Zodiac Fate I (ภาคเปิดตำนานสิบสองราศี)
9.8
เขียนโดย esther
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.20 น.
10 ตอน
5 วิจารณ์
13.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Fidello:ศรัทธาแห่งพื้นปฐพี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนี่มันนานเท่าไหร่ แล้วนะที่ข้าตัดสินใจออกเดินทางตามหา...สิ่งนั้น...ถึงแม้ ว่าจะว้าเหว่และเคว้งคว้างกลางผู้คน...ข้า...หนักแน่นพอ ยังคงไม่ไหวเอนไปกับใครผู้ใดจะเข้ามา...ข้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไปกี่ ยุคกี่สมัย...สภาพแวดล้อมใด...การเดินทางของข้าไม่เคยสิ้นสุดจบกว่าจะพบ...ผู้ที่จะปลดปล่อยความทรมาณอันยาวนานนี้ได้...
แสงแดดจากดวงตะวันอันอบอุ่นท้องฟ้าใสไร้เมฆหมอกทุ่งหญ้าเขียวขจีสภาพอากาศแบบนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเมืองทางเหนือ ลาโบน่า
ที่สร้างขึ้นบนแอ่งภูเขาสูงขนานไปกับเทือกเขา ทอร์ ที่ อยู่เกือบติดขั้วโลกเหนือหากวันใดที่ไม่มีพายุหิมะรึลมกรรโชค สำหรับเมืองที่มีเพียงฤดูหนาวเมืองนี้ก็นับว่าเป็นวันที่มีอากาศดีวันหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักวันนี้ก็เป็นอีกวันที่สภาพอากาศเลวร้าย เมฆสีเทาที่รวมกันอยู่หนาแน่นปล่อยหิมะลงมาอย่างไม่ขาดสายบวกกับแรงลมที่รุนแรงอาชีพ ที่สำคัญยิ่งของชาวเมือง ลาโบน่า มีหลักๆอยู่สามสิ่งคือนักล่าสัตว์ คนส่งน้ำ และการทอผ้า แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยนี้จำเป็นต้องสั่งซื้อของจากต่างเมือง เข้ามาอยู่บ่อยครั้งถึงจะแลดูยากลำบากแต่เมืองนี้ก็นับว่าเป็นเมืองที่ มั่งคั่งของทางเหนือเมืองหนึ่งเพราะสินค้าที่มีชื่อเสียงของที่นี่ คือ อาวุธ ที่ตีจากแร่หายากและคุณภาพดีในเหมืองฝั่งตะวันตกของเมืองที่นี่จึงได้รับการ ช่วยเหลือและอุดหนุนจากเมืองต่างๆมาโดยตลอดแต่ที่จะดูยากเย็นเห็นจะมีเพียง แค่การขนส่งเท่านั้น
......
ไกลออกไปไม่มากนักในถ้ำที่อยู่ใต้เนิน ทางขึ้นเทือกเขา ทอร์ นั้นเองพบพลทหารอสูรกาย ยักษ์ครึ่งคนครึ่งสัตว์ จากกองกำลังพลที่สามของ เบลเฟกอร์ หนึ่งในหกขุนพลของลูซิเฟอร์ที่หนีการฝึกซ้อมมานั่งตั้งวงก่อกองไฟดื่มสุรานินทานายกันอยู่ 8 ตน
