ปิ่นเกล้า

-

เขียนโดย hidden_agenda

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.49 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,492 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558 11.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ปิ่นเกล้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เสร็จแล้วกรุณาช่วยเก็บหลักฐานไปให้หมดด้วยนะครับ คราวที่แล้วกูต้องหอบซ่อนขวดกลมขวดแบนของพวกมึงเนี่ยไปทิ้งเอง ดีนะพี่ยามไม่สงสัยแล้วไปค้นดู”

นนท์เตือน เขาปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าแล้วเดินออกจากห้องน้ำมานั่งในวงเพื่อนๆอีกสามคนที่กำลังนั่งร่ำสุรากันในห้องอย่างเพลิดเพลินในขณะที่ตัวเขาเองยังรู้สึกไม่ค่อยดีหากจะเพิ่มแอลกอฮอล์เข้ามาก่อกวนระบบประสาทในตอนนี้

“เออน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้กูแพ็คใส่ลังอย่างดี ช่วยกันหอบลงไปเหมือนย้ายหอใหม่ให้เลย” ป๊อบยกลังกระดาษเปล่าที่เคยเป็นบรรจุภัณฑ์พัดลมที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาส่ายไปส่ายมา

“ว่าแต่มึง ไม่เอาซักหน่อยเหรอ?” เต๋าถามนนท์

“กูเหมือนจะไม่สบายว่ะ เอาไว้ก่อน ปวดหัวตุบๆ” นนท์นวดขมับ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดคออยู่เช็ดผมที่ยังหมาดๆอยู่ให้แห้ง

“ กลางวันเพิ่งตกไป มึงไปนั่งทำงานในสวน ชื้นก็ชื้น เย็นก็เย็น ยุงเยอะ เดี๋ยวได้ไข้เลือดออกแถมมาอีก” มาร์ชพูด

“เติมวิตามินยอดข้าวหน่อย หายเร็ว” เต๋าเซ้าซี้ ตีหน้าตาย

“กูว่ามึงบริโภคไฟเบอร์เยอะเกินไปและ” นนท์สวน

“ไม่get!”

“ก็อาหารจำพวกกากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!ใยไง” นนท์ตอบลากเสียงยาวและเน้นเป็นพิเศษ “ดีไม่ดีได้อาหารเสริมโปรตีนนนนนนนอีกถ้าพี่ยามขึ้นมาเจอพวกมึงเนี่ย” ทุกคนหัวเราะลั่น เต๋าหยิบรีโมทข้างกายขึ้นมากดสวิตช์เปิดทีวี เป็นภาพรายการที่พิธีกรใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกำลังสัมภาษณ์ผู้ร่วมรายการสาววัยกลางคนถึงประสบการณ์ขนหัวลุกมีดนตรีประกอบชวนหลอน

“เปลี่ยนช่องเหอะ”

“นนท์แม่งกลัวผีเหรอวะ?” ป๊อบถาม

“เหอะ! ไม่กลัว กูจะดูข่าว” นนท์สวน

“ไม่กลัว แต่ขนลุกซู่ ฮ่าๆๆๆ” เต๋าเสริม ชี้ให้ทุกคนดูขนลุกชูชันบนแขนทั้งสองข้างของนนท์

“แล้วมึงไม่กลัวเหรอวะ” นนท์ถามกลับ

“กูไม่เคยเจอว่ะ เห็นแต่ในหนัง พูดเหมือนมึงเคยเจอ” เต๋าตอบ

“คิดเล่นๆ ถ้ามึงเจอมึงจะทำยังไงวะ แบบในหนังแม่งชอบมาสภาพไม่ปกติ หัวขาด แหกอก เลือดไหล บลา บลา บลา” นนท์ถาม

“กูคงเงิบซักแปป แล้วถามว่า… เจ็บมั้ย?”

