ปิ่นเกล้า
-
เขียนโดย hidden_agenda
วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.49 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
6,404 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558 11.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ดาวในแก้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความปิ่นสะดุ้งตกใจผลักตัวลุกขึ้นฉับพลันให้หลุดพ้นจากเหตุการณ์อันระทึกและสะเทือนขวัญนั้น มือน้อยๆถูกยกขึ้นมาทาบหน้าอก แรงสะเทือนจากหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งปานว่ามันกำลังดิ้นรนจะผลักตนทะลุออกไปให้พ้นจากการไล่ล่าและกัดกินของปีศาจร้ายที่กำลังอาละวาดอยู่ภายในร่างกายเธอนั้นช่างรุนแรงส่งให้เสื้อนอนหลวมบางบริเวณหน้าอกอูมนูนกระเพื่อมสั่นไหวไม่เป็นจังหวะ ปิ่นเงยหน้าขึ้นมองเพดานปูน ณ จุดเหนือเตียง ม่านตาเบิกกว้างไม่กระพริบของเธอพยายามกวาดสอดส่ายไปโดยรอบเพื่อหาตำแหน่งภาพติดตาอันน่าสยดสยองเมื่อครู่นี้ ปิ่นลดสายตามาพักที่หน้าตักเมื่อพบว่าเพดานปูนหนาสีขาวยังคงดูสะอาดตาไร้หลุมหล่มและรอยแตกร้าว เธอหันไปฉวยโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงอย่างรวดเร็วแล้วเปิดโปรแกรมที่เธอตั้งไว้ก่อนนอน ภาพเรดาร์ที่กำลังทำงานปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ปิ่นสัมผัสหน้าจอกดrefreshสัญญาณเตือน
“ไม่พบความผิดปกติใดๆในรัศมี 1 กิโลเมตร” ข้อความเด้งขึ้น ปิ่นกด refresh อีกครั้ง
“ไม่พบความผิดปกติใดๆในรัศมี 1 กิโลเมตร”
ข้อความยังคงยืนยัน ปิ่นปิดหน้าจอทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียง เธอจับผ้าชายห่มขึ้นมาขยี้กับใบหน้า น้ำตาที่รินไหลไม่หยุดจากดวงตาแดงก่ำและอาการสะอื้นร่ำไห้ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้เธอได้หายใจได้สะดวกเช่นตามปกติ ขอบผ้าห่มนั้นเปียกโชกด้วยน้ำแห่งความโศกที่บีบคั้นสภาพจิตใจอันอ่อนแอ
“คิดถึงชีวิตที่ปิ่นเป็นคนสร้างขึ้นมาด้วย”
เสียงนั้นยังคงสะท้อนก้องในหัวไปมา พลันมือทั้งสองข้างก็ทิ้งชายผ้าห่ม เธอเอามือปิดหูแล้วฟูมฟาย แต่เสียงนั้นท่าจะไม่ปล่อยให้ปิ่นเป็นอิสระง่ายๆและดูเหมือนว่ามันจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมานั้นทำให้เธอสะเทือนใจมากพอแล้ว
ปิ่นประคองตัวลุกขึ้นจากเตียงตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในอากับกิริยาโซซัดโซเซ มืออันสั่นเทาเปิดประตูตู้ออก เธอหยิบขวดยาที่ตั้งไว้ในช่องริมประตูออกมาบิดฝาเปิด แต่ความว่างเปล่าในขวดนั้นทำใจเธอร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ปิ่นไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอพลิกขวดในท่าคว่ำแล้วเขย่าๆด้วยความหวังว่าจะมีสักเม็ดสองเม็ดหล่นลงมาบ้าง เธอขอให้ความว่างเปล่าที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพหลอน แต่ก็ไม่เป็นผล ความจริงช่างโหดร้าย ปิ่นปล่อยขวดยาทิ้งลงกับพื้นแล้วควานหาทุกชั้นทุกช่องในตู้เย็นอย่างลนลานจนของในตู้เย็นตกลงมากระจัดกระจายที่พื้น การเคลื่อนไหวของปิ่นเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆตามความเร็วชีพจรที่ทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมความปวดที่กำลังเสียดแทงเข้ามาในศีรษะ
อาการเหล่านั้นที่กำลังจู่โจมถาโถมอย่างไม่ปราณีทำให้เธอไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ได้อีกต่อไป ปิ่นหายใจไม่ทัน เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดแทบจะล้มทั้งยืน พลันเธอก็รู้สึกเหมือนอาหารและน้ำที่เธอทานเข้าไปทั้งหมดเมื่อวานกำลังวิ่งดันตัวผ่านขึ้นมาทางหลอดอาหาร เธอขัดขืนเกร็งคอหอยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปโดยหวังจะต้านให้มันกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ แต่มันก็ไม่ลดละความพยายาม ในที่สุด เมื่อรู้แน่ว่าเธอไม่สามารถทานมันไว้ได้อีกต่อไป ปิ่นรวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีรีบลุกขึ้นเดินไม่เป็นเส้นตรงไปยังห้องน้ำแทบจะล้มทั้งยืน แต่ดีที่เธอยังใช้มือพิงกำแพงไว้ได้ทัน
“โครม!!!”
เสียงประตูห้องน้ำกระทบฝาผนังดังก้อง ปิ่นจะไม่ฝืนมันอีกต่อไป เพียงแค่ให้มันได้ออกไปสู่ในที่ที่มันควรจะไปสมใจเท่านั้นเอง
ปิ่นคุกเข่ากับชักโครก มือจับฝาเกร็งแน่นอาเจียนออกมาแทบจะหมดไส้หมดพุง เธอรู้สึกจุกแสบบริเวณท้องและหลอดอาหารเป็นอย่างมาก น้ำย่อยที่ทะลักออกมาพร้อมกันผิดเวลานี้กำลังแผดเผาไม่ให้เธอได้หยุดพัก ถึงจะยอมให้มันเป็นอิสระแล้วแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอดีขึ้นจากอาการนั้นเลย ซ้ำร้ายอาการเหล่านั้นกลับเพิ่มความเข้มข้นในการทำงานของมัน ยิ่งไปกว่านั้นปิ่นเริ่มรู้สึกเย็นและชาที่มือทั้งสองข้าง ตั้งแต่โคนขาลงไปกำลังอ่อนแรงแทบจะไร้ความรู้สึก ปิ่นพยายามลากตัวเองออกมาจากห้องน้ำคลานกลับไปที่เตียง เธอแทบจะล้มฟุบลงนอนกับพื้น ปิ่นเอาหน้าซบกับขอบเตียงแล้วใช้มือควานหยิบมือถือบนที่นอน
“ติ๊ก!”