'ข้าว่าการมาบุก ยึดเมืองทางเหนือเนี่ยน่ายกให้ท่านซาตานจัดการเสียดีกว่า'หนึ่งในพลทหาร ตะโกนดังขึ้น พร้อมยกแก้วสุรา'ข้าเห็นด้วย ท่านเบลเฟกอร์นั้นเกียจคร้าน ทำให้งานล่าช้า'อีกตัวพูดพร้อมพยักหน้า เห็นด้วยกับเพื่อน'ใช่ๆ อีกทั้งดันมาล่าช้าในดินแดนทางเหนือด้วยสิ ข้าหนาวละจะตายอยู่แล้ว'ตัวที่นั่งย่างเนื้อสัตว์ช่วยเสริม'หากจะบุกยึด คามาย ก็ว่าไปอย่างที่นั้นนี่สมบูรณ์ราวกับสวรรค์เลยทีเดียว'ทุกตัวยกแก้วสุราขึ้นมาชนกัน'นั้นสิข้าว่าถ้าเป็นแถวคามายงานจะล่าช้าแค่ไหน ข้าก็อยู่ได้ ฮาฮ่าฮ่า''เฮ้ยๆ พวกเจ้ายังไม่รู้อะไร คามายเป็นป่าอาภรรพ์นะข้าละบอกไว้ก่อนเลย'อีกตัวรีบพูดตัดบท'นี่เจ้ากำลังพูดถึงท่านเซอเบียที่คิดบุกยึดคามาย เมื่อไม่นานมานี้ใช่ไหม''โถ่ ไม่ใช่แค่เซอเบีย แม่ทัพที่คิดบุกยึดคามายล้วนแต่นอนหัวขาดในห้องพักทุกรายไป'
มีเพียงเสียงกลืนน้ำลาย พาลเสียวสันหลังวาบ
'ไม่เอาน่าๆ ดื่ม! ดื่ม! ดื่ม! ยังไงพวกเราก็อยู่ทางเหนือไม่ต้องคิดมาก'"แต่ข้าได้ยินว่าเจ้า ฟิลเดลโล่ มันกำลังจะเดินทางมาทางเหนือนะ"คำพูดประโยคนี้ทำให้บทสนาทนาในวงสุรามีเพียงเสียงสายลมจากพายุพัดผ่าน"เจ้าหมายถึงทหารนิรนาม...ผู้เป็นเครื่องจักรสังหารนั้นน่ะเหรอ""สมองถ่ายออกมาเป็นน้ำไปหมดแล้วรึไร ฟิลเดลโล่ ก็มีเพียงผู้เดียวนั้นแหละที่ข้าหมายถึง""ไร้สาระจริงพวกเจ้า ข้าได้ยินว่ามันยังอยู่แถว ไทเทเนีย ตอนใต้""นั้นสิ มันจะมาทำซากอะไรที่นี่ คงไม่มีภาระกิจอะไรน่าจ้างวานซักนิด เอาดื่ม!!"'ดื่มๆ เพ่อเจ้ออะไร เลิกซะทีเหล้าปลาอาหารหมดแล้วพวกเราคงต้องกลับค่ายเสียที''เฮ้ย!!อะไรกัน ข้ายังไม่อยากกลับค่าย''มีใครอยากกลับมั่งละแต่ไอ้งั่งที่ไหนจะ ไปออกล่าสัตว์สภาพอากาศแบบนี้'อสูรกายทั้งเจ็ดตนนั่งนิ่ง ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ มีเพียงอีกหนึ่งตัวที่ยืนขยี้ตา'...ถ้าข้าไม่เมาจนไม่ฝาดนะ พวกเจ้าดูนั้น'บนทางขึ้นเทือกเขาไปยังเมืองลาโบน่า นั้นเองได้มีรถม้าขนเสบียง กำลังเดินทางขึ้นไปหลายคันรถ ท่ามกลางพายุหิมะแบบนี้ อีกทั้งผู้ที่นำเสบียงทั้งหมดยังมาส่งมีเพียงตัวคนเดียวอีกด้วยไม่มีคำพูดใดใดในวงสุราต่างหยิบจับอาวุธของตนขึ้นมาอย่างรวดเร็วรถม้าขนส่งเสบียง มีม้าสีดำหกตัวเป็นพลังงานการขับเคลื่อนในการลากสินค้าต่างๆที่มาหลายคันรถส่วนผู้ที่ขนส่งเสบียง ท่ามกลางหิมะพัดกระหน่ำมาเพียงลำพังนั้น
เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ส่วมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำควบรถม้าเดินทางด้วยความเร็วปกติไปเรื่อยๆจนถึง ทางกว้างทางแนวภูผาขึ้นสูงคู่ขนานข้างชายหนุ่มดึงบังเหียนขึ้นหยุดคันรถที่ปากทาง
"พวกเจ้าออกมาซะ...ข้าไม่ อยากให้ม้าตกใจเดี๋ยวสินค้าอาจจะเสียหาย"ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงเรียบ
ตึง!!