“ปากดี กูว่าเจอของจริงมึงไม่มีโอกาสได้เงิบหรอก โดนขี่คอหักตายก่อน”

“นนท์มึงดูหนังมากไปละ กูว่าที่จริงคนเราไม่ได้กลัวผี แต่กลัวความมืดว่ะ พออยู่ในที่มืด มองไม่เห็นอะไร ไม่รู้ว่ามีอะไรแม่งก็มโนว่าน่ากลัว หลอนว่ามีนู่นนี่นั่น” เต๋ายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ

“จิตแข็งแบบนี้มึงไปจ็อคกิ้งกะตั้งเตนท์นอนในป่าช้าหนึ่งคืนแล้วถ่ายวีดิโอแชร์ลง Facebook ให้กูกะคนอื่นๆเลิกมโนทีดิ๊”

“ไม่เอาว่ะ สกปรก รก ไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขออีก ในที่มืดๆกูนี่แม่งกลัวโจรมากกว่ากลัวผีอีก มึงคิดดู ถ้าเจอผีจริงๆ ผีแม่งจะทำอะไรเราได้วะ ข้าวน้ำยังต้องให้คนทำบุญจุดธูปไปให้ ศาลยังต้องมาขอให้คนตั้งให้เลย” ทุกคนตะลึงในความเห็นของเต๋า “เหอะๆๆ กูล้อเล่น แต่กูไม่เชื่อและก็ไม่อยากให้พวกมึงงมงายว่ะ”

“มึงไม่เชื่อก็ลบหลู่อย่างสร้างสรรค์ละกัน ระวังๆด้วย” มาร์ชพูด ยิ้มเจื่อนๆ

“เป็นห่วงเหรอเพื่อน?”

“เปล่า เดี๋ยวพวกกูโดนหางเลขไปด้วย” ป๊อบเสริม กระทบแก้วเบียร์ลงพื้นเบาๆ

“สัส” เต๋าตอบรับสั้นๆ เหลือบไปเห็นนนท์นั่งสัปหงก

             “กูว่านะ มึงไปนอนเหอะนนท์ กูก็ว่าจะเก็บแล้วเหมือนกัน”

“กูไม่เป็นไรแล้ว เพิ่งกินพาราไป สงสัยคงเพ่งงานมากไปหน่อย ต้องส่งอาทิตย์หน้า เลยเพลียๆ”

“รีบทำทำไมวะ ทุกทีกูก็เห็นมึงปั่นอย่างมากสองคืนก่อน deadline”

“กูจะโดนไทร์ก็เพราะปั่นแบบนั้นแหละ ไม่เอาละ เกรงใจคู่ด้วย”

ชีวิตนักศึกษาใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นไม่ง่ายนัก แม้เขาจะผ่านช่วงปีหนึ่งมาได้ แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาปรับตัวเพื่อประมือกับชีวิตมหา’ลัยที่มีความเข้มข้นและหนักหน่วงขึ้นทุกปีอย่างเทียบกันไม่ได้ หากเขาไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ

“ฮั่นแน่... มีเกรงใจด้วย สาวอีกอะดิ”

“อือ”

“แหนะ ใครวะ? ไม่เห็นเคยบอกกล่าว”

“เพื่อนเฉยๆ เรียนเซคเดียวกับกูเนี่ย วันนั้นไปสาย เหลืออยู่คนเดียวไม่มีคู่ กูเลยได้คู่กับปิ่น

“ปิ่นไหนวะ?” เต๋าสงสัย

ปิ่นเกล้าอะ ปิ่นที่ชอบเกล้าผมแล้วเสียบปิ่นประดับแบบไม่ซ้ำกันแทบทุกวันอะ ที่คนแม่งชอบพูดถึง พวกมึงรู้จักเปล่าวะ” นนท์ตอบ ทุกคนนิ่งไปซักพัก แม้แต่เต๋า

“ใช่ปิ่นที่อยู่คณะวิศวะ?”