เธอunlockหน้าจอที่ในขณะนี้บอกเวลา 03.00น. อาการร้อนๆหนาวๆแวบวาบภายในร่างกายทำให้ปิ่นกำลังจะวูบลงกับที่นอน เธอกดออกจากโปรแกรมที่เปิดทิ้งไว้นั้นแล้วเข้าหน้าประวัติการโทร ด้วยความที่เธอไม่ค่อยมีเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้วันๆเธอแทบจะไม่ต้องติดต่อกับใคร ปิ่นกดโทรออกหมายเลขแรกที่ปรากฏอยู่บนรายการนั้น
“อาภูริ”
ในไม่กี่อึดใจ ปิ่นก็รู้สึกหน้ามืดและหมดสติไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปิ่นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ใหม่ เข็มนาฬิกาข้างฝาชี้บอกเวลา 7.00 น. ผนังห้องสีขาวถูกแซมด้วยสีทองอ่อนๆจากแดดยามเช้าที่ส่องผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามากระตุ้นความมีชีวิตชีวาของห้องสี่เหลี่ยมใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคย โต๊ะเครื่องแป้งถูกจัดไว้ในสภาพเรียบร้อย เธอเห็นของเล่นของสะสมกระจุกกระจิกในวัยเด็กยังคงตั้งอยู่ที่เดิมราวกับว่ามันไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายมานับสิบๆปี ปิ่นพบตัวเองนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาในท่านอนหงายสบายๆบนเตียงหลังเก่าที่ผูกพันกับเธอมาตั้งแต่เยาว์วัย ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่นๆที่กำลังทาบอยู่ที่หน้าผากแล้วเลื่อนขึ้นไปลูบผมดำเงาสลวยช้าๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ปิ่น”
เจ้าของมือข้างนั้นพูด ปิ่นมองนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คู่นั้นที่กำลังส่งทอดความอ่อนโยนและห่วงใยผ่านเลนส์แว่นมาหา หากจะเปรียบสายตาคู่นั้นเป็นตัวปล่อยสัญญาณโทรทัศน์ ก็คงเป็นเครื่องกระจายคลื่นพลังแห่งความเมตตาและอบอุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เธอสัมผัสได้ในชีวิต แต่กระนั้นใบหน้าอันซีดเซียวของปิ่นก็ยังคงแสดงออกถึงความรู้สึกสะเทือนใจ
“ปิ่นเจออีกแล้ว แม่กับน้องมาหาปิ่น…” เสียงสั่นเครือ
“ปิ่นไม่เป็นอะไรแล้วนะ” เขาพูด มือข้างเดิมยังคงลูบผมปิ่นอย่างอ่อนโยน ปิ่นอยากจะร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง แต่ก็ติดอยู่ตรงที่ว่าเธอไม่เหลือน้ำตาจะเสียแล้ว ตาเธอได้แต่จ้องมองผนังอย่างเหม่อลอย
“แต่ปิ่นเห็นจริงๆ”
“ทั้งหมดเป็นภาพจากจิตใต้สำนึกของปิ่นนะ อาเข้าใจ ทุกคนล้วนมีเรื่องผิดพลาดที่ฝังใจในชีวิต แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาก็จะดูแลปิ่นให้ดีที่สุด”
“อาช่วยปิ่นไม่ได้หรอก ทั้งหมดที่ปิ่นเป็นคนทำ อาภูริก็รู้ปิ่นเลวแค่ไหน ปิ่นต้องชดใช้” เธอส่ายหน้าช้าๆ
“ปิ่น ถึงแม่ปิ่นจะทำไม่ถูกไว้เยอะ แต่แม่ก็ไม่เคยโกรธเกลียดปิ่นเลย แม้จนช่วงสุดท้าย… ปิ่นยังดีกว่าแม่ ปิ่นยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเวลากลับตัวแก้ไขและปล่อยวางอดีต แต่แม่ปิ่นที่รู้สึกผิด แม้จะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีกแล้ว”
“น้องคงแค้นปิ่นมากใช่ไหมอา? ปิ่นควรจะให้น้องลืมตาดูโลก เลี้ยงเขา เป็นแม่ที่ดีแม้จะต้องอยู่คนเดียว แต่นี่ปิ่นเป็นคนทำเขาขึ้นมาแล้วยังทำลายเขาด้วยมือปิ่นเอง”
“ปิ่น ไม่ว่าอดีตเราจะเป็นยังไง แต่ปิ่นก็ต้องรับความจริงให้ได้และรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ นี่มันก็ผ่านมาหลายปี อารู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันยากแค่ไหน แต่ปิ่นก็ต้องปล่อยวางบ้าง”
“ถ้าปิ่นอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็นแบบนี้ ปิ่นจะมีชีวิตต่อไปทำไม? ก็ดีนะถ้าเขามารับปิ่นไปดูแลอยู่ด้วยกัน เพราะที่ผ่านมาปิ่นไม่เคยให้อะไรเขาเลย ทั้งๆที่ปิ่นเป็นถึงแม่” ปิ่นพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก ภูริถอนหายใจเบาๆ
“อารักษาคนมามาก ที่ผ่านมาคนไข้หลายคนเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัว คนไข้ทุกคนอาไม่เคยบอกและไม่เคยคิดว่าเขาเป็นบ้า เพราะแต่ละคนมีภูมิหลัง พื้นฐานทางจิตใจ การรับรู้และประสบการณ์ต่างกัน บางคน ภาพที่เห็นนั้นเกิดจากจิตใต้สำนึกที่ปรุงแต่งขึ้นมา อาไม่เคยปฏิเสธโลกคู่ขนานที่อยู่รอบตัวเรา แต่เรื่องแม่กับลูกปิ่น ทั้งสองคนเขาไปสบายแล้วจริงๆ”
“มันเป็นเรื่องของเวรกรรมใช่ไหม?”
“อาไม่อยากใช้คำนั้น เพราะมันก็เป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นความจริงก็คือ เมื่อคนเราทำผิด ความรู้สึกผิดมันก็อยู่ในใจไม่มากก็น้อย รอการสำนึกและปล่อยวางเพื่อก้าวไปข้างหน้า ยกเว้นคนที่จิตใจหยาบจนกระด้างแยกแยะชั่วหรือชอบไม่ได้อีกแล้ว”
“ปิ่น… ปิ่น…” เธอพูดอะไรไม่ออก ปิ่นลุกขึ้นโผเข้ากอดภูริที่นั่งอยู่ข้างๆเธอบนเตียง หยาดน้ำตาสีใสอีกระลอกซึมเข้าเสื้อสีขาวบริเวณอกข้างขวาของเขาที่เธอซบอยู่ ภูริใช้ปลายจมูกหอมเบาๆเข้าที่ศีรษะอันปกคลุมไปด้วยผมดำเส้นบางอ่อนนุ่มนั้นด้วยความเอ็นดู
“ปิ่นอย่าลืมนะ ว่าปิ่นก็เหมือนลูกอาอีกคน อาสัญญากับแม่ปิ่นไว้แล้วว่าจะดูแลปิ่นให้ดีที่สุด” ภูริกระซิบข้างหู
“ปิ่นยังมีคนต้องการใช่ไหม?”
“ลมหายใจปิ่นมีคุณค่ากับอาและทุกคนเสมอ”
เขาประคองถ้วยโกโก้อุ่นเข้าไปไว้ในอุ้งมือปิ่นอย่างนิ่มนวล เธอเหลือบมองยาขวดใหม่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
“วันนี้ปิ่นพักอยู่ที่บ้านก่อน รู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยกลับไปที่ม.” เขาตบไหล่เธอเบาๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“งั้นมะรืนหกโมงผมเข้าไปนะป้า ขอนวดแบบจัดหนักๆ อยากคลายเส้น อ้อ… เตรียมตังค์ให้ครบด้วย ของพร้อม”
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์กดตัดสาย เอามือลูบเคราเฟิ้ม เขาสูดควันสุดท้ายจากวัตถุในมือที่กำลังเผาไหม้จนถึงโคนเข้าปอดลึกๆช้าก่อนจะปล่อยออกมาทางจมูก ดูไม่ต่างจากมังกรไฟปีศาจที่เพิ่งตื้นขึ้นจากการหลับใหลชั่วพันปี เขารู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายยิ่งนัก มือจับราวระเบียงแน่นแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามวิกาล เขาคิดในใจ หากเขาได้เสพย์ควันสวรรค์นั้นอีกสักมวน เขาคงจะเสกปีกพญามังกรให้มาอยู่บนหลังตัวเองได้และกระโจนออกนอกระเบียงบินท่องราตรี แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่เวลานี้
“พร้อมนะ?”