หิมะบนพื้นแตกกระจายออก เป็นวงกว้างด้วยน้ำหนักตัวที่กระแทกลงมาร่างที่สูงราวๆเกือบสองเมตร ของอสูรทั้งแปดที่ลงมาจากเนินภูผาที่ขนานทางขึ้น'รู้ด้วยเหรอเนี่ย งั้นก็ช่วยไม่ได้ ส่งเสบียงให้ซักคันรถก็พอ'เหล่าอรูสกายต่างพากันแสยะยิ้มชายหนุ่มขยับลงจากที่นั่งคนขับ เดินมาเบื้องหน้าอสูรกายทั้งแปดตนเมื่อดูแบบนี้แล้วรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาก็ดูเป็นคนธรรมดาไปถนัดตา'ไม่ได้ นี่เป็นสิ้นค้าที่ถูกจัดมาพอดีตามที่สั่งไว้'ชายหนุ่มยังคงพูดด้วยน้ำเสียงปกติ'ถ้าเป็นเมือง ลาโบน่าละก็เดี๋ยวก็โดนยึดเป็นของท่านเบลเฟกอร์แล้ว ส่งมาให้เราก็ค่าเท่ากัน'อรูสกายตนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามา ประชิดชายหนุ่ม หมุนลูกตุ้มหนามแกว่งไปมา'ไม่ได้เพราะตอนนี้เมืองยังไม่ถูกยึด ตามที่เจ้ากล่าว'เสียงทุ่มหนักยัง ตอบอย่างองอาจและมาดมั่น'งั้นก็ช่วยไม่ได้ ฆ่าเจ้าแล้วค่อยเอาของเลยละกัน!!!!'แฉวววะ!!สิ้นเสียง ก้องของใบมีดกรีดลงเนื้อเป็นแนวยาว สิ้นสุดลงตามมาด้วยเสียงเนื้อปริออกบรรดาเลือดและเครื่องในต่างพุ่งทะลักออกมาจาก ท้องอสูรกายยักษ์ ลงมากองอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม 'อ้ากกก!!'เสียงร้องที่ลากยาวอย่างโหยหวน ความเจ็บปวดที่กระชากวิญญาณนั้นทำให้อรูสกายกวัดแกว่งอาวุธไปรอบตัวอย่างบ้าคลั่งด้วยความทรมาณแสนสาหัสก่อนจะสิ้นลมล้มลงกองอยู่บนพื้น ลูกตุ้มหนามของมันได้เกี่ยวเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ของ ชายหนุ่มหลุดออกมาทำให้เห็นร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยาวประบ่า ในตาสีเขี้ยวปนฟ้าน้ำทะเลส่วมชุดเกราะขาว และขวานเงินยักษ์ ที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น 'ไม่จริงน่า...ฟิลเดลโล่ ...ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้!!'เสียงจากกลุ่มอรูสกายดังขึ้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ อีกเจ็ดตัวที่เหลือได้แต่นิ่งอึ้ง'โทษทีอากาศแบบนี้ ถ้าไม่จัดการในอึดใจเดียวเกรงว่าม้าข้าจะแข็งตายเสียก่อน'ชายหนุ่มพูดพลางยกขวานเงินยักษ์ขึ้นมาวิ่งพุ่งเข้าใส่กลุ่มอรูสกายทันที ในระดับความเร็วที่เหลือเชื่อปรากฏให้เห็นเป็นหลายๆ ร่างถลาเหวี่ยงขวานเงินเข้ามา ซ้อนกันเท่านั้น'เฮ้ย!! นี่มันบ้าชัดๆ!!!'หลังจากอสูรกล่าวประโยคจบก็พบว่าเพื่อนทั้งสี่ของ ตนนอนจมกองเลือดไปแล้ว'หนีเร็ว!!รีบหนี!!ไปไปไปไปไป!'อรูสกายพยายามตะโกน เพื่อเรียกสติเพื่อนที่เหลือแต่ก็ ต้องพบว่าด้ามขวานนั้นอัดทะลวงทะลุเข้าหน้าท้องของตนเสียแล้ว'อ๊อค!!....ออ..อะ..อ๊อค'เสียงร้องที่ออกมาจากปากพร้อมกับเลือดสดๆทันทีที่ฟิเดลโล่กระชากด้ามขวานออก เลือดสีแดงสดสาดกระจายออกเป็นวงกว้างมันพยายามใช้มือทั้งสอง กดที่ท้องน้อยเอาไว้เพื่อไม่ให้เครื่องในไหลออกมาแม้จะรู้ว่าตัวเองส่งเสียงร้องออกมา แต่มันกลับไม่ได้ยินเสียงของตัวเองลมหายใจกำลังจะขาดช่วง เมื่อร่างยักษ์สองเมตรล้มลงร่างชาไปหมดทั่วตัวเห็นเพียงภาพลางๆ หิมะสีแดงที่ปกคลุมไปทั่วที่ราบกว้าง ทางขึ้นเขาไอ้ทุเรศเอ๊ย!นี่ข้ารนหาที่เองหรอกรึนี่!!