“เออ”

“ขอให้โชคดี” มาร์ชเอามือตบไหล่นนท์

“ตอนกูคุยด้วยในเซคกะตอนทำงานกูว่าปิ่นก็ปกติดีนะ แต่ไม่รู้ว่ะ หลายครั้งก็รู้สึกแปลกๆ”

“แต่มึงน่าจะดีใจนะ ที่จริงแล้วอย่างปิ่นนี่ก็สวยน่ารักระดับเป็นดาวได้เลย กูเห็นบรรดาดาวๆทั้งหลายเนี่ยยอมสยบให้พี่นนท์มาหมดแล้ว บางทีถ้ามึงเข้าหาปิ่น ปิ่นเปิดใจให้มึง ไม่แน่ นิสัย ‘แปลกๆ’ นี่อาจจะหายไปเลยก็ได้” ป้องชกไหล่นนท์

“กูแมนแต่ไม่มั่วเว้ย พูดจาให้เกียรติผู้หญิงเขาหน่อย แล้วขอโทษ คนที่กูพาไปเลี้ยงอะน้องรหัสกู ส่วนคนที่มึงเห็นเดินกะกูวันก่อนน่ะ น้องโรงเรียนกูแวะเอาชีทไปให้เขายืมถ่ายเอกสารโว้ย” นนท์สวน

“โห้…. ตลอด อยู่ใกล้คนน่ารักๆตลอด” ป๊อบแซว

“อย่างปิ่นก็น่ารักดี แต่กูไม่รู้ว่ะ อย่างที่บอก รู้สึกแปลกๆ เคยมีคนเล่าให้กูฟังว่ามีบางคืน มีคนเห็นปิ่นชักปิ่นปักผมที่ใช้อยู่เนี่ยมาโบกวาดลมไปมาในที่ที่ค่อนข้างลับตาคน หรือไม่ก็พูดคนเดียว”

“กูเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน เขาเล่ากันทั้งคณะว่าคืนหนึ่งมีคนอยู่หอเดียวกับปิ่นเคยเห็นปิ่นเดินโซเซสวนแม่งไป เห็นว่ากำลังร้องไห้อย่างหนัก แต่พอมองตาเท่านั้นแหละ เห็นตาปิ่นทั้งสองข้างเป็นสีเทาซีดเผือดเหมือนคนไม่มีชีวิตเลยว่ะ แล้วก็น้ำตาเนี่ยนะไหลไม่หยุด เดินเข้าห้องไป พอเรื่องแพร่ออกไป คนในชั้นนั้นก็ทยอยย้ายออกไปจนหมด เหลือปิ่นอยู่คนเดียว” ป๊อบเล่า “ยิ่งไปกว่านั้น รุ่นน้องโรงเรียนเก่ากูคนหนึ่งบอกว่า เพื่อนมันรู้จักกับปิ่นเคยเครียดจนจิตตกตอนจะสอบเอ็นแล้ว กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพ้อทั้งวันจนสุขภาพจิตเสีย มีอยู่วันหนึ่งปิ่นพยายามยัดปิ่นปักผมอันหนึ่งมาให้เก็บไว้ แต่มันไม่ยอมเอาแล้วเขวี้ยงทิ้ง มึงเชื่อปะ วันรุ่งขึ้นมีคนไปพบศพน้องเขาผูกคอตายอยู่ในบ้าน” ป๊อบบรรยายเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงจนทุกคนขนลุก

“ไม่พอนะ ชั้นที่ปิ่นอยู่นั่นแหละ บางคืนมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวนกลางดึกด้วย แปลก เป็นอยู่อาคารเดียวและชั้นเดียวด้วย”

“หรือว่าปิ่นนั่นแหละเป็นผีวะ?” มาร์ชโพล่ง

“พูดเป็นเล่น” นนท์สะอึก

“กูว่าปิ่นจมน้ำตายแล้วมาหลอกมึงในเซคแน่เลยว่ะ”

“ทำไมวะ?”