เขาหันหลังกลับมาถามสองสาวที่กำลังนั่งขัดสมาธิล้อมวงอยู่กลางโต๊ะญี่ปุ่นสี่เหลี่ยมจตุรัสตัวเล็กริมเตียงในห้องหอพักแคบๆภายใต้แสงไฟสลัวก่อนจะเดินเข้ามานั่งร่วมวง
“เตรียมของมาขนาดนี้แล้ว เริ่มเลยเหอะ” หญิงสาวคนหนึ่งในวงพูด
“มึงว่าเราตัดสินใจกันถูกจริงๆเหรอวะ?” หญิงสาวอีกคนถาม ทำเอาเธอลังเล
“ออม มึงคนต้นคิดนะ กูไล่ให้มึงลองไปดูดวงมึงก็ไม่ไป กลัวไม่ชัวร์ มึงอยากรู้ กูก็อยากรู้ เสียเวลา! กูไหว้เจ้าที่เจ้าทางข้างล่างแล้ว”
ชายหนุ่มตัดบทแล้วหยิบแผ่นกระดาษขาวprintตารางตัวอักษร พยัญชนะและตัวเลขขึ้นมากางแผ่หลาบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ยกถาดทรงกลมขนาดย่อมที่มีข้าวกล่องและขนมหวานสามอย่างวางอยู่ขึ้นไปตั้งไว้บนโต๊ะทำงานก่อนจะใช้ไฟแช็กประจำกายจุดธูปขึ้นประนมมือแล้วพึมพำอยู่สักพัก เขาถือธูปกลับมาที่เดิมเพื่อหยิบแก้วใสใบเล็กออกมาครอบควันจากธูปดอกนั้นไว้คว่ำลงบนกลางแผ่นกระดาษขาวดังกล่าวในกรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางที่เขียนไว้ว่า “ที่พัก” เขาเดินคุกเข่าไปที่โต๊ะช้าๆ ปักธูปไว้ในกระถางที่เตรียมไว้แล้วกลับมาประจำที่ ชายหนุ่มแตะขอบแก้วคว่ำนั้นด้วยนิ้วชี้ข้างขวาเป็นคนแรกตามมาด้วยหญิงสาวทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นมีท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“เริ่มก่อนนะ ท่อง พุท โธ ธา ยะ ผลัดกันคนละพยางค์วนตามเข็มสามจบ”
ชายหนุ่มกล่าว สายตาจับจ้องหญิงสาวในชุดนักศึกษาเจ้าของนิ้วมือสั่นเทานั้นเขม็ง
“พุท”
“โธ”
“ธา”
“ยะ”
ทุกคนเปล่งคาถานั้นเวียนจนครบสามจบ
“ขออัญเชิญดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่นี้ เข้ามาสถิตในถ้วยแก้วด้วยเถิด”
เขาพูดจบ พลันสายตาก็เลื่อนมาจับจ้องอยู่ที่แก้วเปล่าใบนั้น ความเงียบงันเริ่มทำงาน ทุกคนเพ่งจุดที่แตะนิ้วรวมกันบนแก้วเป็นสายตาเดียวกันไม่กระพริบ ในไม่กี่อึดใจ แก้วเปล่าก็สั่นไหว ควันธูปที่จับตัวกันอยู่ในแก้วเริ่มฟุ้งกระจายไม่เป็นรูป
“ออม อย่าขยับแก้วเป็นอันขาด!” ชายหนุ่มตวาด
“กูไม่เล่นแล้ว” หญิงสาวพูดเสียงสะอื้นด้วยความกลัว เธอขยับนิ้วเตรียมจะดึงออก
“ถ้ามึงดึงออก วิญญาณจะสิงมึง!” เขายื่นคำขาด และมันก็ได้ผล หญิงสาวเกร็งนิ้วกดลงบนแก้วแน่นกว่าเดิม หญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆยังคงนิ่ง แต่หน้าผากเธอเต็มไปด้วยหยดเหงื่ออุ่นๆที่ไหลลงมาเป็นปฏิกิริยาต่อความระทึกไม่ใช่น้อย แก้วใบดังกล่าวยังคงนิ่งงัน
“ขออัญเชิญดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่นี้มาสิงในถ้วยแก้วด้วยเถิด” ชายหนุ่มพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม แต่แก้วก็ไม่ยอมขยับไปไหน
“ตัวเอง เค้าว่าพอเถอะ ในเมื่อไม่มา ก็คือไม่มี” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆเขา ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้แตะขอบแก้วลูบหลังไปมาเพื่อจะลดความขึงเครียด
“ดวงวิญญาณ ถ้ามีอยู่แถวนี้ กูบอกให้รีบมาสิงแก้วให้เร็ว!” คราวนี้เขาตวาดใส่แก้ว สร้างความตื่นตระหนกต่อสองสาว เธอถึงกับผงะชักมือที่ลูบหลังเขาอยู่นั้นออก
สิ้นเสียงเขาไปไม่กี่อึดใจ แสงไฟสลัวในห้องก็ดับลงฉับพลัน ก่อนจะกระพริบแวบวาบไปมาแล้วกลับมาติดอีกครั้งแต่ไม่สว่างเท่าเดิม ทั้งสามรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในห้อง ลมแรงที่พัดอัดเข้ามาทางระเบียงทำหนังสือ ขวดน้ำ ข้าวของจิปาถะล้มลงมากองระเนระนาด ออมที่รู้สึกใจไม่ดีอยู่แล้วปล่อยโฮ เธออยากจะถอนตัวจากเกมเขย่าขวัญนี้ คำถามที่มีอยู่ในหัวบัดนี้ไม่มีความหมาย เธอไม่อยากรู้อีกแล้ว แต่บางทีสมองเธอก็กำลังเล่นตลก มันสั่งให้ออมกดนิ้วลงกับขอบถ้วยแน่นกว่าเดิมไม่ยอมปล่อย หญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่มหายใจเข้าออกเร็วขึ้น และสมองก็กำลังเล่นตลกกับเธอเช่นกัน มันสั่งให้เธอก้าวขาไม่ออก นั่งนิ่งๆอยู่สภาพที่พร้อมจะรับรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะปรากฏตรงหน้า
แก้วใบนั้นขยับออกจากกรอบสี่เหลี่ยม มันเคลื่อนตัวไปทั่วแผ่นกระดาษอย่างสะเปะสะปะ สักพัก มันก็พานิ้วทั้งสามแล่นไปทั่วสี่มุมขอบกระดาษช้าๆหยุดลงที่ตัวอักษร “ก”
“หึหึ” ชายหนุ่มรู้สึกกระหยิ่มในใจที่สามารถ “ลาก” ดวงวิญญาณให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นสนุกได้ เขาเชยตาหันว้ายขวามองสองสาวที่กำลังตื่นตระหนก
“หากดวงวิญญาณมาอยู่ ณ ที่นี้แล้ว ขอให้ไปอยู่ตรงที่พัก”
เขาพูดกับแก้ว สิ้นเสียงชายหนุ่ม มันก็เคลื่อนตัวกลับสู่ตำแหน่งเดิม “ที่พัก”
“ออม มีอะไรจะถามไม่ใช่เหรอ” เขาเบ้ปากไปทางออม เธอหน้าซีดเป็นไก่ต้ม นี่คือช่วงที่เวลาเดินช้าที่สุดในชีวิต ออมสูดหายใจเข้าออกพยายามรวบรวมสติ
“ร...เรา ไม่ได้จะลบหลู่ท่านนะคะ ท่านม...มาจากไหน?” สิ้นเสียงออม แก้วค่อยๆเคลื่อนออกจากที่พักไปยังสระ “ใ-” ตามมาด้วยพยัญชนะ “น” และจบที่ตัว “ม” “ในม.”
“เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?” เพื่อนสาวถามบ้าง แก้วขยับตัวไปยังพยัญชนะ “ญ”
“ตายที่ไหน?” ชายหนุ่มถาม แก้วเดินไปตามทางของมันให้คำตอบออกมา “บ้าน”
“ตายนานยัง?” เขาถามต่อห้วนๆ ไม่รีรอ มันเคลื่อนตัวไปตามตัวเลข พยัญชนะ และสระ ออกมาเป็นคำตอบ “2 ปี”
“โจ้! มึงพูดดีๆก็ได้ปะวะ?” ออมดุน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ แต่เขาแสยะยิ้มแล้วส่ายหัว
“เราขอถามเรื่องในอนาคตได้ใช่ไหมคะ?” เบล แฟนสาวโจ้เปิดปากถามบ้าง
“ได้” มันตอบโดยไม่มีทีท่าลังเล ทุกคนสบตากัน
“พวกหนูอยู่ปีสุดท้ายแล้ว จะจบสี่ปีกันไหมคะ?” ออมถามคำถามคาใจ สายตาและสมาธิทุกคนต่างจดจ่ออยู่ที่แก้วควันธูป มันนิ่งไปสักพักแล้วขยับจากตำแหน่งสระอีตรงดิ่งไปยังสระ ไ- นาทีนี้ คงไม่ใช่ออมเพียงคนเดียวที่หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทุกคนออกอาการลุ้นระทึกหวาดเสียวอย่างเห็นได้ชัด โจ้มือสั่นด้วย แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แก้วใบนั้นเคลื่อนตัวเข้าใกล้สระ ไ- เข้าไปทุกขณะ โดยไม่มีทีท่าจะหยุด บัดนี้มันอยู่ห่างจากสระ ไ- ไม่ถึงสามเซนติเมตรด้วยซ้ำ ทุกคนหลับตาลงพร้อมกันโดยอัตโนมัติ
“ครืน……!”
หนึ่งหนุ่มกับสองสาวรับรู้ถึงแรงเคลื่อนของแก้วที่ยังเคลื่อนที่ไม่ยอมจอด พวกเขาเบิกตามองจังหวะที่มันแล่นผ่านเลยสระ ไ- นั้นวกขึ้นไปบริเวณที่เป็นเขตพยัญชนะไล่บรรทัดขึ้นไปตามลำดับจนถึงบรรทัดบนสุดไปหยุดที่พยัญชนะ “จ” และลงมาหาพยัญชนะ “บ”
“จบ” เบลพึมพำ ทุกคนต่างรูสึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“เก่งอยู่แล้ว ที่รัก” โจ้จุมพิตแก้มซ้ายเบล เธอยิ้มเขินๆ แก้มเปล่งสีชมพู ออมพยักหน้าด้วยความพอใจ เบลเม้มปากเตรียมถามคำถามต่อไป
“แล้ว…”
ไม่ทันที่คำถามต่อไปจะได้แสดงใจความของมัน แก้วก็เลื่อนแล่นกลับไปยังพื้นที่ของสระอีกครั้ง คราวนี้มันจงใจไปสะดุดหยุดลงที่สระ “เ-” ราวกับเวลาหยุดนิ่งลง ไม่มีใครสนใจสิ่งรอบข้างเพราะได้แต่สงสัยว่ามันกำลังจะเล่นตลกอะไร
มันกลับมายังพื้นที่พยัญชนะอีกครั้ง ตรงบรรทัดสุดท้ายที่ช่อง “ห” แล้วจบการเคลื่อนไหวที่ช่องไม้เอก
“จบเห่!”
ถ้อยคำนั้นดังกึกก้องขึ้นในหัวทั้งสามพร้อมกันราวกับเสียงระเบิดโดยมิได้นัดหมาย เป็นถ้อยคำสองพยางค์ที่สั้น กระชับ และได้ใจความ หัวใจทุกคน โดยเฉพาะออมเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าซีดเผือดยิ่งกว่าช่วงแรกที่ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณ มือของเบลข้างที่ว่างกุมมือโจ้แน่น เธอเอนกายแนบซบเขา โจ้รู้สึกได้ถึงความกลัวของเบลที่ตัวสั่นเป็นลูกนก เขาเองก็กำลังเผชิญความรู้สึกนี้ไม่แพ้กัน แต่ด้วยฤทธิ์ยา ความรู้สึกเช่นว่านี้กลับถูกกดไปจนหมดสิ้น
“ผีเลว มึงโกหก!” โจ้ตะเบ็งเสียงใส่แก้วตรงหน้า และเหมือนมันรู้งาน ถ้วยแก้วสำแดงเดชของมันเขย่าขวัญโจ้ เบล ออมอีกครั้ง คราวนี้มันวิ่งด้วยความรวดเร็วไปมาบนกระดานอย่างมีจุดหมายตามลำดับสระและพยัญชนะ
“ใครกันแน่” มันเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง แต่แน่นอนว่า ทั้งสามคนต่างช็อคกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ปากแข็งเกินกว่าจะขยับให้คำตอบได้ ถ้วยแก้วไม่รอช้า มันขยับตัวอีกครั้ง
“สารเลว”
“ตอแหล”
“ชีวิตพัง”
“ระวังให้ดี”
แต่ละวลีที่สื่อออกมาช่างทรงพลังอันน่ากลัว ประสบการณ์สยองครั้งนี้จะเป็นที่จดจำสำหรับพวกเขาทั้งสามไปจนวันตาย
“ผีอย่างมึงแม่งไม่ได้ตายดีแน่ๆ ใช่ไหม ใช่ไหม? บอกมา!”
“ติดยา”
คำตอบทำเอาโจ้ชะงักไปชั่วครู่
“มึงเป็นใคร? หลุดมาจากนรกขุมไหน? บอกมา!” โจ้ระเบิดอารมณ์ทั้งหมดที่เขามีใสถ้วยแก้วใบนั้น นิ้วเขากดแน่นชี้ลง หากเพียงนิ้วเขามีความแข็งพอ ด้วยแรงขนาดนี้ เขาสามารถบดขยี้ถ้วยแก้วได้สบายๆ เบลและออมรู้สึกเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ร้องไห้แต่ไม่มีความรู้สึก
“ป”
“า”
“น”
“ด”
“า”
และแก้วก็หยุดลงที่ตัว “ว”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
เบลกรีดร้อง ปล่อยมือโผเข้ากอดโจ้แน่น ออมยังคงนิ่งเงียบเป็นหินอยู่ท่าเดิม ถ้วยแก้วสั่นสะเทือนไปมาขอบปากมันเผยอขึ้น ควันธูปที่ถูกกักไว้ข้างในลอยโชยออกมาและดูเหมือนมันจะเพิ่มปริมาณและก่อตัวขึ้นเรื่อยๆจนบดบังแผ่นกระดาษไม่เห็นตารางตัวอักษร ควันนั้นเปลี่ยนกลิ่นเป็นลาเวนเดอร์ ลอยเข้าปะทะกับใบหน้าและจมูกของสามคนนั้น ทั้งโจ้ เบล และออมไอสำลักควัน โจ้เอาชายเสื้อปิดส่วนปากและจมูกไม่ให้ตัวเองสูดเข้าไป โจ้ที่หลับตาปี๋ควานมือถ้วยแก้วผีสิงในม่านควันนั้น แต่แล้วเขาต้องรีบชักมือกลับเพราะสัมผัสได้เปลวเพลิงที่เลียผิว ไฟนรกกำลังลุกไหม้ตารางตัวอักษรและโต๊ะญี่ปุ่นและจะลุกลามไปยังเตียงในไม่ช้า
“ออม มึงไปเอาน้ำมาเร็ว!”