......
เกิ้ง.....เกิ้ง....เกิ้ง
เสียงระฆังประตูเมืองลาโบน่าดังขึ้นทั้งสี่จุดส่งสัญญาณว่าสินค้าได้เดินทางมาถึงเมืองเรียบร้อยแล้วเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ต่างรีบออกมาจะบ้านเพื่อเข้าคิวรอรับของที่สั่งหน้าประตูเมืองทางทิศใต้และทางด้านซ้ายของ ประตูเมืองนั้น คือ โรมแรมลาโบน่าทั้งอาคารถูกตกแต่งด้วยลวด ลายแบบคลาสสิค จัดเป็นที่พักที่ดีและหรูหราที่สุดของเมืองสามารถมอง เห็นเมืองลาโบน่าได้ ทั้งเมือง จากห้องชั้นบนสุดของโรงแรมคือที่พักของฟิลเดลโล่ ชายหนุ่มยืนมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ไปตามจุดต่างๆของเมืองด้านล่าง ดวงไฟจากตะเกียงพ่อค้าแม่ค้าที่เข้าคิวรับ ของเห็นเป็นแสงแนวยาวเรียงกันตามทางเดินด้านบนแสงไฟของหอนาฬิกาส่อง ประกายคู่กับแสงไฟตามบ้านเรือนผู้คนเป็นสีเหลืองนวลอ่อนๆในหัวชายหนุ่ม กำลังคิดถึงอะไรบ้างอย่าง จนมีเสียงหนึ่งทักมาจากด้านหลัง'อ่อ ท่านฟิลเดลโล่ขอรับ'เขา หันไปพบกับชายสูงอายุ รูปร่างอ้วนท้วน ผมขาวโผล่นไว้หนวดเคราใส่แว่นเล็กๆทรงกลมในชุดสูทสีน้ำเงินท่าทางใจดี เขาคือ บิล นายกเทศมนตรีของเมืองนี้นั้นเองเดินถือถุงเงินใบใหญ่ยื่นมาให้ชายหนุ่มที่ยก มือขึ้นมาห้ามไว้'นี่ขอรับท่านฟิลเดลโล่ ขอบพระคุณท่านจริงๆ'ชายชรายืนให้ พร้อมกับก้มหัวปะหลกๆ'เอ่อ ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับ ออ..ข้า ไม่เดือดร้อนจริงๆข้าแค่ต้องการที่พัก'ชายหนุ่มยกมือขึ้นพร้อมส่ายหน้าไปมา'ท่านฟิลเดลโล่ เสบียงที่ท่านขนส่งให้นั้นพวกเราอยู่กันได้อีกนานเลยนะขอรับ'ชายชราเงยหน้าขึ้นจ้องมองมาที่ใบหน้าฟิลเดลโล่'ท่านให้อาหารและที่พัก ชั้นเลิศแก่แบบนี้ ข้าก็ไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไรแล้ว'ฟิลเดลโล่ยิ้ม อย่างกันเองและเอื้อมมือเขาไปแตะบ่าชายชราที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเกรงใจ'อ่อ..อืม ท่านคงจะเหนื่อยจากการเดินทาง เช่นนั้นกระผมไม่รบกวนแล้วนะขอรับ'บิล พูดอย่าตะกุกตะกักในความกันเองที่ชายหนุ่มมอบให้'..ไม่หรอกน่า ท่านอย่าคิดมากเลย เมืองนี้งดงามและน่าอยู่มาก'ฟิลเดลโล่พูดพร้อมหัวเราะขบขันในท่าทางของบิล'ขอรับถ้างั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ ขาดเหลือรึต้องการสิ่งใดโปรดบอกกระผมด้วย'ชายชรายังไม่อาจละทิ้งบ้างอย่างได้สีหน้าจึงแลดูเคร่งเครียดก้มหัวลงอีกครั้งก่อนจะปิดประตูให้อย่างเบามือ
...'เมืองที่หนาวเหน็บเช่นนี้ หัวใจของผู้คนกลับไม่ได้เย็นชาเช่นนั้นแต่อย่างใด'หลังจากที่กล่าวจบ ฟิลเดลโล่เดินไปที่เตียงถอดชุดเกราะออก วางลงบนพื้นทิ้ง ตัวนอนลงบนที่ นอนผ้ากำมหยี่สีแดง มองดูโคมไฟคริสตัลด้านบน เหลือบตามองไปรอบๆเสียงไฟจากเตาผิงและเสียงลมกระทบหน้าต่าง ไม่ได้รบกวนเขาแต่อย่างใดเขาหลับตา ลง ปล่อยวางความคิดทุกอย่างลงเข้าสู่หวงนิทรา'Taurus ข้าชื่นชมท่านที่เป็นผู้มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หนักแน่นไม่ เปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเองอีกทั้งมีจิตใจดี ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นเสมอ''ข้า ละแปลกใจเหลือเกินที่ท่านเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ไม่แสดงออกมาว่าไม่พอใจข้าปราถนาให้ดวงวิญญาณของ มนุษย์ที่กำเนิดผ่านหมู่ดาววัว เป็นเช่นท่าน'เสียงใสใสที่ได้ยินทุกครั้งที่หลับไหลนี้...คือ ผู้ใด'Taurus ข้าว่าท่านคิดและทำอะไรช้าเกินไปหรือเปล่า...แถมยังเฉยเมยอีกด้วยท่านชอบทำตามความคิดตนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะฟังจากผู้อื่นท่านโกธรได้ง่าย แต่หายยากแบบนี้ ข้าลำบากใจนะข้ารู้ดี ว่าท่านไม่ชอบที่ข้ารึเพื่อนพ้อง ชื่นชมผู้อื่นไปกว่าท่าน'คำพูดที่คอยตักเตือนนี้เช่นนี้...ราวกับได้ยิน อยู่บ่อยครั้ง'Taurus ข้าใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เงียบและมืดมิดมายาวนานต้องทนฝันร้าย ใจข้าที่ว่างเปล่าไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาได้อีกแล้ว ขอ..อธิษฐานในกาลนิรันดร์อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณข้ารออยู่ ศรัทธาซักวันคงได้พบจำข้าได้ไหม?ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน''หากท่าน กับข้าสวนทางกันในวันนั้น ยามที่สายตาเราได้จ้องกันโปรด นำพาข้าออกจากความมืดมิดนี้ด้วยเถิด Taurus' !!
ฟิลเดลโล่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อแสงแดดจากภายนอกส่องผ่านกระจกเข้ามาแยงดวงตาชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาพลางบิดขี้เกียจซักพัก แล้วลุกขึ้นเดินออกไปดูนอกหน้าต่างวันนี้ไม่มีหิมะ เมฆบางลง พอให้แสงแดดส่องผ่านลงมาได้ในบางบริเวณถึงอย่างนั้น เมืองก็ยังคงดูอึมครึมเสียเหลือเกิน เขาถอนหายใจออกช้าๆหลับตาลงก่อนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บ้างอย่างซึ่งสิ่งนั้นก็คือ'ไหนๆก็มาถึงลาโบน่าแล้ว ถ้าขอขวานเงินเนื้อดีซักเล่มกลับไปจะเป็นไรไหมนะ'ชาย หนุ่มเปรยขึ้นมากับตนเองยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปใจกลางห้องคว้าเสื้อคลุม ขึ้นมาสวมใส่เอื้อมมือหยิบขวานเงินที่ตั้งไว้อยู่ข้างเตียงและเดินออกจาก ห้องพักไป
......