“ดูท่าจะเป็นผีปอดบวม” เต๋าตอบ เสียง “เพียะ!” ตามมาทันทีหลังสิ้นเสียงเต๋า

“อกุศลตลอด กูเครียดๆอยู่” นนท์ทำหน้านิ่ว

“ผีปลาหมึกแม่งมือหนักสัส” เต๋าลูบบรรเทาศีรษะตรงจุดที่โดนฝ่ามือของ “ผีปลาหมึก” ฟาดเข้าให้เต็มๆ

“กูว่านะ ปิ่น…”

ทุกคนต่างขุดเรื่องที่เคยได้ยินเกี่ยวกับปิ่นมาเล่าสู่กันฟังอย่างไม่ขาดตอนโดยนนท์ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

               

“ปิ่น ไม่ต้องกลัวนะลูก”

ปิ่นลืมตาขึ้นจัดทรงผมปล่อยยาวสลวยที่กำลังยุ่งเหยิงให้เข้าที่ เมื่อขยี้ตาก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในรถเก๋งคันที่คุ้นเคย ปิ่นเอื้อมมือปรับสายเข็มขัดนิรภัยสีเทาให้เข้าที่ในท่านั่งตรงหลังตื่นขึ้นจากภวังค์พร้อมดึงกระโปรงที่เลิกขึ้นมาปิดขาอ่อนเพรียวสีขาวนวลราวกับงาช้างแต่แซมด้วยเลือดฝาดสีชมพูอ่อน เธอมองออกไปยังท้องฟ้าสีดำมืดมัวยามราตรีที่พอจะเห็นทางข้างหน้าได้จากไฟสลัวหน้ารถและหลักถนนสะท้อนแสงสีเหลืองสลับดำที่ตั้งเรียงรายบอกขอบถนน

“แม่ตัดสินใจแล้ว”

ปิ่นหันไปยังเบาะคนขับข้างขวาหาเจ้าของเสียง แม่เธอกำลังประคองพวงมาลัยบังขับรถที่กำลังแล่น แม่หันมามองหน้าปิ่นแล้วยิ้มให้ แม้จะพยายามเพียงใด ปิ่นก็รับรู้ได้ถึงความเศร้าและกังวลใจที่แฝงไว้ในนัยน์ตาอันมีน้ำตาเอ่อคลอคู่นั้น ปิ่นunlockหน้าจอมือถือที่เธอยังคงกำไว้ในมือ

“อาร์ตทำอนาคตพี่พังทลายมามากพอแล้ว ให้อาร์ตเป็นฝ่ายออกไปจากชีวิตพี่คงดีกว่า”

ข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอ มือของปิ่นข้างที่ยังคงแตะหน้าจอนั้นสั่นเทา ไม่กี่อึดใจ อาการสั่นเทานั้นก็ลุกลามขึ้นไปตามแขน หัวไหล่ ใบหน้า และริมฝีปากบางสีชมพู น้ำตาที่สั่งสมไว้เริ่มแสดงพลังอันบ้าคลั่งของมันโดยการพยายามทำลายพันธนาการเรือนจำขอบตา

“ปิ่นก็ตัดสินใจแล้ว!” ปิ่นสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือแต่เกรี้ยวกราด

“แต่ แม่ทนเห็นปิ่นในสภาพนี้ไม่ได้ ปิ่นจะอยู่แบบนี้ไม่ได้” แม่ปิ่นสะอื้น

“ที่ผ่านมาแม่สนใจอะไรบ้าง ที่พ่อตายก็เพราะแม่หนีปัญหา แม่จะมารับรู้ปัญหาอะไรของปิ่น?!”

“เรื่องของพ่อมันจบนานไปแล้ว ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น”

“แม่ก็ได้แต่พูดแบบนี้ ทุกครั้งที่พ่อมีความสุขแม่ก็มีความสุข แต่เวลาพ่อมีปัญหา แม่กลับหนีพ่อไป จิตใจแม่ทำด้วยอะไร!?”