โจ้สั่ง เขาผลักเบลให้ไปหลบอยู่ด้านหลัง ดึงผ้าห่มมาจากเตียงแล้วฟาดๆมันลงไปบนกองเพลิงเพื่อจะดับ ไม่นาน ออมก็ตักน้ำมาราดซ้ำ จังหวะที่น้ำสาดลงไป ควันได้เปิดช่องให้เห็นถ้วยแก้วที่ตกอยู่ที่พื้น โจ้ใช้เท้าเขี่ยถ้วยออกมาให้พ้นแดนเพลิงแล้วจัดการฟัดฟาดกับกองฟอนคลั่งจนดับมอด
เขาคว้าถ้วยแก้วนั้นไว้ในกำมือแน่นลุกขึ้นแล้วขว้างสุดแรงออกนอกระเบียง
“กลับนรกของมึงไป!”
“เพล้ง!”
เขาได้ยินเสียงแก้วแตก พลันควันที่รุกไล่หมายเอาชีวิตทั้งสามก่อนหน้านี้ก็จางลง โจ้มองเห็นเบล และออมร้องไห้กอดกันกลมด้วยความตื่นกลัว
เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ปานดาว”
ภาพยังคงติดตา
“ไม่พบความผิดปกติใดๆในรัศมี 1 กิโลเมตร” ข้อความเด้งขึ้น ปิ่นกด refresh อีกครั้ง
“ไม่พบความผิดปกติใดๆในรัศมี 1 กิโลเมตร”
ข้อความยังคงยืนยัน ปิ่นปิดหน้าจอทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียง เธอจับผ้าชายห่มขึ้นมาขยี้กับใบหน้า น้ำตาที่รินไหลไม่หยุดจากดวงตาแดงก่ำและอาการสะอื้นร่ำไห้ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้เธอได้หายใจได้สะดวกเช่นตามปกติ ขอบผ้าห่มนั้นเปียกโชกด้วยน้ำแห่งความโศกที่บีบคั้นสภาพจิตใจอันอ่อนแอ
“คิดถึงชีวิตที่ปิ่นเป็นคนสร้างขึ้นมาด้วย”
เสียงนั้นยังคงสะท้อนก้องในหัวไปมา พลันมือทั้งสองข้างก็ทิ้งชายผ้าห่ม เธอเอามือปิดหูแล้วฟูมฟาย แต่เสียงนั้นท่าจะไม่ปล่อยให้ปิ่นเป็นอิสระง่ายๆและดูเหมือนว่ามันจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมานั้นทำให้เธอสะเทือนใจมากพอแล้ว
ปิ่นประคองตัวลุกขึ้นจากเตียงตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในอากับกิริยาโซซัดโซเซ มืออันสั่นเทาเปิดประตูตู้ออก เธอหยิบขวดยาที่ตั้งไว้ในช่องริมประตูออกมาบิดฝาเปิด แต่ความว่างเปล่าในขวดนั้นทำใจเธอร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ปิ่นไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอพลิกขวดในท่าคว่ำแล้วเขย่าๆด้วยความหวังว่าจะมีสักเม็ดสองเม็ดหล่นลงมาบ้าง เธอขอให้ความว่างเปล่าที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพหลอน แต่ก็ไม่เป็นผล ความจริงช่างโหดร้าย ปิ่นปล่อยขวดยาทิ้งลงกับพื้นแล้วควานหาทุกชั้นทุกช่องในตู้เย็นอย่างลนลานจนของในตู้เย็นตกลงมากระจัดกระจายที่พื้น การเคลื่อนไหวของปิ่นเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆตามความเร็วชีพจรที่ทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมความปวดที่กำลังเสียดแทงเข้ามาในศีรษะ
อาการเหล่านั้นที่กำลังจู่โจมถาโถมอย่างไม่ปราณีทำให้เธอไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ได้อีกต่อไป ปิ่นหายใจไม่ทัน เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดแทบจะล้มทั้งยืน พลันเธอก็รู้สึกเหมือนอาหารและน้ำที่เธอทานเข้าไปทั้งหมดเมื่อวานกำลังวิ่งดันตัวผ่านขึ้นมาทางหลอดอาหาร เธอขัดขืนเกร็งคอหอยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปโดยหวังจะต้านให้มันกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ แต่มันก็ไม่ลดละความพยายาม ในที่สุด เมื่อรู้แน่ว่าเธอไม่สามารถทานมันไว้ได้อีกต่อไป ปิ่นรวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีรีบลุกขึ้นเดินไม่เป็นเส้นตรงไปยังห้องน้ำแทบจะล้มทั้งยืน แต่ดีที่เธอยังใช้มือพิงกำแพงไว้ได้ทัน
“โครม!!!”
เสียงประตูห้องน้ำกระทบฝาผนังดังก้อง ปิ่นจะไม่ฝืนมันอีกต่อไป เพียงแค่ให้มันได้ออกไปสู่ในที่ที่มันควรจะไปสมใจเท่านั้นเอง
ปิ่นคุกเข่ากับชักโครก มือจับฝาเกร็งแน่นอาเจียนออกมาแทบจะหมดไส้หมดพุง เธอรู้สึกจุกแสบบริเวณท้องและหลอดอาหารเป็นอย่างมาก น้ำย่อยที่ทะลักออกมาพร้อมกันผิดเวลานี้กำลังแผดเผาไม่ให้เธอได้หยุดพัก ถึงจะยอมให้มันเป็นอิสระแล้วแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอดีขึ้นจากอาการนั้นเลย ซ้ำร้ายอาการเหล่านั้นกลับเพิ่มความเข้มข้นในการทำงานของมัน ยิ่งไปกว่านั้นปิ่นเริ่มรู้สึกเย็นและชาที่มือทั้งสองข้าง ตั้งแต่โคนขาลงไปกำลังอ่อนแรงแทบจะไร้ความรู้สึก ปิ่นพยายามลากตัวเองออกมาจากห้องน้ำคลานกลับไปที่เตียง เธอแทบจะล้มฟุบลงนอนกับพื้น ปิ่นเอาหน้าซบกับขอบเตียงแล้วใช้มือควานหยิบมือถือบนที่นอน
“ติ๊ก!”
เธอunlockหน้าจอที่ในขณะนี้บอกเวลา 03.00น. อาการร้อนๆหนาวๆแวบวาบภายในร่างกายทำให้ปิ่นกำลังจะวูบลงกับที่นอน เธอกดออกจากโปรแกรมที่เปิดทิ้งไว้นั้นแล้วเข้าหน้าประวัติการโทร ด้วยความที่เธอไม่ค่อยมีเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้วันๆเธอแทบจะไม่ต้องติดต่อกับใคร ปิ่นกดโทรออกหมายเลขแรกที่ปรากฏอยู่บนรายการนั้น
“อาภูริ”
ในไม่กี่อึดใจ ปิ่นก็รู้สึกหน้ามืดและหมดสติไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปิ่นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ใหม่ เข็มนาฬิกาข้างฝาชี้บอกเวลา 7.00 น. ผนังห้องสีขาวถูกแซมด้วยสีทองอ่อนๆจากแดดยามเช้าที่ส่องผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามากระตุ้นความมีชีวิตชีวาของห้องสี่เหลี่ยมใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคย โต๊ะเครื่องแป้งถูกจัดไว้ในสภาพเรียบร้อย เธอเห็นของเล่นของสะสมกระจุกกระจิกในวัยเด็กยังคงตั้งอยู่ที่เดิมราวกับว่ามันไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายมานับสิบๆปี ปิ่นพบตัวเองนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาในท่านอนหงายสบายๆบนเตียงหลังเก่าที่ผูกพันกับเธอมาตั้งแต่เยาว์วัย ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่นๆที่กำลังทาบอยู่ที่หน้าผากแล้วเลื่อนขึ้นไปลูบผมดำเงาสลวยช้าๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ปิ่น”
เจ้าของมือข้างนั้นพูด ปิ่นมองนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คู่นั้นที่กำลังส่งทอดความอ่อนโยนและห่วงใยผ่านเลนส์แว่นมาหา หากจะเปรียบสายตาคู่นั้นเป็นตัวปล่อยสัญญาณโทรทัศน์ ก็คงเป็นเครื่องกระจายคลื่นพลังแห่งความเมตตาและอบอุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เธอสัมผัสได้ในชีวิต แต่กระนั้นใบหน้าอันซีดเซียวของปิ่นก็ยังคงแสดงออกถึงความรู้สึกสะเทือนใจ
“ปิ่นเจออีกแล้ว แม่กับน้องมาหาปิ่น…” เสียงสั่นเครือ
“ปิ่นไม่เป็นอะไรแล้วนะ” เขาพูด มือข้างเดิมยังคงลูบผมปิ่นอย่างอ่อนโยน ปิ่นอยากจะร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง แต่ก็ติดอยู่ตรงที่ว่าเธอไม่เหลือน้ำตาจะเสียแล้ว ตาเธอได้แต่จ้องมองผนังอย่างเหม่อลอย
“แต่ปิ่นเห็นจริงๆ”
“ทั้งหมดเป็นภาพจากจิตใต้สำนึกของปิ่นนะ อาเข้าใจ ทุกคนล้วนมีเรื่องผิดพลาดที่ฝังใจในชีวิต แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาก็จะดูแลปิ่นให้ดีที่สุด”
“อาช่วยปิ่นไม่ได้หรอก ทั้งหมดที่ปิ่นเป็นคนทำ อาภูริก็รู้ปิ่นเลวแค่ไหน ปิ่นต้องชดใช้” เธอส่ายหน้าช้าๆ
“ปิ่น ถึงแม่ปิ่นจะทำไม่ถูกไว้เยอะ แต่แม่ก็ไม่เคยโกรธเกลียดปิ่นเลย แม้จนช่วงสุดท้าย… ปิ่นยังดีกว่าแม่ ปิ่นยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเวลากลับตัวแก้ไขและปล่อยวางอดีต แต่แม่ปิ่นที่รู้สึกผิด แม้จะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีกแล้ว”
“น้องคงแค้นปิ่นมากใช่ไหมอา? ปิ่นควรจะให้น้องลืมตาดูโลก เลี้ยงเขา เป็นแม่ที่ดีแม้จะต้องอยู่คนเดียว แต่นี่ปิ่นเป็นคนทำเขาขึ้นมาแล้วยังทำลายเขาด้วยมือปิ่นเอง”
“ปิ่น ไม่ว่าอดีตเราจะเป็นยังไง แต่ปิ่นก็ต้องรับความจริงให้ได้และรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ นี่มันก็ผ่านมาหลายปี อารู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันยากแค่ไหน แต่ปิ่นก็ต้องปล่อยวางบ้าง”
“ถ้าปิ่นอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็นแบบนี้ ปิ่นจะมีชีวิตต่อไปทำไม? ก็ดีนะถ้าเขามารับปิ่นไปดูแลอยู่ด้วยกัน เพราะที่ผ่านมาปิ่นไม่เคยให้อะไรเขาเลย ทั้งๆที่ปิ่นเป็นถึงแม่” ปิ่นพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก ภูริถอนหายใจเบาๆ
“อารักษาคนมามาก ที่ผ่านมาคนไข้หลายคนเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัว คนไข้ทุกคนอาไม่เคยบอกและไม่เคยคิดว่าเขาเป็นบ้า เพราะแต่ละคนมีภูมิหลัง พื้นฐานทางจิตใจ การรับรู้และประสบการณ์ต่างกัน บางคน ภาพที่เห็นนั้นเกิดจากจิตใต้สำนึกที่ปรุงแต่งขึ้นมา อาไม่เคยปฏิเสธโลกคู่ขนานที่อยู่รอบตัวเรา แต่เรื่องแม่กับลูกปิ่น ทั้งสองคนเขาไปสบายแล้วจริงๆ”
“มันเป็นเรื่องของเวรกรรมใช่ไหม?”
“อาไม่อยากใช้คำนั้น เพราะมันก็เป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นความจริงก็คือ เมื่อคนเราทำผิด ความรู้สึกผิดมันก็อยู่ในใจไม่มากก็น้อย รอการสำนึกและปล่อยวางเพื่อก้าวไปข้างหน้า ยกเว้นคนที่จิตใจหยาบจนกระด้างแยกแยะชั่วหรือชอบไม่ได้อีกแล้ว”
“ปิ่น… ปิ่น…” เธอพูดอะไรไม่ออก ปิ่นลุกขึ้นโผเข้ากอดภูริที่นั่งอยู่ข้างๆเธอบนเตียง หยาดน้ำตาสีใสอีกระลอกซึมเข้าเสื้อสีขาวบริเวณอกข้างขวาของเขาที่เธอซบอยู่ ภูริใช้ปลายจมูกหอมเบาๆเข้าที่ศีรษะอันปกคลุมไปด้วยผมดำเส้นบางอ่อนนุ่มนั้นด้วยความเอ็นดู
“ปิ่นอย่าลืมนะ ว่าปิ่นก็เหมือนลูกอาอีกคน อาสัญญากับแม่ปิ่นไว้แล้วว่าจะดูแลปิ่นให้ดีที่สุด” ภูริกระซิบข้างหู
“ปิ่นยังมีคนต้องการใช่ไหม?”
“ลมหายใจปิ่นมีคุณค่ากับอาและทุกคนเสมอ”
เขาประคองถ้วยโกโก้อุ่นเข้าไปไว้ในอุ้งมือปิ่นอย่างนิ่มนวล เธอเหลือบมองยาขวดใหม่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
“วันนี้ปิ่นพักอยู่ที่บ้านก่อน รู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยกลับไปที่ม.” เขาตบไหล่เธอเบาๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“งั้นมะรืนหกโมงผมเข้าไปนะป้า ขอนวดแบบจัดหนักๆ อยากคลายเส้น อ้อ… เตรียมตังค์ให้ครบด้วย ของพร้อม”
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์กดตัดสาย เอามือลูบเคราเฟิ้ม เขาสูดควันสุดท้ายจากวัตถุในมือที่กำลังเผาไหม้จนถึงโคนเข้าปอดลึกๆช้าก่อนจะปล่อยออกมาทางจมูก ดูไม่ต่างจากมังกรไฟปีศาจที่เพิ่งตื้นขึ้นจากการหลับใหลชั่วพันปี เขารู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายยิ่งนัก มือจับราวระเบียงแน่นแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามวิกาล เขาคิดในใจ หากเขาได้เสพย์ควันสวรรค์นั้นอีกสักมวน เขาคงจะเสกปีกพญามังกรให้มาอยู่บนหลังตัวเองได้และกระโจนออกนอกระเบียงบินท่องราตรี แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่เวลานี้
“พร้อมนะ?”
เขาหันหลังกลับมาถามสองสาวที่กำลังนั่งขัดสมาธิล้อมวงอยู่กลางโต๊ะญี่ปุ่นสี่เหลี่ยมจตุรัสตัวเล็กริมเตียงในห้องหอพักแคบๆภายใต้แสงไฟสลัวก่อนจะเดินเข้ามานั่งร่วมวง
“เตรียมของมาขนาดนี้แล้ว เริ่มเลยเหอะ” หญิงสาวคนหนึ่งในวงพูด
“มึงว่าเราตัดสินใจกันถูกจริงๆเหรอวะ?” หญิงสาวอีกคนถาม ทำเอาเธอลังเล
“ออม มึงคนต้นคิดนะ กูไล่ให้มึงลองไปดูดวงมึงก็ไม่ไป กลัวไม่ชัวร์ มึงอยากรู้ กูก็อยากรู้ เสียเวลา! กูไหว้เจ้าที่เจ้าทางข้างล่างแล้ว”
ชายหนุ่มตัดบทแล้วหยิบแผ่นกระดาษขาวprintตารางตัวอักษร พยัญชนะและตัวเลขขึ้นมากางแผ่หลาบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ยกถาดทรงกลมขนาดย่อมที่มีข้าวกล่องและขนมหวานสามอย่างวางอยู่ขึ้นไปตั้งไว้บนโต๊ะทำงานก่อนจะใช้ไฟแช็กประจำกายจุดธูปขึ้นประนมมือแล้วพึมพำอยู่สักพัก เขาถือธูปกลับมาที่เดิมเพื่อหยิบแก้วใสใบเล็กออกมาครอบควันจากธูปดอกนั้นไว้คว่ำลงบนกลางแผ่นกระดาษขาวดังกล่าวในกรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางที่เขียนไว้ว่า “ที่พัก” เขาเดินคุกเข่าไปที่โต๊ะช้าๆ ปักธูปไว้ในกระถางที่เตรียมไว้แล้วกลับมาประจำที่ ชายหนุ่มแตะขอบแก้วคว่ำนั้นด้วยนิ้วชี้ข้างขวาเป็นคนแรกตามมาด้วยหญิงสาวทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นมีท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“เริ่มก่อนนะ ท่อง พุท โธ ธา ยะ ผลัดกันคนละพยางค์วนตามเข็มสามจบ”
ชายหนุ่มกล่าว สายตาจับจ้องหญิงสาวในชุดนักศึกษาเจ้าของนิ้วมือสั่นเทานั้นเขม็ง
“พุท”
“โธ”
“ธา”
“ยะ”
ทุกคนเปล่งคาถานั้นเวียนจนครบสามจบ
“ขออัญเชิญดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่นี้ เข้ามาสถิตในถ้วยแก้วด้วยเถิด”
เขาพูดจบ พลันสายตาก็เลื่อนมาจับจ้องอยู่ที่แก้วเปล่าใบนั้น ความเงียบงันเริ่มทำงาน ทุกคนเพ่งจุดที่แตะนิ้วรวมกันบนแก้วเป็นสายตาเดียวกันไม่กระพริบ ในไม่กี่อึดใจ แก้วเปล่าก็สั่นไหว ควันธูปที่จับตัวกันอยู่ในแก้วเริ่มฟุ้งกระจายไม่เป็นรูป
“ออม อย่าขยับแก้วเป็นอันขาด!” ชายหนุ่มตวาด
“กูไม่เล่นแล้ว” หญิงสาวพูดเสียงสะอื้นด้วยความกลัว เธอขยับนิ้วเตรียมจะดึงออก
“ถ้ามึงดึงออก วิญญาณจะสิงมึง!” เขายื่นคำขาด และมันก็ได้ผล หญิงสาวเกร็งนิ้วกดลงบนแก้วแน่นกว่าเดิม หญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆยังคงนิ่ง แต่หน้าผากเธอเต็มไปด้วยหยดเหงื่ออุ่นๆที่ไหลลงมาเป็นปฏิกิริยาต่อความระทึกไม่ใช่น้อย แก้วใบดังกล่าวยังคงนิ่งงัน
“ขออัญเชิญดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่นี้มาสิงในถ้วยแก้วด้วยเถิด” ชายหนุ่มพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม แต่แก้วก็ไม่ยอมขยับไปไหน
“ตัวเอง เค้าว่าพอเถอะ ในเมื่อไม่มา ก็คือไม่มี” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆเขา ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้แตะขอบแก้วลูบหลังไปมาเพื่อจะลดความขึงเครียด
“ดวงวิญญาณ ถ้ามีอยู่แถวนี้ กูบอกให้รีบมาสิงแก้วให้เร็ว!” คราวนี้เขาตวาดใส่แก้ว สร้างความตื่นตระหนกต่อสองสาว เธอถึงกับผงะชักมือที่ลูบหลังเขาอยู่นั้นออก
สิ้นเสียงเขาไปไม่กี่อึดใจ แสงไฟสลัวในห้องก็ดับลงฉับพลัน ก่อนจะกระพริบแวบวาบไปมาแล้วกลับมาติดอีกครั้งแต่ไม่สว่างเท่าเดิม ทั้งสามรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในห้อง ลมแรงที่พัดอัดเข้ามาทางระเบียงทำหนังสือ ขวดน้ำ ข้าวของจิปาถะล้มลงมากองระเนระนาด ออมที่รู้สึกใจไม่ดีอยู่แล้วปล่อยโฮ เธออยากจะถอนตัวจากเกมเขย่าขวัญนี้ คำถามที่มีอยู่ในหัวบัดนี้ไม่มีความหมาย เธอไม่อยากรู้อีกแล้ว แต่บางทีสมองเธอก็กำลังเล่นตลก มันสั่งให้ออมกดนิ้วลงกับขอบถ้วยแน่นกว่าเดิมไม่ยอมปล่อย หญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่มหายใจเข้าออกเร็วขึ้น และสมองก็กำลังเล่นตลกกับเธอเช่นกัน มันสั่งให้เธอก้าวขาไม่ออก นั่งนิ่งๆอยู่สภาพที่พร้อมจะรับรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะปรากฏตรงหน้า
แก้วใบนั้นขยับออกจากกรอบสี่เหลี่ยม มันเคลื่อนตัวไปทั่วแผ่นกระดาษอย่างสะเปะสะปะ สักพัก มันก็พานิ้วทั้งสามแล่นไปทั่วสี่มุมขอบกระดาษช้าๆหยุดลงที่ตัวอักษร “ก”
“หึหึ” ชายหนุ่มรู้สึกกระหยิ่มในใจที่สามารถ “ลาก” ดวงวิญญาณให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นสนุกได้ เขาเชยตาหันว้ายขวามองสองสาวที่กำลังตื่นตระหนก
“หากดวงวิญญาณมาอยู่ ณ ที่นี้แล้ว ขอให้ไปอยู่ตรงที่พัก”
เขาพูดกับแก้ว สิ้นเสียงชายหนุ่ม มันก็เคลื่อนตัวกลับสู่ตำแหน่งเดิม “ที่พัก”
“ออม มีอะไรจะถามไม่ใช่เหรอ” เขาเบ้ปากไปทางออม เธอหน้าซีดเป็นไก่ต้ม นี่คือช่วงที่เวลาเดินช้าที่สุดในชีวิต ออมสูดหายใจเข้าออกพยายามรวบรวมสติ
“ร...เรา ไม่ได้จะลบหลู่ท่านนะคะ ท่านม...มาจากไหน?” สิ้นเสียงออม แก้วค่อยๆเคลื่อนออกจากที่พักไปยังสระ “ใ-” ตามมาด้วยพยัญชนะ “น” และจบที่ตัว “ม” “ในม.”
“เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?” เพื่อนสาวถามบ้าง แก้วขยับตัวไปยังพยัญชนะ “ญ”
“ตายที่ไหน?” ชายหนุ่มถาม แก้วเดินไปตามทางของมันให้คำตอบออกมา “บ้าน”
“ตายนานยัง?” เขาถามต่อห้วนๆ ไม่รีรอ มันเคลื่อนตัวไปตามตัวเลข พยัญชนะ และสระ ออกมาเป็นคำตอบ “2 ปี”
“โจ้! มึงพูดดีๆก็ได้ปะวะ?” ออมดุน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ แต่เขาแสยะยิ้มแล้วส่ายหัว
“เราขอถามเรื่องในอนาคตได้ใช่ไหมคะ?” เบล แฟนสาวโจ้เปิดปากถามบ้าง
“ได้” มันตอบโดยไม่มีทีท่าลังเล ทุกคนสบตากัน
“พวกหนูอยู่ปีสุดท้ายแล้ว จะจบสี่ปีกันไหมคะ?” ออมถามคำถามคาใจ สายตาและสมาธิทุกคนต่างจดจ่ออยู่ที่แก้วควันธูป มันนิ่งไปสักพักแล้วขยับจากตำแหน่งสระอีตรงดิ่งไปยังสระ ไ- นาทีนี้ คงไม่ใช่ออมเพียงคนเดียวที่หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทุกคนออกอาการลุ้นระทึกหวาดเสียวอย่างเห็นได้ชัด โจ้มือสั่นด้วย แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แก้วใบนั้นเคลื่อนตัวเข้าใกล้สระ ไ- เข้าไปทุกขณะ โดยไม่มีทีท่าจะหยุด บัดนี้มันอยู่ห่างจากสระ ไ- ไม่ถึงสามเซนติเมตรด้วยซ้ำ ทุกคนหลับตาลงพร้อมกันโดยอัตโนมัติ
“ครืน……!”
หนึ่งหนุ่มกับสองสาวรับรู้ถึงแรงเคลื่อนของแก้วที่ยังเคลื่อนที่ไม่ยอมจอด พวกเขาเบิกตามองจังหวะที่มันแล่นผ่านเลยสระ ไ- นั้นวกขึ้นไปบริเวณที่เป็นเขตพยัญชนะไล่บรรทัดขึ้นไปตามลำดับจนถึงบรรทัดบนสุดไปหยุดที่พยัญชนะ “จ” และลงมาหาพยัญชนะ “บ”
“จบ” เบลพึมพำ ทุกคนต่างรูสึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“เก่งอยู่แล้ว ที่รัก” โจ้จุมพิตแก้มซ้ายเบล เธอยิ้มเขินๆ แก้มเปล่งสีชมพู ออมพยักหน้าด้วยความพอใจ เบลเม้มปากเตรียมถามคำถามต่อไป
“แล้ว…”
ไม่ทันที่คำถามต่อไปจะได้แสดงใจความของมัน แก้วก็เลื่อนแล่นกลับไปยังพื้นที่ของสระอีกครั้ง คราวนี้มันจงใจไปสะดุดหยุดลงที่สระ “เ-” ราวกับเวลาหยุดนิ่งลง ไม่มีใครสนใจสิ่งรอบข้างเพราะได้แต่สงสัยว่ามันกำลังจะเล่นตลกอะไร
มันกลับมายังพื้นที่พยัญชนะอีกครั้ง ตรงบรรทัดสุดท้ายที่ช่อง “ห” แล้วจบการเคลื่อนไหวที่ช่องไม้เอก
“จบเห่!”
ถ้อยคำนั้นดังกึกก้องขึ้นในหัวทั้งสามพร้อมกันราวกับเสียงระเบิดโดยมิได้นัดหมาย เป็นถ้อยคำสองพยางค์ที่สั้น กระชับ และได้ใจความ หัวใจทุกคน โดยเฉพาะออมเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าซีดเผือดยิ่งกว่าช่วงแรกที่ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณ มือของเบลข้างที่ว่างกุมมือโจ้แน่น เธอเอนกายแนบซบเขา โจ้รู้สึกได้ถึงความกลัวของเบลที่ตัวสั่นเป็นลูกนก เขาเองก็กำลังเผชิญความรู้สึกนี้ไม่แพ้กัน แต่ด้วยฤทธิ์ยา ความรู้สึกเช่นว่านี้กลับถูกกดไปจนหมดสิ้น
“ผีเลว มึงโกหก!” โจ้ตะเบ็งเสียงใส่แก้วตรงหน้า และเหมือนมันรู้งาน ถ้วยแก้วสำแดงเดชของมันเขย่าขวัญโจ้ เบล ออมอีกครั้ง คราวนี้มันวิ่งด้วยความรวดเร็วไปมาบนกระดานอย่างมีจุดหมายตามลำดับสระและพยัญชนะ
“ใครกันแน่” มันเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง แต่แน่นอนว่า ทั้งสามคนต่างช็อคกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ปากแข็งเกินกว่าจะขยับให้คำตอบได้ ถ้วยแก้วไม่รอช้า มันขยับตัวอีกครั้ง
“สารเลว”
“ตอแหล”
“ชีวิตพัง”
“ระวังให้ดี”
แต่ละวลีที่สื่อออกมาช่างทรงพลังอันน่ากลัว ประสบการณ์สยองครั้งนี้จะเป็นที่จดจำสำหรับพวกเขาทั้งสามไปจนวันตาย
“ผีอย่างมึงแม่งไม่ได้ตายดีแน่ๆ ใช่ไหม ใช่ไหม? บอกมา!”
“ติดยา”
คำตอบทำเอาโจ้ชะงักไปชั่วครู่
“มึงเป็นใคร? หลุดมาจากนรกขุมไหน? บอกมา!” โจ้ระเบิดอารมณ์ทั้งหมดที่เขามีใสถ้วยแก้วใบนั้น นิ้วเขากดแน่นชี้ลง หากเพียงนิ้วเขามีความแข็งพอ ด้วยแรงขนาดนี้ เขาสามารถบดขยี้ถ้วยแก้วได้สบายๆ เบลและออมรู้สึกเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ร้องไห้แต่ไม่มีความรู้สึก
“ป”
“า”
“น”
“ด”
“า”
และแก้วก็หยุดลงที่ตัว “ว”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
เบลกรีดร้อง ปล่อยมือโผเข้ากอดโจ้แน่น ออมยังคงนิ่งเงียบเป็นหินอยู่ท่าเดิม ถ้วยแก้วสั่นสะเทือนไปมาขอบปากมันเผยอขึ้น ควันธูปที่ถูกกักไว้ข้างในลอยโชยออกมาและดูเหมือนมันจะเพิ่มปริมาณและก่อตัวขึ้นเรื่อยๆจนบดบังแผ่นกระดาษไม่เห็นตารางตัวอักษร ควันนั้นเปลี่ยนกลิ่นเป็นลาเวนเดอร์ ลอยเข้าปะทะกับใบหน้าและจมูกของสามคนนั้น ทั้งโจ้ เบล และออมไอสำลักควัน โจ้เอาชายเสื้อปิดส่วนปากและจมูกไม่ให้ตัวเองสูดเข้าไป โจ้ที่หลับตาปี๋ควานมือถ้วยแก้วผีสิงในม่านควันนั้น แต่แล้วเขาต้องรีบชักมือกลับเพราะสัมผัสได้เปลวเพลิงที่เลียผิว ไฟนรกกำลังลุกไหม้ตารางตัวอักษรและโต๊ะญี่ปุ่นและจะลุกลามไปยังเตียงในไม่ช้า
“ออม มึงไปเอาน้ำมาเร็ว!”
โจ้สั่ง เขาผลักเบลให้ไปหลบอยู่ด้านหลัง ดึงผ้าห่มมาจากเตียงแล้วฟาดๆมันลงไปบนกองเพลิงเพื่อจะดับ ไม่นาน ออมก็ตักน้ำมาราดซ้ำ จังหวะที่น้ำสาดลงไป ควันได้เปิดช่องให้เห็นถ้วยแก้วที่ตกอยู่ที่พื้น โจ้ใช้เท้าเขี่ยถ้วยออกมาให้พ้นแดนเพลิงแล้วจัดการฟัดฟาดกับกองฟอนคลั่งจนดับมอด
เขาคว้าถ้วยแก้วนั้นไว้ในกำมือแน่นลุกขึ้นแล้วขว้างสุดแรงออกนอกระเบียง
“กลับนรกของมึงไป!”
“เพล้ง!”
เขาได้ยินเสียงแก้วแตก พลันควันที่รุกไล่หมายเอาชีวิตทั้งสามก่อนหน้านี้ก็จางลง โจ้มองเห็นเบล และออมร้องไห้กอดกันกลมด้วยความตื่นกลัว
เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ปานดาว”
ภาพยังคงติดตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