ไกลออกไปไม่มากนัก ณ เหมืองทางด้านทิศตะวันตกของเมืองลาโบน่าเหมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาทอร์เช่นกันซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่หายากมากมายสร้างทั้งชื่อเสียงและรายได้ให้กับเมืองที่อยู่ห่างไกลความเจริญนี้มานานนับบริเวณหน้าทางเข้าพบนักขุดแร่จำนวนสิบกว่าคนยืนเรียงรายกันร่วมถึงตัวนายกเทศมนตรีเอง บิล ด้วยใบหน้าที่รื่นร่มต้อนรับฟิลเดลโล่ที่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าเหมือง เหล่าบรรดานักขุดแร่และชายชราวิ่งมาหาชายหนุ่ม'ยินดีต้อนรับครับ ท่านฟิลเดลโล่'บิลกล่าวขึ้นเสียงดังด้วยรอยยิ้มสร้างความรู้สึกที่กันเองมากมายให้ชายแปลกหน้าเช่นเขา"ขออภัยกะทันหันไปซักนิดแต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากวายวานพวกท่าน""โถ่ท่าน ไม่นึกว่าผู้ที่ได้รับฉายานามเครื่องจักรสังหาร จะสุภาพอ่อนน้อมเช่นนี้ไม่ต้องแกร่งใจกันเกินควรหรอก พวกเราเองก็ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเช่นกัน"บรรดานักขุดต่างส่งเสียงเฮ ขึ้นมาจากด้านหลังพลางหัวเราะ"ว่าแต่มีสิ่งใดที่พวกเราทำให้ท่านได้บ้างหรือขอรับท่านฟิลเดลโล่?"ชายหนุ่มได้ยินคำถามนั้นแล้วจึงคว้าขวานเงินของตนมาจากด้านหลังตั้งตรงข้างกายตน"ข้าอยากให้พวกท่านช่วยหาแร่มาตีขวานเงินชิ้นนี้ซักหน่อย""อัพเกรดขวานเงินเล่มนี้เหรอครับ?"นักขุดเหมืองคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ ซึ่งฟิลเดลโล่ก็พยักหน้ารับคำนั้นบิลจึงให้คนงานในเหมืองเดินออกมารับขวานจากฟิลเดลโล่ไปซึ่งต้องใช้ถึงห้าคนด้วยกันในการรับน้ำหนักของขวานเงินยักษ์นี้ได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันเดินเข้าไปด้านในชั้นใต้ดินชาย หนุ่มพบว่าด้วยในมีแร่ซัฟไฟร์ต่างหลากหลายชนิดด้วยกัน ตั้งแต่ดูคล้ายอัญมณีล้ำค่าจนถึง หินหลากสีสันธรรมดา เหล่านักขุมวางขวานเงินไว้บนโต๊ะเหล็กให้ช่างตีเหล็กทุกคนพิจราณาดูกันอย่าง ใกล้ชิด"ไม่รู้ว่าซัฟไฟร์ ที่ได้จาก โอลิเวอร์ จะยังคงอยู่รึไม่ นี่ก็นานพอควรแล้วนะ""น่าจะยังอยู่นะก็พวกเราส่งแร่ต่างๆไปให้เขาแปรธาตุอยู่ออกจะบ่อยไป""นั้นสิอย่างชาวเมืองเรากับโอลิเวอร์ มีสัมพันธุ์กันแน่นแฟ้นก่อนตั้งแต่รุ่นแม่ของข้าเสียอีก""เอาเถอะ ข้าขอไปดูก่อนว่าเหลือซัฟไฟร์ชนิดใดบ้าง"หลังจากการปรึษากันอยู่ซักพักก็มีบ้างส่วนแยกย้ายไปในคลังเหมืองแร่ช่างตีเหล็กคนหนึ่งวัยกลางคนท่าทางล่ำสันเดินเข้ามาหา บิล และ ฟิลเดลโล่ ที่ยืนอยู่นอกวง"ตอนนี้ขอให้พวกท่านกลับกันไปก่อน พวกเรารีบเร่งมือในการจัดทำอาวุธชิ้นนี้ก่อนฟ้าสาง""ไม่ต้องรีบร้อนเช่นนั้นก็ได้นะท่าน"ฟิลเดลโล่ยกมือพร้อมส่ายหน้า ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเกรงใจชาวเมือง"ฟิลเดลโล่...หากสิ่งที่ท่านทำให้เราชาวเมืองลาโบน่าคือหัวใจท่านก็ย่อมได้รับสิ่งของที่จัดทำมาด้วยหัวใจเช่นกัน"เสียงทุ่มหนักของช่างตีเหล็กเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้ทุกคนในห้องนั้นก่อนจะเดินกลับขึ้นไปด้านบทพร้อมกันกับ บิล นายกเทศมนตรีซึ่งระหว่างทางนั้น"โอลิเวอร์ นั้นคือช่างตีเหล็กที่เดินเข้ามาใช่หรือไม่"ฟิลเดลโล่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในเหมือง"มิใช่ขอรับ ผู้นั้นคือ เก็ตโต้ หัวหน้าช่างตีอาวุธ"คำตอบที่ได้รับทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มมีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นมา บิล จึงว่าความต่อ"โอลิเวอร์ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ รู้จักกันเฉพาะในแวดวงช่างตีและขุดเจาะไม่ ว่าแร่ใดซัฟไฟหายากแค่ไหนเพียงหาตัวอย่างชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาให้ เขาก็จะแปรธาตุจะเศษหินดินเป็นซัฟไฟร์ชนิดนั้นได้อย่างง่ายดาย เขากับเมืองของเราคอยติดต่อกันมานานนับแล้วละขอรับ""ฟังจากที่ท่านคุยกัน โอลิเวอร์ น่าจะเป็นชนเผ่ายักษ์ไม่ก็ ดาร์กเอลฟ์ใช่รึไม่"คำพูดนั้นทำให้ บิล หลุดหัวเราะออกมายกมือขึ้นป้องปากตนอย่างขบขัน
"มิใช่หรอกขอรับเขาเป็นมนุษย์...ผู้มีความเป็นอมตะเช่นเดียวกับท่านนั้นแหละ"
!!?
ชายหนุ่มหยุดชะงักยืนแน่นิ่ง ปล่อยให้บิลเดินนำหน้าออกไปไม่กี่ก้าวก็เห็นแสงสว่างจากปากทางเข้าความสงสัยใคร่รู้เริ่มก่อตัวขึ้นใจจิตใจของเขา มนุษย์ผู้ครอบครองความเป็นนิรันดิ์ไว้หาใช้มีตนเพียงคนเดียวไม่ ก่อนที่ความคิดของเขาจะว้าวุ่นไปมากว่านี้ก็มีเสียงหนึ่งฉุดรั้งสติให้กลับมา"เป็นอะไรไปหรือเปล่าขอรับ ท่านฟิลเดลโล่?""อ๊ะ...ไม่มีครับ ไม่มีอะไร"คำตอบที่กล่าวออกมาแบบขอไปทีนั้นแสดงชัดเจนว่าเขาไม่อยากเปิดใจคุยเรื่องนี้กับ ใครซักเท่าไหร่ซึ่งแน่นนอนว่า บิล ก็ไม่ได้อยากคาดคั้นอะไรจากเขามากนัก ชายหนุ่มละทิ้งเรื่องราวในหัวแล้วเดินทางต่อไปจากบริเวณหน้าทางเข้าเหมืองทั้ง สองยังคงเดินไปด้วยกันเรื่อยๆ บิล แนะนำสถานที่ต่างๆภายในเมืองให้เขาฟังเพื่อให้การเดินทางนี้ไม่น่าเบื่อนัก เสียงฝีเท้าของทั้งสองหยุดลงที่ประตูโรงแรมลาโบน่าตามด้วยเสียงกระดิ่งประตู ที่ดังขึ้นบิลจึงขอลาไปเช็คคลังเสบียงที่หัวเมืองตะวันตกชาย หนุ่มเดินกลับมาที่ห้องพร้อมถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดก่อนเดินเข้าห้องน้ำเพื่อ ชำระล้างร่างกายในห้องน้ำหินอ่อน ดวงไฟฉายแสงสีเหลืองนวลฟิลเดลโล่ แช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำร้อนผ่อนคลายความเมื่อยล้าแต่ภายในหัวยังคงนึกถึง โอลิเวอร์ ชายหนุ่มผู้ครองความเป็นอมตะอีกคน และเหนือสิ่งอื่นใดเสียงสาวนิรนามในความฝันรู้สึกคุ้นเคยรู้สึกโหยหาอยู่ ลึกๆ อย่างน่าแปลกประหลาดดวงตาสีเขียวอมฟ้ามองเหม่อไปที่เพดานห้องที่ไอน้ำร้อนลอยขึ้นสูงทุก ครั้งที่พยายามจะนึกถึง ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ชายหนุ่มรีบเอามือวักน้ำร้อนขึ้นมาลูบใบหน้าของตนเพื่อเรียกสติ เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นแทน และสิ่งที่เขานึกได้ก็คือ" หากอรูสกายที่ข้าสังหารเป็นทหารของกองทัพปีศาจที่ตั้งค่ายออกไปไม่ไกลนักเป็นได้ไหมว่าแม่ทัพของมันจะตามมาบุกโจมตี...ที่นี่? "ไม่มีอะไรต้องคิดมากให้เสียกาลว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำคว้าผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปที่เตียง ทว่าวินาทีนั้นเอง
!?
ฟิล เดลโล่หยุดยืนนิ่งปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาตามร่างกายและปลายผมของเขาร่วงลงบน พรมห้องเขาก้าวขาเดินต่อไปหยิบเสื้อผ้าบนที่นอนมาสวมใส่ด้วยท่าทางสบายๆขณะที่เขากำลังคาดเข็มขัดเรียบร้อยพลางกล่าวออกมาเสียงเรียบ"ในห้องนี้คงไม่ได้มีข้าอยู่ผู้เดียวสินะ"ชายหนุ่มพูดจบและหันไปมองที่หน้าต่างร่างลึกลับสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินปรากฏออกมาหลังผ้าม่านยาวริมหน้าต่างอีกร่างหนึ่งก็สวมเสื้อคลุมเช่นเดียวกันยืน พิงอยู่หลังประตูห้องอาบน้ำหนึ่งในนั้น เดินเขามาหา ฟิลเดลโล่ พร้อมกับถอดเสื้อคลุมออกเผยให้ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวผมสีทองที่เปล่ง ประกาย ดุจดวงตะวัน นัยน์ดวงตาสีฟ้าใสในชุดเสื้อกันหนาวสีขาว จ้องมองมาที่ตนสิ่งที่ทำให้ ชายหนุ่มต้องชะงักยืนนิ่งอึ้งไม่ใช่ความสวยงามของนาง แต่เป็นปีกทั้งหกที่กางออกมาจากกลางหลังของหญิงสาวลอยตัวยืนขึ้นไปอยู่เหนือพื้นห้อง
'จงฟัง....ข้าคือ กาบริเอล หนึ่งในเจ็ดเทพพิทักษ์บนสวรรค์..ข้าได้รับบัญชา จากพระเจ้าให้มาปลดผนึกอาญาสวรรค์เทพทั้ง12ราศีออกเพื่อยุติกลียุคและแหวนแห่งจักรราศีได้บอกข้าว่าบัดนี้ศรัทธาแห่งพื้นพิภพ Taurus(ราศีพฤษภ)แห่งหมู่ดาว วัว ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว...'
เสียงใสๆที่ดังก้องกังวานนั้นทำให้ฟิลเดลโล่เลิกคิ้วขึ้นในรูม่านตาเปิดกว้างเอียงศรีษะขยี้ตาตนเองก่อนเงยหน้ามองอีกครั้ง
'หะ..... นางฟ้า?'เสียงถอนหายใจของอีกคนที่ยืนพิงประตูอยู่ดังขึ้น'กะแล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้'
ติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายเรื่องนี้ได้ที่
https://www.facebook.com/Zodiacfate
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