“แม่รับไม่ได้หากปิ่นยังจะต้องทนอยู่กับคนแบบนั้น คิดถึงอนาคตปิ่น…” แม่หยุดชะงักและสะอื้นอย่างหนัก “คิดถึงชีวิตที่ปิ่นเป็นคนสร้างขึ้นมาด้วย” ปิ่นเอามือสัมผัสท้องน้อยของตัวเองแล้วลูบไล้ไปทั่วบริเวณหน้าท้อง เธอปาดน้ำตาที่ค่อยๆรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง จนกระทั่งเธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ปิ่นเอาทั้งสองมือปิดหน้าแต่กระนั้นก็ความบ้าคลั่งของหยาดน้ำตาก็แสดงพลังโดยการหลั่งไหลทะลักออกมาทางซอกนิ้วและข้อมือ

“นี่มันปัญหาปิ่น ปิ่นจัดการเองได้!” ปิ่นตะเบ็งเสียงลดมือที่บังหน้าออกแล้วหันไปทางที่นั่งคนขับเพื่อที่จะระเบิดประโยคนั้นใส่แม่อีกครั้ง

“นี่มั…” ไม่ทันที่เธอจะได้จบประโยคเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าคือแม่ของเธอเอาหน้าฟุบลงร้องไห้ฟูมฟายกับพวงมาลัยอย่างควบคุมสติไม่ได้

“แม่! แม่!” ปิ่นพยายามปลุกแม่ และเขย่าให้เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจและลนลาน

“แม่! แม่ทำอะไร ลุกขึ้นมาคุยกับปิ่นก่อน” ปิ่นฟูมฟาย พยายามพยุงแม่ แต่เธอยังคงก้มหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้น

“แม่!!!!!!!!”

“ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

“กรี๊ด!!!!!!!”

รถตู้ที่พุ่งเลี้ยวเข้ามาจากทางแยกด้านขวาอย่างเร็วทำให้มือของปิ่นคว้าพวงมาลัยด้วยความลนลาน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะความเร็วที่พุ่งเข้ามานั้นไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองต้องตั้งตัว ปิ่นทำได้เพียงกรีดร้องเสียงหลงออกมา

“โครม!!!!!”

รถตู้ชนเข้ากับรถของปิ่นและแม่ข้างขวาเข้าอย่างจัง ส่งผลให้รถนั้นกระเด็นพลิกคว่ำตกข้างทางเข้าพงหญ้าไปหลายตลบ ปิ่นทำอะไรไม่ถูก มือและเท้าต่างเกร็งแน่น เธอพยายามยกขึ้นมาปัดป้องร่างกายให้พ้นจากแรงกระทบที่ถาถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามการพลิกคว่ำหลายตลบนั้น ความรู้สึกของปิ่นนั้นไม่ต่างอะไรกับเศษผ้าชิ้นเล็กๆที่ถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้ากำลังแรงสูง หากว่าเศษผ้านั้นจะมีความรู้สึก ตลอดเวลาที่รถม้วนตัวพลิกคว่ำ เธอได้แต่ภาวนาให้ช่วงเวลานรกนี้จบสิ้นไปโดยเร็วที่สุด เธอถูกแรงอัดกระทบจากทุกทิศทางทั้งภายในและภายนอกเหมือนมีคนเป็นสิบจับเธอยัดใส่ลังกระดาษแคบๆปิดมืดด้วยเทปกาว ผูกเชือกแล้วรุมทุบตีเธอด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่ง

“ตุบ!”

ร่างของปิ่นถูกเหวี่ยงออกมาด้านนอกตัวรถกระเด็นออกไปไม่ไกลนัก ปิ่นในท่านอนหงายเอามือทั้งสองข้างกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ ก่อนจะพลิกตัวกลางพงหญ้าขึ้นมาในท่าตะแคงซ้าย เธองอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาคุดคู้บิดตัวครวญครางไปมาด้วยความปวดช้ำระบมไปทั้งตัว เผยให้เห็นขาอ่อนเรียวซึ่งบัดนี้ไม่มีทางจะได้เห็นเลือดฝาดสีชมพูแซมอีกต่อไป หากแต่เป็นเลือดสีแดงข้นสดๆที่ไหลออกมาจากด้านในกระโปรง

“แม่!”

ปิ่นร้องเรียก พยายามยกศีรษะขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดกวาดตามองไปรอบทิศ

“แม่!”

ปิ่นเรียกซ้ำอีกครั้ง

“แม่!!!”

เธอตะโกนสุดเสียงด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มี แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ปิ่นก้มศีรษะลงแนบกับพื้นดินเช่นเดิมแล้วร้องไห้กุมศีรษะ ปลดปล่อยกองทัพน้ำตาที่พยายามปลดแอกให้ตนเป็นอิสระก่อนหน้านี้ออกมาราวกับมันไม่เคยได้รับอิสรภาพมานานนับศตวรรษ เธอเลื่อนมือลงมากุมท้องแล้วจ้องมองตำแหน่งนั้นด้วยอาการสลดปานจะขาดใจ ปิ่นรู้สึกอ่อนแรงลงเรื่อยๆ หน้าซีด สัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลออกจากกระโปรงอย่างไม่ขาดสาย

“แม่! ฮือ…..!” เธอยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด ในขณะเดียวกัน อาการเจ็บปวดนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอดิ้นบิดตัวไปมาและร้องโหวกเหวกไม่เป็นภาษา

“แม่!!!”

ปิ่นเหลือบไปเห็นแม่ของเธอนั่งอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมในรถที่ขณะนี้อยู่ในท่าหงายท้องขึ้น สภาพบุบบู้บี้เช่นนี้มีเพียงสีของรถที่สะท้อนผ่านแสงไฟสลัวข้างทางเท่านั้นที่ทำให้เธอจำรถของแม่ได้ ปิ่นมองไม่เห็นหน้าแม่ของเธอเองชัดนัก แต่ในสภาพแสงเช่นนี้เธอก็มองเห็นได้ว่าภายในหลังคารถซึ่งถูกแรงกระแทกจากการพลิกคว่ำอย่างรุนแรงนั้น คอของแม่ปิ่นหักพับไปด้านหลังเบาะคนขับไม่ต่ำกว่า 270 องศา ของเหลวสีเข้มไหลออกมาจากจมูก หู และปากอย่างไม่มีหยุดชนิดที่แม้ในเงามืดก็บอกได้ว่าเป็นเลือด

“ม… แม่! แม่…. ไม่!!!” ดวงตาเบิกโพลง ปิ่นตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นฉากอันสะเทือนใจนั้น แม่ที่ยังคุยกับเธอเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้แปรสภาพไปกลายเป็นร่างที่ไร้ลมหายใจด้วยเหตุการณ์ที่เธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อ

“ปิ่นขอโทษ…”

น้ำเสียงสั่นเครือ ตาคงจับจ้องที่ภาพนั้นไม่กระพริบ

“ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ… ปิ่นขอโทษ…”

เธอพูดต่อไปไม่หยุดในอากัปกิริยาเดิม ถึงจะรอดจากอุบัติเหตุนรกนั้นมาได้ แต่ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากคนที่ตายทั้งเป็น มือและขาอ่อนแรงมากขึ้น น้ำเสียงปิ่นลดระดับลงตามการเต้นของชีพจรที่กำลังแผ่วเบาลงเรื่อยๆ

“ปิ่นขอโทษ…”

สิ้นประโยคสุดท้าย ทันใดนั้นปิ่นก็สังเกตเห็นแสงไฟสีขาวคู่หนึ่งที่กำลังตรงดิ่งมาทางเธอด้วยความรวดเร็ว ปิ่นไม่มีแรงจะพูดอีกต่อไปแล้ว เธอได้แต่นึกถึงเรื่องโลกโลกหนึ่งซึ่งเธอเคยพูดคุยกันกับเพื่อนๆ โลกคู่ขนานที่ใครหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้เห็น โลกทุกคติภูมิที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด ที่ที่บุคคลผู้ไร้ลมหายใจได้เกิดใหม่แต่ก็ต้องใช้ชิวิตเวียนว่ายไปในวัฏสงสารด้วยความทรมานไม่รู้จักจบสิ้น

ดูเหมือนว่าแสงนั้นจะเร่งความเร็วมาเรื่อยๆเพื่อพุ่งตรงมาหาเธอโดยเฉพาะ

ปิ่นเบิกตามองแสงไฟสีขาวสว่างจ้า บัดนี้ เธอไม่มีแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นป้องกันร่างกายให้พ้นจากสิ่งตรงหน้าที่อยู่ห่างเธอไปไม่ถึงสามเมตรแต่อย่างใด

“โครม!!!”

                ร่างของปิ่นกระเด็นกระดอนไปไกลในความมืด เธอได้ยินเสียงกระดูกในร่างหักเป็นชิ้นๆและด้วยแรงเช่นนั้นเธอรู้สึกได้ถึงอวัยวะภายที่บอบช้ำและฉีกขาดแต่ร่างกายปิ่นกลับด้านชาไปหมดเกินกว่าจะรับรู้ความเจ็บปวดนั้น พลันร่างของเธอหยุดนิ่ง ปิ่นก็รู้สึกตัวอีกครั้งและก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นปูกระเบื้องสีเขียวไข่กาในท่าคว่ำข้างเตียง

                ปิ่นเอามือลูบท้องน้อยแล้วพลิกตัวมองขาอ่อน ใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ชีพจรเต้นแรงระรัว เสียงคล้ายกลองหนังดังขึ้นเป็นจังหวะเร็วในหัว เธอสำรวจตัวเองก็พบว่าร่างกายอยู่ในสภาพปกติดี ปิ่นขยับแขนและหัวไหล่ไปมา หายใจหอบด้วยความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้

“แม่”

เธออุทานออกมาเบาๆแล้วพยุงกายขึ้นเตียงที่อยู่ในสภาพยุ่งเหยิง เมื่อปิ่นสะบัดผ้าห่มเพื่อจัดให้เรียบร้อยก็พบกับโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่ในสภาพที่แตกละเอียด ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่วเตียงราวกับว่าถูกทุบด้วยของแข็งอย่างหนักหรือตกจากที่สูง ใจเธอตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกโหวงที่หน้าอก เริ่มหายใจติดขัด ปิ่นขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วพยายามความหารวบรวมชิ้นส่วนที่แตกกระจากนั้นมาไว้ที่เดียวกัน เธอรู้สึกร้อนสลับเย็นยะเยือกวูบวาบไปทั่วร่างกาย เหงื่อไหลออกมาไม่หยุดแม้จะเปิดแอร์ไว้และชุดนอนที่เธอใส่ก็แสนจะบางเบา

“ฟึ่บ!”

ปิ่นได้ยินเสียงคล้ายมีใครขยับตัวไปมาบนผ้าจากด้านหลังของเธอบริเวณหมอน เธอหยุดชะงักจากการรวบรวมชิ้นส่วนมือถือแล้วเหลียวหลังไปช้าๆ ชีพจรยังคงเต้นแรงไม่หยุดยั้ง หางตาสังเกตเห็นร่างตัวเล็กๆนั่งอยู่บนหมอน น่าจะเป็นร่างของเด็ก มันมีผิวสีเทาประกอบกับคราบเลือดสีเข้มเปรอะเปื้อนไปหมดทั่วร่าง ในยามวิกาลเช่นนี้ เด็กที่ไหนจะเข้ามาในห้องของเธอได้โดยที่ไม่เคาะประตูบอกเธอก่อนหรือปีนหน้าต่างเข้ามาโดยไม่ส่งเสียงดังให้เธอรู้ตัวก่อนได้

ปิ่นสะบัดหน้าหนีมาตำแหน่งเดิมแล้วก้าวลงจากเตียงอย่างลนลานไปหยิบปิ่นปักผมโลหะเงินแกะลายประดับพลอยสีเขียวเทอร์คอยส์ที่หัวออกมากำไว้แน่น เธอหันกลับไปแล้วหันส่วนหัวของปิ่นนั้นเล็งตรงไปยังหัวเตียง แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่าบนหมอนที่อยู่ในสภาพเรียบร้อย เธอหันซ้ายขวาพร้อมเล็งปิ่นกวาดตามสายตาไปยังบริเวณต่างๆของห้องช้าๆ

“แค่กๆๆๆ!”

ปิ่นไอออกมาเป็นระลอกเพราะหายใจไม่ทัน พลันเธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับหน้าอก ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังเพิ่มน้ำหนักของมันขึ้นเรื่อยๆทำให้ปิ่นหายใจไม่ออก ความรู้สึกนั้นที่กำลังลามขึ้นมาบนศีรษะ มันกำลังกดทับบีบขมับทั้งสองข้าง ทำให้ปิ่นที่กำแน่นอยู่หลุดมือ ปิ่นรีบเอามือกุมศีรษะและปัดป้องตีอกชกลมเพื่อดิ้นรนต่อสู้กับพลังที่มองไม่เห็นนั้น เธอล้มตัวคุกเข่าลง เงามืดกำลังกดเธอให้ยอมศิโรราบอย่างมิอาจขัดขืนได้ ปิ่นส่ายหัวร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเจ็บปวด

“ขอโทษ… แม่ขอโทษ…”

เธอพึมพำ

“พลัก! โครม!!!”

เพดานห้องปูนที่อยู่เหนือขึ้นไปพังทลายลงมา เสียงอันกึกก้องกัมปนาททำให้ปิ่นต้องสะดุ้งตกใจ ปิ่นใช้แขนข้างซ้ายพยุงตัวไว้ไม่ให้หงายหลังแล้วเงยหน้าขึ้นมองรูมืดสีดำทะมึนบนเพด้านนั้น เธอควานหาและคว้าปิ่นที่ตกอยู่ข้างๆมาไว้ในมือคว้าแล้วใช้มือซ้ายยึดจับเก้าอี้ประคองตัวขึ้นยืน

“ฟึ่บ! แครก!!!”

วัตถุสีเทาดำชิ้นหนึ่งกลิ้งทิ้งตัวห้อยหัวลงมาจากรูมืดช้าๆทันทีที่ปิ่นหันไปมอง วัตถุชิ้นนั้นขนาดไม่ต่างไปจากตุ๊กตาตัวเล็กๆมีแขนขาขยับเคลื่อนไปมา แต่มันก็ไม่ตกถึงพื้นเพราะมีสายเส้นเล็กๆยึดร่างไว้แบบหลวมๆห้อยลงมาจากเพดาน มีเลือดข้นไหลลงมาตามสายจนท่วมร่างนั้นแล้วหยดลงไปที่พื้นเป็นหย่อมๆ ปิ่นก้าวถอยหลังไปที่ประตู พลันแขนขาของร่างน้อยๆนั้นก็หลุดออกร่างน้อยๆที่ละข้างสองข้างจนเหลือแต่ส่วนศีรษะที่ไม่มีผมและสายนั้นที่ต่อจากส่วนสะดือ เธอทำอะไรไม่ถูก อาการเต้นแรงของหัวใจ ปวดรัดศีรษะและบริเวณท้องน้อยกำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะจิต

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ปิ่นร้องเสียงหลง ในทันใดเธอก็เห็นภาพวัตถุอันน่าสยดสยองนั้นทำหน้าแสยะยิ้มเบิกเบ้าตาอันกลวงโบ๋ก่อนจะเหวี่ยงร่างพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา