูดพลางกระเดือกอาหารกลืนลงคอ

'สิ่งนั้นเป็นไปมิได้หรอก...ฟิลเดลโล่'
กาบริเอลเ่อยปากบอกชายหนุ่มด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

'ทำไมกัน...ข้าอยู่มานานเกินทนก้อนเนื้อนี้สมควรเน่าเปื่อยไปเสียตั้งนานแล้ว'
ชายหนุ่มถามพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยหน่าย

'เพราะพวกท่าน ล้วนถูกสร้างมาจากชิ้นส่วนต่างๆของพระผู้เป็นเจ้า'
ไม่มีเสียงใดเอยแทรกขึ้นชายหนุ่มทั้งสองได้แต่นั่งเงียบมองหญิงสาว

'พระบิดา ได้นำเลือดเนื้อของพระองค์มาสร้างเป็นพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านทั้งสิบสองจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์

หากสังหารพวกท่านก็เท่ากับสังหารตัวพระองค์ไปด้วย
และทราบที่ พระองค์ทรงยังอยู่ กายของพวกท่านก็ยังคงไว้เช่นนั้น'

'งั้นควรทำเช่นไรจึงจะยุติเสียงที่ดังก้องในความฝันที่สร้างความทรมาณให้ในทุกค่ำคืนที่พลันหลับตาลง'
ฟิลเดลโล่พูดแทรกขึ้น ด้วยสีหน้าท่าท่างที่ไม่สู้ดีนักความวิตกกังวลเริ่มเข้าครอบง่ำเข้าอย่างเงียบๆ

'สิ่งเกิดขึ้นกับ ท่านมิใช่ความทรมาณของการมีชีวิตอยู่
แต่เป็นความทรมาณที่อีกครึ่งหนึ่งของดวง วิญญาณถูกพรากไปต่างหากเล่า...ฟิลเดลโล่'
'อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ...ข้า'
หลังจากฟังประโยคนั้นแล้ว มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของชายหนุ่ม

'เสียงที่ท่านได้ยินยามหลับไหล...จำได้ไหมรึไม่
นางคือ พันธนาการแห่งความตาย Scorpio ผู้ปกครองหมู่ดาวแมงป่อง'


เพียงแค่ได้ยินชื่อของหญิงสาวเสียงในความฝันก็ดังก้องขึ้นภายในหัวของชายหนุ่ม

'Taurus ข้าใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เงียบและมืดมิด มายาวนาน ต้องทนฝันร้าย ใจข้าที่ว่างเปล่า
ไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาได้อีกแล้ว ขอ..อธิษฐานในกาลนิรันดร์

อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ ข้ารออยู่ศรัทธาซักวันคงได้พบกัน'



ความ เศร้าที่เออล้นขึ้นมานี้คืออะไรชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปิดลงบนดวงตาของตัวเอง ทั้งสองข้าง หายใจเบาๆเกินความทุกข์ความกังวลขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ถึงชื่อนี้จะดังก้องขึ้นมาจากภายในแต่เขาพยายามจะไม่ขานชื่อนางออกมาเพราะ หากทำเช่นนั้นแล้วเค้าคงไม่อาจตีสีหน้าปกติอยู่ได้

'กาบริเอลท่านรู้ไหมว่า
มนุษย์นั้นเปราะบางเกินกว่าที่จะทนอยู่คนเดียวไปชั่วนิรันดิ์'


ฟิลเดลโล่เอ่ยขึ้นก่อนจะก้มหน้านิ่งจิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

"เป็นอย่างไรบ้างท่าน?มีความทรงจำใดๆพอระลึกได้บ้างรึไม่"

"ไม่มีเพียงแต่ข้ารู้สึกว่าข้าเจ็บปวด...รู้ลึกว่านางมีเรื่องที่ปิดบังข้าไว้"

"เป็นเช่นไร?ท่านพอจะสื่อออกมาได้บ้างรึไม่"
นาง ฟ้ารีบทักทวงอย่างรวดเร็วเพราะนั้นอาจแผนการลอบสังหารพระเจ้าซึ่งเป็นอีก หนึ่งภาระกิจที่เธอได้รับมาจากเบื้องบน ทว่าชายหนุ่มคิดทบทวนจนหลับตาแน่นก่อนจะเอ่ย

"ขออภัยยามนี้ข้าเพียงได้ยินเสียงและรู้สึกถึงนาง...รู้สึกถึงความลับที่นางไม่ยอมเอ่ย"
'หากท่านพบนาง พวกท่านจะอยู่ด้วยกันด้วยร่างกายที่เป็นอมตะ เป็นความสุขที่นิรันดิ์
พวกท่านจะได้กลับไปอยู่เคียงข้างพระบิดาบนสรวงสวรรค์'
นางฟ้าสาวพูดพร้อมส่งยิ้มให้ชายหนุ่มกับการส่งมอบความหวังใหม่ให้ผู้มีกาลนิรันดิ์
เห็นทีคงต้องถามเรื่องนี้โดยตรงหลังจากพบ
Scorpio


'เราจะเริ่มออกเดินทางกันเมื่อไหร่ ท่านกาบริเอล?'
ฟิลเดลโล่ถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน

'ได้ทุกเมื่อ...ยามที่ท่านพร้อม'
หญิงสาวตอบและจ้องมองไปที่ดวงตาสีเขียวอมฟ้าคู่นั้น

"...ท่านกาบริเอล ข้ามีเรื่องหนึ่งคิดว่าต้องอยู่รอสะสางให้เสร็จสิ้นไว้
จึงจะร่วมทางไปกับท่านได้อย่างสบายใจ"

"มีเรื่องขัดข้องแต่ประการใดขอให้ท่านกล่าวมา"

"ไม่ นานมานี้ ข้าได้ทำการสังหารอรูสกายกลุ่มหนึ่ง...ซึ้งข้าคิดว่าแม่ทัพของมันอาจจะบุกมา ที่นี่ในไม่ช้านี้ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเดือดร้อนเนื่องจากข้าเป็นต้นเหตุ"

"เฮ...ขอร่วมวงด้วยสิข้าน่ะกำลังคันไม้คันมือเลย อ๊ะ!
แต่หากแม่ทัพถูกสังหารไป พวกมันจะไม่เคลื่อนพลบุกมาที่นี่เหรอ"
เอรอสก็กล่าวขึ้นมากลางวงเสนอความเห็น

"ข้าว่าขอเพียงไม่มีใครไปรายงานให้ฐานทัพมันรู้ก็เพียงพอ เบลเฟกอร์ เป็นปีศาจแห่งความเกียจครานข้าคิดว่าไม่น่าจะทำการโจมตีหากไม่มีอะไรฟังแลดูผิดแปลก"
กาบริเอลกล่าวเสียงเรียบอธิบายภาพรวมของเรื่องทั้งหมดที่รับฟัง

"เช่นนั้น..."
ฟิลเดลโล่ยังคงสงสัยในข้อความที่นางฟ้ากล่าว

"เมืองนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะมีเพียงฤดูหนาว ปีศาจที่ท่านสังหารเป็นเพียงชั้นปลายแถว
ข้าคิดว่ากองทัพนั้นอาจมิได้ใส่อะไรมากมาย แต่หากแม่ทัพนั้นถูกสังหารไปยอมส่งผลเสียหาย"

"สรุปคือ ไม่ต้องทำอะไรสินะ เฮ้อ ไม่มีคิวบู้เลยน่าเบื่อชะมัด"
เอ รอสกล่าวสรุปตามความเข้าใจด้วยใบหน้าเซ็งๆ จากนั้นทั้งสามพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณตกลงใจเข้าร่วมกับฟิลเดลโล่เตรียม พร้อมการโจมตีของแม่ทัพที่กำลังจะมาถึงเมืองนี้ ก่อนที่ทั้งสามกำลังจะลุกขึ้นจากที่นั้งเอรอสก็เหมือนฉุกคิดอะไรออกมาได้ บ้างอย่าง

'เดี๋ยวๆ นี่ที่มีเมณูไหนที่ได้ชื่อว่ารสเลิศหากไม่ได้ลิ้มลองแล้วนับว่ายังมาไม่ถึงเมืองลาโบน่าไหม'
คำถามนี้ทำให้ฟิลเดลโล่เหลือบตาขึ้น ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอยู่ซักพักก่อนจะตอบว่า

'คงจะเป็น พอกชูมี่ มั้งที่ไม่ว่าโต๊ะไหนๆหากมาที่นี่แล้วก็ต้องสั่งจานนี้'

'โอเค ข้าเอา พอกชูมี่ มาเป็นจานสุดท้ายละกัน'
เอรอสปิดเมณูทันทีหลัง จากกล่าวจบ ฟิลเดลโล่ก็เรียกพนักงานมาสั่งอาหาร

'ข้าไม่เข้าใจเอรอส ท่านกินเข้าไปได้อย่างไรตั้งมากมายขนาดนี้'
นางฟ้าสาวกล่าวขึ้นส่ายหน้าไปมา

'ไม่เอาน่าเกบบี้ เดี๋ยวก็ต้องเดินทางอีกไม่รู้ว่าจะมีโอกาศได้ กินดี ขนาดนี้อีกเมื่อไหร่
บอกตามตรงอยู่กับเจ้านอนกลางดินกินกลางทรายชัดๆ '

เอรอสส่งสีหน้ายียวนไปให้ นางฟ้าสาว ที่ต้องถอนหายใจออกยาวๆเมื่อได้เห็น
เวลาผ่านไปได้ซักพัก พนักงานก็ยกจานอาหารถาดเงินออกมาเสริฟบนโต๊ะ
เอรอสก็ต้องตกใจเมื่อพนักงานคว้าฝาครอบเมณูเด็ดนี้ออกมาให้เชยชมพบว่า
พอกชูมี่ ที่ตนสั่งนั้นคือ

ไส้กรอกดุ้นใหญ่วาง เรียงกันสามอันบนถาดเงินที่ จัดมาอย่างสวยงาม

หนุ่มผมแดงมองดูเมณูจานดังด้วยสีหน้าพะอืดพะอม
ใบหน้าเริ่มซีดเผือกลง หลับตาแน่น ยกมือขึ้นป้องปากตน


'เออ ฟิลเดลโล่ ข้ารู้สึกอิ่มกะทันหัน จานนี้ขอผ่านได้รึเปล่า..ฮะฮะ'
จ้องมองอย่างวิงวอนด้วยแววตาเป็นประกาย อย่างน่าสงสาร

'ฮะฮะ ได้สิเอรอส งั้นข้าขอตัวไปเตรียมการบ้างอย่างก่อนนะ พวกท่านพักที่ห้องข้าได้ตามสบาย"
ฟิลเดลโล่ หัวเราะเล็กน้อยก่อนเก็บของและลุกออกไปจากโต๊ะ
มีเพียงกาบริเอลที่หันมามอง เอรอสด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยไม่ค่อยแสดงอาการใดๆ
'นี่เป็นเมณูลือชื่อ ของที่นี่ ตามที่ท่านต้องการเหตุใดจึงปฏิเสธ ข้าไม่เข้าใจ'
ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะยืนมองชายหมุ่นที่หน้าซีดเผือกอีก ครั้งด้วยคำถามนางฟ้าเอรอสยืนขึ้น
ยื่นหน้าเข้าใกล้กาบริเอลที่รอฟังคำตอบ เอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา

'จะให้กินลงได้ยังไง
ภาพที่มันเดินแก้ผ้าโทงๆออกมา มันติดตาข้าเหลือเกิน'


.

..

...


ไกลออกไปไม่มากนัก ณ เหมืองทางนักทางด้านทิศตะวันตกของเมืองลาโบน่า
บริเวณหน้าทางเข้า พบนักขุดแร่จำนวนสิบกว่าคนยืนเรียงรายกัน
ร่วมถึงนายกเทศมนตรี บิล ด้วยใบหน้าที่รื่นรมต้อนรับ ฟิลเดลโล่ที่เพิ่งจะเดิน
มาถึงหน้าเหมืองของเหล่าบรรดานักขุดแร่และชายชราวิ่งมาหาชายหนุ่ม

'ท่านฟิลเดลโล่ขอรับ นี่เป็นผลงานชิ้นโบแดงที่พวกเราชาวลาโบน่าร่วมกันสร้างให้ท่าน'
สิ้นเสียงที่บิลพูดเหล่านักขุดแร่ก็ช่วยกันยกอาวุธชิ้นใหญ่ที่ห่อด้วยหนังสัตว์ยื่นให้ชายหนุ่ม

'รบกวน พวกท่านซะมากมาย บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืมเลย ขอบคุณทุกท่านมาก'
ฟิลเดลโล่กล่าวขึ้นพร้อมโน้มศรีษะตัวเองลง
'ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับท่านฟิลเดลโล่'
นักขุนแร่คนหนึ่งเอยขึ้นและรีบก้มศรีษะตัวเองลงพร้อมกับเพื่อนๆ

'ในเมื่อสิ่งที่พวก เราทำให้ท่านพึงพอใจได้คงมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น'
บิลพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ฟิลเดลโล่รับอาวุธนั้น มาพร้อมคลีหนังสัตว์ออก
ขวานที่ตีจากแร่หลายชนิดจน เปล่งประกายเงางามเป็นสีขาวทั่วทั้งเล่ม
ด้ามจับและลวดลายของขวานที่เป็นสีน้ำเงินเข้มอีกทั้งน้ำหนักที่เบากว่าขวานเงินเล่มเดิมหลายเท่า 

ชายหนุ่มได้แต่เพียงมองไปยังชาวเมืองลาโบน่ายากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด

'ข้า...เออ ..มันช่าง...ข้า'
เหล่านักขุดแร่และบิลนายยกเทศมนตรีต่างส่งเสียงหัวเราะในท่าทางของชายหนุ่ม
'ไปเถิดท่านฟิลเดลโล่นี่ตะวันก็ใกล้จะลาลับแล้วนะขอรับ'
ชายชราแตะไปที่แขนฟิลเดลโล่
'ข้าขอลาทุกท่านแล้ว หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้โปรดบอกข้าด้วย'
ชายหนุ่มยื่นลูกแก้วรูนสำหรับติดต่อตนไปให้บิล
'ขอให้ท่านพบนางผู้นั้นโดยเร็ววันนะขอรับในนามของชาวเมืองลาโบน่ายินดีต้อนรับท่านทุกเมื่อ'
พร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับชายหนุ่ม
'ข้ามาอีกแน่ๆยามใดก็ตามที่ลาโบล่ามีภัยรึขาดตกบกพร่องในสิ่งใดโปรดติดต่อมายังข้า
ไม่ว่าอยู่ที่ใดข้าจะรีบมาที่นี่โดยไม่รังรอ ในยามนี้ข้านัดหมายสหายไว้คงต้องขออำลาทุกท่านข้าต้องขอตัวแล้ว'
ฟิลเดลโล่วิ่งออกจากเหมืองไปเมื่อกล่าวจบเขายังหันหลังกลับไปมองบิลและชาวเมือง
ที่ โบกมือล่ำลาให้เขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ชายหน้าหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดขนสัตว์สีดำวิ่งตรงไปที่ประตูเมืองยามเย็น เช่นนี้กลับ มีเพียงเมฆหมอกที่ก่อตัวรวมกันอย่างหนาแน่น

หิมะ เริ่มร่วงลงมาจากฟ้าทีละน้อยชายหนุ่มยังคงรักษาความเร็วของตัวเองวิ่งมาด้วย
ความเร็วปกติเข้าไปยังเมืองด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหวัง

"Scorpio ตัวข้าที่ไม่เคยเปิดใจรับรักผู้ใด อยู่กับความเหงา
และความ เดียวดายนี้มากนานเกินนับ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าใจของข้าที่ด้านชา กลับเต้นระทึกเพียงแค่ได้ยินชื่อของเจ้า
เจ้าบอกกับข้าว่า
เจ้าอยู่ในที่ที่เงียบและมืดมิดถ้าเช่นนั้นข้าจะนำพาเจ้าขึ้นมาอยู่กับข้า 
บนพื้นดินที่อบอุ่นจากแสงตะวันไปตลอดกาล"
 
เสียงฝีเท้าชายหนุ่มหยุดลงที่ประตูโรงแรมลาโบน่า
ตามด้วยเสียงกระดิ่งประตูที่ดังขึ้นกาบริเอลและเอรอสที่นั่งอยู่ที่ลอบบี้โรงแรมก็หันมามองที่ชายหนุ่ม
'ออกเดินทางกันได้เลย...ข้าพร้อมแล้ว'
กาบริเอลยืนขึ้น เดินไปหาฟิลเดลโล่ ยื่นผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่เหมือนกับที่ให้เอรอสไป
'ข้าบอกให้ทาง โรงแรมเตรียมม้าไว้ให้แล้วส่วมสิ่งนี้แล้วออกเดินทางกัน'
'สิ่งนี้ คือ....'
ชายหนุ่มรับมาสวมใส่ด้วยท่าทีที่สงสัย
'ผ้า คลุมรัตติกาล นี้จะทำให้ตัวท่านน้ำหนักเบาเช่นเดียวกับผ้าผืนนี้ทำให้การเดินทางบน หลังม้านั้นจะเร็วขึ้นอีกทั้งม้าก็ไม่ต้องเหนื่อยมากการหยุดพักจึงน้อยลงไป อีกด้วย'

'ไปกันเถอะตะวันตกดินแล้ว'

 
สิ้นเสียงของเอรอสฟิลเดลโล่และกาบริเอลพยักหน้าแทนการรับคำ
เสียงกระดิ่งประตูโรงแรมลาโบน่าดังขึ้นอีกครั้ง
ระฆังเมืองลาโบน่าดังขึ้นอีกครั้งที่ประตูเมือง ดังสี่ทิศส่งสัญญาณเตือนพายุหิมะ

ชาวเมืองต่างเดินทางกลับเข้าบ้านของตน ยามนี้ที่เห็นจึงมีเพียง
เสียงควบม้าวิ่งออกไปทาง ประตูทิศเหนือของเมือง
และค่อยๆหายไปท่ามกลางสายหมอกและลมหนาว

.

..

...

ขณะที่แสงไฟจากกองทัพอรูสนั้นค่อยๆคลืบคลานเข้ามาใกล้ลาโบน่าอย่างเงียบๆ


 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา